originally article written / posted August 18, 2008 : by SIAM Freedom Fight
ระหว่างชาติพันธุ์ที่เกิดมาเป็นทาส กับชาติพันธุ์ที่เกิดมาเป็นไท แตกต่างกันที่กระบวนคิด
01
ในสมัยรัชกาลที่ 5 รัฐบาลประกาศเลิกทาส รวมทั้งยกเลิกระบบไพร่ทั้งหมดในราชอาณาจักร
การศึกษาไทยมักจะสอน และเปรียบเทียบปรากฏการณ์นี้กับการประกาศเลิกทาสในประเทศ
สหรัฐอเมริกา และพยายามบอกว่าเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน
ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว..แต่เป็นแค่ความจริงเพียงครึ่งเดียว
การเลิกทาสอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกานั้น
ประกาศเมื่อสงครามกลางเมืองดำเนินไปได้สักระยะหนึ่ง ถึงแม้ประเด็นการมีหรือไม่มีทาสจะเป็นหนึ่งในสาเหตุ
ของความขัดแย้งที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองสหรัฐ แต่ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด และไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่สุดด้วยซํ้า
แต่สาเหตุหลักที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา
คือความขัดแย้งเกี่ยวกับอธิปไตยของมลรัฐและอำนาจของรัฐบาลกลาง
เมื่อตกลงกันไม่ได้ พูดกันไม่รู้เรื่องสักที..ก็ต้องรบกัน
แม้ฝ่ายเหนือ..หรือรัฐบาลกลางสหรัฐจะชนะสงคราม
แต่ฝ่ายใต้ก็ชนะในเรื่องหลักการ เพราะรัฐบาลกลางให้การยอมรับในอธิปไตยของมลรัฐ และ/หรืออธิปไตยของ
ปวงชน ว่าคืออำนาจสูงสุดของประเทศ – ส่วนการที่รัฐบาลกลางประกาศเลิกทาสในระหว่างสงครามกลางเมือง
ก็เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่สงคราม และเป็นการสกัดกั้น..มิให้อังกฤษเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายใต้
สงครามกลางเมืองเป็นโศกนาฏกรรมของอเมริกา สร้างความหายนะทางเศรษฐกิจและชีวิตผู้คนมากมายมหาศาล
แต่สิ่งที่ได้คือประเทศชาติสามารถรวมกันเป็นหนึ่ง อธิปไตยเป็นของปวงชนอย่างสมบูรณ์.. หรืออย่างน้อยก็เป็น
ของปวงชนมากกว่าชาติอื่นในโลก แถมวัฒนธรรมการเลี้ยงทาสยังถูกกำจัดไปจากแผ่นดิน
ในสยามประเทศ การเลิกทาสเกิดขึ้นเพื่อล้มระบอบศักดินา
ไม่ใช่เพื่ออธิปไตยของปวงชน แต่เป็นการสร้างความมั่นคงแก่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
การเลิกระบบไพร่ คือการตัดกำลังไพร่พลของขุนนาง ซึ่งกำลังไพร่ในสังกัดขุนนางนี้เคยใช้ในการรัฐประหาร
ครั้งแล้ว ครั้งเล่า..นับแต่กรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา
(แนะนำให้อ่านหนังสือ "การเมืองเรื่องสถาปนาพระจอมเกล้าฯ" โดยเทอดพงศ์ คงจันทร์ สำนักพิมพ์มติชน -
ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งกล่าวถึงอำนาจของขุนนาง ที่มีบทบาทอิทธิพลต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างสูง -
สื่ออำมาตยาธิปไตยจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีในการศึกษาระบอบศักดินา)
ซึ่งแน่นอนว่า การเลิกทาสในประเทศสยามปราศจากการนองเลือด
เพราะไม่รู้จะไปนองเลือดกับใคร ในเมื่ออำนาจขุนนางเวลานั้นก็ไม่ได้มากมายเหมือนในสมัยรัชกาลก่อน
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวหักมุมแบบไทยๆ ที่เรามักได้ยินกันเสมอ คือ ทาสที่ปล่อยแล้วไม่ยอมไป
กลายเป็นว่าคนที่ไม่ยินดีกับการเลิกทาส ก็คือพวกทาสนั่นเอง
ศูนย์อำนาจของราชอาณาจักรอยู่ที่ภาคกลางและเมืองหลวงคือกรุงเทพฯ
จำนวนทาส..และลูกหลานทาสส่วนใหญ่จึงอาศัยในแถบภาคกลาง
ในขณะที่ภาคอีสานสมัยก่อนเป็นดินแดนห่างไกลจากศูนย์อำนาจ แทบจะเป็นดินแดนอิสระในชีวิตประจำวัน
ส่วนภาคเหนือนั้นก็เป็น "อีกอาณาจักรหนึ่ง" มาตลอด ถึงจะอิงอำนาจการเมืองของกรุงศรีอยุธยาบ้าง พม่าบ้าง
หรือกรุงเทพฯบ้าง แต่ในวิถีชีวิตปกติก็เป็นอิสระในตนเอง เป็นอาณาจักรล้านนา - และเพิ่งจะมารวมกับกรุงเทพฯ
ในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้เอง (ยังมีเบื้องหลังการรวมอาณาจักรที่ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้)
ส่วนประเด็นที่ว่าประชากรลูกหลานทาสที่อาศัยอยู่ในภาคกลางซึ่งเป็นศูนย์อำนาจนี้
ก็ขออนุญาต - จะยังไม่ขยายความในที่นี้
02
"สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" กลายเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ที่จะใช้กดหัวประชาชน
และเปิดโอกาสให้ชนชั้นปฏิกิริยาสามารถทำตัวเป็น "กาฝาก" ได้อย่างชอบธรรม
ในวัยเยาว์ เราเรียนรู้จากระบบการศึกษา ถึงคำว่าสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ ล้วนเป็นคำที่มีความหมายดีงาม
เป็นวัตถุประสงค์หลักในชีวิตและระบอบการบริหารบ้านเมือง แม้การศึกษาในวัยเยาว์นั้นจะเป็นการศึกษาภายใต้
ระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นแนวคิดฝังหัวที่เกิดจากการรัฐประหาร 2490 และ 2500 แต่จะอย่างไรก็ตาม คำว่า
"สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์"ก็ยังเป็นความหมายที่งดงาม ไม่ว่าในระบอบใด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราเห็นโลกมาหลายต่อหลายทศวรรษ
และยามบ้านเมืองวิกฤติจึงเรียนรู้ว่า "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" ก็เหมือน "เปลือกของความดีงาม"
อีกหลายต่อหลายอย่างในสังคมนี้ คือเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ที่จะไม่ทำอะไร หรือทำให้น้อยที่สุด
เป็นข้ออ้างเพื่อยอมก้มหัวอยู่ใต้ฝ่าตีนผู้มีอำนาจให้มากที่สุด
และไม่เสียความรู้สึกของตนเอง ..คือเป็นทาสที่ยังกร่างได้
แล้วรู้ทั้งรู้ว่า การรัฐประหารนั้นคือการเป็นโจรกบฏ
มีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 113 มีโทษถึงประหารชีวิต
แล้วคนในบ้านเมืองนี้ทำอะไร..เมื่อโจรปล้นเมือง
คนในบ้านเมืองนี้ก็ยังท่องคาถา "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" กับโจร
ขอความเมตตาจากโจร หวังความยุติธรรมจากโจร
ยอมรับกฎหมายโจรไปก่อน..แล้วหวังว่าโจรท่านคงยอมให้แก้ไขทีหลัง หวังให้โจรยึดมั่นในกติกาที่โจรเขียนขึ้นมา
หวังให้กรรมการที่โจรตั้งขึ้นจะมีความยุติธรรมต่อคนที่ถูกโจรปล้น ยอมก้มหน้าก้มตาปฏิบัติตามกระบวนการโจร -
แล้วบอกว่าเรายังอยู่ในระบอบประชาธิปไตย เมื่อโจรไม่เมตตา..ก็หันมาปลอบใจกันเองว่า "เอาเถอะ โจรมันแก่แล้ว
วันหนึ่งมันก็ต้องตาย" ก็หวังไว้ว่าลูกหลานโจร เมียโจรมันจะไม่เป็นโจรเหมือนพ่อแม่มัน ??? ก็เอาเถอะ
หากคำว่า "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ สันติภาพ"
คือการยอมให้สัตว์นรกกดขี่กดหัว รุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นทาสที่ดีและมีชีวิต
แล้วหลอกตัวเองว่าบ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตย
แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่การยอมก้มหัวใต้ฝ่าตีนชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่การยอมก้มหัวใต้ฝ่าตีนใครทั้งนั้น ประชาธิปไตยคืออธิปไตยเป็นของปวงชน
โดยยึดเอาเสียงส่วนใหญ่เป็นสำคัญ.. ขณะที่ไม่กดขี่ประชากรกลุ่มน้อย
ประชาธิปไตยต้องอยู่บนพื้นฐานความเสมอภาค เสรีภาพ ภาดรภาพ
นั่นคือ คนจน หรือ คนรวย .. คนทีการศึกษา หรือ ไม่มีการศึกษา ย่ิอมมีสิทธิทางการเมืองที่เท่าเทียมกัน
เมื่อไม่มีความเสมอภาค ย่อมไม่มีเสรีภาพ เมื่อไม่มีเสรีภาพ ย่อมไม่มีภาดรภาพ - ไม่มีสันติภาพ
ทุกคนอยากนอนอยู่บ้านสบายๆทั้งนั้น ไม่มีใครอยากเดือดร้อน แต่บางครั้ง ชีวิตก็ไม่ปล่อยทางเลือกแสนสุขให้
กับเราสักเท่าใด - ในปี พ.ศ. 2310 สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ประชากรสมัยนั้นก็มีทางเลือกว่าจะหลบอยู่ใน
กำแพงเมืองกับพระเจ้าเอกทัศ หรือจะออกไปเสี่ยงชะตากรรมกับพระยาตาก ..มุดหัวอยู่ภายในกำแพงเมือง
กรุงศรีอยุธยาก็ดูเหมือนจะปลอดภัย นอนเฉยๆ ไม่ต้องสู้รบกับใคร สงบ สันติ และเป็นกลาง ยามเมื่อพม่าพังกำแพง
เมืองเข้ามา คนเหล่านี้ก็ไปเป็นทาสพม่า ถูกกวาดต้อนไปอยู่พม่าจนทุกวันนี้ ก็เป็นทาสที่สุขสบายดี - แต่ถ้าเลือกที่
จะร่วมทางกับกองทัพพระยาตาก โอกาสตายก็มีสูง .. แต่จะอยู่อย่างทาส หรือจะตายอย่างเสรีชน
คำตอบในหัวใจ สุดแต่ใครเกิดมาเพื่อเป็นทาส
หรือใครเกิดมาเพื่อเป็นไท ..อย่างที่บอก มันต่างกันที่กระบวนคิด
Sunday, January 31, 2010
Thursday, January 28, 2010
เงื่อนไขและเวลาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
from คอลัมน์ "ผมเป็นข้าราษฎร" นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 35
28 มกราคม 2553 / January 28. 2010
บทความ : เงื่อนไขและเวลาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
article / บทความโดย : จักรภพ เพ็ญแข
แล้ววลี “กงล้อแห่งประวัติศาสตร์”
ก็มีน้ำหนักขึ้นในทันทีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย
ประกาศคำว่า “รัฐบาลพลัดถิ่น” ออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ ระหว่างการปราศรัยผ่านดาวเทียมกับมวลมหาประชาชน
ที่กำลังชุมนุมทวงแผ่นดินคืนจากอำมาตย์ ณ เขาสอยดาว จันทบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2553
ผมทราบว่าหลายท่านน้ำตาไหล และหลายท่านหายใจอย่างโล่งอกว่า
นี่แหละเกียรติภูมิที่ควรเป็นของขบวนการประชาธิปไตย
ตัวผมนั่งอยู่อีกมุมโลกหนึ่ง รู้สึกประหนึ่งว่าเราชนะแล้วด้วยซ้ำไป
รัฐบาลพลัดถิ่นคืออะไร ทำไมสำคัญถึงขนาดนี้
เราจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้จริงหรือ ทั่วโลกเขาจะเอากับเราหรือ ?
ผมได้ยินคำถามดังออกมาจากหัวใจของพวกเราที่ร่วมต่อสู้
และปรารถนาจะเห็นชัยชนะอย่างไม่มีเงื่อนไขของฝ่ายประชาชน วันนี้ต้องตอบคำถามเหล่านั้นให้ชัดเจน
หรืออย่างน้อยต้องลดความสงสัยลงบ้าง
รัฐบาล พลัดถิ่น หรือ government-in-exile เป็นวิถีทางต่อสู้อย่างหนึ่งของขบวนการการเมืองในแต่ละประเทศ
เมื่อการต่อสู้ในประเทศตนไม่อาจเป็นไปได้แล้ว โลกหรือประชาคมระหว่างประเทศ โดยองค์การสหประชาชาติ
คือผู้ประกันสิทธิตามธรรมชาติในข้อนี้ของขบวนการการ เมืองใดๆที่ได้รับการสนับสนุนอย่างบริสุทธิ์ใจจาก
มวลชนจำนวนมากในประเทศนั้นๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นกลไกการต่อสู้ที่โลกยอมรับ และถือเป็นการรณรงค์ทาง
การเมืองโดยสันติวิธีอย่างหนึ่ง
รัฐบาลพลัดถิ่นจึงไม่ใช่รัฐบาลเถื่อน
มิหนำซ้ำ หากรัฐบาลนั้นๆ ตั้งขึ้นบนความยอมรับนับถือของประชาคมระหว่างประเทศ และได้รับการสนับสนุน
อย่างเพียงพอในประเทศของตนแล้ว ยังเกิดผลอีกอย่างหนึ่งคือทำให้รัฐบาลที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นรัฐบาลฝ่ายตรงข้าม
ในขณะนั้น หมดสิ้นความชอบธรรมลงไปทันที มหาประชาชนจะฉุดกระชากลากลงมาจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และ
คณะรัฐมนตรีเสียเมื่อไหร่ก็ได้
ครับ ถ้า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมาได้สำเร็จ
รัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลสุรยุทธ์ รัฐบาลปีย์ รัฐบาลเปรม และรัฐบาลเขายายเที่ยงบวกกับตาเที่ยง หรือรัฐบาลเวรกรรม
ใดๆ ที่มาจากการปล้นอำนาจรัฐจากประชาชนด้วยกำลังกองทัพ ตุลาการวิบัติ หรือองค์กรอิสระ (แต่เป็นทาสอำมาตย์)
จะกลายสภาพเป็นรัฐบาลเถื่อนในทันที
การจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นคำประกาศว่าใครคือรัฐบาลตัวจริง
รัฐบาลตัวจริงหมายถึงรัฐบาลที่มีความชอบธรรมอย่างแท้จริง และรัฐบาลมีฐานประชาชนหนุนอย่างเพียงพอ
ไม่ใช่รัฐบาลที่มีคนเรียกฝ่ายตุลาการออกมาวางแผนปล้นให้ ไม่ใช่รัฐบาลที่คอยแก้ไขปัญหาปากคอกอย่างเพลี้ย
สีน้ำตาล หรือทะเลกัดเซาะชายฝั่งที่ปักษ์ใต้ โดยไม่ได้แก้ไขปัญหาจากเหตุปัจจัยหลัก เพราะทำเพียงเพื่อจะหาทาง
ผันงบประมาณออกมาใช้กันให้อ้วนท้วนไปตามๆ กันเท่านั้น
ที่มาของรัฐบาลก็ต้องชอบธรรม การทำงานในขณะเป็นรัฐบาลหรือขณะที่ถืออำนาจรัฐอยู่ก็ต้องชอบธรรม
เรียกว่าชอบธรรมตั้งแต่หัวจรดเท้าและยาวนานตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง
รัฐบาล เฮียดึงหรือเจ๊ดันอย่างรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ และนายอภิสิทธิ์จึงขาดชอบธรรมอย่างเด็ดขาด
จะดูที่มาของรัฐบาลหรือวิธีการใช้อำนาจรัฐ ก็ขาดด้วนหมด ไม่ต่างอะไรจากคนเป็นสมีปาราชิก แต่ไปหลอก
สาธุชนว่าเป็นพระ ให้ศีลให้พรคนจนยุ่งไปหมด เผลอๆ ยังหน้าด้านไปทำหน้าที่อุปัชฌาย์ หรือเป็นพระพี่เลี้ยงนวกะ
สร้างพระใหม่อีก ต่างหาก
แล้วจะตั้งได้หรือ รัฐบาลพลัดถิ่นที่ว่านี้ ?
เจ้าของประเทศไทยคือประชาชนส่วนมากอาจจะยังไม่ทราบว่า
วันที่เราถูกปล้นอำนาจรัฐในวันอังคารที่ 19 กันยายน 2549 เราเกือบจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นกันแล้ว
ในวันนั้นนายกรัฐมนตรีของเราก็อยู่ที่องค์การสหประชาชาติ พร้อมกับผู้นำทั่วโลกอีกมากมาย ต่างฝ่ายต่างมาร่วม
ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติประจำปีกันในโอกาสนั้นทั้งสิ้น
เลขาธิการสหประชาชาติในเวลานั้นคือนายโคฟี่ อันนัน ก็ย้ำคำเชิญให้นายกรัฐมนตรีทักษิณขึ้นกล่าวปราศรัยตาม
กำหนดการเดิม โดยไม่คำนึงถึงการรัฐประหาร เป็นการประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดว่า องค์การสหประชาชาติยอมรับ
รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไม่รับรัฐบาลที่ซากเดนศักดินาร่วมกันตั้งขึ้นในเมืองไทย
เราสามารถตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้อย่างง่ายดายราวดีดนิ้ว
เหตุที่ไม่ได้ตั้ง เพราะเจตนาในขณะนั้นคือความสมานฉันท์
ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ในขณะที่ “สติ” ยังตามไม่ทัน “จิต” ไม่รู้ว่าเขาพูดคำว่าสมานฉันท์แบบย้ำๆ ยานๆ
เพื่อให้มีเวลาบรรจุกระสุนปืน หรือไม่ก็มีเวลาผสมยาพิษให้เต็มแก้ว
เรียนปริญญาตรีก็ใช้ เวลาในราว ๔ ปี ปีแรกอาจไร้เดียงสา ทำตัวเหมือนอยู่ชั้นมัธยม ปีสองและปีสามแก่กล้าขึ้นบ้าง
ทั้งในทางปัญญาและอารมณ์ จนถึงปีสี่ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนจบ ถึงขั้นจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ก็ถือว่าประเสริฐ ไม่มี
อะไรสูญเปล่า
สามปีที่ผ่านมาคือช่วงเวลาบ่มเพาะ ทั้งความพร้อมเพรียง และความมั่นใจในตัวเองของขบวนการประชาธิปไตย
เรารักกัน เราทะเลาะกัน เราเห็นด้วย เราเห็นแย้ง เราขาดความเชื่อมั่น เราเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา ในที่สุดเราก็
เดินมาถึงยุทธศาสตร์เดียวกัน
ถึงวันนี้ใครที่ถือยุทธศาสตร์คนละเล่มก็ถือว่าอยู่กันคนละสนามแล้ว
ถ้าสามปียังคิดไม่ได้ ก็คงไม่ต้องคิด เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะเป็นไพร่และเป็นทาสต่อไป
เหมือนนกติดยาในกรงเหล็กที่เขาขังไว้ขายคนชอบปล่อยนก
แต่เราจะไม่ยอมให้คนเหล่านั้นเข้ามาทำลายยุทธศาสตร์หลักของเราเป็นอันขาด
รัฐบาลพลัดถิ่นเป็นสิ่งที่ทำได้ และต้องทำเมื่อเกิดเงื่อนไขที่เหมาะสมในทางการเมือง
การยึดอำนาจรัฐประหารเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น
ตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งแปลว่าสังคมขาดความยุติธรรมอย่างร้ายแรง
มนุษย์ทุกคนมิได้เสมอภาคกันตามกฎหมายอย่างที่เขาโฆษณาชวนเชื่อ ก็เป็นเหตุได้
การใช้ความรุนแรงกับมวลมหาประชาชนที่ใช้สิทธิ์ในการประท้วงอย่างสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ ก็เป็นเหตุได้
การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง อย่างคำกล่าวของผู้บริหารองค์การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
หรือ Human Rights Watch ที่ว่า “...ถึงบางครั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะกล่าวถึง
สิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่การกระทำของนายอภิสิทธิ์กลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม รัฐบาล
ชุดนี้ได้บั่นทอนการเคารพสิทธิมนุษยชนและนิติธรรมในประเทศไทยอย่างต่อ เนื่อง..” หรือ
“...ประชาธิปไตยในประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการบังคับใช้
กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ บรรยากาศแห่งความ
หวาดกลัวได้ปกคลุมสังคมอินเตอร์เน็ต เนื่องจากการที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เพิ่มระดับการจำกัดเสรีภาพ
ในการแสดงความคิดเห็น...”
สภาพความพิการล่าสุดของเมืองไทยภายใต้อำมาตย์อย่างนี้ ก็เป็นเหตุได้
รัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นสมบัติสาธารณะ และเป็นกลไกของเราในฝ่ายประชาธิปไตย
ไม่ต้องไปฟังความเห็นของเหล่าขี้ข้าอำมาตย์ในรัฐบาลหรอกครับ เพราะเราไม่ได้ต้องพึ่งอะไรเขาในการจัดตั้ง
ถึงเวลาอันเหมาะสม เราตั้งได้แน่ครับ.
28 มกราคม 2553 / January 28. 2010
บทความ : เงื่อนไขและเวลาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
article / บทความโดย : จักรภพ เพ็ญแข
แล้ววลี “กงล้อแห่งประวัติศาสตร์”
ก็มีน้ำหนักขึ้นในทันทีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย
ประกาศคำว่า “รัฐบาลพลัดถิ่น” ออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ ระหว่างการปราศรัยผ่านดาวเทียมกับมวลมหาประชาชน
ที่กำลังชุมนุมทวงแผ่นดินคืนจากอำมาตย์ ณ เขาสอยดาว จันทบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2553
ผมทราบว่าหลายท่านน้ำตาไหล และหลายท่านหายใจอย่างโล่งอกว่า
นี่แหละเกียรติภูมิที่ควรเป็นของขบวนการประชาธิปไตย
ตัวผมนั่งอยู่อีกมุมโลกหนึ่ง รู้สึกประหนึ่งว่าเราชนะแล้วด้วยซ้ำไป
รัฐบาลพลัดถิ่นคืออะไร ทำไมสำคัญถึงขนาดนี้
เราจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้จริงหรือ ทั่วโลกเขาจะเอากับเราหรือ ?
ผมได้ยินคำถามดังออกมาจากหัวใจของพวกเราที่ร่วมต่อสู้
และปรารถนาจะเห็นชัยชนะอย่างไม่มีเงื่อนไขของฝ่ายประชาชน วันนี้ต้องตอบคำถามเหล่านั้นให้ชัดเจน
หรืออย่างน้อยต้องลดความสงสัยลงบ้าง
รัฐบาล พลัดถิ่น หรือ government-in-exile เป็นวิถีทางต่อสู้อย่างหนึ่งของขบวนการการเมืองในแต่ละประเทศ
เมื่อการต่อสู้ในประเทศตนไม่อาจเป็นไปได้แล้ว โลกหรือประชาคมระหว่างประเทศ โดยองค์การสหประชาชาติ
คือผู้ประกันสิทธิตามธรรมชาติในข้อนี้ของขบวนการการ เมืองใดๆที่ได้รับการสนับสนุนอย่างบริสุทธิ์ใจจาก
มวลชนจำนวนมากในประเทศนั้นๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นกลไกการต่อสู้ที่โลกยอมรับ และถือเป็นการรณรงค์ทาง
การเมืองโดยสันติวิธีอย่างหนึ่ง
รัฐบาลพลัดถิ่นจึงไม่ใช่รัฐบาลเถื่อน
มิหนำซ้ำ หากรัฐบาลนั้นๆ ตั้งขึ้นบนความยอมรับนับถือของประชาคมระหว่างประเทศ และได้รับการสนับสนุน
อย่างเพียงพอในประเทศของตนแล้ว ยังเกิดผลอีกอย่างหนึ่งคือทำให้รัฐบาลที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นรัฐบาลฝ่ายตรงข้าม
ในขณะนั้น หมดสิ้นความชอบธรรมลงไปทันที มหาประชาชนจะฉุดกระชากลากลงมาจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และ
คณะรัฐมนตรีเสียเมื่อไหร่ก็ได้
ครับ ถ้า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมาได้สำเร็จ
รัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลสุรยุทธ์ รัฐบาลปีย์ รัฐบาลเปรม และรัฐบาลเขายายเที่ยงบวกกับตาเที่ยง หรือรัฐบาลเวรกรรม
ใดๆ ที่มาจากการปล้นอำนาจรัฐจากประชาชนด้วยกำลังกองทัพ ตุลาการวิบัติ หรือองค์กรอิสระ (แต่เป็นทาสอำมาตย์)
จะกลายสภาพเป็นรัฐบาลเถื่อนในทันที
การจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นคำประกาศว่าใครคือรัฐบาลตัวจริง
รัฐบาลตัวจริงหมายถึงรัฐบาลที่มีความชอบธรรมอย่างแท้จริง และรัฐบาลมีฐานประชาชนหนุนอย่างเพียงพอ
ไม่ใช่รัฐบาลที่มีคนเรียกฝ่ายตุลาการออกมาวางแผนปล้นให้ ไม่ใช่รัฐบาลที่คอยแก้ไขปัญหาปากคอกอย่างเพลี้ย
สีน้ำตาล หรือทะเลกัดเซาะชายฝั่งที่ปักษ์ใต้ โดยไม่ได้แก้ไขปัญหาจากเหตุปัจจัยหลัก เพราะทำเพียงเพื่อจะหาทาง
ผันงบประมาณออกมาใช้กันให้อ้วนท้วนไปตามๆ กันเท่านั้น
ที่มาของรัฐบาลก็ต้องชอบธรรม การทำงานในขณะเป็นรัฐบาลหรือขณะที่ถืออำนาจรัฐอยู่ก็ต้องชอบธรรม
เรียกว่าชอบธรรมตั้งแต่หัวจรดเท้าและยาวนานตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง
รัฐบาล เฮียดึงหรือเจ๊ดันอย่างรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ และนายอภิสิทธิ์จึงขาดชอบธรรมอย่างเด็ดขาด
จะดูที่มาของรัฐบาลหรือวิธีการใช้อำนาจรัฐ ก็ขาดด้วนหมด ไม่ต่างอะไรจากคนเป็นสมีปาราชิก แต่ไปหลอก
สาธุชนว่าเป็นพระ ให้ศีลให้พรคนจนยุ่งไปหมด เผลอๆ ยังหน้าด้านไปทำหน้าที่อุปัชฌาย์ หรือเป็นพระพี่เลี้ยงนวกะ
สร้างพระใหม่อีก ต่างหาก
แล้วจะตั้งได้หรือ รัฐบาลพลัดถิ่นที่ว่านี้ ?
เจ้าของประเทศไทยคือประชาชนส่วนมากอาจจะยังไม่ทราบว่า
วันที่เราถูกปล้นอำนาจรัฐในวันอังคารที่ 19 กันยายน 2549 เราเกือบจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นกันแล้ว
ในวันนั้นนายกรัฐมนตรีของเราก็อยู่ที่องค์การสหประชาชาติ พร้อมกับผู้นำทั่วโลกอีกมากมาย ต่างฝ่ายต่างมาร่วม
ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติประจำปีกันในโอกาสนั้นทั้งสิ้น
เลขาธิการสหประชาชาติในเวลานั้นคือนายโคฟี่ อันนัน ก็ย้ำคำเชิญให้นายกรัฐมนตรีทักษิณขึ้นกล่าวปราศรัยตาม
กำหนดการเดิม โดยไม่คำนึงถึงการรัฐประหาร เป็นการประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดว่า องค์การสหประชาชาติยอมรับ
รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไม่รับรัฐบาลที่ซากเดนศักดินาร่วมกันตั้งขึ้นในเมืองไทย
เราสามารถตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้อย่างง่ายดายราวดีดนิ้ว
เหตุที่ไม่ได้ตั้ง เพราะเจตนาในขณะนั้นคือความสมานฉันท์
ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ในขณะที่ “สติ” ยังตามไม่ทัน “จิต” ไม่รู้ว่าเขาพูดคำว่าสมานฉันท์แบบย้ำๆ ยานๆ
เพื่อให้มีเวลาบรรจุกระสุนปืน หรือไม่ก็มีเวลาผสมยาพิษให้เต็มแก้ว
เรียนปริญญาตรีก็ใช้ เวลาในราว ๔ ปี ปีแรกอาจไร้เดียงสา ทำตัวเหมือนอยู่ชั้นมัธยม ปีสองและปีสามแก่กล้าขึ้นบ้าง
ทั้งในทางปัญญาและอารมณ์ จนถึงปีสี่ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนจบ ถึงขั้นจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ก็ถือว่าประเสริฐ ไม่มี
อะไรสูญเปล่า
สามปีที่ผ่านมาคือช่วงเวลาบ่มเพาะ ทั้งความพร้อมเพรียง และความมั่นใจในตัวเองของขบวนการประชาธิปไตย
เรารักกัน เราทะเลาะกัน เราเห็นด้วย เราเห็นแย้ง เราขาดความเชื่อมั่น เราเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา ในที่สุดเราก็
เดินมาถึงยุทธศาสตร์เดียวกัน
ถึงวันนี้ใครที่ถือยุทธศาสตร์คนละเล่มก็ถือว่าอยู่กันคนละสนามแล้ว
ถ้าสามปียังคิดไม่ได้ ก็คงไม่ต้องคิด เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะเป็นไพร่และเป็นทาสต่อไป
เหมือนนกติดยาในกรงเหล็กที่เขาขังไว้ขายคนชอบปล่อยนก
แต่เราจะไม่ยอมให้คนเหล่านั้นเข้ามาทำลายยุทธศาสตร์หลักของเราเป็นอันขาด
รัฐบาลพลัดถิ่นเป็นสิ่งที่ทำได้ และต้องทำเมื่อเกิดเงื่อนไขที่เหมาะสมในทางการเมือง
การยึดอำนาจรัฐประหารเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น
ตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งแปลว่าสังคมขาดความยุติธรรมอย่างร้ายแรง
มนุษย์ทุกคนมิได้เสมอภาคกันตามกฎหมายอย่างที่เขาโฆษณาชวนเชื่อ ก็เป็นเหตุได้
การใช้ความรุนแรงกับมวลมหาประชาชนที่ใช้สิทธิ์ในการประท้วงอย่างสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ ก็เป็นเหตุได้
การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง อย่างคำกล่าวของผู้บริหารองค์การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
หรือ Human Rights Watch ที่ว่า “...ถึงบางครั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะกล่าวถึง
สิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่การกระทำของนายอภิสิทธิ์กลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม รัฐบาล
ชุดนี้ได้บั่นทอนการเคารพสิทธิมนุษยชนและนิติธรรมในประเทศไทยอย่างต่อ เนื่อง..” หรือ
“...ประชาธิปไตยในประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการบังคับใช้
กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ บรรยากาศแห่งความ
หวาดกลัวได้ปกคลุมสังคมอินเตอร์เน็ต เนื่องจากการที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เพิ่มระดับการจำกัดเสรีภาพ
ในการแสดงความคิดเห็น...”
สภาพความพิการล่าสุดของเมืองไทยภายใต้อำมาตย์อย่างนี้ ก็เป็นเหตุได้
รัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นสมบัติสาธารณะ และเป็นกลไกของเราในฝ่ายประชาธิปไตย
ไม่ต้องไปฟังความเห็นของเหล่าขี้ข้าอำมาตย์ในรัฐบาลหรอกครับ เพราะเราไม่ได้ต้องพึ่งอะไรเขาในการจัดตั้ง
ถึงเวลาอันเหมาะสม เราตั้งได้แน่ครับ.
Sunday, January 24, 2010
อำมาตย์เนรคุณ
คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 34
บทความ "อำมาตย์เนรคุณ" / มกราคม 2553 / January 2010
article / บทความโดย : จักรภพ เพ็ญแข
การเชือด พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ โดยย้อนความผิดที่ได้อุ้มฆ่าชาวซาอุดิอาระเบีย
เมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นตัวอย่างที่ดีของวิถีโจรในระบอบอำมาตยาธิปไตย
จับขึ้นมาขึงพืด บูชายัญ เป็นแพะถูกเชือดเพื่อไม่ให้ถึงตัวมหาอำมาตย์ หรือทำให้ระบอบอำมาตย์เสียหาย
ทั้งที่ใช้วิชาโจรและสันดานดิบของฆาตกรช่วยทำงานให้กับอำมาตย์มาไม่น้อยกว่าลูกหาบคนอื่นๆ กระเทือนใจอย่าง
แสนสาหัสไปจนถึงคนเป็นพี่อย่าง พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผู้ออกโรงมาตลอดจนบัดนี้ ก็เพราะต้องการช่วยเหลือ
สมคิดให้พ้นภัยจากคดีฆ่าชาวซาอุฯ
พอสุดท้ายพบว่าตัวเองและน้องชายเป็นเพียงแพะบูชายัญของมหาอำมาตย์
ป่านนี้ก็คงนอนก่ายหน้าผากรำพึงว่าไม่น่าเลย ทำลายโคตรตระกูลบุญถนอมเพราะไปเชื่อว่าอำมาตย์เขาจะจริงใจด้วย
เรื่องนี้เป็นอนุสติล่าสุดของคนที่ยึดมั่นถือมั่นในระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย และมีปกติวิสัยวิ่งไปกราบตีนเขา
ถ้าอ่านประวัติศาสตร์กันสักเล็กน้อย
จะรู้ทันทีว่าการหลอกให้คนมาเป็นพวก และใช้งานเขาจนน้ำแห้งไปทั้งตัว
เหลือเพียงกากหรือซากก่อนจะโยนทิ้งอย่างไม่แยแส เป็นธรรมชาติของ
มหาอำมาตย์ไทยที่ได้ทำต่อเนื่องมานานแล้วจนเป็นมากกว่านิสัย
ถ้าไม่ใช่สันดอนก็ต้องเป็นสันดานไปแล้ว
คนในวัยรุ่นที่มีจิตใจปกติธรรมดา ถ้ากระทำความผิดขนาดทำให้คนตายโหงไปต่อหน้า เมื่อได้รับความช่วยเหลือจาก
คนที่รักเขาและผูกพันกับเขาจนถึงขั้นเข้ารับความผิดแทน หรือช่วยปกปิดความผิดจนมิดชิด มักจะสำนึกบุญคุณของ
คนๆนั้น หรือคนเหล่านั้นไปจนตาย หรืออาจใช้หนี้กรรมข้ามชาติข้ามภพเลยด้วยซ้ำ
แต่ถ้ามีจิตใจชนิดผิดปกติ นอกจากไม่สำนึกในบุญคุณแล้ว ยังจับไปฆ่าจนตายเพื่อกำจัดพยานรู้เห็น
ยึดเอาความอยู่รอดของตัวเป็นที่ตั้ง ทำลายทั้งชีวิตและจิตใจของผู้คนเหล่านั้น ตลอดจนครอบครัวของเขา ขนาดไหน
หรือกี่ชั่วอายุคนก็ช่าง คนบางคนเห็นแก่ตัวชนิดข้นคลั่ก มองทะลุไปจนถึงหัวใจสีดำและความโหดเหี้ยมเลือดเย็น
แววตาที่เรียบเฉยไร้ความรู้สึกรู้สมที่เพียงเห็นก็ขนลุก
เมื่อเวลาผ่านไป เขี้ยวยาวขึ้น ก็รู้จักเอาใจคนหนึ่งไปฆ่าอีกคนหนึ่งในทางการเมือง
ดร.ปรีดี พนมยงค์ เตียง ศิริขันธ์ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ ทองอินทร์ ภูริพัฒน์
ถวิล อุดล จำลอง ดาวเรือง จอมพลแปลก พิบูลสงคราม จิตร ภูมิศักดิ์
กุหลาบ สายประดิษฐ์ ถนอม กิตติขจร - ประพาส จารุเสถียร กฤษณ์ สีวะรา
เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ประจักษ์ สว่างจิตร ณรงค์เดช นันทโพธิเดช ฯลฯ
สูญเสียชีวิตหรือโอกาสที่จะได้รับใช้บ้านเมืองเช่นนี้ทั้งนั้น
นี่ยกเฉพาะผู้มีชื่อเสียงเท่านั้น คนทั่วไปที่ไม่โด่งดังและต้องล้มหายตายจากไปด้วยแรงตัณหา
(ความกระเสือกกระสนเอาตัวรอด) ของมหาอำมาตย์ ยังมีอีกมากมายเหลือคณานับ
ก่อนกรณีของ สมคิด บุญถนอม ก็มีเรื่องของ สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งรับใช้เขาด้วยการใช้สติปัญญาที่มีมาตลอดชีวิต
และไปลากเครือข่ายทั้งหมดที่ตัวสร้างไว้มารองรับ จนประสบความสำเร็จในการทำลายระบอบประชาธิปไตยในระยะ
ตั้งไข่ได้ เมื่อถึงคราววางบิล และวางโฉ่งฉ่างแบบสนธิชอบทำ เขาก็พร้อมลืมผลงานเหล่านั้นและส่งลูกตะกั่วมาฝัง
ไว้ในหัวให้แทน
แต่กรณีของคุณสนธิน่าเห็นใจน้อยกว่า เพราะคุณสนธิทำโดยคาดคะเนผลประโยชน์ของตนแล้วอย่างเต็มที่ ทำ
สัญญากับปิศาจ แล้วโดนปิศาจหักหลังเข้าให้ จะไปร้องแรกแหกกระเชอกับใครได้เล่า นรกขุมนี้เป็นของมหาอำมาตย์
อสุรกายน้อยใหญ่เป็นของเขาทั้งสิ้น ถึงคุณสนธิจะเลี้ยงตำรวจ ทหาร ข้าราชการ นักการเมือง มาขนาดไหน ถึงเวลาที่
อำมาตย์เขาเรียกตรวจแถว คนที่คุณสนธิเผลอคิดว่าเป็นเด็กของตัวมักเป็นคนแรกๆ ที่อาสาเข้ามาเด็ดชีพของคุณสนธิ
เสียเอง
คติของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า ระบอบเผด็จการมันก็คือระบอบเผด็จการวันยังค่ำครับ
เราอาจเผลอไผลคิดไปว่า เผด็จการทหารหนักกว่าพลเรือนเพราะมีกำลังสรรพาวุธ หรือเผด็จการพลเรือนโลกแคบ
อย่างสมัยองคมนตรีธานินทร์ กรัยวิเชียรน่าจะอันตรายยิ่งกว่า แต่ในที่สุดแล้วเผด็จการต่างมีธรรมชาติ (สันดาน) อย่าง
เดียวกันหมด ระบอบเผด็จการต้องมีผู้เผด็จการ ซึ่งอาจใหญ่โตอยู่คนเดียว ไม่แบ่งลูกแบ่งเมีย ไม่มีใครร่วมใช้อำนาจ
ด้วย (ตามแนว The Prince ของนิโคโล แมคเคียเวลลี่) หรือใช้อำนาจกันเป็นหมู่คณะ (power-sharing) แต่ก็ต้องมี
ศูนย์อำนาจที่จะ “ฟันธง” ได้เมื่อจำเป็น
ตรงศูนย์อำนาจนี่ล่ะ ที่คนจะวิ่งกันเข้าไปเอาอกเอาใจ เสนอตัวทำงาน และอาสาประสานประโยชน์ให้กับผู้มีอำนาจ
ไม่ต่างนักกับวิถีของรัฐบาลประชาธิปไตย
แต่ระบอบเผด็จการจบที่ตัวผู้เผด็จการ ไม่มีใครต่อรองได้อีก
แต่ระบอบประชาธิปไตยไปจบลงที่ประชาชนส่วนใหญ่
เพราะโครงสร้างบังคับให้ต้องคิดถึงผลประโยชน์ของคนทั้งหลายก่อนตัวเองและพรรคพวก
ถ่วงน้ำหนักอย่างเหมาะสมระหว่างคนมี (the haves) และคนไม่มี (the havenots) ในสังคมนั้น
ผู้เผด็จการก็จะเลือกและทดลองใช้คน ด้วยความที่มีตัวเลือกมากก็เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย
โดยเฉพาะงานสกปรกและงานใต้ดินต่างๆ ที่ต้องใช้คนที่มีความสามารถอำพรางตัวเองสูง อย่างที่เกิดมาตลอดใน
ช่วงสามปีเศษที่ผ่านมา และเมื่องานจบแล้ว คนเหล่านั้นต้องการรางวัลตอบแทนเกินกว่าที่จะให้ได้ ก็จะเรียก
คนใหม่มาฆ่าคนเก่า หรือทำลายทิ้งอย่างเลือดเย็น เหมือนกับการฆ่าหมู่ยิวสมัยนาซี
ใครก็ตามที่มีความต้องการแรงกล้า ที่จะได้อำนาจรัฐ ซึ่งเป็นสมบัติสาธารณะของประชาชน ไม่มีทางลัดด้วยการ
สถาปนาตนเองเป็นผู้เผด็จการ หรือเกาะหางเผด็จการไปสู่อำนาจรัฐ ต้องนอบน้อมถ่อมตัวและเข้าหามวลชน
ให้มวลชนตัดสินว่าตนสมควรจะได้รับโอกาสหรือไม่ จึงจะได้มาซึ่งอำนาจและใช้อำนาจนั้นได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ต้อง
ใช้วิธีมืดดำอย่างเผด็จการในการประคองตัว หรือต้องคิดกำจัดคู่แข่งทางการเมือง
ผมรู้มาว่ามหาอำมาตย์ไทยจะกำจัดลูกหาบของตนอีกหลายคน
เพราะความดื้อรั้นของตัวเองได้นำบ้านเมืองเข้าสู่ทางตัน จนลูกหาบทั้งหลายเริ่มละล้าละลัง
จะทำงานต่อก็ไม่กล้า จะย้อนไปล้างความผิดที่กระทำมาตลอดช่วงปีที่ผ่านมานี้ก็ทำไม่ได้
จึงเริ่มคิดที่จะโดดเรือหนี เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด แต่ก็สายเกินไปทั้งสำหรับลูกน้องและเจ้านาย
คนบางคนจึงต้องถูกทำลายทิ้งเพราะเป็นพิษ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความเนรคุณคือลักษณะประจำของเผด็จการทุกชนิด รวมทั้งไม้ตายซากในเมืองไทยด้วย.
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 34
บทความ "อำมาตย์เนรคุณ" / มกราคม 2553 / January 2010
article / บทความโดย : จักรภพ เพ็ญแข
การเชือด พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ โดยย้อนความผิดที่ได้อุ้มฆ่าชาวซาอุดิอาระเบีย
เมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นตัวอย่างที่ดีของวิถีโจรในระบอบอำมาตยาธิปไตย
จับขึ้นมาขึงพืด บูชายัญ เป็นแพะถูกเชือดเพื่อไม่ให้ถึงตัวมหาอำมาตย์ หรือทำให้ระบอบอำมาตย์เสียหาย
ทั้งที่ใช้วิชาโจรและสันดานดิบของฆาตกรช่วยทำงานให้กับอำมาตย์มาไม่น้อยกว่าลูกหาบคนอื่นๆ กระเทือนใจอย่าง
แสนสาหัสไปจนถึงคนเป็นพี่อย่าง พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผู้ออกโรงมาตลอดจนบัดนี้ ก็เพราะต้องการช่วยเหลือ
สมคิดให้พ้นภัยจากคดีฆ่าชาวซาอุฯ
พอสุดท้ายพบว่าตัวเองและน้องชายเป็นเพียงแพะบูชายัญของมหาอำมาตย์
ป่านนี้ก็คงนอนก่ายหน้าผากรำพึงว่าไม่น่าเลย ทำลายโคตรตระกูลบุญถนอมเพราะไปเชื่อว่าอำมาตย์เขาจะจริงใจด้วย
เรื่องนี้เป็นอนุสติล่าสุดของคนที่ยึดมั่นถือมั่นในระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย และมีปกติวิสัยวิ่งไปกราบตีนเขา
ถ้าอ่านประวัติศาสตร์กันสักเล็กน้อย
จะรู้ทันทีว่าการหลอกให้คนมาเป็นพวก และใช้งานเขาจนน้ำแห้งไปทั้งตัว
เหลือเพียงกากหรือซากก่อนจะโยนทิ้งอย่างไม่แยแส เป็นธรรมชาติของ
มหาอำมาตย์ไทยที่ได้ทำต่อเนื่องมานานแล้วจนเป็นมากกว่านิสัย
ถ้าไม่ใช่สันดอนก็ต้องเป็นสันดานไปแล้ว
คนในวัยรุ่นที่มีจิตใจปกติธรรมดา ถ้ากระทำความผิดขนาดทำให้คนตายโหงไปต่อหน้า เมื่อได้รับความช่วยเหลือจาก
คนที่รักเขาและผูกพันกับเขาจนถึงขั้นเข้ารับความผิดแทน หรือช่วยปกปิดความผิดจนมิดชิด มักจะสำนึกบุญคุณของ
คนๆนั้น หรือคนเหล่านั้นไปจนตาย หรืออาจใช้หนี้กรรมข้ามชาติข้ามภพเลยด้วยซ้ำ
แต่ถ้ามีจิตใจชนิดผิดปกติ นอกจากไม่สำนึกในบุญคุณแล้ว ยังจับไปฆ่าจนตายเพื่อกำจัดพยานรู้เห็น
ยึดเอาความอยู่รอดของตัวเป็นที่ตั้ง ทำลายทั้งชีวิตและจิตใจของผู้คนเหล่านั้น ตลอดจนครอบครัวของเขา ขนาดไหน
หรือกี่ชั่วอายุคนก็ช่าง คนบางคนเห็นแก่ตัวชนิดข้นคลั่ก มองทะลุไปจนถึงหัวใจสีดำและความโหดเหี้ยมเลือดเย็น
แววตาที่เรียบเฉยไร้ความรู้สึกรู้สมที่เพียงเห็นก็ขนลุก
เมื่อเวลาผ่านไป เขี้ยวยาวขึ้น ก็รู้จักเอาใจคนหนึ่งไปฆ่าอีกคนหนึ่งในทางการเมือง
ดร.ปรีดี พนมยงค์ เตียง ศิริขันธ์ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ ทองอินทร์ ภูริพัฒน์
ถวิล อุดล จำลอง ดาวเรือง จอมพลแปลก พิบูลสงคราม จิตร ภูมิศักดิ์
กุหลาบ สายประดิษฐ์ ถนอม กิตติขจร - ประพาส จารุเสถียร กฤษณ์ สีวะรา
เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ประจักษ์ สว่างจิตร ณรงค์เดช นันทโพธิเดช ฯลฯ
สูญเสียชีวิตหรือโอกาสที่จะได้รับใช้บ้านเมืองเช่นนี้ทั้งนั้น
นี่ยกเฉพาะผู้มีชื่อเสียงเท่านั้น คนทั่วไปที่ไม่โด่งดังและต้องล้มหายตายจากไปด้วยแรงตัณหา
(ความกระเสือกกระสนเอาตัวรอด) ของมหาอำมาตย์ ยังมีอีกมากมายเหลือคณานับ
ก่อนกรณีของ สมคิด บุญถนอม ก็มีเรื่องของ สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งรับใช้เขาด้วยการใช้สติปัญญาที่มีมาตลอดชีวิต
และไปลากเครือข่ายทั้งหมดที่ตัวสร้างไว้มารองรับ จนประสบความสำเร็จในการทำลายระบอบประชาธิปไตยในระยะ
ตั้งไข่ได้ เมื่อถึงคราววางบิล และวางโฉ่งฉ่างแบบสนธิชอบทำ เขาก็พร้อมลืมผลงานเหล่านั้นและส่งลูกตะกั่วมาฝัง
ไว้ในหัวให้แทน
แต่กรณีของคุณสนธิน่าเห็นใจน้อยกว่า เพราะคุณสนธิทำโดยคาดคะเนผลประโยชน์ของตนแล้วอย่างเต็มที่ ทำ
สัญญากับปิศาจ แล้วโดนปิศาจหักหลังเข้าให้ จะไปร้องแรกแหกกระเชอกับใครได้เล่า นรกขุมนี้เป็นของมหาอำมาตย์
อสุรกายน้อยใหญ่เป็นของเขาทั้งสิ้น ถึงคุณสนธิจะเลี้ยงตำรวจ ทหาร ข้าราชการ นักการเมือง มาขนาดไหน ถึงเวลาที่
อำมาตย์เขาเรียกตรวจแถว คนที่คุณสนธิเผลอคิดว่าเป็นเด็กของตัวมักเป็นคนแรกๆ ที่อาสาเข้ามาเด็ดชีพของคุณสนธิ
เสียเอง
คติของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า ระบอบเผด็จการมันก็คือระบอบเผด็จการวันยังค่ำครับ
เราอาจเผลอไผลคิดไปว่า เผด็จการทหารหนักกว่าพลเรือนเพราะมีกำลังสรรพาวุธ หรือเผด็จการพลเรือนโลกแคบ
อย่างสมัยองคมนตรีธานินทร์ กรัยวิเชียรน่าจะอันตรายยิ่งกว่า แต่ในที่สุดแล้วเผด็จการต่างมีธรรมชาติ (สันดาน) อย่าง
เดียวกันหมด ระบอบเผด็จการต้องมีผู้เผด็จการ ซึ่งอาจใหญ่โตอยู่คนเดียว ไม่แบ่งลูกแบ่งเมีย ไม่มีใครร่วมใช้อำนาจ
ด้วย (ตามแนว The Prince ของนิโคโล แมคเคียเวลลี่) หรือใช้อำนาจกันเป็นหมู่คณะ (power-sharing) แต่ก็ต้องมี
ศูนย์อำนาจที่จะ “ฟันธง” ได้เมื่อจำเป็น
ตรงศูนย์อำนาจนี่ล่ะ ที่คนจะวิ่งกันเข้าไปเอาอกเอาใจ เสนอตัวทำงาน และอาสาประสานประโยชน์ให้กับผู้มีอำนาจ
ไม่ต่างนักกับวิถีของรัฐบาลประชาธิปไตย
แต่ระบอบเผด็จการจบที่ตัวผู้เผด็จการ ไม่มีใครต่อรองได้อีก
แต่ระบอบประชาธิปไตยไปจบลงที่ประชาชนส่วนใหญ่
เพราะโครงสร้างบังคับให้ต้องคิดถึงผลประโยชน์ของคนทั้งหลายก่อนตัวเองและพรรคพวก
ถ่วงน้ำหนักอย่างเหมาะสมระหว่างคนมี (the haves) และคนไม่มี (the havenots) ในสังคมนั้น
ผู้เผด็จการก็จะเลือกและทดลองใช้คน ด้วยความที่มีตัวเลือกมากก็เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย
โดยเฉพาะงานสกปรกและงานใต้ดินต่างๆ ที่ต้องใช้คนที่มีความสามารถอำพรางตัวเองสูง อย่างที่เกิดมาตลอดใน
ช่วงสามปีเศษที่ผ่านมา และเมื่องานจบแล้ว คนเหล่านั้นต้องการรางวัลตอบแทนเกินกว่าที่จะให้ได้ ก็จะเรียก
คนใหม่มาฆ่าคนเก่า หรือทำลายทิ้งอย่างเลือดเย็น เหมือนกับการฆ่าหมู่ยิวสมัยนาซี
ใครก็ตามที่มีความต้องการแรงกล้า ที่จะได้อำนาจรัฐ ซึ่งเป็นสมบัติสาธารณะของประชาชน ไม่มีทางลัดด้วยการ
สถาปนาตนเองเป็นผู้เผด็จการ หรือเกาะหางเผด็จการไปสู่อำนาจรัฐ ต้องนอบน้อมถ่อมตัวและเข้าหามวลชน
ให้มวลชนตัดสินว่าตนสมควรจะได้รับโอกาสหรือไม่ จึงจะได้มาซึ่งอำนาจและใช้อำนาจนั้นได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ต้อง
ใช้วิธีมืดดำอย่างเผด็จการในการประคองตัว หรือต้องคิดกำจัดคู่แข่งทางการเมือง
ผมรู้มาว่ามหาอำมาตย์ไทยจะกำจัดลูกหาบของตนอีกหลายคน
เพราะความดื้อรั้นของตัวเองได้นำบ้านเมืองเข้าสู่ทางตัน จนลูกหาบทั้งหลายเริ่มละล้าละลัง
จะทำงานต่อก็ไม่กล้า จะย้อนไปล้างความผิดที่กระทำมาตลอดช่วงปีที่ผ่านมานี้ก็ทำไม่ได้
จึงเริ่มคิดที่จะโดดเรือหนี เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด แต่ก็สายเกินไปทั้งสำหรับลูกน้องและเจ้านาย
คนบางคนจึงต้องถูกทำลายทิ้งเพราะเป็นพิษ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความเนรคุณคือลักษณะประจำของเผด็จการทุกชนิด รวมทั้งไม้ตายซากในเมืองไทยด้วย.
Saturday, January 16, 2010
ทำไมชาว เฮติ ถึงยากจน ขณะที่ประชาชนถูกซ้ำเติมด้วยแผ่นดินไหว ?
article : ใจ อึ๊งภากรณ์
January 14, 2010
ทำไมชาว เฮติ ถึงยากจน ขณะที่ประชาชนถูกซ้ำเติมด้วยแผ่นดินไหว ?
คำตอบสั้นๆคือ “จักรวรรดินิยม”
เพราะภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดินิยม ชาวเฮติถูกนำมาเป็นทาส
ถูกปล้น ถูกกดขี่โดยเผด็จการ
และเกาะของพวกเขาถูกยึดครอง..โดยทหารสหรัฐสามครั้ง
เกาะที่เดิมชื่อ Hispaniola ในทะเลแคริเบียนถูกแบ่งระหว่างสเปนกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1697
และภายใต้ระบบทาสในไร่อ้อย เกาะนี้สร้างความร่ำรวยมหาศาลให้กับชนชั้นปกครองยุคกษัตริย์ของฝรั่งเศส
แต่ในปี 1791 ซึ่งตรงกับช่วงการปฏิวัติล้มเจ้าของฝรั่งเศสเอง ทาสทั้งหลายในเฮติได้ลุกฮือกบฏ และสร้างกองทัพเพื่อ
ปลดแอกตนเอง ผู้นำสำคัญของกองทัพทาสคือ Toussaint L’Ouverture และในที่สุด หลังจากการต่อสู้กับกองทัพจาก
อังกฤษและประเทศอื่นที่ต้องการฟื้นฟูระบบทาส ชาวเฮติก็ได้รับชัยชนะ มีการยกเลิกทาส และประกาศให้เป็นประเทศ
อิสระภายใต้การปกครองของอดีตทาส อย่างไรก็ตามในปี 1825 รัฐบาลฝรั่งเศสบังคับให้เฮติจ่าย “ค่าชดเชยสำหรับ
สมบัติของฝรั่งเศสที่เสียไป” ถึง 150 ล้าน ฟรัง ซึ่งมีผลสำคัญที่ทำให้เฮติติดกับดักหนี้สินมาจนถึงทุกวันนี้
ในปี 1915 สหรัฐอเมริกาส่งทหารมายึดครองเฮติ และในเวลาต่อมา
สหรัฐส่งทหารบุกเกาะนี้อีกสองครั้ง ในปี 1957 (ปีที่จอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหารในไทย)
สหรัฐให้การสนับสนุนกับเผด็จการโหดร้ายของ Papa Doc Duvalier
เพราะสหรัฐมองว่าเป็นแนวร่วมสำคัญในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ -
Papa Doc ชอบให้ประชาชนเรียกเขาว่า “พ่อ” และกดขี่ควบคุมประชาชนด้วยกองกำลังอันธพาล
ชื่อ Tonton Macoute หลังจากที่ Papa Doc ตายในปี 1971 ลูกชายที่ทุกคนเรียกว่า
“Baby Doc” ก็สืบทอดอำนาจพร้อมกับได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐต่อไป
พวกอภิสิทธิ์ชนของเฮติในปัจจุบัน ประกอบไปด้วยตระกูลที่ได้ดิบได้ดีในยุคนี้ บวกกับพวกนายทหารชั้นสูงและพ่อค้า
พวกนี้กอบโกยความร่ำรวยในขณะที่ประชาชนยากจน ทุกวันนี้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ในระดับต่ำกว่า 60 บาทต่อวัน
แต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีงานทำและรายได้ต่ำกว่านี้
ในปี 1986 มีการลุกฮือของมวลชนที่สามารถโค่นล้มเผด็จการ Baby Doc นี่คือจุดเริ่มต้นของขบวนการ “Lavalas”
ซึ่งชื่อ Lavalas หมายถึง “น้ำป่าท่วม” หรือ “มวลประชาชน” และเป็นขบวนการของคนยากคนจนที่ต้องเผชิญหน้ากับ
อภิสิทธิ์ชนหรืออำมาตย์ ผู้นำขบวนการนี้เป็นพระศาสนาคริสต์ชื่อ Jean-Bertrad Aristide และในปี 1990 Aristide ชนะ
การเลือกตั้งและขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีด้วยเสียงจากประชาชน 67% คนยากคนจนแฮ่กันไปเลือกเขาเพราะเขาเสนอ
นโยบายปฏิรูปสังคมที่จะกระจายรายได้และสร้างความเป็นธรรม และแน่นอนพวกอำมาตย์เกลียดชังและโกรธแค้นใน
ชัยชนะของ Aristide และทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางการทำงานของรัฐบาล ในที่สุดเพียงหนึ่งปีหลังจากการเลือกตั้ง
Aristide ถูกรัฐประหารทหารโค่นล้มไป
พวกอำมาตย์ที่ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้รับการสนับสนุนแบบลับๆจากสหรัฐอเมริกา
ในปี 1994 กองทัพได้บุกเข้าไปสังหารคนจนในสลัม
และในที่สุดปัญหาความไม่สงบนี้กลายเป็นข้ออ้างของรัฐบาลสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดี Bill Clinton ที่จะส่งทหารบุก
เฮติเป็นครั้งที่สอง ในช่วงนี้อดีตประธานาธิบดี Aristad ที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ถูกสหรัฐกดดันให้ยอมรับข้อตกลงพิษ
สหรัฐสัญญาว่าจะให้กลับมาดำรงตำแหน่งได้ แต่เงื่อนไขคือ จะต้องใช้นโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมตามคำสั่งของ
ธนาคารโลก และ ไอเอ็มเอฟ นโยบายดังกล่าวระบุว่า ต้องตัดงบประมาณรัฐที่ลดราคาสินค้าจำเป็นให้คนจน ต้องมีการ
ตัดสวัสดิการทุกอย่างและขายรัฐวิสาหกิจให้เอกชน ประชาชนที่ยากจนอยู่แล้วจึงยิ่งยากลำบากมากขึ้น
อดีตประธานาธิบดี Clinton ที่บังคับใช้นโยบายนี้ และผู้ส่งทหารเข้าไปยึดครองเฮติ เป็นผู้ที่ถูกเสนอมาในยุคนี้ว่าจะ
ประสานการแก้ปัญหาจากแผ่นดินไหว
สหรัฐอนุญาตให้ Aristide ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแค่หนึ่งปี และห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งหลังจากนั้น ต้องรออีกห้าปี
พร้อมกันนั้นนโยบายเสรีนิยมที่ถูกนำมาใช้ได้ทำลายขบวนการ Lavalas จนเสื่อมไปจากเดิม
คนจนส่วนใหญ่เริ่มหมดกำลังใจ แต่อย่างไรก็ตามในปี 2000 Aristide ลงสมัครและชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง
หลังชัยชนะครั้งที่สองของ Aristide พวกอภิสิทธิ์ชนหรืออำมาตย์ก็เปิดศึกจับอาวุธเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ฝ่ายอำมาตย์ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐและฝรั่งเศส และที่น่าสลดใจคือได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่เรียก
ตัวเองว่า “ประชาสังคม” และองค์กรเอ็นจีโอสากลอีกด้วย
กลุ่มที่อ้างว่าเป็น “ประชาสังคม” แท้ที่จริงเป็นกลุ่มของนักธุรกิจและนายทุนที่คัดค้านการกระจายรายได้และการปฏิรูปสังคม
ส่วนเอ็นจีโอสากลมีบทบาทในการให้บริการกับประชาชนแทนรัฐบาลที่ไม่มีเงิน เงินทุนของเอ็นจีโอเหล่านี้ได้มาจาก
รัฐบาลสหรัฐและคานาดา และวิถีชีวิตของนักเอ็นจีโอไม่ต่างจากวิถีชีวิตของคนชั้นสูงในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยากจน
ในที่สุดมีการทำรัฐประหารครั้งที่สองเพื่อล้ม Aristide ในปี 2004 (สองปีก่อนรัฐประหาร ๑๙ กันยาในไทย) และพวก
ประชาสังคมและเอ็นจีโอก็สนับสนุนรัฐประหาร (ไม่ต่างจากไทย) อย่างไรก็ตามมีนักเอ็นจีโอรากหญ้าในองค์กรเล็กๆ
บางแห่งที่ใกล้ชิดประชาชนซึ่งเข้าข้าง Lavalas และประชาธิปไตย
Aristide ถูกขนออกนอกประเทศอีกครั้งในเครื่องบินของสหรัฐ
และรัฐบาลสหรัฐภายใต้ George Bush ก็สั่งให้ทหารยึดครองเฮติเป็นครั้งที่สาม หลังจากนั้นสหรัฐโอนอำนาจทางทหาร
ให้สหประชาชาติ และกองกำลังสหประชาชาติก็ถูกใช้ในการปราบปราบขบวนการ Lavalas
เราไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมประชาชนเกาะเฮติถึงยากลำบากแบบนี้
และเรื่องราวของเฮติมีบทเรียนหลายอย่างเกี่ยวกับ จักรวรรดินิยม นโยบายเสรีนิยม บทบาทสหประชาชาติ และท่าทีของ
เอ็นจีโอกระแสหลักต่อประชาธิปไตย
โชคดีจังเลยที่ประเทศไทยไม่ได้เหมือนเฮติ เพราะเรามีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ซึ่งปกป้องโดยทหาร พันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์ !!
แหล่งข้อมูลและอ่านเพิ่ม: Peter Hallward (2007) Damming the Flood. Haiti,
Aristide, and the Politics of Containment. Verso, London, New York.
January 14, 2010
ทำไมชาว เฮติ ถึงยากจน ขณะที่ประชาชนถูกซ้ำเติมด้วยแผ่นดินไหว ?
คำตอบสั้นๆคือ “จักรวรรดินิยม”
เพราะภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดินิยม ชาวเฮติถูกนำมาเป็นทาส
ถูกปล้น ถูกกดขี่โดยเผด็จการ
และเกาะของพวกเขาถูกยึดครอง..โดยทหารสหรัฐสามครั้ง
เกาะที่เดิมชื่อ Hispaniola ในทะเลแคริเบียนถูกแบ่งระหว่างสเปนกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1697
และภายใต้ระบบทาสในไร่อ้อย เกาะนี้สร้างความร่ำรวยมหาศาลให้กับชนชั้นปกครองยุคกษัตริย์ของฝรั่งเศส
แต่ในปี 1791 ซึ่งตรงกับช่วงการปฏิวัติล้มเจ้าของฝรั่งเศสเอง ทาสทั้งหลายในเฮติได้ลุกฮือกบฏ และสร้างกองทัพเพื่อ
ปลดแอกตนเอง ผู้นำสำคัญของกองทัพทาสคือ Toussaint L’Ouverture และในที่สุด หลังจากการต่อสู้กับกองทัพจาก
อังกฤษและประเทศอื่นที่ต้องการฟื้นฟูระบบทาส ชาวเฮติก็ได้รับชัยชนะ มีการยกเลิกทาส และประกาศให้เป็นประเทศ
อิสระภายใต้การปกครองของอดีตทาส อย่างไรก็ตามในปี 1825 รัฐบาลฝรั่งเศสบังคับให้เฮติจ่าย “ค่าชดเชยสำหรับ
สมบัติของฝรั่งเศสที่เสียไป” ถึง 150 ล้าน ฟรัง ซึ่งมีผลสำคัญที่ทำให้เฮติติดกับดักหนี้สินมาจนถึงทุกวันนี้
ในปี 1915 สหรัฐอเมริกาส่งทหารมายึดครองเฮติ และในเวลาต่อมา
สหรัฐส่งทหารบุกเกาะนี้อีกสองครั้ง ในปี 1957 (ปีที่จอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหารในไทย)
สหรัฐให้การสนับสนุนกับเผด็จการโหดร้ายของ Papa Doc Duvalier
เพราะสหรัฐมองว่าเป็นแนวร่วมสำคัญในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ -
Papa Doc ชอบให้ประชาชนเรียกเขาว่า “พ่อ” และกดขี่ควบคุมประชาชนด้วยกองกำลังอันธพาล
ชื่อ Tonton Macoute หลังจากที่ Papa Doc ตายในปี 1971 ลูกชายที่ทุกคนเรียกว่า
“Baby Doc” ก็สืบทอดอำนาจพร้อมกับได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐต่อไป
พวกอภิสิทธิ์ชนของเฮติในปัจจุบัน ประกอบไปด้วยตระกูลที่ได้ดิบได้ดีในยุคนี้ บวกกับพวกนายทหารชั้นสูงและพ่อค้า
พวกนี้กอบโกยความร่ำรวยในขณะที่ประชาชนยากจน ทุกวันนี้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ในระดับต่ำกว่า 60 บาทต่อวัน
แต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีงานทำและรายได้ต่ำกว่านี้
ในปี 1986 มีการลุกฮือของมวลชนที่สามารถโค่นล้มเผด็จการ Baby Doc นี่คือจุดเริ่มต้นของขบวนการ “Lavalas”
ซึ่งชื่อ Lavalas หมายถึง “น้ำป่าท่วม” หรือ “มวลประชาชน” และเป็นขบวนการของคนยากคนจนที่ต้องเผชิญหน้ากับ
อภิสิทธิ์ชนหรืออำมาตย์ ผู้นำขบวนการนี้เป็นพระศาสนาคริสต์ชื่อ Jean-Bertrad Aristide และในปี 1990 Aristide ชนะ
การเลือกตั้งและขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีด้วยเสียงจากประชาชน 67% คนยากคนจนแฮ่กันไปเลือกเขาเพราะเขาเสนอ
นโยบายปฏิรูปสังคมที่จะกระจายรายได้และสร้างความเป็นธรรม และแน่นอนพวกอำมาตย์เกลียดชังและโกรธแค้นใน
ชัยชนะของ Aristide และทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางการทำงานของรัฐบาล ในที่สุดเพียงหนึ่งปีหลังจากการเลือกตั้ง
Aristide ถูกรัฐประหารทหารโค่นล้มไป
พวกอำมาตย์ที่ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้รับการสนับสนุนแบบลับๆจากสหรัฐอเมริกา
ในปี 1994 กองทัพได้บุกเข้าไปสังหารคนจนในสลัม
และในที่สุดปัญหาความไม่สงบนี้กลายเป็นข้ออ้างของรัฐบาลสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดี Bill Clinton ที่จะส่งทหารบุก
เฮติเป็นครั้งที่สอง ในช่วงนี้อดีตประธานาธิบดี Aristad ที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ถูกสหรัฐกดดันให้ยอมรับข้อตกลงพิษ
สหรัฐสัญญาว่าจะให้กลับมาดำรงตำแหน่งได้ แต่เงื่อนไขคือ จะต้องใช้นโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมตามคำสั่งของ
ธนาคารโลก และ ไอเอ็มเอฟ นโยบายดังกล่าวระบุว่า ต้องตัดงบประมาณรัฐที่ลดราคาสินค้าจำเป็นให้คนจน ต้องมีการ
ตัดสวัสดิการทุกอย่างและขายรัฐวิสาหกิจให้เอกชน ประชาชนที่ยากจนอยู่แล้วจึงยิ่งยากลำบากมากขึ้น
อดีตประธานาธิบดี Clinton ที่บังคับใช้นโยบายนี้ และผู้ส่งทหารเข้าไปยึดครองเฮติ เป็นผู้ที่ถูกเสนอมาในยุคนี้ว่าจะ
ประสานการแก้ปัญหาจากแผ่นดินไหว
สหรัฐอนุญาตให้ Aristide ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแค่หนึ่งปี และห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งหลังจากนั้น ต้องรออีกห้าปี
พร้อมกันนั้นนโยบายเสรีนิยมที่ถูกนำมาใช้ได้ทำลายขบวนการ Lavalas จนเสื่อมไปจากเดิม
คนจนส่วนใหญ่เริ่มหมดกำลังใจ แต่อย่างไรก็ตามในปี 2000 Aristide ลงสมัครและชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง
หลังชัยชนะครั้งที่สองของ Aristide พวกอภิสิทธิ์ชนหรืออำมาตย์ก็เปิดศึกจับอาวุธเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ฝ่ายอำมาตย์ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐและฝรั่งเศส และที่น่าสลดใจคือได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่เรียก
ตัวเองว่า “ประชาสังคม” และองค์กรเอ็นจีโอสากลอีกด้วย
กลุ่มที่อ้างว่าเป็น “ประชาสังคม” แท้ที่จริงเป็นกลุ่มของนักธุรกิจและนายทุนที่คัดค้านการกระจายรายได้และการปฏิรูปสังคม
ส่วนเอ็นจีโอสากลมีบทบาทในการให้บริการกับประชาชนแทนรัฐบาลที่ไม่มีเงิน เงินทุนของเอ็นจีโอเหล่านี้ได้มาจาก
รัฐบาลสหรัฐและคานาดา และวิถีชีวิตของนักเอ็นจีโอไม่ต่างจากวิถีชีวิตของคนชั้นสูงในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยากจน
ในที่สุดมีการทำรัฐประหารครั้งที่สองเพื่อล้ม Aristide ในปี 2004 (สองปีก่อนรัฐประหาร ๑๙ กันยาในไทย) และพวก
ประชาสังคมและเอ็นจีโอก็สนับสนุนรัฐประหาร (ไม่ต่างจากไทย) อย่างไรก็ตามมีนักเอ็นจีโอรากหญ้าในองค์กรเล็กๆ
บางแห่งที่ใกล้ชิดประชาชนซึ่งเข้าข้าง Lavalas และประชาธิปไตย
Aristide ถูกขนออกนอกประเทศอีกครั้งในเครื่องบินของสหรัฐ
และรัฐบาลสหรัฐภายใต้ George Bush ก็สั่งให้ทหารยึดครองเฮติเป็นครั้งที่สาม หลังจากนั้นสหรัฐโอนอำนาจทางทหาร
ให้สหประชาชาติ และกองกำลังสหประชาชาติก็ถูกใช้ในการปราบปราบขบวนการ Lavalas
เราไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมประชาชนเกาะเฮติถึงยากลำบากแบบนี้
และเรื่องราวของเฮติมีบทเรียนหลายอย่างเกี่ยวกับ จักรวรรดินิยม นโยบายเสรีนิยม บทบาทสหประชาชาติ และท่าทีของ
เอ็นจีโอกระแสหลักต่อประชาธิปไตย
โชคดีจังเลยที่ประเทศไทยไม่ได้เหมือนเฮติ เพราะเรามีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ซึ่งปกป้องโดยทหาร พันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์ !!
แหล่งข้อมูลและอ่านเพิ่ม: Peter Hallward (2007) Damming the Flood. Haiti,
Aristide, and the Politics of Containment. Verso, London, New York.
Saturday, January 9, 2010
บทความจาก จักรภพ เพ็ญแข
บทความ "ดูไบ" จาก คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 32
article : จักรภพ เพ็ญแข
หลังจากนั่งเครื่องบินออกจากนครหลวงพนมเปญแห่งกัมพูชา
พร้อมกับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ผมก็ไปพักอยู่กับท่านหลายวันที่ดูไบ
และรีบกลับมาก่อนเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ เพราะอยากให้ท่านพักผ่อนอย่างสงบกับครอบครัวโดยไม่มีใครรบกวน
สองท่านที่ไปพร้อมกันคืออดีตประธานรัฐสภา คุณยงยุทธ ติยะไพรัช
และอีกคนที่มีบทบาทสำคัญในภารกิจของเรา แต่ไม่จำเป็นจะต้องขานชื่อกันในขณะนี้
เรื่องที่ไปฟังและไปบอกท่านมีไม่มาก
วิธีการก็ไม่ได้ประชุมกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ดูตาและดูใจกันเสียมากกว่า
แล้วก็ได้ความสงบทางใจ
ไม่มีอะไรทำลายยุทธศาสตร์ได้เท่ากับความคลางแคลงใจ อย่างที่พุทธธรรมเรียกว่า วิจิกิจฉา เมื่อทำให้ข้อนั้นหมด
หรือลดลงไปได้ ก็เท่ากับได้ยุทธศาสตร์ทั้งหมดคืนมา
ผมไปหาแม่ทัพขบวนการ ประชาธิปไตยถึงกลางทะเลทราย แต่พบว่าบรรยากาศทางใจเหมือนอยู่ในโอเอซิส
เพราะในที่สุดแล้วชิ้นต่างๆ ของฝ่ายประชาธิปไตยที่เหลื่อมกันไปบ้าง เกยกันอยู่บ้างแต่เดิม บัดนี้กลับเข้าที่หมด
กงล้อแห่งประวัติศาสตร์ที่เคยเคลื่อนอย่างฝืดๆ น่าจะคล่องตัวขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็ในส่วนที่พวกเราเกี่ยวข้องอยู่
มิจฉาทิฐิที่เคยมี เช่นว่าประเทศชาติอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพระประธาน
หรือพระประธานไม่พูดสั่งสอนเสียงดังๆ ได้เหมือนในนวนิยายเรื่อง “ไผ่แดง” (ซึ่งดัดแปลงมาจากนวนิยายอิตาลี
โดยฝีมือของหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของอำมาตย์ไทยยุคนั้นคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) ก็จะพากันฉิบหายหมด
หรือเชื่อว่าเขาเป็นคน ดีมีศีลธรรม เพราะเกิดมาเป็นตัวก็มีแต่คนพร่ำใส่หูว่าดีอย่างประเสริฐ เขาก็ย่อมจะเห็นอกเห็นใจ
และเข้าใจเพื่อนร่วมชาติ และอยากเห็นบ้านเมืองสงบระงับจากวิกฤติในที่สุด -- ไปคราวนี้ได้เห็นว่ามิจฉาทิฐิหรือความ
ยึดที่ผิดๆ อย่างนี้สลายลงไปมาก
ผมรู้สึกขอบคุณนักฆ่าผู้สูงศักดิ์ ที่สั่งฆ่าและทำลายล้างนายกรัฐมนตรี และขบวนการประชาธิปไตยอย่างเลือดเย็นและ
ต่อเนื่อง จนปลุกคนส่วนใหญ่ให้ตื่นจากความหลับใหลยาวนานหลายสิบปีได้ - เคยอ่าน จากที่ไหนก็จำไม่ได้เสียแล้วว่า
ผืนทะเลทรายมีอานุภาพอันน่าทึ่ง เม็ดทรายน้อยๆ ที่รวมตัวเป็นลมปนทรายและปลิวกระจายไปทั่วตะวันออกกลาง หรือ
ในทะเลทรายโกบี หรือซาฮาร่า สามารถเปลี่ยนสภาพทุกสิ่งทุกอย่างได้หากปลิวปะทะนานพอ
ในเมืองไทยเอง ลมทะเลทรายก็คงพัดมาถึง เพราะรูปทองบางอย่างค่อยๆ กร่อนลงเรื่อยทุกวันในอัตราเร่ง
จนเห็นรูปลักษณ์ที่ไม่ใช่ผู้มีธรรมแต่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง (serial killer) อยู่ภายใน
หัวใจบริสุทธิ์ที่ถูกความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกาะกุมอยู่ ในที่สุดก็ได้รับอิสรภาพด้วยวิถีนี้
ดูไบ เป็นหนึ่งในเจ็ดนครรัฐที่รวมเข้าด้วยกันเป็นประเทศเดียว ในรูปแบบสหพันธรัฐ
และเรียกตัวเองว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี แต่ละรัฐมีเจ้าครองแคว้นของตนเอง
รัฐใหญ่ที่สุดคือ อาบูดาบี กลายเป็นเมืองหลวง เจ้าผู้ครองแคว้นอาบูดาบีรั้งตำแหน่งกษัตริย์
หรือสมเด็จพระราชาธิบดีตลอดกาล รัฐที่ลดหลั่นลงมาเป็นอันดับสองคือ ดูไบ เจ้าผู้ครองแคว้นก็ได้รั้งตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรีตลอดกาลเช่นกัน ส่วนอีก 5 นครรัฐที่เหลือคืออัจมัน, ฟูจาร์ราห์, อุมอัล-กูเวน, รัสอัล-ไคมาห์ และซาร์จาห์
ก็พอใจในสมการทางการเมืองแบบนี้
เจ้ายูเออีเขาคงไม่มีความอิจฉาริษยาเป็นเจ้าเรือน ถึงถือแคว้นถือตระกูลกันมาอย่างไรก็ยังอยู่ในโลกแห่งความจริง ถึงขั้น
วางโครงสร้างการเมืองที่ทำให้คงสภาพร่วมกันได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวเองจนน้ำหนักของมงกุฎทับจนบี้แบน
น่าสังเกตว่า นายกทักษิณมีเพื่อนฝูงเป็นกษัตริย์หรือผู้ครองแคว้นทั่วโลก นอกจากบรรดาเจ้าในตะวันออกกลางหลายประเทศ
ก็ยังมีบรูไนดารุสซาลามในอาเซียน สวาซิแลนด์ในแอฟริกา ตองก้าในแปซิฟิคใต้ และพระราชวงศ์อื่นๆ อีกมากมายหลาย
ภูมิภาค กษัตริย์เหล่านี้ล้วนเป็นประมุขแห่งรัฐที่ ทันสมัยและก้าวหน้า ยอมรับวิถีประชาธิปไตยโดยดุษฎี โดยไม่โดดเข้า
ขวางโอกาสที่ประชาชนของตนจะกลายเป็นมนุษย์อันสมบูรณ์ ส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศเหล่านี้ ยืนยงสถาพร
และไม่แสลงต่อโลก ที่ประชาชนรากหญ้าเป็นใหญ่
เขาละโมหะจริตในความเป็นเทพลงเสียบ้าง และสร้างเป้าหมายใหม่ให้กับบ้านเมืองอย่างในกรณีของนครรัฐดูไบ
นั่นคือความเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลก (economic hub) จนกลายเป็นจุดสนใจของโลก ทั้งเจ้าทั้งไพร่ต่างได้
รับประโยชน์ ความเป็นเจ้าของเจ็ดผู้ครองแคว้นในยูเออี จึงคงเจิดจรัสท่ามกลางเศรษฐกิจที่พัฒนาไป
ทุนนิยมก้าวหน้าไม่ได้ขัดแย้งใดๆเลยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หากมองด้วยทัศนะใหม่และไม่คับแคบ
ผมคิดว่าใครที่ไปอยู่ดูไบอย่างนายกทักษิณ คงจะได้สังเกตเรื่องนี้กันทุกคน
ช่วงเวลาอันยาวนานที่จำต้องพำนักอยู่ที่นั่น
ในที่สุดก็กลายเป็นช่วงเวลาอันมีประโยชน์ต่อนายกทักษิณ อย่างที่อำมาตย์ไทยนึกไม่ถึง
นอกจากได้ทบทวนถึงความใจดำและความเห็นแก่ตัวซ้ำซากแล้ว ยังเป็นเวลาของบทเรียนใหม่ในระดับโลกว่า
สถาบันโบราณ กับ โลกยุคใหม่ อยู่ร่วมกันอย่างผาสุกได้อย่างไร
บางคนกระซิบผมว่า ความสมานฉันท์แบบนี้น่าจะเกิดในเมืองไทยได้ง่ายกว่า เพราะผู้ปกครองมีธรรมะ
ธรรมะ ?
เมื่อ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร แห่งวัดป่าอุดมสมพร สกลนคร ยังไม่มรณภาพ
บุคคลสำคัญขนาดหนักของเมืองไทยได้ไปกราบเยี่ยมและสนทนาธรรมกับท่านครั้งหนึ่ง
บุคคลผู้นี้ถามพระอาจารย์ว่า ทำอย่างไรจะให้คนส่วนมากเข้าวัด อาจารย์ฝั้นตอบสวนทันทีว่า “ตัวท่านก็เข้าวัดเสียก่อนสิ!”
เป็นที่ลือลั่นกันว่า ความลึกซึ้งในธรรมตามภาพที่สร้างกันมาเนิ่นนานนั้นอาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป
เจ้ายูเออี และสุลต่านบรูไนฯเป็นมุสลิม คงจะไม่ได้ยึดพุทธธรรมเป็นหลักแน่
เช่นเดียวกับสมเด็จพระราชินีอังกฤษ ผู้เป็นคริสต์แองกลิกัน และสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นที่ถือชินโต
น่าแปลกใจที่หลายพระองค์เหล่านี้
กลับถือวิถีพุทธโดยไม่ต้องแสดงองค์เป็นพุทธมามกะ จนบ้านเมืองของเขาร่มเย็นเป็นสุข
ผมเริ่มสงสัยว่า พุทธมามกะบางคนที่ออกนอกลู่ทางจนเกือบกู่ไม่กลับแล้วนั้น
เป็นเพราะลุ่มหลงในเรื่องคุณไสยและเดรัจฉานวิชา หรือไม่ก็หลงใหลในตนเอง
อย่างที่เรียกว่า ติดดี จนลืมพุทธธรรมไปแล้วหรือไม่ ?
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 32
article : จักรภพ เพ็ญแข
หลังจากนั่งเครื่องบินออกจากนครหลวงพนมเปญแห่งกัมพูชา
พร้อมกับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ผมก็ไปพักอยู่กับท่านหลายวันที่ดูไบ
และรีบกลับมาก่อนเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ เพราะอยากให้ท่านพักผ่อนอย่างสงบกับครอบครัวโดยไม่มีใครรบกวน
สองท่านที่ไปพร้อมกันคืออดีตประธานรัฐสภา คุณยงยุทธ ติยะไพรัช
และอีกคนที่มีบทบาทสำคัญในภารกิจของเรา แต่ไม่จำเป็นจะต้องขานชื่อกันในขณะนี้
เรื่องที่ไปฟังและไปบอกท่านมีไม่มาก
วิธีการก็ไม่ได้ประชุมกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ดูตาและดูใจกันเสียมากกว่า
แล้วก็ได้ความสงบทางใจ
ไม่มีอะไรทำลายยุทธศาสตร์ได้เท่ากับความคลางแคลงใจ อย่างที่พุทธธรรมเรียกว่า วิจิกิจฉา เมื่อทำให้ข้อนั้นหมด
หรือลดลงไปได้ ก็เท่ากับได้ยุทธศาสตร์ทั้งหมดคืนมา
ผมไปหาแม่ทัพขบวนการ ประชาธิปไตยถึงกลางทะเลทราย แต่พบว่าบรรยากาศทางใจเหมือนอยู่ในโอเอซิส
เพราะในที่สุดแล้วชิ้นต่างๆ ของฝ่ายประชาธิปไตยที่เหลื่อมกันไปบ้าง เกยกันอยู่บ้างแต่เดิม บัดนี้กลับเข้าที่หมด
กงล้อแห่งประวัติศาสตร์ที่เคยเคลื่อนอย่างฝืดๆ น่าจะคล่องตัวขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็ในส่วนที่พวกเราเกี่ยวข้องอยู่
มิจฉาทิฐิที่เคยมี เช่นว่าประเทศชาติอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพระประธาน
หรือพระประธานไม่พูดสั่งสอนเสียงดังๆ ได้เหมือนในนวนิยายเรื่อง “ไผ่แดง” (ซึ่งดัดแปลงมาจากนวนิยายอิตาลี
โดยฝีมือของหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของอำมาตย์ไทยยุคนั้นคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) ก็จะพากันฉิบหายหมด
หรือเชื่อว่าเขาเป็นคน ดีมีศีลธรรม เพราะเกิดมาเป็นตัวก็มีแต่คนพร่ำใส่หูว่าดีอย่างประเสริฐ เขาก็ย่อมจะเห็นอกเห็นใจ
และเข้าใจเพื่อนร่วมชาติ และอยากเห็นบ้านเมืองสงบระงับจากวิกฤติในที่สุด -- ไปคราวนี้ได้เห็นว่ามิจฉาทิฐิหรือความ
ยึดที่ผิดๆ อย่างนี้สลายลงไปมาก
ผมรู้สึกขอบคุณนักฆ่าผู้สูงศักดิ์ ที่สั่งฆ่าและทำลายล้างนายกรัฐมนตรี และขบวนการประชาธิปไตยอย่างเลือดเย็นและ
ต่อเนื่อง จนปลุกคนส่วนใหญ่ให้ตื่นจากความหลับใหลยาวนานหลายสิบปีได้ - เคยอ่าน จากที่ไหนก็จำไม่ได้เสียแล้วว่า
ผืนทะเลทรายมีอานุภาพอันน่าทึ่ง เม็ดทรายน้อยๆ ที่รวมตัวเป็นลมปนทรายและปลิวกระจายไปทั่วตะวันออกกลาง หรือ
ในทะเลทรายโกบี หรือซาฮาร่า สามารถเปลี่ยนสภาพทุกสิ่งทุกอย่างได้หากปลิวปะทะนานพอ
ในเมืองไทยเอง ลมทะเลทรายก็คงพัดมาถึง เพราะรูปทองบางอย่างค่อยๆ กร่อนลงเรื่อยทุกวันในอัตราเร่ง
จนเห็นรูปลักษณ์ที่ไม่ใช่ผู้มีธรรมแต่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง (serial killer) อยู่ภายใน
หัวใจบริสุทธิ์ที่ถูกความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกาะกุมอยู่ ในที่สุดก็ได้รับอิสรภาพด้วยวิถีนี้
ดูไบ เป็นหนึ่งในเจ็ดนครรัฐที่รวมเข้าด้วยกันเป็นประเทศเดียว ในรูปแบบสหพันธรัฐ
และเรียกตัวเองว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี แต่ละรัฐมีเจ้าครองแคว้นของตนเอง
รัฐใหญ่ที่สุดคือ อาบูดาบี กลายเป็นเมืองหลวง เจ้าผู้ครองแคว้นอาบูดาบีรั้งตำแหน่งกษัตริย์
หรือสมเด็จพระราชาธิบดีตลอดกาล รัฐที่ลดหลั่นลงมาเป็นอันดับสองคือ ดูไบ เจ้าผู้ครองแคว้นก็ได้รั้งตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรีตลอดกาลเช่นกัน ส่วนอีก 5 นครรัฐที่เหลือคืออัจมัน, ฟูจาร์ราห์, อุมอัล-กูเวน, รัสอัล-ไคมาห์ และซาร์จาห์
ก็พอใจในสมการทางการเมืองแบบนี้
เจ้ายูเออีเขาคงไม่มีความอิจฉาริษยาเป็นเจ้าเรือน ถึงถือแคว้นถือตระกูลกันมาอย่างไรก็ยังอยู่ในโลกแห่งความจริง ถึงขั้น
วางโครงสร้างการเมืองที่ทำให้คงสภาพร่วมกันได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวเองจนน้ำหนักของมงกุฎทับจนบี้แบน
น่าสังเกตว่า นายกทักษิณมีเพื่อนฝูงเป็นกษัตริย์หรือผู้ครองแคว้นทั่วโลก นอกจากบรรดาเจ้าในตะวันออกกลางหลายประเทศ
ก็ยังมีบรูไนดารุสซาลามในอาเซียน สวาซิแลนด์ในแอฟริกา ตองก้าในแปซิฟิคใต้ และพระราชวงศ์อื่นๆ อีกมากมายหลาย
ภูมิภาค กษัตริย์เหล่านี้ล้วนเป็นประมุขแห่งรัฐที่ ทันสมัยและก้าวหน้า ยอมรับวิถีประชาธิปไตยโดยดุษฎี โดยไม่โดดเข้า
ขวางโอกาสที่ประชาชนของตนจะกลายเป็นมนุษย์อันสมบูรณ์ ส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศเหล่านี้ ยืนยงสถาพร
และไม่แสลงต่อโลก ที่ประชาชนรากหญ้าเป็นใหญ่
เขาละโมหะจริตในความเป็นเทพลงเสียบ้าง และสร้างเป้าหมายใหม่ให้กับบ้านเมืองอย่างในกรณีของนครรัฐดูไบ
นั่นคือความเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลก (economic hub) จนกลายเป็นจุดสนใจของโลก ทั้งเจ้าทั้งไพร่ต่างได้
รับประโยชน์ ความเป็นเจ้าของเจ็ดผู้ครองแคว้นในยูเออี จึงคงเจิดจรัสท่ามกลางเศรษฐกิจที่พัฒนาไป
ทุนนิยมก้าวหน้าไม่ได้ขัดแย้งใดๆเลยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หากมองด้วยทัศนะใหม่และไม่คับแคบ
ผมคิดว่าใครที่ไปอยู่ดูไบอย่างนายกทักษิณ คงจะได้สังเกตเรื่องนี้กันทุกคน
ช่วงเวลาอันยาวนานที่จำต้องพำนักอยู่ที่นั่น
ในที่สุดก็กลายเป็นช่วงเวลาอันมีประโยชน์ต่อนายกทักษิณ อย่างที่อำมาตย์ไทยนึกไม่ถึง
นอกจากได้ทบทวนถึงความใจดำและความเห็นแก่ตัวซ้ำซากแล้ว ยังเป็นเวลาของบทเรียนใหม่ในระดับโลกว่า
สถาบันโบราณ กับ โลกยุคใหม่ อยู่ร่วมกันอย่างผาสุกได้อย่างไร
บางคนกระซิบผมว่า ความสมานฉันท์แบบนี้น่าจะเกิดในเมืองไทยได้ง่ายกว่า เพราะผู้ปกครองมีธรรมะ
ธรรมะ ?
เมื่อ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร แห่งวัดป่าอุดมสมพร สกลนคร ยังไม่มรณภาพ
บุคคลสำคัญขนาดหนักของเมืองไทยได้ไปกราบเยี่ยมและสนทนาธรรมกับท่านครั้งหนึ่ง
บุคคลผู้นี้ถามพระอาจารย์ว่า ทำอย่างไรจะให้คนส่วนมากเข้าวัด อาจารย์ฝั้นตอบสวนทันทีว่า “ตัวท่านก็เข้าวัดเสียก่อนสิ!”
เป็นที่ลือลั่นกันว่า ความลึกซึ้งในธรรมตามภาพที่สร้างกันมาเนิ่นนานนั้นอาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป
เจ้ายูเออี และสุลต่านบรูไนฯเป็นมุสลิม คงจะไม่ได้ยึดพุทธธรรมเป็นหลักแน่
เช่นเดียวกับสมเด็จพระราชินีอังกฤษ ผู้เป็นคริสต์แองกลิกัน และสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นที่ถือชินโต
น่าแปลกใจที่หลายพระองค์เหล่านี้
กลับถือวิถีพุทธโดยไม่ต้องแสดงองค์เป็นพุทธมามกะ จนบ้านเมืองของเขาร่มเย็นเป็นสุข
ผมเริ่มสงสัยว่า พุทธมามกะบางคนที่ออกนอกลู่ทางจนเกือบกู่ไม่กลับแล้วนั้น
เป็นเพราะลุ่มหลงในเรื่องคุณไสยและเดรัจฉานวิชา หรือไม่ก็หลงใหลในตนเอง
อย่างที่เรียกว่า ติดดี จนลืมพุทธธรรมไปแล้วหรือไม่ ?
Sunday, January 3, 2010
2549 - 2551 ลำดับความขัดแย้ง - แตกแยก - แตกหัก !!
article by SIAM Freedom Fight
an excerpt from Red in The Land
go to Records & Documents Section
รัฐประหาร 2549 เปลี่ยนความขัดแย้งเป็นความแตกแยก
ตุลาการรัฐประหาร 2551 ขยายความแตกแยกสู่จุดแตกหักที่มิอาจเยียวยา
สุพจน์ ด่านตระกูล นักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทางประวัติศาสตร์ในระบอบประชาธิปไตย
เคยกล่าวไว้เมื่อปี พ.ศ. 2549 สรุปความดังนี้ว่า "การรัฐประหารในอดีตของประเทศไทย
เป็นความขัดแย้งรอง คือเป็นความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นสูง หรือชนชั้นอำนาจ โดยประชาชน
มิได้รู้เห็น มิได้เกี่ยวข้องสนใจ แต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นเรื่องของความ
ขัดแย้งหลัก คือชนชั้นอำนาจได้แย่งชิงอธิปไตยไปจากปวงชนโดยตรง (หมายถึงการยึด
อำนาจจากรัฐบาลที่มาจากตัวแทนประชาชน..ที่ยังมีประชาชนจำนวนมากมายสนับสนุน)
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงเป็นความขัดแย้งหลัก - ความขัดแย้งระหว่างประชาชน
กับชนชั้นที่ผูกขาดอำนาจในสังคมไว้เนิ่นนาน
การรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เป็นเสมือนการทำลายอุดมการณ์ของ "คณะราษฎร" ลงอย่างเบ็ดเสร็จ
เป็นการกวาดล้างคนสำคัญกลุ่มสุดท้ายของ "การปฏิวัติ 2475" ออกไปจากการเมืองไทย และเป็นจุดเริ่มต้นของ
ระบอบเก่าในรูปแบบใหม่ หรือ "ระบอบอำมาตยาธิปไตย" ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน และระบอบอำมาตยาธิปไตยก็
สามารถกลับเข้าสู่อำนาจอย่างสมบูรณ์เมื่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก่อรัฐประหาร ในคืนวันที่ 16 กันยายน 2500
ระบอบอำมาตยาธิปไตยเข้าสู่ยุครุ่งเรืองสูงสุด ในสมัยที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2523
ชนชั้นในระบอบอำมาตยาธิปไตย สามารถรักษาอำนาจไว้อย่างมั่นคงและแนบเนียนเสมอมา
ความขัดแย้งใดที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2490 ถึง 2549 ล้วนแต่เป็นความขัดแย้งรอง เป็นความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นสูง
ความขัดแย้งในหมู่นายพลขุนศึก ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหาร หรือการนองเลือดในกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถยุติอย่าง
ง่ายดายเมื่อมีคนเข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ย ต้นเหตุความขัดแย้ง และ / หรือคู่กรณีในความขัดแย้ง ล้วนแต่เป็นคนใน
ชนชั้นปกครอง และยังไม่เคยขยายวงเป็น "ความขัดแย้งหลัก" หรือความขัดแย้งในระดับชนชั้น ที่มีประชาชนเป็น
คู่กรณี (แม้แต่การสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย..ในอดีต พรรคคอมมิวนิสต์ก็ยังไม่เคยมีฐานมวลชน
มากเพียงพอที่จะทำให้ความขัดแย้งนั้นลงสู่ระดับรากหญ้าของประเทศได้)
01
ชนชั้นอำมาตย์สร้างความขัดแย้งรองให้เป็นความขัดแย้งหลัก
การบริหารราชการของนายกรัฐมนตรี ดร. ทักษิณ ชินวัตร ระหว่างปี พ.ศ. 2544 - 2548
มิได้เป็นอุปสรรคต่อการดำรงอยู่ซึ่งอำนาจในระบอบอำมาตยาธิปไตย นโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีทุนนิยม ก็แค่
สร้างความมั่งคั่งให้กับการคลังของประเทศ ซึ่งชนชั้นสูงเองก็ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นด้วย และการที่
ประชาชนในภูมิภาคสามารถลืมตาอ้าปาก สามารถช่วยตัวเอง และมีชีวิตที่ดีขึ้นจากนโยบายเศรษฐกิจนี้ ก็มิได้
สั่นคลอนอำนาจของอำมาตยาธิปไตยแต่อย่างใด ..นโยบายสวัสดิการสังคม ก็มีเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน
ขณะที่นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ดำเนินนโยบายตามที่สัญญาไว้กับประชาชน ตัวของเขาเองก็ไม่เคยท้าทาย
อำนาจของระบอบอำมาตยาธิปไตย ตรงกันข้าม นายกฯ ทักษิณ เป็นคนที่ประนีประนอม..และโอนอ่อนตามระบอบ
อำมาตยาธิปไตยมากที่สุดคนหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่มุมทางวัฒนธรรม ยกตัวอย่าง "การจัดระเบียบสังคม" ของ
ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รัฐมนตรีมหาดไทยขณะนั้น แม้มีเจตนาที่ดีงาม มีเนื้อหาที่ถูกต้องเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
แต่ทว่า ถ้อยคำ - ทัศนะคติ - วิธีการ ล้วนเป็นกระบวนคิดอำมาตยาธิปไตย
นั่นคือ..ยัดเยียดค่านิยมทางวัฒนธรรม - ศีลธรรมของตนเอง แล้วบังคับใช้ด้วยอำนาจ
ผลที่ได้เบื้องต้นคือความสงบเรียบร้อยของสังคม แต่สิ่งที่ปลูกฝังให้สังคมคือ "อำนาจ" สามารถบังคับให้ได้มาซึ่ง
ทุกสิ่งที่ผู้มีอำนาจต้องการ
นอกจากนั้น นายกฯทักษิณ ยังปล่อยให้ "ผู้นิยมระบอบอำมาตยาธิปไตย" เข้าไปดำเนินนโยบาย
ในกระทรวงวัฒนธรรมอย่างเต็มที่ เรียกได้ว่า ไม่มีการคานอำนาจจากผู้คนที่มีแนวคิดเสรีนิยมหรือแนวคิดแตกต่าง
อาจเป็นเพราะนายกฯทักษิณกำลังเน้นไปที่ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
และเห็นว่ากระทรวงวัฒนธรรมไม่ใช่กระทรวงเศรษฐกิจ เป็นกระทรวงเล็ก..
จึงอาจมองข้ามไปได้ว่า "วัฒนธรรมคืออาวุธ" แม้แต่สหรัฐอเมริกาในช่วงต้นสงครามเย็น ก็ยังก่อตั้งหน่วยงานใต้ดิน
ทางวัฒนธรรมขึ้นมา ดำเนินการโดย CIA เพื่อใช้ศิลปะวัฒนธรรมเป็นอาวุธต่อต้านการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ -
ซึ่งอำมาตยาไทยบางส่วน..จะเข้าใจเรื่องราวในมิติเช่นนี้ดี..
กระทรวงวัฒนธรรมเกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งฝ่ายอำมาตย์ก็มีส่วนร่วมร่างอยู่เกือบทั้งหมด พวกเขาจึงส่งคน
ของตนเองเข้าไปเต็มกระทรวงวัฒนธรรม ก่อตั้งหน่วยงานพิศดารเช่น "ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม" แค่ชื่อก็บ่งบอก
ถึงลัทธิอำนาจนิยม เผด็จการในทุกรูปแบบ แต่เวลานั้น..ไม่มีใครออกมาคัดค้าน ที่ค้านก็ไม่มีคนฟัง เพราะทุกคนคิด
ว่าเป็นเรื่องดีงาม เพราะทุกคนก็อยู่ในกรอบแนวคิดอำมาตยาธิปไตยด้วยกันทั้งนั้น - แล้วการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม
คืออะไร ?? มันคือการเฝ้าดูให้แน่ใจ..ว่าทุกคนจะเป็นไปในกรอบคิดอนุรักษ์นิยม ไม่ต่างจากการ"จัดระเบียบสังคม"
นอกจากนั้น กฎหมายเซ็นเซ่อร์ภาพยนตร์ฉบับแรกจากกระทรวงวัฒนธรรม ยังถือได้ว่าเป็นกฎหมายพิศดาร ที่เป็น
ต้นแบบของรัฐธรรมนูญ 2550 - ต้นแบบวิธีการใช้กฎหมายหลังรัฐประหารของ คตส. ปปช. และอีกสารพัดองค์กรอิสระ
นั่นคือ กฎหมายที่ให้อำนาจหน่วยงานมากเกินไป ให้อำนาจตีความแบบครอบจักรวาล ทำแล้วก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่อ
ผลใดๆที่ตามมา นึกจะเปลี่ยนกติกาใหม่ตอนไหนก็ได้
เมื่อนายกฯทักษิณได้รับคำสั่งให้จัดการปัญหายาเสพติด เขาก็รับไปปฏิบัติอย่างรวดเร็วทันใจ
ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อย และแสดงให้เห็นว่า ดร. ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบ
และชนชั้นอำมาตยาธิปไตย ..เขาทำงานรับใช้ชนชั้นในระบอบนี้อย่างแข็งขัน ไม่ต่างไปจากนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ
ข้อแตกต่างมีเพียงแค่..นายกฯทักษิณทำงานรับใช้ประชาชนไปด้วยในเวลาเดียวกัน
และประชาชนผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย หรือ ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่มีความเป็นปฏิปักษ์ต่ออำมาตยาธิปไตย
แถมยังเป็นประชาชนที่รู้จักเพียงคำว่า "เห็นควรด้วย" เห็นดีงามไปกับค่านิยมอำมาตยาธิปไตยเสียทุกเรื่องทุกประเด็น
มาถึงจุดนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่ระบอบอำมาตยาธิปไตยต้องเผชิญกับ"ความขัดแย้งหลัก"ในอนาคตอันใกล้
ความแตกต่างของนายกฯทักษิณ คือเขาไม่รับคำสั่งจากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
นอกจากนั้น ดร.ทักษิณ ชินวัตร ยังต้องการรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน
การจะทำนโยบายให้ได้ผลรวดเร็ว จำเป็นต้องปฏิรูปเปลี่ยนแปลงระบบราชการหลายต่อหลายอย่าง
และโดยส่วนตัว เขาเป็นคนอ่านหนังสือมาก ..รู้มากพอๆกับนักวิชาการในมหาวิทยาลัยไทย ปัญหาหลายอย่างใน
ระบบการศึกษาไทย เป็นเรื่องที่คนในสายงานต่างวิพากษ์วิจารณ์กันมานานพอสมควร โดยเฉพาะ "คุณภาพการ
ศึกษาของมหาวิทยาลัยไทย" ที่ยังเป็นเรื่อง "น่าสงสัย" ..งานวิจัยที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน อาจารย์มหาวิทยาลัยไทย
จำนวนไม่น้อยที่เด็กเกินไป ประสบการณ์ในแขนงวิชาน้อยเกินไป ..และอีกมากมาย แต่เมื่อนายกฯทักษิณพูดถึง
ปัญหาเหล่านี้ในที่สาธารณะ สิ่งที่ตามมาคือความโกรธอาฆาตแค้นของนักวิชาการไทยจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะใน
มหาวิทยาลัยศักดินาทั้งหลาย
ความหมั่นไส้ โกรธแค้น อิจฉาริษยาในเรื่องส่วนตัว
บวกกับ ความกลัว ของกลุ่มอำนาจบางกลุ่ม ที่มองว่านายกฯคนนี้ กำลังเป็นที่โปรดปรานของชนชั้นสูงบางคน และ
อาจส่งผลให้นายกฯทักษิณก้าวขึ้นมามีอำนาจวาสนาในฐานะ "ผู้มีบารมี" แทนที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ก็เป็นได้
ดังนั้น ขบวนการโค่นทักษิณ จึงก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
มาถึงตรงนี้ก็ยังเป็นเพียง "ความขัดแย้งรอง"
การโจมตีนายกฯทักษิณ ชินวัตรตลอดสี่ปีของการเป็นรัฐบาล..ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรเลย
เพราะประชาชนจำนวนมากชื่นชมผลงานของรัฐบาล ประชาชนเริ่มมีความหวังกับอนาคตของตน ดังนั้น การเลือกตั้ง
ในปี พ.ศ. 2548 พรรคไทยรักไทยจึงได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นอีก 127 ที่นั่ง เป็น 375 ที่นั่งจากทั้งหมด 500 ที่นั่ง เท่ากับว่า
พรรคไทยรักไทยครองเสียงข้างมากในรัฐสภา..แบบเบ็ดเสร็จพรรคเดียว เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศไทย
ปรากฏการณ์เช่นนี้ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกต่อชนชั้นอำมาตย์ พวกเขาจึงเร่งระดมสรรพกำลังทุกรูปแบบ ในการโค่น
นายกฯทักษิณ ชนชั้นอำมาตย์สร้างแนวร่วมกับพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง โฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อมวลชนกระแสหลัก
ที่ผูกขาดโดยนายทุนไม่กี่กลุ่ม (เมื่อย้อนดูแหล่งที่มาของเงิน + อิทธิพล จะเห็นว่าสื่อไทย คือนายทุนไม่กี่คน) และ
ในครั้งนี้..ชนชั้นอำมาตย์มีแนวร่วมสื่อมวลชนเพิ่มขึ้นอีก คือ สนธิ ลิ้มทองกุล
ความโอนอ่อนต่อชนชั้นอำมาตย์ ทำให้นายกฯทักษิณยอมยุบสภา ทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็น.. และต้องมาเผชิญ
หมากกลง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เช่นการไม่ยอมลงเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ การใช้กระบวนการศาลทำให้การ
เลือกตั้งเป็นโมฆะด้วยเหตุผลไม่เป็นสาระ แถมยังยอมเว้นวรรคทางการเมือง..โดยลาพักจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ซึ่งเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอสมควรแก่เหตุ แต่ฝ่ายอำมาตย์ยังคงรุกไล่ ตามบี้อย่างไม่จบสิ้น .. สื่อมวลชนกระแสหลัก
ซึ่งรับใช้กลุ่มทุนอำมาตย์ (ทุนนิยมสามานย์) ยังคงโหมกระพือให้ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น
คะแนนเสียงเดิมของพรรคไทยรักไทย
โดยเฉลี่ยจะอยู่ระหว่าง 14 - 16 ล้านคะแนน บวกลบไปตามสถานการณ์การเลือกตั้ง
ผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 พรรคไทยรักไทย ได้คะแนนรวม 14,077,711 คะแนน คิดเป็น 56.4% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนรวมคิดเป็น 16.1% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
พรรคไทยรักไทยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งสัดส่วนและแบ่งเขต 375 คน จากทั้งหมด 500 ที่นั่ง ยังไม่นับรวม
สมาชิกวุฒิสภาที่ไม่สามารถสังกัดพรรค แต่มีใจฝักใฝ่พรรคไทยรักไทยอีกจำนวนหนึ่ง (ซึ่งอาจเกือบครึ่งวุฒิสภา)
ด้วยคะแนนนิยม หรือคะแนนเสียงมากมายเช่นนี้
ย่อมบ่งบอกถึงฐานมวลชนของพรรค ที่มีมากที่สุดในประเทศ ..
มากที่สุดในประวัติศาสตร์ การที่คนจะเทคะแนนให้ใครมากขนาดนี้ พรรคนั้น หรือตัวบุคคลในพรรคนั้นจะต้องทำ
อะไรไว้เป็นที่ถูกใจประชาชนมากพอสมควร - นี่น่าจะเป็นสามัญสำนึกทั่วไป
แต่นี่คือสิ่งที่ชนชั้นอำมาตย์คิด..
การที่พรรคไทยรักไทยได้คะแนนมากมายเช่นนี้ เพราะมีเงินซื้อเสียง (คือมองว่าประชาชนโง่เง่า และซื้อได้)
มองว่าการมีรัฐบาลเข้มแข็ง มีเสียงเบ็ดเสร็จในสภาเป็น "เผด็จการรัฐสภา" อาจฟังดูโง่เง่ากับตรรกะเช่นนี้ แต่อำมาตย์
และชนชั้นปฏิกิริยาในกรุงเทพสามารถคิดและเชื่อเช่นนี้จริงๆ ดังปรากฏอยู่ตามข้อเขียนในสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์และงาน
วิชาการทั่วไปที่ผลิตออกมาตลอดช่วงเวลานั้น เป็นหลักฐานยืนยันว่าพวกเขาคิดและเชื่อเช่นนั้นจริงๆ
และเมื่อชนชั้นอำมาตย์ - ปฏิกิริยาชนชั้นกลางกรุงเทพฯ ออกมาไล่ชี้หน้าใครต่อใครว่า
"นายกฯทักษิณและพรรคไทยรักไทยใช้วิธีซื้อเสียง" ชนชั้นอำมาตย์อาจต้องการผล..เพียงแค่ทำลายชื่อเสียงของ
พรรคไทยรักไทย และอาจมองข้ามไปว่า คำพูดเช่นนั้น ได้ก่อให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์กับ "ประชาชนไม่ต่ำกว่า 14
ล้านคนที่เลือกพรรคไทยรักไทย" - นี่เป็นการสะสมคะแนนความโกรธแค้นเบื้องต้น
แต่ชนชั้นอำมาตย์จะเข้าใจสิ่งนี้หรือไม่ ( ? )
เพราะในระบอบอำมาตยาธิปไตย นับแต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สถาปนาระบอบอำมาตยาธิปไตยยุคใหม่ขึ้นมา
(ด้วยการรัฐประหาร ช่วงชิงอำนาจมาจากระบอบเผด็จการทหาร fascism) การก่นด่านักการเมืองเป็นวาทกรรมของ
พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง วาทกรรมนี้ช่วยให้พวกเขาดูเหมือนผู้มีจิตสำนึกทางการเมือง ..ส่วนนักการเมืองในระบอบ
เผด็จการอำมาตยาธิปไตยนั้น "ไม่มีตัวตน" เป็นแค่ "นักเลือกตั้ง" ในเทศกาล "ปาหี่ประชาธิปไตย" และนักการเมือง
หรือนักเลือกตั้งเหล่านี้ มีบทบาทน้อยมากในการกำหนดทิศทางประเทศ เพราะทุกอย่างถูกกำหนดมาจากข้างบน แม้
แต่นายกรัฐมนตรีก็ต้องเป็นคนที่ชนชั้นสูงส่งมาให้ นายกรัฐมนตรีที่ไม่เข้าตา หรือทำงานไม่ถูกใจชนชั้นสูง..ก็จะ
ถูกเขี่ยออกไปในเวลารวดเร็ว นายกรัฐมนตรีที่ถูกใจชนชั้นสูง..แต่ไม่เคยมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ยังสามารถอยู่ได้
และได้รับการเยินยอจากสื่อมวลชนกระแสหลัก (ที่ผูกขาดโดยชนชั้นสูงไม่กี่คน)
นายกรัฐมนตรีที่ถูกชนชั้นสูงที่เขี่ยทิ้ง แล้วยังไม่ยอมลาออก ..ก็จะถูกรัฐประหาร -
แต่ทว่า "บทบาทนักเลือกตั้ง" เปลี่ยนไปหลังจาก 4 ปีของพรรคไทยรักไทย
ในการเลือกตั้งครั้งแรก พรรคไทยรักไทยอาจชนะมาด้วยเหตุหลากหลายประการ คือชนชั้นกลางส่วนหนึ่งอาจเบื่อ
พรรคประชาธิปัตย์ อยากลองของใหม่คือทักษิณ ชินวัตร อีกส่วนหนึ่งคือการรวมก๊กเหล่าทางการเมืองเข้าไว้ใต้ชายคา
เดียวกัน (อันเป็นผลงานของเสนาะ เทียนทอง ในการรวมก๊กต่างๆ) - แต่นั่นก็เป็นการเลือกตั้งในครั้งแรกของพรรค ..
ต่อเมื่อปี 2548 นโยบายหลายอย่างเป็นรูปธรรม มีความสำเร็จพึงพอใจเกิดขึ้นในหมู่ประชาชน สิ่งเหล่านี้คือ "ความหวัง"
ของผู้คนใต้สังคมอำมาตย์ ที่ถูกกดขี่มานาน ยกตัวอย่างเช่น ประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค หมายถึงประชาชน
ซื้อบริการสุขภาพ..ด้วยราคาถูกแค่ 30 บาท แต่ก็เป็น "การซื้อ" ไม่ใช่ "การร้องขอ" และโรงพยาบาลต้องให้บริการอย่าง
เท่าเทียม เป็นหน้าที่..ไม่ใช่ทำด้วยเวทนา หรือเป็นบุญคุณ - นี่คือ "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ที่ประชาชนต้องการจาก
นโยบายเหล่านี้ และรัฐบาลไทยรักไทยก็สามารถทำให้ได้จริง ดังนั้น การเลือกตั้ง ปี 2548 จึงเป็นการแสดงประชามติของ
ประชาชน ที่ต้องการสานต่อความหวังและอนาคตของพวกเขา
วาทกรรมก่นด่านักการเมืองหลังจากปี 2548 จึงไม่ใช่การด่านักการเมืองที่ไม่มีตัวตน
แต่เป็นการด่า..ที่เจาะจงไปยัง ประชาชน ผู้เลือกนักการเมืองเหล่านั้นขึ้นมา นี่คือสิ่งที่
ชนชั้นอำมาตย์ และปฏิกิริยาชนชั้นกลางกรุงเทพฯตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลง (อย่างฉับพลัน)
ของสังคมภายนอก และสิ่งเหล่านี้เริ่มสร้างรอยปริร้าวขึ้นทีละเล็กละน้อย
จากนั้นชนชั้นอำมาตย์ยังสร้าง กลุ่มพันธมิตรฯขึ้นมาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย สนับสนุนด้วยบทความ
ข้อเขียน ศิลปะ วิชาการจากพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ เป็นการตอกย้ำว่า สิทธิพลเมืองของประชากร 16.1%
นั้นยิ่งใหญ่และเหนือกว่าสิทธิของประชาชน 56.4% - สิ่งเหล่านี้ช่วยขยายรอยแยกในสังคมให้รุนแรงมากขึ้น และที่
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯไม่สามารถโค่นรัฐบาลลงได้ ก็ต้องใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจ เรียกว่าเป็นการ
หักดิบ ..และเป็นจุดแตกหักที่ไม่อาจเยียวยาได้อีกต่อไป
ความมุ่งมั่นของชนชั้นอำมาตยาธิปไตยที่จะกำจัดนายกฯทักษิณ..
เป็นเพียงความขัดแย้งรอง คือความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นสูงด้วยกันเอง
แต่ทว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้เปลี่ยนความขัดแย้งรอง ให้กลายเป็นความหลัก
กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้น ระหว่างระบอบการปกครอง ระหว่างอำมาตยาธิปไตยกับประชาธิปไตย
เป็นความขัดแย้งที่ "ประชาชน" กลายมาเป็นคู่กรณีโดยตรงกับชนชั้นอำมาตย์และพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง
02
พ.ศ. 2549 - 2550 ชนชั้นอำมาตย์ยิ่งรุกไล่ ความแตกแยกยิ่งขยายวง
หลังจากการัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ฝ่ืายอำมาตยาธิปไตยสามารถยึดครองการใช้อำนาจรัฐ และอำนาจสื่อมวลชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็ยัง
ไม่สามารถบริหารราชการอย่างราบรื่น เรียกกันว่า "ยึดเมืองได้แต่ปกครองไม่ได้" ชนชั้นอำมาตย์ตั้งสมมุติฐาน
ไว้ว่า หากกำจัด ดร.ทักษิณ ชินวัตร ไปแล้ว พวกตนก็จะกลับมามีอำนาจเต็มได้ดังเดิม เหมือนครั้งที่เคยกำจัด
รัฐบาลของพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ หรือเมื่อครั้งที่กวาดล้างผู้สนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์
แต่ทว่ารัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มิได้เป็นอย่างที่ชนชั้นอำมาตย์คาดคิดไว้
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร เรียกปรากฏการณ์ "อารยะขัดขืน" นี้ว่า "คลื่นใต้น้ำ"
นั่นคือ คณะรัฐประหาร (คมช.) รู้ว่ามีการต่อต้าน มีประชาชนไม่ให้ความร่วมมือกับพวกเขาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่รู้ว่า
ประชาชนที่ต่อต้านพวกเขามีหน้าตาอย่างไร เป็นใคร และอยู่ที่ไหนกันบ้าง การแทรกซึมเข้าไปในองค์กรที่ต่อต้าน
การรัฐประหาร ก็เป็นแค่การแทรกซึมเข้าสู่องค์กรเล็กๆ และไม่สามารถโยงใยไปสู่การจับกุมองค์กรที่ใหญ่กว่านั้น ครั้น
จะตามจับปลาเล็กปลาน้อย ก็เกรงว่าจะทำให้ปลาใหญ่ไหวตัวทัน..แล้วหลบหนีไปเสียก่อน ครั้นเมื่อแทรกซึมนานวัน
ก็ยิ่งพบว่าปลาเล็กปลาน้อยมีอยู่มากมาย จะจับก็ง่ายดาย..แต่คงไม่มีวันหมด
และที่สำคัญคือพวกเขาไม่เคยเจอปลาใหญ่ที่จินตนาการไว้เลย -
บทสรุปง่ายๆของชนชั้นอำมาตย์ (และพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางกรุงเทพ) จึงชี้ไปที่ ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นต้นเหตุ
เป็นหัวเรือใหญ่ เป็นปลาใหญ่ เป็นปัญหาของทุกอย่างในชีวิตชนชั้นอำมาตย์.. ดังนั้น การตามล่าตามล้าง ตามรังควาน
อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร จึงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น ยกระดับความอำมหิตมากขึ้นอย่างไม่สนใจกฎกติกา
ซึ่งเป็นเรื่องตลกหักมุมในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะช่วงเวลานั้น ดร.ทักษิณได้ถอดใจ แพ้หมดรูปไปตั้งแต่วินาที
ที่เขาตัดสินใจ "ไม่ยอมตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น" ทั้งที่มีเสียงสนับสนุนจากนานาประเทศมากเพียงพอ มีประชาชนในประเทศ
ที่พร้อมจะลุกขึ้นสู้อีกนับล้าน มีกองทหารที่รอฟังคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ต่อสู้กับคณะรัฐประหาร - แต่การเลือกที่จะ
ไม่ต่อสู้ ไม่ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น .. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม .. เท่ากับว่าดร.ทักษิณประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข..
แน่นอนว่า ยังมีเรื่องราวความรักความผูกพันที่ ดร. ทักษิณมีต่อผู้บงการรัฐประหารครั้งนี้ แต่นั่นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง -
จุดหักเหสำคัญ..อยู่ที่ประชาชนยังไม่ยอมแพ้
ประชาชนยังไม่ยอมแพ้ และทำการต่อต้านในรูปแบบต่างๆ ด้วยสันติวิธี ปราศจากความรุนแรง (เพราะไม่มีอาวุธ)
เป็นการอารยะขัดขืนที่ประชาชนคิดและปฏิบัติกันเอง..โดยมิได้นัดหมาย แต่บังเอิญว่าพวกเขาคิดคล้ายๆกัน..เป็น
จำนวนมาก เป็นสัดส่วนเกือบทั้งหมดของภาคเหนือ ภาคอีสาน และอีกเกือบครึ่งหนึ่งของประกรในกรุงเทพ จึงเกิดสื่งที่
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินเรียกว่า "คลื่นใต้น้ำ"
ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้นั้น ประชาชนต้องมีสำนึกทางการเมือง
ประชาชนต้องรู้ว่าตนเองต้องการอะไร และกำลังได้อะไรที่ตนเองไม่ต้องการ
นี่คือสิ่งที่ชนชั้นในระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่เข้าใจ ชนชั้นอำมาตยาธิปไตยมองประชาชนเป็นไพร่ทาส ทั้งๆที่ระบบไพร่
ถูกยกเลิกไปกว่าร้อยปี..ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว แต่เมื่อชนชั้นอำมาตยาธิปไตยมองคนเป็นไพร่ พวกเขาจึงไม่เคยคิด
ว่า ประชาชนจะสามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยตนเอง ..และเป็นเพราะชนชั้นอำมาตย์มองประชาชนเป็นไพร่ทาสในลักษณะนี้
ชนชั้นอำมาตย์จึงไม่เข้าใจว่า "นโยบายประชานิยม" ของรัฐบาลทักษิณจะนำไปสู่อะไร ..หรือประชาชนเหล่านี้กำลังต่อสู้
เพื่ออะไร (ทั้งที่ภายหลังก็รู้ว่าสู้กับใคร) การประเมินสถานการณ์ของชนชั้นอำมาตย์จึงผิดพลาดมาตลอดปี 2549 - 2550
มักจะมีคำกล่าวในทำนองว่า..
"ดูเหมือน สิทธิพลเมือง ในความคิดของชนชั้นอำมาตย์ จะครอบคลุมแค่พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพ และ/หรือ
ชนชั้นกลางในต่างจังหวัดที่ปรารถนาจะเป็นเช่นคนกรุงเทพ แม้แต่ชนชั้นต่ำที่ภักดีต่อระบอบอำมาตยาธิปไตยก็ยังไม่ได้
รับสิทธิพลเมืองทางสังคมเช่นนี้"
ดังนั้น ชนชั้นอำมาตย์ยังมองความขัดแย้งนี้เป็นความขัดแย้งรอง
คือเป็นเรื่องระหว่างกลุ่มอำนาจของพวกตน..ต่อสู้กับกลุ่มอำนาจของทักษิณ ชินวัตร
ชนช้นอำมาตย์จึงพยายามมองหา "ท่อน้ำเลี้ยง" มองหา "องค์กรหลัก" หรือ ปลาตัวใหญ่ ..
ด้วยคิดว่า ถ้ากำจัดสิ่งที่ว่าไปได้ ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์..ด้วยดี แต่ชนชั้นอำมาตย์ก็ไม่เคยค้นพบและทำลาย
สิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้นได้เลย นั่นเป็นเพราะ ตั้งแต่ กันยายน 2549 มาจนถึงมิถุนายน 2550 ไม่เคยมีปลาตัวใหญ่
ความจริงแล้ว "คลื่นใต้น้ำ" หรืออารยะขัดขืนด้วยสันติวิธี..ของประชาชนที่อยู่กระจัดกระจายทั่วประเทศนั้น ย่อม
ไม่สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนอะไรแก่คณะรัฐประหารได้เลย ไม่สามารถเป็นพลังปะทะกับระบอบอำมาตยาธิปไตยได้
แม้แต่น้อยนิด ยิ่งไปกว่านั้น ประชาชนส่วนใหญ่ในปี 2549 - 2551 ยังไม่รู้จักคำว่า อำมาตยาธิปไตย เสียด้วยซ้ำ (!!)
ทั้งๆที่ถูกครอบงำด้วยกระบวนคิดอำมาตยาธิปไตยกันมาตลอดชีวิต..
แต่เป็นเพราะ
อาการฟาดงวงฟาดงาอาละวาดของชนชั้นอำมาตยาธิปไตยนี่เอง.. ที่สร้างขบวนการต่อต้านขึ้นมา
และแน่นอน ชนชั้นอำมาตย์ยังมองว่า "ทักษิณสู้" จึงยิ่งรุกไล่ ..รุกไล่คนที่ถอดใจยอมแพ้ไปนานแล้ว
แต่กลับปล่อยให้ "ประชาาชน..ที่ยังไม่ยอมแพ้" มีโอกาสขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ
ชนชั้นอำมาตย์มองหาปลาใหญ่ จึงมองไปที่"พรรคไทยรักไทย" นี่ก็เป็นข้อผิดพลาดของชนชั้นอำมาตย์
เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงทีเดียว เพราะพรรคไทยรักไทย มิได้มีพลังอะไรหลงเหลือ ทั้งนักการเมืองหลายต่อ
หลายกลุ่มในพรรคก็เป็นพวกทรยศ เป็นไส้ศึกให้อำมาตย์ตั้งแต่ต้น .. หัวหน้าพรรคคนเก่าคือทักษิณ ชินวัตรก็ได้
ถอดใจลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคไปตั้งแต่ต้นเช่นกัน ..จาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคก็ทำได้
เพียงแค่ท่าทีและความมุ่งมั่นที่จะรักษาสภาพของพรรคเอาไว้เท่านั้น
พรรคไทยรักไทยจึงไม่ใช่ขุมกำลังที่เป็นอันตรายกับคณะรัฐประหาร หรือระบอบอำมาตยาธิปไตยในขณะนั้น
อันที่จริง การก่อรัฐประหารคือการปล้น
ดังนั้น หากคณะรัฐประหารจะประกาศยุบพรรคการเมืองทุกพรรคในประเทศ..ตั้งแต่คืนที่ปล้นสำเร็จก็สามารถทำได้
และโจรรัฐประหารคณะอื่นๆในอดีต ก็เคยทำเช่นนี้มาแล้ว
แต่ทว่าชนชั้นอำมาตย์ในปี 2549 ปนเปื้อนไปด้วย "พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางกรุงเทพ" ที่เพิ่งเข้าสู่ระบอบอำมาตย์
ได้ไม่นาน ชนชั้นอำมาตย์ใน พ.ศ. นี้จึงพกพา "จริตคนกรุงเทพ" หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "ตอแหล - ดัดจริต"
และความตอแหล ดัดจริตนี้เอง ผู้บงการคณะรัฐประหารจึงละเว้นการยุบพรรคการเมืองต่างๆไว้ เพื่อนำขึ้นเวทีเชือด
ด้วยคณะตุลาการ เพื่อให้ดูเหมือนเป็นการกระทำที่ถูกต้องชอบธรรม คือพรรคไทยรักไทยจะถูกยุบด้วยกระบวนการ
ทางกฎหมาย..มิใช่โดยคณะรัฐประหาร ซึ่งเป็นตรรกะที่ซับซ้อนอย่างไม่มีสาระเท่าใดนัก เป็นการเล่นปาหี่กันเองใน
หมู่คณะ เป็นโฆษณาชวนเชื่อให้กับกลุ่มประชากรของตนเอง..ที่มีความเชื่อเช่นนั้นอยู่เดิมแล้ว
การนำคดียุบพรรคไทยรักไทย และ พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นสู่กระบวนพิจารณาในปี 2550
แทนที่จะเป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่การรัฐประหาร กลับส่งผลให้ความขัดแย้งขยายวงกว้างยิ่งขึ้น สาเหตุคือ..
เมื่อมีการออกกฎหมายใหม่ แล้วนำมาใช้ย้อนหลัง..เพื่อให้เป็นโทษแก่ผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งผิดหลักกฎหมายในโลกสากล
และผิดหลักกฎหมายไทย แต่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ก็บอกว่าทำได้ (ตรงนี้ ควรอ่าน
เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้ออ้างของตุลาการรัฐธรรมนูญ เรื่องการพิจารณาคดีแพ่ง คดีอาญา ซึ่งจะไม่นำมาขยายความ ณ ที่นี้
เนื่องจากมีรายละเอียดมาก และเป็นข้ออ้างที่สับสน ฟังไม่ขึ้น และไม่มีใครใช้ข้ออ้างพิศดารเช่นนี้มาก่อน)
ในคดีเดียวกัน พยาน ซึ่งให้การขัดแย้ง..กลับไปกลับมา ย่อมไม่สามารถรับฟังได้ ไม่สามารถเชื่อถือได้
แต่ในกรณีคดียุบพรรคไทยรักไทย พยานโจทก์กลับคำให้การ และยังร้องว่าตนถูกบังคับให้กล่าวโทษจำเลย ซึ่งโดย
ทั่วไปแล้วศาลต้องยกฟ้องทันที แต่กรณีนี้ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร เลือกที่จะเชื่อ
เฉพาะข้อความที่ให้ร้ายแก่พรรคไทยรักไทย
หลักฐานในคดียุบพรรคไทยรักไทย เป็นภาพถ่ายบางส่วนจากวิดีโอวงจรปิด ซึ่งมิได้บอกเล่าเรื่องราวใดๆ และเป็น
เพียงการ "คาดเดา" ของผู้กล่าวหาเท่านั้น ว่าคนนั้นมาพบกับคนนี้ด้วยสาเหตุนี้ (???) ซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นเพียงภาพของ
คนที่เดินผ่านกันเท่านั้น แต่ทว่า คณะตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ก็เลือกที่จะเชื่อหลักฐานแบบนี้
ขณะเดียวกัน การพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารชุด
เดียวกันนี้ ..กลับมีอีกมาตราฐานหนึ่ง - ซึ่งประชาชนจำนวนมาก ทั้งที่รู้กฎหมายและไม่รู้กฎหมาย ต่างมองว่าเป็นสิ่ง
ที่ "ไม่ยุติธรรม" มองเห็นว่าเป็น "การใช้อำนาจกลั่นแกล้งฝ่ายหนึ่ง แล้วเอื้อประโยชน์ให้อีกฝ่ายหนึ่ง" ..
การใช้อำนาจกลั่นแกล้งอย่างไร้ความยุติธรรมนั้น เป็นเสมือนเชื้อเพลิงที่จุดอารมณ์โกรธแค้นให้ผู้คนในทุกวัฒนธรรม
ได้อย่างร้ายกาจ รุนแรง และคาดเดาไม่ได้ ..แต่ชนชั้นอำมาตย์ และปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพ ก็เลือกที่จะเล่น
กับเชื้อเพลิงอันตรายเช่นนี้..
พรรคไทยรักไทยถูกตุลาการคณะรัฐประหารยุบเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550
วันนั้นไม่มีการจลาจลวุ่นวายใดๆเกิดขึ้น ผู้คนที่ไปให้กำลังใจพรรคไทยรักไทยก็ไปกันอย่างสงบ
กลุ่มต่อต้านรัฐประหารหลายๆกลุ่มที่ยึดครองสนามหลวงอยู่ขณะนั้น ก็มิได้เคลื่อนไหวก่อเหตุใดๆ กลุ่ม PTV ก็มิได้
เคลื่อนไหวอะไร ซ้ำยังย้ำเตือนให้ประชาชนอยู่ในความสงบ.. อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์เหล่านี้..คือลางบอกถึง
ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์
ความสงบในวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 มิได้หมายถึงการยอมจำนน
แต่ความสงบของคืนวันนั้น คือพลังที่คาดเดาไม่ได้ของมวลมหาประชาชนที่สะสมและเพิ่มทวีคูณ
ในช่วงเวลาสั้นๆ ชนชั้นอำมาตย์อาจวางใจว่าการโค่นกลุ่มอำนาจของ ดร.ทักษิณ ชินวัตรน่าจะจบลงได้ เพราะพรรค
ไทยรักไทยถูกยุบแล้ว ถูกตัดสิทธิทางการเมืองรวดเดียว 111 คน แล้วยังมีคดีประหลาดๆที่ คตส. เตรียมปั้นแต่งให้
เป็นโทษแก่นายกฯทักษิณอีกเป็นจำนวนมาก (แต่ที่สุดก็สามารถส่งฟ้องได้แค่คดีเดียว) ส่วนการชุมนุมต่อต้านของ
ประชาชนนั้น ชนชั้นอำมาตย์มองว่าเป็นแค่ "ม๊อบรับจ้าง" น่าจะหมดแรงไปในเวลาไม่นาน เนื่องจากชนชั้นอำมาตย์
ได้กำจัดปลาใหญ่ กำจัดท่อนน้ำเลี้ยงไปแล้ว ดังนั้น เหล่าชนชั้นสูงจึงอาจจะคิดว่า ร่างรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจของ
ชนชั้นตนเองขึ้นมา จัดปาหี่เลือกตั้ง..เพื่อให้ดูคล้ายสังคมประชาธิปไตย จากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็จะขึ้นเป็นรัฐบาล
แน่นอนว่า..ทุกอย่างที่กล่าวมาไม่เคยเกิดขึ้นได้จริง
การใช้อำนาจกลั่นแกล้ง ความอยุติธรรม สองมาตราฐาน ก่อให้เกิดความไม่พอใจขึ้นอย่างมากมายในหมู่ประชาชน
ผู้คนที่เคยทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่างออกมาร่วมชุมนุม แสดงความรู้สึกต่อต้านมากขึ้น
"ความขัดแย้งรอง" ได้กลายเป็น "ความขัดแย้งหลัก" อย่างสมบูรณ์
และเพิ่มอัตราความเข้มข้น ร้าวลึกมากขึ้นทุกขณะ ยิ่งสื่อมวลชนกระแสหลักพยายามบิดเบือนข่าว โกหกตอแหลมาก
ขึ้นเท่าใด ความโกรธแค้นและจำนวนผู้คนที่เข้ามาร่วมกับ นปก. ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งชนชั้นอำมาตย์รุกไล่ดร.ทักษิณ
มากแค่ไหน จำนวนผู้คนในภูมิภาคยิ่งแสดงความสงสารเห็นใจดร.ทักษิณเป็นเท่าทวีคูณ -
มาถึงจุดนี้ คำว่า "อำมาตยาธิปไตย" กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนรู้จักกันมากขึ้น
การชุมนุมทางการเมืองนั้น ไม่ใช่การนั่งฟังบรรยายในห้องเรียน การปราศรัยบนเวทีเป็นแค่กิจกรรมหนึ่ง เป็นเพียงยอด
ของภูเขาน้ำแข็ง กิจกรรมความเคลื่อนไหวแท้จริงอยู่บนสนาม อยู่ระหว่างประชาชนผู้มาร่วมชุมนุมด้วยกันเอง พวกเขา
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร สร้างเครือข่ายของตนเอง และขับเคลื่อนเป็นกลุ่มย่อยๆตามทางถนัด
การชุมนุมต่อเนื่องเป็นเวลากว่าสองเดือนครึ่งของ นปก. ได้หล่อหลอมความคิดประชาชนจำนวนมาก
ยิ่งไปกว่านั้น การชุมนุมของ นปก. เป็นการชุมนุมที่ถูกขัดขวางจากภาครัฐในทุกวิถีทาง
ถูกบิดเบือนเรื่องราวจากสื่อมวลชนกระแสหลัก ถูกเยาะเย้ยถากถางจากพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ
สิ่งเหล่านี้ยิ่งสร้างความสัมพันธ์แน่นแฟ้นในกลุ่มประชาชน พวกเขาสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย
ในช่วงเวลาครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา พวกเขาสามารถมองเห็นสิ่งที่ชนชั้นอำมาตย์กระทำกับผู้คน .. สิ่งเหล่านี้ ผู้คนส่วนใหญ่
ไม่เคยสนใจมาก่อน หรือมองเห็นแต่ไม่เคยฉุกคิด ..กระทั่งเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาถึงยุบพรรคไทยรักไทย
ปรากฏการณ์ที่ทำให้คนตาสว่างขึ้นมากมาย
เพียงแค่เดือนแรกของการชุมนุมในนาม นปก. (มิถุนายน 2550) เนื้อหาของการต่อต้านรัฐประหารก็เริ่มเปลี่ยนไป
เริ่มมีพูดถึงการ "โค่นระบอบอำมาตยาธิปไตย" กันมากขึ้น นี่คือความคิดของประชาชนผู้มาร่วมชุมนุมที่ท้องสนามหลวง
และยิ่งแนวคิดโค่นอำมาตยาธิปไตยแพร่กระจายออกไป แบบปากต่อปาก จำนวนชนชั้นกลางในกรุงเทพก็ยิ่งเข้ามาร่วม
มากขึ้น - เริ่มเป็นขบวนการประชาชนที่ขยายวงออกไป
เริ่มมีการตั้งคำถามว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษนั้น ประเทศไทยเคยมีประชาธิปไตยที่แท้จริงบ้างหรือไม่
เริ่มมีการพูดถึงการสถาปนา รัฐประชาธิปไตยที่แท้จริง และควรมีรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
นี่คือแนวความคิดที่ขยายวงกันเองในหมู่ประชาชน ผู้มาร่วมชุมนุมที่สนามหลวงในช่วงกลางปี 2550
"ความขัดแย้งหลัก" เกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพ ทั้งในภูมิภาค เหนือ อีสาน
ในขณะที่ชนชั้นอำมาตย์ยังมองว่านี่เป็นแค่"ความขัดแย้งรอง" ที่พวกเขายังคงจำเป็นต้องรุกไล่ดร.ทักษิณ ชินวัตร
ชนชั้นอำมาตย์ยังมองว่ามวลชน นปก. เป็นแค่"ม๊อบรับจ้าง"ของ ดร.ทักษิณ และน่าจะอ่อนแรงไปเอง ..
การที่ชนชั้นอำมาตย์มีวิธีคิดเช่นนี้ กลับกลายผลดีต่อมวลชนฝ่ายประชาธิปไตย
เพราะทำให้มวลชนมีเวลาหล่อหลอมความคิดให้กันและกัน มีเวลาสะสมกำลังทรัพย์
กำลังคน และอื่นๆ ..ในขณะที่ชนชั้นอำมาตย์ยังคงวิ่งไล่เงาของทักษิณ ชินวัตร
03
การเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 ภายใต้รัฐธรรมนูญอำมาตยาธิปไตย
แม้ว่าชนชั้นอำมาตย์จะระดมสรรพกำลังทุกชนิดที่มี จนสามารถทำให้ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ผ่านการประชามติ
แต่ก็เป็นชัยชนะที่น่าสงสัย ซ้ำยังแสดงให้เห็นภาพของความขัดแย้งที่เด่นชัดในสังคม เป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่านี่คือ
"ความขัดแย้งหลัก" ไม่ใช่"ความขัดแย้งรอง" ในภาคเหนือ ภาคอีสาน ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนี้ด้วยเปอร์เซ็นต์ที่สูงลิ่ว
ขณะที่ภาคใต้ - กรุงเทพฯแสดง"ความเห็นชอบต่อระบอบอำมาตยาธิปไตย"อย่างสูงสุดเช่นเดียวกัน
การลงประชามติ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ชนชั้นอำมาตย์ได้ใช้สื่อมวลชนกระแสหลักทุกชนิด ทั้งโทรทัศน์ วิทยุและ
หนังสือพิมพ์ รวมไปถึงนิตยสารที่ไม่เกี่ยวข้องการเมือง ในการโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนตอบรับร่างรัฐธรรมนูญของ
อำมาตยาธิปไตย มีการใช้สื่อมวลชนกระแสรอง เช่นวิทยุชุมชน อินเตอร์เนต ใบปลิวแผ่นพับ เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันนี้
มีการใช้กลไกของรัฐทุกหน่วยงาน ใช้กำลังพลของกองทัพ และสารพัดวิธีการ
อีกทั้งยังกีดกันไม่ให้ "ผู้คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ 50" ได้มีโอกาสแสดงความเห็นของตน
ในภาคเหนือ อีสาน..ทุกพื้นที่ที่ นปก. จะเข้าไปตั้งเวทีเพื่อแสดงข้อมูล - ความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญอำมาตย์ฉบับนี้
ทุกพื้นที่จะมีการขัดขวางจากหน่วยงานราชการอย่างเต็มกำลัง มีการใช้กำลังพลของกองทัพไปข่มขู่คุกคามประชาชน การ
จัดเวลาให้"ผู้คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ 50"ได้มีโอกาสชี้แจงมุมมองของตนตามรายการโทรทัศน์ ก็เป็นไปอย่างน้อยนิด เป็น
แค่ไม้ประดับไม่กี่นาที เพียงเพื่อให้ดูเหมือนว่า..อำมาตย์ได้เปิดโอกาสให้แล้ว..ก็เท่านั้น
ระหว่างประชามติ หลายจังหวัดในภาคเหนือ ภาคอีสานยังคงอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก
แต่แล้ว..ผลประชามติก็ออกมาตามที่เห็น
จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งขณะนั้น 45,092,955 คน -
ออกมาใช้สิทธิ์เพียง 25,978,954 คน หรือคิดเป็น 57.61%
และในจำนวนนี้ มีผู้เห็นชอบจำนวน 14,727,306 คน หรือ 57.81%
ขณะที่มีผู้ไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถึง 10,747,441 คน หรือ 42.19%
และยังมีบัตรเสียถึง 504,207 ใบ (ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย)
เมื่อร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ผ่านประชามติ (อย่างเฉียดฉิว) และจะต้องประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญในเวลาอันใกล้
เท่ากับว่าชนชั้นอำมาตย์ได้ผูกมัดตนเองเข้าสู่ "การเลือกตั้ง" ในเร็ววันเช่นกัน เมื่อดูคะแนนเสียงประชามติในพื้นที่
ต่างๆแล้ว ฝ่ายประชาธิปไตยก็มีความมั่นใจมากขึ้น เพราะหลังจากการรัฐประหาร การยุบพรรคไทยรักไทย การ
รุกไล่ดร.ทักษิณ ชินวัตรอย่างรุนแรง การบิดเบือนข่าวให้ร้ายแก่ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย การโฆษณาชวนเชื่อ
ที่ใช้สื่อมวลชนทุกแขนง การปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร ..ทั้งหมดนี้ยังไม่สามารถสั่นคลอนฐานเสียงของพรรคไทยรักไทย
ได้มากนัก โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคอีสาน -
พรรคไทยรักไทย..ซึ่งแปลงร่างมาสู่ "พรรคพลังประชาชน" จึงมั่นใจว่าสามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้แน่นอน
หรือถ้าจะแพ้ (ในกรณีที่ถูกโกงอย่างถล่มทลาย) ก็คงไม่แพ้มากมาย น่าจะเป็นพรรคที่มีคะแนนเป็นอันดับสอง
คืนวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ไม่กี่ชั่วโมงหลังปิดหีบลงคะแนน
นปก. ประกาศยุติการชุมนุมที่ท้องสนามหลวง เพื่อเตรียมปรับองค์กรสนับสนุนการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น และยกระดับ
การต่อสู้ทางการเมืองไปสู่ระดับชาติ มีแผนการขยายสาขาไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ และพวกเขามั่นใจว่าการเลือกตั้ง
มิใช่จุดจบของปัญหา แต่เป็นการต่อสู้ยกใหม่ ถึงแม้ว่าชนะการเลือกตั้ง..ได้เป็นรัฐบาล ปัญหาก็ยังไม่อาจยุติลงได้
นปก. จึงต้องดำรงอยู่เพื่อรับกับสถานการณ์ที่มิอาจคาดเดาในอนาคต ขณะนั้น พวกเขามักใช้คำว่า ต่อต้านเผด็จการ
ต่อต่านรัฐประหารทุกรูปแบบ
แต่ในหมู่ประชาชนหลายต่อหลายกลุ่มบนท้องสนามหลวง จะพูดถึงการโค่นระบอบอำมาตยาธิปไตยให้สิ้นซาก
คืนวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ..สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หนึ่งในแกนนำ นปก.รุ่นสอง ประกาศสลายการชุมนุม
ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน ไปเตรียมเครือข่ายเพื่อนพ้องของตน เตรียมช่องทางสื่อสาร และเตรียมความพร้อมใน
การต่อสู้ยกต่อไป ..ผู้ชุมนุม นปก. จำนวนมากหันมาเป็นผู้สนับสนุน"พรรคพลังประชาชน"
"แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ" (นปก.)
United Front of Democracy Against Dictatorship (UDD)
เปลี่ยนชื่อมาเป็น "แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ" (นปช.)
National United Front of Democracy Against Dictatorship (NUDD)
ในช่วงหลังประชามติ และ ช่วงก่อนการเลือกตั้ง 2550 นปก. / นปช. ลดบทบาทในที่สาธารณะ แกนนำบางส่วน
ถูกส่งเข้าสังกัดพรรคพลังประชาชน เพื่อเป็นตัวแทนเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ..ประชาชนผู้ร่วมชุมนุม เปลี่ยนบทบาท
กลายเป็นสมาชิกพรรค และเป็นสมาชิกพรรคที่มีปากเสียงได้ตลอดเวลาเสียด้วย ส่วนหนึ่ง คงเป็นผลจากการที่
พวกเขาเคยต่อสู้ภาคสนามติดต่อ - ร่วมกันมาเป็นเวลาหลายเดือน เคยแม้กระทั่งเจ็บตัวร่วมกัน (จากการที่ตำรวจ
สลายการชุมนุมหน้าบ้านสี่เสา เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2550) ประสบการณ์เหล่านี้ น่าจะดึงดูดผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน
เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง
กลุ่ม สส. กรุงเทพ (ส่วนมากคือกลุ่มของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์) ที่เคยยิ่งใหญ่ในพรรคไทยรักไทยก็กลับมา
แสดงบาบาทสำคัญอีกครั้งใน"พรรคพลังประชาชน" ซึ่งเป็นบ้านหลังใหม่ อย่างไรก็ตาม การเมืองหลังจากนี้ แตกต่าง
ไปจากเดิม.. เมื่อกลุ่ม สส.กรุงเทพ(เก่า)เหล่านี้ แสดงอาการตั้งแง่ รังเกียจตัวแทนของ นปก. ที่ถูกส่งเข้าไปในพรรค
ทันใดนั้น ก็เกิดเสียงก่นด่าจากประชาชน ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนพรรค เป็นสมาชิกพรรค และเป็น นปก. ในกรุงเทพ..
สมาชิกพรรค..หรือมวลชน นปก. มองกลุ่มสส.เก่ากรุงเทพเหล่านี้ว่า ในยามถูกรัฐประหารก็หดหัว ในยามประชาชน
ออกมาต้านรัฐประหารที่สนามหลวง สส.เหล่านี้ก็ไม่เคยมาร่วม นอกจากไม่ร่วมแล้วยังออกแนวคัดค้าน หาทางสมสู่
กับชนชั้นอำมาตย์อยู่เนืองๆ ซ้ำร้าย..เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง พวกขี้ขลาดตาขาวเหล่านี้ยังออกมาพูด
ทำนองว่า ไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับ นปก. เพราะมีภาพพจน์รุนแรง ไม่ต้องใจคนกรุงเทพฯ - แน่นอนว่า นี่คือแนวคิด
ตอแหลดัดจริตของพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง ที่พูดตามสื่อกระแสหลัก..ซึ่งรับใช้อำมาตยาธิปไตย และเมื่อเป็นเช่นนี้
กลุ่ม สส.เก่ากรุงเทพเหล่านี้ จึงเป็นคนในระบอบอำมาตยาธิปไตยมากกว่า ดังนั้น จึงไม่ควรมีสิทธิลงเลือกตั้งในนาม
พรรคพลังประชาชน ควรไปอยู่พรรคประชาธิปัตย์ - นี่เป็นความคิดหนึ่งของมวลชนผู้สนับสนุนพรรคพลังประชาชน
แน่นอนว่า สมาชิกพรรคพลังประชาชนไม่ได้เป็น นปก. ทั้งหมด แต่ นปก. ก็มีอยู่มากในพรรค
เป็นปรากฎการณ์ที่..ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในพรรคการเมืองของตน เป็นการเมืองภาคประชาชนจริงๆก็ว่าได้
และการเมืองภาคประชาชนนั้น การประนีประนอม หรือถนอมน้ำใจ..เป็นเรื่องยาก ประชาชนด่าด้วยคำสั้นๆ รุนแรง
และด่าซ้ำๆ เรียงหน้าผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาไม่รู้จบสิ้น เวลาสองเดือนครึ่ง..บนท้องสนามหลวง ได้เปลี่ยนวัฒนธรรม
การเมืองของไทยไปพอสมควรทีเดียว
ทางฝ่ายชนชั้นอำมาตย์ก็เตรียมการรับศึกเลือกตั้งไว้หลายซับหลายซ้อน
ชนชั้นอำมาตย์มี"พรรคประชาธิปัตย์"เป็นพรรคการเมืองหลัก แล้วยังสร้าง"พรรคเพื่อแผ่นดิน"เป็นพรรคสำรอง ใช้
ในการดึงคะแนนเสียงจากภาคอีสาน ซึ่งเป็นฐานเดิมของพรรคไทยรักไทย ในพรรคเพื่อแผ่นดินนี้ ดำเนินการโดย
คนเก่าแก่จากพรรคไทยรักไทย ที่เคยเป็นไส้ศึกให้อำมาตย์..ในการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หรือคนที่ย้ายขั้ว
ไปอยู่กับอำมาตย์หลังรัฐประหาร เรียกว่าเป็นแหล่งรวมคนที่ทรยศหักหลัง ดร. ทักษิณ ชินวัตร
ชนชั้นอำมาตย์มีรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ให้ตนเองอย่างเต็มที่
ชนชั้นอำมาตย์มีองค์การอิสระ ที่ตั้งโดยคณะรัฐประหาร คมช. (ซึ่งอำมาตย์ก็บงการ คมช.อีกทีหนึ่ง)
ชนชั้นอำมาตย์มีกองทัพไทยเป็นกำลังสนับสนุน..ในการเลือกตั้ง ดังจะเห็นได้จากเอกสารลับ คมช. ที่หลุดออกมาสู่
สาธารณะ เช่น หนังสือเลขที่ คมช.0003.5/480 ลงวันที่ 14 กันยายน 2550 ซึ่งมีคำสั่งให้ทำลายพรรคพลังประชาชน
ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะด้วยการใส่ร้ายป้ายสี สร้างข่าวลือ และสารพัดความชั่วร้าย
นอกจากนั้นยังมี หนังสือเลขที่ คมช.0002 /1492 ลงวันที่ 26 กันยายน 2550
เกี่ยวกับการลงคะแนนเลือกตั้ง หนังสือดังกล่าวได้ชี้แจงถึงการลงประชามติที่ผ่านมา เหตุที่พ่ายแพ้ หรือชนะบางพื้นที่
ในหนังสือได้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่าง ทหาร - กลุ่มพันธมิตรฯ - ชนชั้นอำมาตย์ ตอนหนึ่งในเอกสารระบุ
"๒.๒.๒ พื้นที่ ทภ.๓ ปัจจัยที่สนับสนุนที่สำคัญต่อการเห็นชอบ ได้แก่
การรณรงค์ของวิทยากร มท. กลุ่มพันธมิตร และการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง"
แล้วยังมี เอกสาร "ลับมาก" ออกจากส่วนราชการ ยก.ทบ. (กองนโยบายและแผน)
เลขที่หนังสือ กห0403/512 วันที่ 26 กันยายน 2550 เรื่อง สรุปการบรรยายพิเศษและการประชุมมอบโอวาทของ
ผบ.ทบ. ให้กับ ผบ.หน่วยระดับกองพันขึ้นไป โดย พล.ต.อักษรา เกิดผล จก.ยก.ทบ. ทำถึง ผบ.ทบ. เพื่อขออนุญาต
นำคำบรรยายของผบ.ทบ. แจกจ่ายแก่นขต.ทบ. เพื่อนำไปยึดถือเป็นกรอบในการดำเนินการ และนำไปสู่การปฏิบัติ
ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน - เนื้อหาออกแนวล้างสมอง ใส่ร้ายป้ายสี และนำสถาบันกษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้อง
ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2550
คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ (กบว.)
สั่งห้ามมิให้มีการเผยแพร่โฆษณาพรรคพลังประชาชนทางโทรทัศน์
ขณะที่ยินยอมให้พรรคการเมืองอื่นๆกระทำได้ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์
วันที่ 22 ตุลาคม 2550 นพ.ชาญชัย ศิลปอวยชัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ ถูกคนร้ายลอบสังหาร
หลังจากที่เขาหันมาสนับสนุนพรรคพลังประชาชน และมีแนวโน้มว่าอาจจะได้รับการเลือกตั้ง เนื่องจากมีเสียง
สนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมาก
ระหว่างการเลือกตั้งล่วงหน้า 16 ธันวาคม 2550
มีการเผาบัตรเลือกตั้ง 2,500 ใบ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่ง กกต.อธิบายว่าเจ้าหน้าที่"เข้าใจผิด" (???)
โดยบอกว่าบัตร 2,500 ใบที่ถูกเผานั้นเป็นบัตรเก่าที่ใช้ในการลงประชามติ (???)
การเลือกตั้งครั้งนี้ มีผู้ใช้สิทธิลงคะแนนล่วงหน้าเป็นจำนวนมากผิดปกติ วิธีการเก็บหีบบัตรเลือกตั้ง วิธีการนับ
คะแนน ก็เป็นขั้นตอนที่ประชาชนไม่สามารถเข้าไปสอดส่องดูแลได้ ผิดจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาในอดีต..
ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550
การระดมสรรพกำลังอย่างมโหฬารของชนชั้นอำมาตย์..มิได้สูญเปล่า
พวกเขาสามารถทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกมาถึง 165 ที่นั่ง (แบ่งเขต 132 คน สัดส่วน 33 คน)
ขณะที่พรรคสำรองอย่าง พรรคเพื่อแผ่นดิน ชนชั้นอำมาตย์สามารถพาเข้ามาได้เพียง 24 ที่นั่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม..
ปัญหาใหญ่ของชนชั้นอำมาตย์ อยู่ที่พรรคพลังประชาชน ที่ได้มาทั้งหมด 233 ที่นั้ง (แบ่งเขต 199 สัดส่วน 34)
กลายเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภา แม้จะไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้
แต่ทว่าตัวเลขก้ำกึ่งเช่นนี้ ทำให้พรรคอื่นๆ..ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เช่นกัน หากไม่มีพรรคพลังประชาชน
เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
เรื่องหักมุมที่น่าขบขัน พรรคการเมืองสำรองของชนชั้นอำมาตย์ เช่น พรรคเพื่อแผ่นดิน หรือพรรคแยกย่อยเช่น
พรรคมัชฌิมาธิปไตย ..เมื่อลงพื้นที่หาเสียงในภาคอีสานก็ยังต้องแอบอ้างชื่อ ดร. ทักษิณ ชินวัตร ในการขอ
คะแนนเสียงจากประชาชน สรุปแล้ว ทั้งรัฐประหาร ทั้งเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ เขียนกฎกติกาใหม่เพื่อใช้เป็น
ประโยชน์แก่ฝ่ายตน..ชนชั้นอำมาตย์ ..รุกไล่ ดร.ทักษิณในทุกวิถีทาง แต่พอลงสนามเลือกตั้ง ก็ยังอุตส่าห์
เอาชื่อทักษิณมาแอบอ้าง - จนต้องมีการประกาศชี้แจงกันบ่อยๆว่า "ทักษิณของแท้คือพรรคพลังประชาชน"
พรรคพลังประชาชน เป็นพรรคเสียงข้างมากอันดับหนึ่ง แต่ไม่มากพอที่จะตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
พรรคประชาธิปัตย์ มีคะแนนเป็นอันดับสอง และมีเสียงน้อยเกินไป แม้จะรวมกับพรรคการเมืองอื่นๆ ก็ยังไม่พอ
ที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างมั่นคง
ฝ่ายชนชั้นอำมาตย์อาจมีเล่ห์กล ที่จะอาศัยพรรคแยกย่อยต่างๆ พรรคที่มีเสียงไม่มาก..กระจัดกระจายกันไป
แต่เมื่อเข้ามารวมกันในสภาแล้ว ก็พอมีกำลังสนับสนุนชี้ขาดชัยชนะให้ฝ่ายตนเองได้ เป็นยุทธวิธีที่เรียกกันว่า
"แยกกันเดิน รวมกันตี" - อย่างไรก็ตาม แนวร่วมของทักษิณ ชินวัตร ก็เข้าใจวิธีการเช่นนี้ และพวกเขายังเป็น
แนวร่วมตามธรรมชาติอยู่เดิม โดยเฉพาะ สส. ในเขตเลือตั้งที่ประชาชนยังนิยมชมชอบ ดร. ทักษิณ..
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในปี 2550 โอกาสที่ พรรคประชาธิปัตย์ จะรวมพรรคแยกย่อยต่างๆจัดตั้งรัฐบาล จึงเป็นไปไม่ได้
พรรคพลังประชาชน จึงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
วันที่ 29 มกราคม 2551 ..ปีที่ 63 ในรัชกาลปัจจุบันมีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ..
โดยมีนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานรัฐสภาเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ขณะเดียวกัน ตัวแทนจาก นปก. จักรภพ เพ็ญแข รับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ
จตุพร พรหมพันธุ์ เป็น สส. กรุงเทพมหานคร (แบบสัดส่วน) ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ เป็นรองโฆษกรัฐบาล
บุคคลเหล่านี้ ถือเป็นตัวแทนประชาชนผู้ร่วมอุดมการณ์ นปก. เพื่อเข้าไปต่อสู้ เป็นปากเสียงในรัฐบาล
การต่อสู้ที่มีประชาชนเข้ามาร่วม เข้ามามีบทบาทสำคัญ ทำให้วัฒนธรรมการเมืองเปลี่ยนไป เพราะประชาชนใน
ปี พ.ศ.นี้ "จะไม่ตีงูให้กากิน" ..ประชาชนจะไม่ปล่อยให้ "คนที่ไม่เคยออกมาร่วมต่อสู้ ฉกฉวยโอกาสเข้าไปมี
อำนาจวาสนาเพียงฝ่ายเดียว" พวกอ้างความเป็นกลาง..เพื่อจะไม่ต้องลงมือทำอะไร ก็คือ "กาฝาก" และพวก
ชนชั้นกาฝาก หรือ ชนชั้นปรสิต ควรจะต้องถูกกำจัด หรือต้องถูกลดบทบาทลงไปจากสังคมไทยในอนาคต..
04
ชนชั้น และระบอบอำมาตยาธิปไตย
ผลการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ทำให้ชนชั้นอำมาตย์บางส่วนเริ่มรู้สึกว่า ความขัดแย้งครั้งนี้ได้กลาย
สภาพจากความขัดแย้งรอง ไปเป็นความขัดแย้งหลักเสียแล้ว
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
เขาเป็นบุคคลหนึ่งที่ร่วมประชุมที่บ้านของ ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ในการวางแผนโค่นล้ม ดร.ทักษิณ ชินวัตร
(ตามคำบอกเล่าของ พล.อ. พัลลภ ปิ่นมณี) และระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯกำลังชุนุมขับไล่รัฐบาลทักษิณในปี 2549
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ (ตามคำบอกเล่าของสนธิ ลิ้มทองกุล) ได้โทรศัพท์ไปให้กำลังใจ ให้นายสนธิอดทน และ
เมื่อเสร็จงานแล้ว เขาจะให้สถานีโทรทัศน์หนึ่งช่องเป็นรางวัล
หลังจากรัฐประหาร 19 กันยาเสร็จสิ้น - พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2552 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช / หัวหน้าคณะรัฐประหาร ได้กล่าวว่า
ตนเอง (พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน) มีหน้าที่แค่ยึดอำนาจ และต้องคืนอำนาจให้ (ผู้อยู่เบื้องหลัง) ภายในสิบวัน
ดังนั้น หากสิ่งที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน กล่าวเป็นความจริง ก็เท่ากับว่าการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ล้วนถูก
บงการ..และขับเคลื่อนโดยชนชั้นอำมาตย์ หรือกลุ่มคณะที่ประชุมกันที่บ้าน ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา นั่นเอง
เป็นที่รู้กันว่าพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คือผู้มีอำนาจอันดับสองรองจาก เปรม ติณสูลานนท์
แต่ในทางปฏิบัติ หลายคนเชื่อว่ากิจกรรมอำนาจในช่วงหลังนี้ อยู่ในมือของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เกือบทั้งหมด
จากบทสัมภาษณ์ของ พล.อ.วัฒนชัย ฉายเหมือนวงศ์
ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ แทปลอย (ประมาณปลายปี 2550 ตรวจสอบวันที่แน่นอนอีกครั้ง)
พล.อ.วัฒนชัย ฉายเหมือนวงศ์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นเพื่อนสนิทแต่วัยเยาว์ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
และยังคงทำงานใกล้ชิด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เสมอมา ..ดังนั้น ความคิดบางอย่างของพล อ. วัฒนชัย จึงพอที่จะ
ทำให้มองเห็นบางมุมมองของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้บ้าง..(แต่มิได้หมายความว่าสิ่งที่คนหนึ่งพูดจะต้องเป็นสิ่ง
ที่อีกคนหนึ่งคิด ไม่ใช่เช่นนั้น - แต่เป็นแค่ภาพสะท้อนบางอย่าง ในบางมุมมองเท่านั้น) ในบทสัมภาษณ์นั้น เขากล่าว
ถึง "ความจำเป็นที่จะต้องถอย เพื่อปรับเปลี่ยนแผน" โดยยกตัวอย่างจากการลงประชามติ "ที่แดงพรึ่บเต็มไปหมด"
สิ่งนี้บ่งบอกอะไรบ้าง ?
หนึ่งคือ บางส่วนของชนชั้นอำมาตย์รู้แล้วว่า ต้องเปลี่ยนวิธีการต่อสู้
สองคือ บางส่วนของชนชั้นอำมาตย์รู้แล้วว่า ตนกำลังเผชิญหน้ากับประชาชนเกือบครึ่งค่อนประเทศ
อย่างไรก็ตาม ชนชั้นอำมาตย์ หรือระบอบอำมาตยาธิปไตย..มิได้มีความเป็นเอกภาพ และไม่เคยมีมาแต่ไหนแต่ไร
ดังนั้น การปรับเปลี่ยนแผน..ก็เป็นไปได้เพียงบางส่วน และหลายๆอย่างก็ยังคงใช้วิธีเดิมๆ ซึ่งยิ่งสร้างความแตกแยก
สร้างศัตรูเพิ่ม เมื่อจนมุมด้วยเหตุผล ก็ยกสถาบันกษัตริย์มาเป็นเกราะกำบัง แล้วทำลายฝ่ายตรงข้ามด้วย ม. 112
ระบอบอำมาตยาธิปไตยใหม่
ระบอบอำมาตยาธิปไตยเติบโตและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีชนชั้นหลากหลายภายในชนชั้น และมีคนใหม่ๆเข้ามา
ร่วมระบอบอยู่เรื่อยๆ ..ในยุคก่อนนั้น จะมีชนชั้นอำมาตย์สายพลเรือน และสายทหาร ต่อมา..โดยเฉพาะช่วงหลังจาก
ดร.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทยเข้าสู่เวทีอำนาจการเมือง ความต่างระหว่างชนชั้นอำมาตย์สายพลเรือนและ
สายทหารก็เลือนลางไป บางกลุ่มเข้ามาผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวมากขึ้น กลายเป็นสายชนชั้นอำมาตย์ปัจจุบัน
อำมาตยาธิปไตย แต่เดิมหมายถึงระบอบที่ อำมาตย์มีอำนาจสูงสุด หรืออธิปไตยเป็นของชนชั้นอำมาตย์
คำว่า "อำมาตย์" โดยทั่วไปหมายถึง ขุนนาง ข้าราชการ แต่ทว่า "อำมาตย์ในระบอบอำมาตยาธิปไตย" มีความมหมาย
ครอบคลุมไกลกว่านั้น เมื่อประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยกล่าวถึง "ระบอบอำมาตยาธิปไตย" คำว่า อำมาตย์ จะรวมไป
ถึง.."ชนชั้นต่างๆที่มีประโยชน์ร่วมกันในระบอบนี้ และทำทุกวิธีทางที่จะรักษาผลประโบชน์แห่งตน ภายใต้ระบอบที่ว่านี้"
ชนชั้นเหล่านี้มีทั้ง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง(ที่ไม่ได้ประโยชน์จากระบอบ แต่ก็ยังสนับสนุน)
แต่เดิมนั้นเมื่อกล่าวถึง"ระบอบอำมาตยาธิปไตย" เรามักเน้นไปที่การบริหารบ้านเมือง..ที่ข้าราชการเป็นใหญ่ ควบคุม
อำนาจกลไกต่างๆไว้ และเป็นผู้กำหนดทิศทางประเทศแต่ฝ่ายเดียว ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงระบอบอำมาตยาธิปไตย บางคน
จึงใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษว่า bureaucratic polity - ซึ่งลักษณะบ้านเมืองเช่นนี้ จะเห็นชัดเจนในช่วงตั้งแต่รัฐบาลของ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มาจนถึงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
อย่างไรก็ตาม ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ระบอบนี้มีชีวิต เติบโตและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นคำว่า อำมาตยาธิปไตย ในปัจจุบันจึงมิใช่แค่ชนชั้นข้าราชการ แต่เป็นในลักษณะของ "อภิสิทธิ์ชน" ซึ่งเราสามารถ
เรียกรวมๆ..ในภาษาอังกฤษได้ว่า aristocracy หรือ aristocrats หรือ pseudo aristocrats (คือการเลียนแบบชนชั้นสูง)
เศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในสมัยรัฐบาลชาติชาย (2531 - 2534) ทำให้เกิดชนชั้นกลางใหม่
ขึ้นมากมาย ขณะที่คนจีนอพยพในรุ่นแรกๆ เริ่มมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ..และส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนชนชั้นศักดินา
เพื่อยกสถานะทางสังคม คบหากับลูกหลานชนชั้นศักดินาจากสังคมเก่า มีการแต่งงานกับลูกหลานศักดินา และชนชั้นสูง
รวมไปถึงเชื้อพระวงศ์บางส่วน ลูกหลานคนอพยพเหล่านี้จึงเปลี่ยนสถานะทางสังคมมาเป็นชนชั้นสูงด้วย - นอกจากนั้น
ยังมี สามัญชน ลูกชาวบ้านธรรมดา ที่ร่ำเรียนด้วยความพยายามจนจบการศึกษา ทั้งที่ได้ทุนจากรัฐ และที่พ่อแม่ส่งเสีย
ให้เรียนหนังสืออย่างยากลำบาก ..คนเหล่านี้เมื่อมีหน้าที่การงาน รับราชการ บางส่วนเจริญก้าวหน้า จนสามารถยกสถานะ
จากลูกชาวบ้าน หลานชาวนา ไปเป็นชนชั้นสูงในสังคมได้เช่นกัน
แน่นอนว่า ในระบอบอำมาตยาธิปไตย ก็เปิดโอกาสให้ชนชั้นล่างยกระดับขึ้นมาเป็นชนชั้นสูง และแน่นอนอีกเช่นกันว่า
จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่สังคมอำมาตยาธิปไตยกำหนด (ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของสังคมทั่วไป ที่มีกติกาของตนเอง)
เปรม ติณสูลานนท์ และ ประเวศ วะสี ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของชนชั้นอำมาตย์ที่ก้าวขึ้นมาจากชนชั้นล่าง
ระบอบอำมาตยาธิปไตยปกครองอย่างแนบเนียน และอาศัยความเชื่อทางศาสนาในการรักษาความสงบ-มั่นคงของชนชั้น
เช่น คนที่มีเงิน มีอำนาจ เป็นเพราะทำบุญไว้มากในชาติปางก่อน ส่วนคนที่ต่ำต้อยยากจน เพราะทำบุญไว้น้อย คติแบบนี้
ช่วยลด หรือกลบเกลื่อนความหมายของการถูกกดขี่ ทางออกสำหรับคนนอกวงจรอำนาจ จึงไม่ใช่การลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิ
พลเมืองของตน แต่วิธีแก้ปัญหากลับเป็น การทำบุญเข้าวัด..เผื่อว่าชาติหน้าจะได้มีวาสนากับเขาบ้าง
หรือความใฝ่ฝันของชนชั้นล่างในระบอบอำมาตยาธิปไตย คือดิ้นรนส่งเสียลูกหลาน เพื่อโตขึ้นจะได้เป็น "เจ้าคนนายคน"
ซึ่งหมายความว่า การเป็นเจ้าเหนือคนอื่นนั้น..เป็นสิ่งที่ดี และคนชั้นล่างควรขยันหมั่นเพียรต่อไป ความเชื่อนี้ คือการสร้าง
ความชอบธรรมให้แก่การเป็น "เจ้าเหนือคนอื่น" ..แล้วยังช่วยสลายแนวคิด "ความเป็นประชาชนที่เสมอภาค" ให้ลบเลือน
หายไปจากกระบวนคิดของคนในสังคมไทย เหล่านี้เป็นการสร้าง "วัฒนธรรมจำยอม" ให้หยั่งรากลึกชั่วลูกหลาน
แน่นอนว่า ระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่เคยปฏิเสธชนชั้นล่าง..ที่จะไต่เต้าขึ้นมาสู่ชนชั้นอำนาจ
และเงื่อนไขของการมีเส้นสาย มีผู้อุปถัมภ์เลี้ยงดู ก็เป็นเงื่อนไขของสังคมมนุษย์ทั่วไป - ไม่ว่าจะในระบอบใด
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของระบอบอำมาตยาธิปไตยไทย อยู่ที่การรวมศุนย์อำนาจไว้นานเกินไป
และรวมศูนย์อำนาจไว้มากเกินไป โดยที่..ตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่ข้อแก้ตัว
แน่นอนว่า การที่ระบอบอำมาตยาธิปไตยครองอำนาจอยู่กว่าครึ่งศตวรรษ ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าการพัฒนาหลายอย่าง
เกิดภายใต้ระบอบอำมาตย์ แต่นั่นก็เป็นเพราะอำมาตย์ผูกขาดการบริหารอยู่ฝ่ายเดียว และยังเป็นผลงานที่เชื่องช้า ไม่ใช่
การพัฒนาที่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก ไม่ว่าจะแง่เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม
ในกลุ่มชนชั้นอำมาตย์เอง เคยมีการยกปัญหาทำนองนี้ขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง มีการเสนอให้กระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น
ทั้งอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของส่วนรวม และยังเป็นการรักษาอำนาจของชนชั้นอำมาตย์ไว้
ได้อีกยาวนานด้วย ..แต่ในที่สุด ก็ไม่เคยมีการแก้ไขปัญหาใด ความพยายามในการแก้ปัญหาบ้านเมืองกลายเป็นการแย่ง
ชิงบทบาทอำนาจระหว่างอำมาตย์สายพลเรือน กับอำมาตย์สายทหาร ..จนกระทั่งอำมาตย์สายทหารขัดแย้งกันเอง จนเกิด
เหตุการณ์นองเลือด พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ที่แทบจะสลายขั้วอำนาจของอำมาตย์สายทหารลงไปเกือบสิ้น
ชนชั้นอำมาตย์สายพลเรือน เช่น ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ..อานันท์ ปัญญารชุน เข้ามีบทบาท หรือให้แนวคิด
ในการร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งในตอนนั้น คนเหล่านี้ต้องการรัฐบาลพลเรือนที่เข้มแข็ง มั่นคง ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา
จึงออกแบบรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อปรากฏการณ์ดังกล่าว คนเหล่านี้ไม่ต้องการรัฐบาลทหาร..ที่ไม่รู้เรื่องราว
เพราะอย่างไร..ในสายตาชนชั้นอำมาตย์
อำมาตย์พลเรือนย่อมมีสติปัญญาเหนือกว่าอำมาตย์ทหารแน่นอน
(คือในชนชั้นก็ยังการแบ่งชนชั้นแยกย่อยอีกด้วย)
การร่างรัฐธรรมนูญ 2540 เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์นองเลือด พฤษภาคม พ.ศ. 2535
พรรคการเมืองที่เข้มแข็ง ที่สามารถขึ้นเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากได้..ขณะนั้น ก็มีเพียงพรรคประชาธิปัตย์
และพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นพรรคเก่าแก่ของชนชั้นอำมาตย์มาเนิ่นนาน โดยเฉพาะอำมาตย์สายพลเรือน
สิ่งที่ไม่คาดคิดไว้ก่อน ก็คือดร. ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาสู่สนามการเมืองอย่างจริงจัง และตั้งพรรคไทยรักไทย
ในขณะที่ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นรัฐบาลตอนนั้น..ไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของชาติได้ ทำให้สูญเสียฐาน
มวลชนชั้นกลาง รวมทั้งพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางไปมากพอสมควร - พรรคไทยรักไทยจึงเป็นทางเลือกสดใหม่ และมี
โอกาสชนะการเลือกตั้งในหลายพื้นที่ - ชนชั้นอำมาตย์สายประชาธิปัตย์ จึงเริ่มโจมตีดร.ทักษิณ..อย่างหนัก มีการโยน
คดีซุกหุ้นและอีกมากมาย ศัตรูเก่าของดร.ทักษิณ..ส่วนหนึ่งมาจากพรรคพลังธรรม ที่ผูกใจเจ็บมาแต่สมัยที่ ดร.ทักษิณ
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในสังกัดพรรคพลังธรรมนั่นเอง
ขณะนั้น ปีพ.ศ. 2544 ชนชั้นอำมาตย์ในระดับสูงขึ้นไปยังวางเฉย
และเมื่อพรรคไทยรักไทยได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากมาย..จนน่าตกใจ ชนชั้นอำมาตย์ระดับสูงก็ยังวางเฉย
แต่ก็แอบสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ด้วยต้องการให้ดร.ทักษิณ ช่วยจัดการแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจ ที่เป็นปัญหาของชาติ
และเป็นปัญหาส่วนตัวของชนชั้นอำมาตย์ระดับสูง
ทักษิณ ชินวัตร..แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้สำเร็จ และยังทำตามนโยบายที่สัญญาไว้กับประชาชน
ช่วงขณะหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะกลายเป็นคนโปรดของชนชั้นสูงหลายต่อหลายคน ประชาชนรากหญ้าก็เริ่มชื่นชม
และอันที่จริง ปัญหาของระบอบอำมาตยาธิปไตยน่าจะยุติลงได้ด้วยดีแล้ว..ตั้งแต่ตอนนั้น
เพราะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ประเทศชาติก็มีอำนาจต่อรองกับนานาประเทศมากขึ้น ประชาชนในภูมิภาค
ก็เริ่มช่วยเหลือตัวเองได้..และมีแนวโน้มว่าจะไม่เป็นภาระของส่วนกลาง (หรือชนชั้นอำมาตย์)อีกต่อไป ในขณะที่
ค่านิยมความเชื่อในระบอบอำมาตยาธิปไตยก็ยังอยู่ดี ไม่มีใครท้าทาย หรือคนที่ท้าทายก็มีน้อย..จนไม่มีปากเสียง
รัฐบาลทักษิณก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางระบอบอำมาตยาธิปไตย โดยเฉพาะในด้านสังคม วัฒนธรรม ความเชื่อ
อย่างไรก็ตาม ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
ชนชั้น และระบอบอำมาตยาธิปไตย ประกอบด้วยผู้คนหลากหลาย
ชนชั้นสูงก็มีความคิดที่คาดเดายาก เปลี่ยนข้างได้รวดเร็ว ..ชนชั้นล่างที่เพิ่งก้าวมาเป็นชนชั้นอำมาตย์ได้ไม่นานก็
ยังไม่ลึกซึ้งกับศักดิ์ศรี และ ยุทธวิธีบางอย่างของชนชั้นศักดินาเดิม จึงเลือกที่จะเปิดแนวรบกับประชาชนโดยตรง
อีกทั้งบางส่วนของชนชั้นอำมาตย์ใหม่ - ชนชั้นกลางใหม่ ยังมีคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไปดึงเอาสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง
เอามาใช้เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม พวกปฏิกิริยาก็เน้นการล่าล้างโคตร เอาสะใจเป็นหลัก
แน่นอนว่า ชนชั้นอำมาตย์ส่วนมาก (แต่ไม่ใช่ทุกคน) มีนิสัยดูถูกประชาชน โดยเฉพาะดูถูกคนเหนือ คนอีสาน
แต่ชนชั้นศักดินาในอดีต จะมีวิธีการดูถูกเหยียดหยามผู้คน..อย่างเนียน และมีศิลปะ ชนชั้นอำมาตย์ในอดีตก็จะ
ไม่เปิดแนวรบกับประชาชนโดยตรง แม้แต่ในสมัยสงครามต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งฝ่ายซ้าย
ก็ประกาศสงครามชนชั้นอย่างชัดเจน แต่ชนชั้นอำมาตย์ในอดีตก็ไม่เคยเปิดแนวรบกับประชาชน จึงทำให้ พคท.
ขาดแนวร่วมประชาชน และไม่สามารถรุกคืบได้มากนัก - ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ แตกต่างไปจากชนชั้นอำมาตย์ใน
ยุคปัจจุบัน (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เรื่อยมา) ..และข้อผิดพลาดใหญ่หลวง คือการใช้พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง เป็น
กำลังหลักในการโค่นกลุ่มอำนาจของดร. ทักษิณ ชินวัตร
ที่เรียกกันว่า พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง ก็เพราะเป็นกลุ่มคนที่มีปฏิกิริยา.. และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
"พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง" ใช้สำหรับเป็นแนวหน้า เป็นตัวป่วน สร้างกระแสขัดแย้ง และมีประโยชน์เพียงเท่านั้น
เมื่อจุดกระแสติดแล้ว สมควรเก็บกวาดคนเหล่านี้ออกไปจากสนามการต่อสู้ เพราะคนพวกนี้มักทำให้เสียเรื่อง
คือถ้าไม่ทำให้แพ้ ก็จะทำให้เหตุการณ์บานปลาย.. ในการปฏิวัติของประเทศลาว สิ่งแรกเมื่อฝ่ายสังคมนิยมชนะ
ก็คือกวาดล้างพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง..ที่เคยเป็นแนวร่วมของตนเอง
ในศึกโค่นอำนาจทักษิณ ชินวัตร ชนชั้นอำมาตย์กลับใช้ "พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง" เป็นทั้งแนวหน้าและกำลังหลัก
"พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ"
คือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ชนชั้นอำมาตย์ต้องเปิดแนวรบกับประชาชน
ซ้ำร้าย..ชนชั้นอำมาตย์บางคนก็ยังร่วมผสมโรง ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งรองกลายเป็นความขัดแย้งหลัก..
วาทกรรมที่ไม่เคยมีใครตั้งคำถาม มาถึงตอนนี้ก็ใช้ไม่ได้อีกแล้ว
สิ่งที่พล.อ.วัฒนชัย ฉายเหมือนวงศ์ ให้สัมภาษณ์ (ไทยโพสต์) ถึงการถอยเพื่อปรับยุทธวิธี..
เอาเข้าจริง ชนชั้นอำมาตย์ใหม่เหล่านี้ ก็ยังใช้วิธีเดิมๆ วิธีเดียวกับที่ล้มรัฐบาลทักษิณ เอามาล้มรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช
ผลที่ได้คือ ขยายแนวรบกับประชาชนกว้างออกไปอีก จากเดิมมีแค่ นปก. ไม่ถึงแสนคน ก็กลายเป็น นปช.คนเสื้อแดง
ที่มีมวลชนนับล้าน.. มีเครือข่ายทั่วประเทศ แม้แต่ในภาคใต้
สิ่งเดียวที่ชนชั้นอำมาตย์ปรับยุทธวิธี คือไม่ครองอำนาจโดยตรง..แต่ครองอำนาจผ่านตัวแทน
05
ชนชั้นอำมาตย์เปิดฉากรุกแตกหัก
นปก. ประกาศจุดยืนชัดเจนตั้งแต่ต้น..ว่าไม่รับรัฐธรรมนูญ 2550
เพราะเป็นคัมภีร์สืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร ที่เขียนขึ้นมาเพื่อปกป้องระบอบอำมาตยาธิปไตยเท่านั้น
ระหว่างการลงประชามติ พรรคประธิปัตย์ สื่อมวลชนกระแสหลัก นักวิชาการ (ซึ่งส่วนมากรับใช้ระบอบอำมาตย์)
ล้วนเรียงหน้ากันออกมาบอกประชาชน ให้รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปก่อน ถ้าไม่พอใจก็สามารถมาแก้ไขภายหลังได้
จึงมีประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่หลงเชื่อ..และยอมรับร่างรัฐธรรมนูญ 50 ด้วยหวังให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว และคิดว่าจะ
สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังที่มีรัฐบาลใหม่แล้ว เป็นกระบวนคิดแบบสันติวิธีประนีประนอม ไม่ต้องเสียแรงต่อสู้
พรรคพลังประชาชน ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ก็ประกาศชัดเจนว่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ
หลังจากพรรคพลังประชาชนได้รับเลือกเป็นเสียงข้างมาก และตั้งรัฐบาลแล้ว ก็เริ่มมีการพูดถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
ทางด้าน นปก. นำโดยนายแพทย์เหวง โตจิราการ ร่วมกับตัวแทนกลุ่มประชาชนอีกหลายฝ่าย ได้ประชุมปรึกษา และ
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ "ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ"ฉบับดังกล่าว มีประชาชนลงชื่อสนับสนุนกว่าแสนคน จากนั้นจึงส่ง
ให้รัฐสภานำเข้าพิจารณา ซึ่งถูกบรรจุไว้เป็นวาระแรก ..แต่ก็ถูกอำนาจลึกลับถ่วงเอาไว้
ทางฝ่ายอำมาตย์.. พรรคประชาธิปัตย์ สื่อมวลชนกระแสหลัก
นักวิชาการ (ซึ่งส่วนมากรับใช้ระบอบอำมาตย์) ที่เคยบอกว่า
ให้รับรัฐธรรมนูญไปก่อน แล้วมาแก้ไขทีหลัง ..แต่ถึงตอนนี้
เปลี่ยนท่าทีมาเป็น ต่อต้าน - คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น ย่อมกล่าวได้ว่ากลุ่มประชาชนที่รับรัฐธรรมนูญ 50 เพราะ
คิดว่าจะมาแก้ไขภายหลังนั้น..ล้วนถูกหลอกอย่างน่าเวทนา..
โดยสามัญสำนึก การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ย่อมเป็นสิ่งที่ชนชั้นอำมาตย์ระดับสูง จะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นได้
เพราะนั่นหมายถึงการสูญเสียอำนาจครั้งใหญ่ - ที่สำคัญ พรรคพลังประชาชน - นปก. ไม่ได้คิดแก้รัฐธรรมนูญ
เฉพาะประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองทางการเมือง แต่คิดแก้ไขหมดทั้งฉบับ ให้กลับไปเป็นรัฐธรรมนูญ 2540
ถึงแม้นชนชั้นอำมาตย์จะเป็นผู้ออกแบบรัฐธรรมนูญ 2540 แต่รัฐธรรมนูญ 2540 ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนมากไป
ชนชั้นอำมาตย์จึงต้องก่อรัฐประหาร และเขียนรัฐธรรมนูญ 2550 ขึ้นมา
ชนชั้นอำมาตย์เริ่มเปิดฉากรุกครั้งใหม่
เริ่มจากส่งสมุนสื่อสารมวลชน ออกมาสร้างวาทกรรมซ้ำซาก เช่น แก้รัฐธรรมนูญเพื่อทักษิณ แก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้
พรรคพลังประชาชนพ้นผิดคดียุบพรรค ..วาทกรรมเหล่านี้ ไม่ได้มีเพียงเพื่อโน้วน้าวสังคม แต่ในสังคม "ศรีธนนชัย"
เช่นประเทศไทย วาทกรรมซ้ำซากของชนชั้นอำมาตย์ ยังมีเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น ทำให้การถกเถียงโต้แย้งหลุดออก
ไปจาก "ใจความสำคัญ" .. เป็นยุทธวิธีที่ชนชั้นอำนาจใช้ได้ผลเสมอมา ตราบจนปัจจุบัน
จากนั้น ชนชั้นอำมาตย์ก็ส่งกลุ่มพันธมิตรฯออกมาเคลื่อนไหว
ใช้วิธีเดิม วิธีเดียวที่เคยใช้โค่นล้มรัฐบาลทักษิณ (2548 - 49) ความแตกต่างคือกลุ่มพันธมิตรฯในปี 2551 มาพร้อม
กองกำลังติดอาวุธเบา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ชนชั้นอำมาตย์เริ่มมองเห็นแล้วว่า การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่กลุ่มอำนาจหนึ่ง
ปะทะกับอีกกลุ่มอำนาจหนึ่ง ..แต่มีมวลชนเข้ามาร่วมในการต่อสู้ ดังนั้น หากไม่มีกองกำลังติดอาวุธเบาเข้ามาเสริม
มวลชนของพันธมิตรฯอาจถูกกระทืบตายคาถนนก็เป็นได้ ..ระบอบอำมาตยาธิปไตยนั้นก็มีมวลชนของตนเอง ซึ่งไม่
ต่างไปจากฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งสองฝ่ายล้วนประกอบด้วย ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง ข้าราชการ ตำรวจ และ
ทหาร รวมทั้งชนชั้นปฏิกิริยา..ซึ่งมีอยู่ในมวลชนทั้งสองฝ่าย
ช่วงเวลานั้น นปก. / นปช. ลดบทบาทในพื้นที่สาธารณะ
เพื่อเปิดทางให้ พรรคพลังประชาชน ในฐานะรัฐบาล และ
เสียงข้างมากในรัฐสภา ได้ดำเนินกิจกรรมการเมืองอย่างเต็มที่
การชุมนุมของ นปช. หลังจากวันประชามติ 19 สิงหาคม 2550 เป็นเพียงการนัดพบ และไม่มีความเคลื่อนไหวสำคัญ
วันที่ 25 พฤษภาคม 2551 - ชนชั้นอำมาตย์เปิดศึกแตกหักกับพรรคพลังประชาชน
กลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อเตรียมเดินไปยึดทำเนียบรัฐบาล
ขณะเดียวกัน มวลชนกลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯจำนวนหลายร้อยคน ไปรวมตัวขับไล่อยู่ใกล้ๆ ด้านถนนดินสอ
การประเมินของตำรวจกล่าวว่ากลุ่มพันธมิตรฯมีประมาณ 1500-2000 คน แต่ในความเป็นจริงแล้วมีมากกว่านั้น น่าจะ
อยู่ที่ประมาณ 3000 - 4000 คนขึ้นไป ส่วนฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ ซึ่งมาอย่างปราศจากแกนนำ มีอยู่ประมาณ 700 คน
และยังมีกลุ่มคนวันเสาร์อยู่ที่สนามหลวงอีกประมาณ 300 คน
เวลา 18:50 น. เริ่มมีการปะทะกันระหว่างมวลชนทั้งสองฝ่าย
เวลา 21.00 น. กลุ่มคนวันเสาร์ฯ นำโดยสุชาติ นาคบางไทร (วราวุธ ฐานังกรณ์) เคลื่อนกำลังออกจาสนามหลวง เพื่อ
มาสมทบกับกลุ่มต้านพันธมิตรฯ - ขณะเดียวกัน กลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนขบวน เดินทางไปทำเนียบรัฐบาล โดยมีกำลัง
ตำรวจคุ้มกัน..และพยายามแยกมวลชนทั้งสองฝ่ายให้อยู่ระยะห่างจากกัน -
ขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯ ติดอยู่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานฯ ไม่สามารถผ่านด่านตำรวจไปได้ ..
ขณะเดียวกัน กลุ่มต่อต้านได้รวมพลอยู่ที่สะพานผ่านฟ้า
กลุ่มแท๊กซี่และมอเตอร์ไซค์ เริ่มเดินทางมาเป็นกำลังสนับสนุนให้กับฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ
ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็มีกองกำลังมอเตอร์ไซค์ของตนเองเช่นกัน (ไม่สามารถระบุที่มาของกองกำลังนี้ได้)
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่สับสนอยู่แล้ว ก็ยิ่งสับสนมากขึ้นกว่าเดิม - ฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ ไม่มีแกนนำ ไม่มีแผน
ต่างคนต่างมาและกระจัดกระจาย - ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯเตรียมพร้อมรับมือกับการถูกจู่โจม พวกเขามีกองระวังหลัง
เวลา 22.00 น.โดยประมาณ เกิดปะทะกันครั้งใหญ่ระหว่างฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ กับกองระวังหลังของพันธมิตรฯ
กองรักษาความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรฯ รู้วิธีใช้อาวุธเบาในการสลายชุมชน พวกเขารู้วิธีการตีครั้งเดียวให้หมอบ
ขณะที่มวลชนฝ่ายต่อต้านฯไม่รู้ยุทธวิธีอะไรเลย จึงบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก
เวลา 23.00 น. มวลชนกลุ่มพันธมิตรฯที่อาศัยในกรุงเทพฯ เริ่มทะยอยกลับบ้าน ทำให้มวลชนที่ติดอยู่เชิงสะพาน
มัฆวานฯ มีจำนวนลดลงไปมาก - ขณะที่ฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ ยังคงปักหลักอยู่ที่สะพานผ่านฟ้า
ช่วงเที่ยงคืน รัฐบาลเตรียมสลายการชุมนุม ขณะที่ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ บริเวณเชิงสะพานมัฆวานฯเหลืออยู่ไม่มาก แต่
ไม่สามารถทำได้ กล่าวกันว่ามี อำนาจบางอย่างสั่ง.."ห้ามทำร้ายประชาชนของพวกเขา"
1 มิถุนายน 2551
นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช กล่าวทางสถานีโทรทัศน์ NBT ว่าจะไม่มีการสลายการชุมนุมของกลุ่มพัธมิตรฯ
ในลักษณะที่นักวิชาการ (ฝ่ายอำมาตย์) ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แต่จะให้ตำรวจเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ให้
รื้อเวทีไปจากการกีดขวางจราจร เส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน โดยจะมีการถ่ายทอดสด เชิญสำนักข่าวต่างประเทศ
รวมทั้งสหประชาชาติ ซึ่งอยู่ตรงเชิงสะพานมัฆวานฯ มาร่วมชมการเจรจาและรื้อเวที
และแน่นอนที่สุด ทุกอย่างเป็นแค่คำพูด.. ซึ่งไม่เคยมีการปฏิบัติจริง
19 มิถุนายน 2551
หลังการชุมนุมยืดเยื้อเป็นเวลาประมาณกว่า 20 วันของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เชิงสะพานมัฆวานฯ ยังไม่สามารถบรรลุ
ผลสำเร็จใดตามวัตถุประสงค์ นอกจากนั้น การปราศรัยของแกนนำ เช่น สนธิ ลิ้มทองกุล ยังช่วยทำให้ประชาชน
ทั่วไปเข้าใจว่า "ใครคือผู้สนับสนุนคนสำคัญ" ของปฏิบัติการครั้งนี้ ซึ่งช่วยตอบคำถามประชาชน..ว่าทำไมตำรวจ
จึงไม่กล้าสลายการชุมนุมเมื่อเช้ามืดของวันที่ 26 พฤษภาคม ..
และตอบคำถามว่า ทำไมกลุ่มพันธมิตรฯจึงสามารถอยู่เหนือกฎหมาย และมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าประชาชนทั่วไป
ระหว่างนั้น มีรายงานว่ากลุ่มพันธมิตรฯ กำลังเตรียมรุกแตกหักอีกครั้ง โดยจะฝ่าด่านสะพานมัฆวานฯ และเข้ายึด
ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 20 มิถุนายน - รัฐบาลจึงเตรียมสลายกำลังของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยอาศัยความร่วมมือจาก
มวลชนสนามหลวง - คืนวันที่ 19 มิถุนายน มวลชน นปช. กว่าหมื่นคนเคลื่อนกำลังจากสนามหลวง คราวนี้มีแกนนำ
มีการจัดทัพจัดระเบียบมาอย่างที่ควรจะเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นมวลชนเลอะเทอะกระจัดกระจาย - ดังนั้น
นายแพทย์เหวง โตจิราการ หนึ่งในแกนนำ นปช. จึงเป็นคนนำทัพ - กล่าวกันว่า นปช.ไม่เกี่ยวข้องกับงานนี้ แต่
"มวลชนสนามหลวง"ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ร่วมกับ นปช.
ในคืนวันที่ 19 มิถุนายน กลุ่มพันธมิตรฯ ถูกกดอยู่ในวงล้อม
ด้านสะพานมัฆวานฯเป็นตำรวจ ด้านถนนราชดำเนินเป็นมวลชนสนามหลวง - แต่เหตุการณ์ก็พลิกผันอีกครั้ง
ช่วงเช้าของวันที่ 20 ..กำลังพันธมิตรฯ สามารถผ่านแนวรับของตำรวจอย่างง่ายดาย และไหลเข้าไปในทำเนียบ
ทั้งด้านสะพานมัฆวานฯ และด้านสะพานชมัยมรุเชฐ (ที่มีรั้วเหล็กกั้นหลวมๆเพียงสองชั้น ซึ่งผิดปกติอย่างมาก)
ไม่มีใครทราบถึงเบื้องหลังแน่นอนของปรากฏการณ์นี้ แม้จะมีคำร่ำลือว่า เป็นการสมรู้ร่วมคิดของตำรวจระดับสูง
ที่ฝักใฝ่ฝ่ายอำมาตย์ ซึ่งได้รับคำสั่งมาจากผู้บงการกลุ่มพันธมิตรฯ - จะอย่างไรก็ตาม กลุ่มพันธมิตรฯ ก็สามารถยึด
ทำเนียบรัฐบาลไว้ได้ตามที่ประกาศ และยึดอยู่เกือบครึ่งปี จนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลังประชาชน ใน
เดือนธันวาคม
24 มิถุนายน 2551
นปช. จัดงานรำลึกการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ที่ท้องสนามหลวง
และไม่มีท่าทีเคลื่อนไหวใดๆ ดูเหมือนว่า นปช.ต้องการให้รัฐบาลจัดการปัญหาต่างๆด้วยตนเองมากกว่า
ขณะเดียวกัน วันที่ 27 มิถุนายน 2551 พรรคประชาธิปัตย์ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
ผลออกมาปรากฏว่า นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ยังคงได้รับการไว้วางใจด้วยคะแนน 280 เสียง
ซึ่งการออกเสียง ประธานสภาฯ รองประธานรวมทั้งรัฐมนตรีทั้งคณะต่างไม่ร่วมลงคะแนน เพื่อแสดงความเป็นกลาง
และเป็นมารยาท (ส่วนนายกฯ - รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่มีสิทธิ์ออกเสียงอยู่แล้วตามกฎหมาย) รัฐมนตรีที่เหลือ
ทั้งหมดได้คะแนนลดหลั่นเพียงแค่หนึ่งเสียง คือระหว่าง 278 – 279 เป็นสัญญาณว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังคงมั่นคงดี
อย่างไรก็ตาม แม้นผู้คนส่วนใหญ่คิดว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญล่าช้านั้น เป็นเพราะกระแสต่อต้านจากกลุ่มพันธมิตรฯ
แต่เริ่มมีคำถามในหมู่ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยว่า เป็นไปได้หรือไม่..ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่เกิดขึ้น เพราะ
การเตะถ่วงของ "คนในพรรคพลังประชาชน" เพราะเริ่มมีข่าวลือว่า บางกลุ่มในพรรคพลังประชาชน กำลังเจรจาผล
ประโยชน์กับฝ่ายอำมาตย์ - แต่ที่สุดก็กลายเป็นคำถามแผ่วเบา เพราะไม่มีใครสามารถระบุได้ว่า ใครเจรจากับใคร..
จนกระทั่งเรื่องมาเปิดเผยในเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน เมื่อปรากฏว่ากลุ่มของ เนวิน ชิดชอบ ย้ายข้างไปสนับสนุน
พรรคประชาธิปัตย์ และ ชนชั้นอำมาตย์
06
การรุกแตกหักของชนชั้นอำมาตย์ กลับสร้างแนวร่วมให้ นปช.
ชนชั้นอำมาตย์คาดหวังให้กลุ่มพันธมิตรฯ นำมวลชนออกมาเป็นหัวหอกในการโค่นล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช
เหมือนกับที่เคยกระทำต่อรัฐบาลดร.ทักษิณ ชินวัตร - แต่กลุ่มพันธมิตรฯในปี 2549 ก็ไม่เคยทำสำเร็จ และมวลชน
พันธมิตรฯก็ลดน้อยลงทุกวัน ทั้งที่ทุ่มทุนโฆษณาผ่านสื่อมวลชนกระแสหลักทุกแขนง ในที่สุด ชนชั้นอำมาตย์ก็ต้อง
ใช้กองทัพไทยออกมาก่อรัฐประหาร -
ในความพยายามโค่นรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชก็เช่นกัน ..
ทั้งที่ชนชั้นอำมาตย์สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯในทุกด้าน ทุกรูปแบบ แต่กลุ่มพันธมิตรฯก็ยังไม่สามารถสร้างผลกระทบ
แก่รัฐบาลได้เท่าใด - เริ่มต้น ก็ไปติดอยู่ที่เชิงสะพานมัฆวานฯอยู่เกือบหนึ่งเดือน จนกระทั่งชนชั้นอำมาตย์ต้องเป็นฝ่าย
ใช้อำนาจพิเศษ ในการเปิดทางให้เข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาล อยู่ในทำเนียบรัฐบาลหลายเดือน ก็ยังไม่เกิดผลคืบหน้าใดๆ
ความพยายามปลุกกระแส ให้เกิดเป็นการปฏิวัติประชาชน..ก็ไม่เคยทำได้
ทั้งที่สื่อมวลชนกระแสหลักทุกแขนง ต่างช่วยโฆษณาชวนเชื่ออย่างสุดความสามารถ ว่าพันธมิตรฯมีคนมาร่วมเป็นแสน
เป็นล้าน เป็นร้อยล้าน..มากกว่าจำนวนประชาชนในประเทศไทย - แต่จากการประเมินของตำรวจ โดยประเมินจากพื้นที่
ที่ใช้ในการชุมนุม กลุ่มพันธมิตรฯ ตั้งแต่ปี 2549 มาจนถึงปี 2551 ไม่เคยมีครั้งไหนที่มีคนมากกว่า "สามหมื่นคน"
ในขณะที่มวลชนสามหมื่นคน..เป็นจำนวนปกติของมวลชนสนามหลวง ในวันชุมนุมธรรมดาๆ
แน่นอนว่า จำนวนผู้คนที่ออกมาร่วมชุมนุมบนถนน..มิได้มีผลชี้แพ้ชี้ชนะ บางวันมามาก บางวันมาน้อย..เป็นเรื่องปกติ
แต่การชุมนุมที่มคนมาร่วม ในจำนวนสม่ำเสมอ บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มมวลชน การชุมนุมที่มีคนมาร่วมสม่ำเสมอ
แล้วเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันเมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งบ่งบอกถึงแนวร่วมที่ขยายขึ้น และมุ่งมั่นมากขึ้น มีอารมณ์ร่วมมากขึ้น
ซึ่งมวลชนประเภทนี้ ผ่านไประยะหนึ่งก็จะมีพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนคำปราศรัยของแกนนำไม่มีความหมายมากไปกว่าการ
นัดแนะ ว่าจะทำอะไรกันต่อไป เพราะเมื่อถึงขั้นนั้น มวลชนจะรู้ดีว่าตนเองกำลังทำอะไร เพื่อจุดประสงค์ใด
นี่คือสิ่งที่ทุกฝ่ายคาดหวัง..ในการชุมนุมทางการเมือง
กลุ่มพันธมิตรฯก็คาดหวังให้มวลชนของตนเป็นเช่นนี้ .. นปช. ก็คาดหวังเช่นเดียวกัน
สำหรับกลุ่มพันธมิตรฯ ค่อนข้างมีปัญหา มวลชนของพวกเขามีมากมาย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมนุม
แต่ทว่ามวลชนของพันธมิตรฯ ก็เลือกที่จะนอนดูโทรทัศน์อยู่กับบ้านมากกว่า ..และเมื่อเกิดการต่อต้าน "เสื้อเหลือง"
(เพราะกลุ่มพันธมิตรฯใช้สีเหลือง - เสื้อเหลืองเป็นสัญลักษณ์) กลุ่มมวลชนพันธมิตรฯจำนวนไม่น้อย ก็พยายามปฏิเสธ
ว่าตนเอง "ไม่ใช่พวกเสื้อเหลือง" บางคนก็อ้างว่าเป็นกลางบ้าง เป็นเสื้อขาวบ้าง - นี่คือวิถีของพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง
คือเมื่อไม่สะดวกก็จะหลบหลีก เมื่อไม่เท่ ก็จะปฏิเสธว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน เมื่อถึงเวลาต้องฆ่าฟันกัน ก็จะทิ้งเพื่อนทันที
นี่เป็นเหตุหนึ่ง ที่ไม่ควรนำพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางมาร่วมขบวนการในระยะยาว
อีกประการหนึ่ง ประเทศไทยเป็นบ้านเมืองที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ครอบงำด้วยระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นวัฒนธรรม
แห่งการยอมจำนน ดังนั้น การที่กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นมวลชนอำมาตย์..ปลุกระดมมวลชนเพื่อให้ลุกขึ้นมาปกป้องวิถี
อำมาตยาธิปไตย รักษาแนวคิดอนุรักษ์นิยมและการยอมจำนนต่ออำมาตย์ จึงค่อนข้างเป็นเรื่องที่ "ปลุกได้ยาก" เพราะ
ไม่ว่าจะออกมาสู้เพื่อพันธมิตรฯหรือนอนเฉยๆอยู่บ้าน ไม่ว่าจะออกมาสู้เพื่ออำมาตย์หรือไม่ก็ตาม ทุกคนก็รู้ดีว่าบ้านเมือง
จะยังคงเป็นเช่นเดิม คืออย่างไรคนก็คิดว่าอำมาตย์ชนะอยู่แล้ว ..และชนะแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง - เหตุเหล่านี้
ทำให้การปลุกมวลชนพันธมิตรฯ ให้ออกมาเป็นแสนเป็นล้าน เพื่อสร้างกระแสปฏิวัติประชาชน ..จึงไม่สามารถเกิดขึ้น
การปลุกระดมของชนชั้นอำมาตย์ จึงทำได้แค่ "ปลุกอารมณ์คลั่งชาติ" "สร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชนด้วยกันเอง"
แต่อารมณ์เหล่านี้ก็เป็นแค่ของชั่วคราว ไม่ใช่อุดมการณ์การเมืองที่จะต่อสู้สืบทอดกันได้นาน
นอกจากนั้น ยังมีผลสะท้อนกลับอีกด้วย
การปลุกมวลชน "สร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชนด้วยกันเอง" ย่อมหมายถึงว่า ต้องมีคนที่ถูกเกลียด
และคนที่ถูกตราให้เป็น เป้าหมายความเกลียดชัง ก็ย่อมต้องลุกขึ้นมาสู้..เพื่อปกป้องตนเอง -
ดังนั้น การปลุกให้คนกลุ่มหนึ่งเกลียดคนอีกกลุ่มหนึ่ง ก็เท่ากับเป็นการสร้างมวลชนให้แก่คนอีกกลุ่มหนึ่งมากขึ้นเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ"คนที่ถูกตราให้เป็นเป้าหมายความเกลียดชัง"นั้น มีมากกว่า..และเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ..
และนี่เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ชนชั้นศักดินา มาถึงชนชั้นอำมาตย์ในอดีต ไม่เคยคิดเปิดแนวรบกับประชาชน
ด้วยเหตุต่างๆข้างต้น กลุ่มพันธมิตรฯจึงมิได้สร้างประโยชน์ให้ชนชั้นอำมาตย์ หรือระบอบอำมาตยาธิปไตยแม้แต่น้อย
ถ้อยคำปราศรัยของแกนนำพันธมิตรฯ อาจสร้างกำลังใจให้แก่มวลชนของตนเอง เมื่อรู้ว่าพวกตนเป็นชนชั้นที่มีอภิสิทธิ์
แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดโปงระบอบอำมาตยาธิปไตย และประเพณีหลายๆอย่างที่ชนชั้นอำมาตย์เก็บเงียบมานาน
ในการปกครองที่แนบเนียน ..แต่อาวุธลับเหล่านี้ ก็ถูกเปิดออกมาจนหมด..โดยแกนนำพันธมิตรฯ ที่อำมาตย์สร้างขึ้นมา
ความหวังที่จะให้เกิดรัฐประหาร ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในปี 2551
แม้กองกำลังติดอาวุธเบาของพันธมิตรฯ จะช่วยให้เกิดเหตุจลาจลขึ้นหลายครั้ง
เช่นตอนเช้าของวันที่ 26 สิงหาคม (พ.ศ. 2551) กองกำลังติดอาวุธพันธมิตรฯ บุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย
และสถานที่ราชการอีกหลายแห่ง แต่ในที่สุดก็ต้องล่าถอยไปหมด ..เพราะไม่มีกองทัพไทยออกมาช่วยก่อรัฐประหาร
ในกองทัพไทย มีความแตกแยกเป็นหลายฝ่าย จึงเป็นไปได้ว่า..กลุ่มที่ลงมือทำรัฐประหารก่อน อาจถูกอีกกลุ่มออกมา
ปราบ หรือตลบหลัง..ทำรัฐประหารซ้ำ ทำให้ไม่มีใครเสี่ยงออกมาเป็นกลุ่มแรก
การรุกแตกหักของชนชั้นอำมาตย์ ดูเหมือนรุนแรงและได้เปรียบในทุกด้าน ..แต่กลับผิดพลาดไปทุกด้านเช่นกัน
ตรงกันข้ามกับฝ่าย นปช. ที่ในช่วงนั้นลดบทบาทตนเองลง และตั้งเป็นฝ่ายรับเท่านั้น แต่ นปช. กลับมีมวลชนเพิ่มมาก
ขึ้นทุกวัน โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แค่รอผลสะท้อนกลับจากการกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ
อย่างไรก็ตาม ชนชั้นอำมาตย์ในยุคนี้ มีมุมมองที่เหนือสามัญสำนึกอย่างเหลือเชื่อ
และยังคงออกอาวุธ รุกคืบต่อไปอย่างไม่สนใจความเสียหายต่อชนชั้นของตนเอง
07
ตุลาการรัฐประหาร ก่อให้เกิด "คนเสื้อแดง"
การยัดคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้กับจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ / แกนนำ นปช.
การตัดสินคดีทุจริตเลือกตั้งของยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานรัฐสภา / สส.พรรคพลังประชาชน
การใช้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญปลด สมัคร สุนทรเวช จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ..
และมาจนถึงศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลังประชาชน - เหล่านี้ มิได้แตกต่างไปจากคดียุบพรรคไทยรักไทย
ในความเห็นของแนวร่วมชนชั้นอำมาตย์ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องน่ายินดีและสะใจ
แต่ในมุมมองของประชาชนอีกจำนวนมาก เห็นต่างออกไป..และเห็นว่าเป็นการใช้อำนาจเพื่อกลั่นแกล้ง อยุติธรรม
คำบรรยายเชิงวิชาการของนายจักรภพ เพ็ญแข ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ..เมื่อปี 2550 ไม่มีถ้อยคำใดที่กล่าว
หมิ่นสถาบันกษัตริย์ แต่ฝ่ายอำมาตย์ยกเอาคำว่า "ระบบอุปถัมภ์" ว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (?) ทั้งที่คำว่า
patronage ในภาษาอังกฤษ หรือ แปลว่า "ระบบอุปถัมภ์" ในภาษาไทย ล้วนเป็นคำที่ใช้กันทั่วไป และในเนื้อหาก็
มิได้กล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ด้วยซ้ำ - อย่างไรก็ตาม วิธีการกำจัดศัตรูทางการเมืองของชนชั้นอำมาตย์ คือยัดข้อหา
ในทำนองนี้ โดยมี "สื่อมวลชนกระแสหลัก" เป็นผู้รับใช้ขยายความ
ในคดีทุจริตเลือกตั้ง ข้อกล่าวหาคือนายยงยุทธ ติยะไพรัช แจกเงินให้หัวคะแนนในจังหวัดเชียงราย
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากปากคำของพยายโจทก์เอง กลายเป็นว่าพวกเขาพบกับนายยงยุทธ ติยะไพรัช ก่อนจะมี
การเลือกตั้ง และยังไม่มีการประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ..การพบปะกันนั้น นายยงยุทธมิได้เป็นคนนัดหมาย และยัง
ไม่ได้ต้องการจะพบคนเหล่านี้ด้วยซ้ำ .. จากนั้น พยานโจทก์เกือบทุกคนยืนยันว่าจำเลยคือนายยงยุทธ ติยะไพรัช
ไม่เคยแจกเงินให้พวกตน มีพยานโจทก์เพียงคนเดียวที่ยืนยันตามคำฟ้อง ..
ทุกฝ่ายยอมรับว่า การพบปะระหว่างนายยงยุทธ ติยะไพรัช และบุคคลเหล่านี้เกิดขึ้นก่อน พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง
นั่นหมายถึงว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะพบหรือไม่พบ จะให้เงินหรือไม่ให้เงิน
อย่างไรก็ตาม ศาลการเมือง บอกว่าผิด ..และนำคดีเดียวกันไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชนอีกด้วย
วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551
นายชัช ชลวร ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมคณะ ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยในกรณีที่ประธานวุฒิสภา
ส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภาและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความสิ้นสุดการ
เป็นนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 267 ประกอบมาตรา 182 (7) เนื่องจากรับเป็น
"พิธีกรกิตติมศักดิ์" ของรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยง 6 โมงเช้า” ซึ่งคณะตุลาการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0
เสียง เห็นว่านายสมัครกระทำต้องห้ามขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 267 เรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี
จึงทำให้นายสมัครสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีลง แต่ให้คณะรัฐมนตรีรักษาการไปจนกว่าจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่
ตรงนี้เป็นจุดพลิกผันสำคัญ..อีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
นปช. มีแนวร่วมประชาชนเพิ่มขึ้นอีก เป็นเท่าทวีคูณเพียงชั่วข้ามคืน
สิ่งที่ นปช. กล่าวถึงชนชั้นอำมาตย์ อำนาจอันไม่ชอบธรรม ความอยุติธรรมของระบอบอำมาตยาธิปไตย ..สิ่งเหล่านี้
ชนชั้นอำมาตย์ ได้ช่วยพิสูจน์ตนเองด้วยการกระทำ..ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าทุกอย่างที่ นปช. พูดถึงนั้นได้เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น
วันที่ 7 ตุลาคม 2550
กลุ่มพันธมิตรฯ และกองกำลังติดอาวุธเบา พยายามยับยั้งการแถลงนโยบายของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี
คนใหม่จากพรรคพลังประชาชน ..กลุ่มพันธมิตรฯพยายามบุกเข้าไปในรัฐสภา และปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดทั้งวัน
มีผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บจำนวนมาก คนของกลุ่มพันธมิตรฯเสียชีวิตสองคน..จากระเบิดของกลุ่มพันธมิตรฯ
ด้วยกันเอง อย่างไรก็ตาม มวลชนพันธมิตรฯมีความเชื่อตรงกันข้าม และสื่อมวลชนกระแสหลัก ก็โหมข่าวเข้าข้างกลุ่ม
พันธมิตรฯอย่างเต็มที่ - อย่างไรก็ตาม การระดมสรรพกำลังมากมายทุกแขนง ชนชั้นอำมาตย์ก็ยังไม่สามารถทำลายฝ่าย
ตรงข้ามทางการเมืองของตนลงไปได้ ชนชั้นอำมาตย์ไม่ได้เพิ่มมวลชนของฝ่ายตน (ดูจากการออกมาร่วมชุมนุม) และ
ไม่ได้ลดมวลชนของฝ่ายตรงข้าม -
ปรากฏการณ์นี้ แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งได้ร้าวลึก
จนกลายเป็นสองขั้วชัดเจน..และยากจะคุยกันได้อีกต่อไป
แน่นอนว่า ในจำนวนนี้ย่อมมีคนที่อ้างว่า "เป็นกลาง" หรือ "ไม่ฝักใฝ่ใด" หรือสารพัดข้ออ้าง..ที่จะไม่ต้องร่วมรับผิดชอบ
ต่อความเปลี่ยนแปลงในสังคม คนเหล่านี้..นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ เรียกว่า "พวกชิงหมาเกิด" และใน
ความเป็นจริง คนเหล่านี้ก็คือบางส่วนของ พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง ที่สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯมาแต่ต้นนั่นเอง แต่เมื่อ
เหตุการณ์ไม่ราบรื่น ก็เป็นธรรมชาติของคนประเภทนี้..ที่จะหนีเอาตัวรอด โดยอ้าง วาทกรรมความเป็นกลาง - นี่เป็น
ปัญหาใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯมาตั้งแต่ต้น ที่นำพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางเข้ามาร่วมขบวนการ
ขณะเดียวกัน - มวลชนของ นปช. ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นไปอีก
คราวนี้มีมวลชนตำรวจชั้นผู้น้อย..เข้ามาร่วมกับ นปช. อีกเป็นจำนวนมาก เพราะ
ตำรวจชั้นผู้น้อยมองว่าตนเองก็กลายเป็น "เหยื่อความอยุติธรรมของอำมาตยาธิปไตย" เช่นกัน
วันที่ 11 ตุลาคม 2551 ผู้จัดรายการ"ความจริงวันนี้" และแกนนำ นปช. ได้นัดพบประชาชนที่เมืองทองธานี
โดยนัดแนะกันใส่เสื้อแดงเป็นสัญลักษณ์ นับเป็นการปรากฏตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรก..ในฐานะ "คนเสื้อแดง"
แน่นอนว่า เสื้อแดง หรือการใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ มีมาตั้งแต่การรณรงค์คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ 2550 และการ
ชุมนุมที่ม้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2550 ถือเป็นการชุมนุมครั้งแรกที่มีคนใส่เสื้อแดงมารวมกันมากมาย
อย่างไรก็ตาม หากกล่าวถึง "ความเป็นคนเสื้อแดง" จุดเริ่มต้นเป็นทางการคือ 11 ตุลาคม 2551
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2551
รายการ"ความจริงวันนี้"นัดพบประชาชนอีกครั้ง ที่ราชมังคลากีฬาสถานแห่งชาติ ซึ่งมีประชาชนเสื้อแดงมาร่วมประมาณ
หนึ่งแสนคน โดยคำนวณจากที่นั่งในสนามกีฬา พื้นที่บนสนาม พื้นที่บริเวณใกล้เคียงทั้งหมด
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2551
กลุ่มพันธมิตรฯขยายขอบเขตความรุนแรงมากขึ้น
โดยยกกำลังเข้ายึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ สนามบินนานาชาติดอนเมือง
และยังมีการบุกเข้ายึดหอบังคับการบินที่สนามบินสุวรรณภูมิอีกด้วย
ทำให้เครื่องบินทั้งหมดไม่สามารถขึ้นลงได้สักลำเดียว มีสินค้าและผู้โดยสารตกค้าง..
ติดอยู่ในสนามบินอีกเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม การรัฐประหารที่ก็ยังไม่เกิดขึ้น
ส่วนการปราบปรามผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯที่ยึดสนามบินอยู่..ก็ไม่มีเช่นกัน
กล่าวกันว่ากองทัพไทย โดยเฉพาะพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เลือกที่จะขัดคำสั่งรัฐบาล (ถึงสองครั้ง) ในการไม่ปราบ
กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ว่าเมื่อยึดทำเนียบรัฐบาล หรือยึดสนามบิน ขณะเดียวกัน พลเอกอนุพงษ์ ก็ขัดคำสั่งชนชั้นอำมาตย์
โดยไม่นำกำลังทหารออกมาก่อรัฐประหาร (ครั้งแรก 26 สิงหาคม 2551 เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯมายึดสถานีโทรทัศน์แห่ง
ประเทศไทย NBT เปิดทางไว้ให้ แต่ทหารก็ไม่กล้าออกมาสานต่อผลงาน)
เมื่อเป็นเช่นนี้ ชนชั้นอำมาตย์ก็ต้องลงมือเองอีกครั้ง
วันที่ 2 ธันวาคม 2551 ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลังประชาชน..
อย่างรวดเร็ว และลัดขั้นตอนทุกอย่าง เป็นการปิดฉากรัฐบาลพรรคพลังประชาชน -
เท่านั้นยังไม่พอ ชนชั้นอำมาตย์ยังใช้พลังพิเศษในการบังคับให้พรรคร่วมรัฐบาลหันมา
ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์..ในการตั้งรัฐบาลใหม่ แล้วดึงกลุ่ม สส. ทรยศจากพรรค
พลังประชาชนมาร่วมอีกสามสิบกว่าคน (ส่วนมากเป็นกลุ่ม เนวิน ชิดชอบ)
ในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งบังคับยุบพรรพลังประชาชน กองทัพไทยได้นำกำลังทหาร พร้อมอาวุธสงคราม
ออกมาแสดงอาการข่มขู่ประชาชนผู้สนับสนุนพรรคพลังประชาชน ที่ชุมนุมกันอยู่ใกล้สถานที่ตัดสินคดี
และในวินาทีเดียวกันนั้น กลุ่มพันธมิตรฯยังคงยึดสนามบินนานาชาิติสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง ทำเนียบรัฐบาล
รวมทั้งทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวที่สนามบินดอนเมือง (ซึ่งอยู่ติดกับกองทัพอากาศ) ..โดยที่กองทัพไทยไม่เคยแสดง
อาการเดือดร้อนใดๆ ไม่เคยแตะต้องกลุ่มพันธมิตรฯ ซ้ำยังส่งกำลังไปคุ้มครองป้องกันเสียด้วย..
นี่คือการก่อรัฐประหารในรูปแบบใหม่..
และนี่กลายเป็นจุดแตกหัก..ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
ที่ประเทศแบ่งออกเป็นสองขั้ว เกลียดชังกันอย่างชัดเจน เป็นครั้งแรกที่ชนชั้นอำมาตย์เปิดสงครามกับประชาชน
เป็นครั้งแรกที่แนวร่วมประชาชนนับล้าน ประกาศเป็นศัตรูกับชนชั้นอำมาตยาธิปไตย
an excerpt from Red in The Land
go to Records & Documents Section
รัฐประหาร 2549 เปลี่ยนความขัดแย้งเป็นความแตกแยก
ตุลาการรัฐประหาร 2551 ขยายความแตกแยกสู่จุดแตกหักที่มิอาจเยียวยา
สุพจน์ ด่านตระกูล นักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทางประวัติศาสตร์ในระบอบประชาธิปไตย
เคยกล่าวไว้เมื่อปี พ.ศ. 2549 สรุปความดังนี้ว่า "การรัฐประหารในอดีตของประเทศไทย
เป็นความขัดแย้งรอง คือเป็นความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นสูง หรือชนชั้นอำนาจ โดยประชาชน
มิได้รู้เห็น มิได้เกี่ยวข้องสนใจ แต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นเรื่องของความ
ขัดแย้งหลัก คือชนชั้นอำนาจได้แย่งชิงอธิปไตยไปจากปวงชนโดยตรง (หมายถึงการยึด
อำนาจจากรัฐบาลที่มาจากตัวแทนประชาชน..ที่ยังมีประชาชนจำนวนมากมายสนับสนุน)
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงเป็นความขัดแย้งหลัก - ความขัดแย้งระหว่างประชาชน
กับชนชั้นที่ผูกขาดอำนาจในสังคมไว้เนิ่นนาน
การรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เป็นเสมือนการทำลายอุดมการณ์ของ "คณะราษฎร" ลงอย่างเบ็ดเสร็จ
เป็นการกวาดล้างคนสำคัญกลุ่มสุดท้ายของ "การปฏิวัติ 2475" ออกไปจากการเมืองไทย และเป็นจุดเริ่มต้นของ
ระบอบเก่าในรูปแบบใหม่ หรือ "ระบอบอำมาตยาธิปไตย" ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน และระบอบอำมาตยาธิปไตยก็
สามารถกลับเข้าสู่อำนาจอย่างสมบูรณ์เมื่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก่อรัฐประหาร ในคืนวันที่ 16 กันยายน 2500
ระบอบอำมาตยาธิปไตยเข้าสู่ยุครุ่งเรืองสูงสุด ในสมัยที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2523
ชนชั้นในระบอบอำมาตยาธิปไตย สามารถรักษาอำนาจไว้อย่างมั่นคงและแนบเนียนเสมอมา
ความขัดแย้งใดที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2490 ถึง 2549 ล้วนแต่เป็นความขัดแย้งรอง เป็นความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นสูง
ความขัดแย้งในหมู่นายพลขุนศึก ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหาร หรือการนองเลือดในกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถยุติอย่าง
ง่ายดายเมื่อมีคนเข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ย ต้นเหตุความขัดแย้ง และ / หรือคู่กรณีในความขัดแย้ง ล้วนแต่เป็นคนใน
ชนชั้นปกครอง และยังไม่เคยขยายวงเป็น "ความขัดแย้งหลัก" หรือความขัดแย้งในระดับชนชั้น ที่มีประชาชนเป็น
คู่กรณี (แม้แต่การสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย..ในอดีต พรรคคอมมิวนิสต์ก็ยังไม่เคยมีฐานมวลชน
มากเพียงพอที่จะทำให้ความขัดแย้งนั้นลงสู่ระดับรากหญ้าของประเทศได้)
01
ชนชั้นอำมาตย์สร้างความขัดแย้งรองให้เป็นความขัดแย้งหลัก
การบริหารราชการของนายกรัฐมนตรี ดร. ทักษิณ ชินวัตร ระหว่างปี พ.ศ. 2544 - 2548
มิได้เป็นอุปสรรคต่อการดำรงอยู่ซึ่งอำนาจในระบอบอำมาตยาธิปไตย นโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีทุนนิยม ก็แค่
สร้างความมั่งคั่งให้กับการคลังของประเทศ ซึ่งชนชั้นสูงเองก็ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นด้วย และการที่
ประชาชนในภูมิภาคสามารถลืมตาอ้าปาก สามารถช่วยตัวเอง และมีชีวิตที่ดีขึ้นจากนโยบายเศรษฐกิจนี้ ก็มิได้
สั่นคลอนอำนาจของอำมาตยาธิปไตยแต่อย่างใด ..นโยบายสวัสดิการสังคม ก็มีเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน
ขณะที่นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ดำเนินนโยบายตามที่สัญญาไว้กับประชาชน ตัวของเขาเองก็ไม่เคยท้าทาย
อำนาจของระบอบอำมาตยาธิปไตย ตรงกันข้าม นายกฯ ทักษิณ เป็นคนที่ประนีประนอม..และโอนอ่อนตามระบอบ
อำมาตยาธิปไตยมากที่สุดคนหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่มุมทางวัฒนธรรม ยกตัวอย่าง "การจัดระเบียบสังคม" ของ
ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รัฐมนตรีมหาดไทยขณะนั้น แม้มีเจตนาที่ดีงาม มีเนื้อหาที่ถูกต้องเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
แต่ทว่า ถ้อยคำ - ทัศนะคติ - วิธีการ ล้วนเป็นกระบวนคิดอำมาตยาธิปไตย
นั่นคือ..ยัดเยียดค่านิยมทางวัฒนธรรม - ศีลธรรมของตนเอง แล้วบังคับใช้ด้วยอำนาจ
ผลที่ได้เบื้องต้นคือความสงบเรียบร้อยของสังคม แต่สิ่งที่ปลูกฝังให้สังคมคือ "อำนาจ" สามารถบังคับให้ได้มาซึ่ง
ทุกสิ่งที่ผู้มีอำนาจต้องการ
นอกจากนั้น นายกฯทักษิณ ยังปล่อยให้ "ผู้นิยมระบอบอำมาตยาธิปไตย" เข้าไปดำเนินนโยบาย
ในกระทรวงวัฒนธรรมอย่างเต็มที่ เรียกได้ว่า ไม่มีการคานอำนาจจากผู้คนที่มีแนวคิดเสรีนิยมหรือแนวคิดแตกต่าง
อาจเป็นเพราะนายกฯทักษิณกำลังเน้นไปที่ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
และเห็นว่ากระทรวงวัฒนธรรมไม่ใช่กระทรวงเศรษฐกิจ เป็นกระทรวงเล็ก..
จึงอาจมองข้ามไปได้ว่า "วัฒนธรรมคืออาวุธ" แม้แต่สหรัฐอเมริกาในช่วงต้นสงครามเย็น ก็ยังก่อตั้งหน่วยงานใต้ดิน
ทางวัฒนธรรมขึ้นมา ดำเนินการโดย CIA เพื่อใช้ศิลปะวัฒนธรรมเป็นอาวุธต่อต้านการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ -
ซึ่งอำมาตยาไทยบางส่วน..จะเข้าใจเรื่องราวในมิติเช่นนี้ดี..
กระทรวงวัฒนธรรมเกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งฝ่ายอำมาตย์ก็มีส่วนร่วมร่างอยู่เกือบทั้งหมด พวกเขาจึงส่งคน
ของตนเองเข้าไปเต็มกระทรวงวัฒนธรรม ก่อตั้งหน่วยงานพิศดารเช่น "ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม" แค่ชื่อก็บ่งบอก
ถึงลัทธิอำนาจนิยม เผด็จการในทุกรูปแบบ แต่เวลานั้น..ไม่มีใครออกมาคัดค้าน ที่ค้านก็ไม่มีคนฟัง เพราะทุกคนคิด
ว่าเป็นเรื่องดีงาม เพราะทุกคนก็อยู่ในกรอบแนวคิดอำมาตยาธิปไตยด้วยกันทั้งนั้น - แล้วการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม
คืออะไร ?? มันคือการเฝ้าดูให้แน่ใจ..ว่าทุกคนจะเป็นไปในกรอบคิดอนุรักษ์นิยม ไม่ต่างจากการ"จัดระเบียบสังคม"
นอกจากนั้น กฎหมายเซ็นเซ่อร์ภาพยนตร์ฉบับแรกจากกระทรวงวัฒนธรรม ยังถือได้ว่าเป็นกฎหมายพิศดาร ที่เป็น
ต้นแบบของรัฐธรรมนูญ 2550 - ต้นแบบวิธีการใช้กฎหมายหลังรัฐประหารของ คตส. ปปช. และอีกสารพัดองค์กรอิสระ
นั่นคือ กฎหมายที่ให้อำนาจหน่วยงานมากเกินไป ให้อำนาจตีความแบบครอบจักรวาล ทำแล้วก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่อ
ผลใดๆที่ตามมา นึกจะเปลี่ยนกติกาใหม่ตอนไหนก็ได้
เมื่อนายกฯทักษิณได้รับคำสั่งให้จัดการปัญหายาเสพติด เขาก็รับไปปฏิบัติอย่างรวดเร็วทันใจ
ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อย และแสดงให้เห็นว่า ดร. ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบ
และชนชั้นอำมาตยาธิปไตย ..เขาทำงานรับใช้ชนชั้นในระบอบนี้อย่างแข็งขัน ไม่ต่างไปจากนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ
ข้อแตกต่างมีเพียงแค่..นายกฯทักษิณทำงานรับใช้ประชาชนไปด้วยในเวลาเดียวกัน
และประชาชนผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย หรือ ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่มีความเป็นปฏิปักษ์ต่ออำมาตยาธิปไตย
แถมยังเป็นประชาชนที่รู้จักเพียงคำว่า "เห็นควรด้วย" เห็นดีงามไปกับค่านิยมอำมาตยาธิปไตยเสียทุกเรื่องทุกประเด็น
มาถึงจุดนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่ระบอบอำมาตยาธิปไตยต้องเผชิญกับ"ความขัดแย้งหลัก"ในอนาคตอันใกล้
ความแตกต่างของนายกฯทักษิณ คือเขาไม่รับคำสั่งจากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
นอกจากนั้น ดร.ทักษิณ ชินวัตร ยังต้องการรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน
การจะทำนโยบายให้ได้ผลรวดเร็ว จำเป็นต้องปฏิรูปเปลี่ยนแปลงระบบราชการหลายต่อหลายอย่าง
และโดยส่วนตัว เขาเป็นคนอ่านหนังสือมาก ..รู้มากพอๆกับนักวิชาการในมหาวิทยาลัยไทย ปัญหาหลายอย่างใน
ระบบการศึกษาไทย เป็นเรื่องที่คนในสายงานต่างวิพากษ์วิจารณ์กันมานานพอสมควร โดยเฉพาะ "คุณภาพการ
ศึกษาของมหาวิทยาลัยไทย" ที่ยังเป็นเรื่อง "น่าสงสัย" ..งานวิจัยที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน อาจารย์มหาวิทยาลัยไทย
จำนวนไม่น้อยที่เด็กเกินไป ประสบการณ์ในแขนงวิชาน้อยเกินไป ..และอีกมากมาย แต่เมื่อนายกฯทักษิณพูดถึง
ปัญหาเหล่านี้ในที่สาธารณะ สิ่งที่ตามมาคือความโกรธอาฆาตแค้นของนักวิชาการไทยจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะใน
มหาวิทยาลัยศักดินาทั้งหลาย
ความหมั่นไส้ โกรธแค้น อิจฉาริษยาในเรื่องส่วนตัว
บวกกับ ความกลัว ของกลุ่มอำนาจบางกลุ่ม ที่มองว่านายกฯคนนี้ กำลังเป็นที่โปรดปรานของชนชั้นสูงบางคน และ
อาจส่งผลให้นายกฯทักษิณก้าวขึ้นมามีอำนาจวาสนาในฐานะ "ผู้มีบารมี" แทนที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ก็เป็นได้
ดังนั้น ขบวนการโค่นทักษิณ จึงก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
มาถึงตรงนี้ก็ยังเป็นเพียง "ความขัดแย้งรอง"
การโจมตีนายกฯทักษิณ ชินวัตรตลอดสี่ปีของการเป็นรัฐบาล..ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรเลย
เพราะประชาชนจำนวนมากชื่นชมผลงานของรัฐบาล ประชาชนเริ่มมีความหวังกับอนาคตของตน ดังนั้น การเลือกตั้ง
ในปี พ.ศ. 2548 พรรคไทยรักไทยจึงได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นอีก 127 ที่นั่ง เป็น 375 ที่นั่งจากทั้งหมด 500 ที่นั่ง เท่ากับว่า
พรรคไทยรักไทยครองเสียงข้างมากในรัฐสภา..แบบเบ็ดเสร็จพรรคเดียว เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศไทย
ปรากฏการณ์เช่นนี้ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกต่อชนชั้นอำมาตย์ พวกเขาจึงเร่งระดมสรรพกำลังทุกรูปแบบ ในการโค่น
นายกฯทักษิณ ชนชั้นอำมาตย์สร้างแนวร่วมกับพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง โฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อมวลชนกระแสหลัก
ที่ผูกขาดโดยนายทุนไม่กี่กลุ่ม (เมื่อย้อนดูแหล่งที่มาของเงิน + อิทธิพล จะเห็นว่าสื่อไทย คือนายทุนไม่กี่คน) และ
ในครั้งนี้..ชนชั้นอำมาตย์มีแนวร่วมสื่อมวลชนเพิ่มขึ้นอีก คือ สนธิ ลิ้มทองกุล
ความโอนอ่อนต่อชนชั้นอำมาตย์ ทำให้นายกฯทักษิณยอมยุบสภา ทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็น.. และต้องมาเผชิญ
หมากกลง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เช่นการไม่ยอมลงเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ การใช้กระบวนการศาลทำให้การ
เลือกตั้งเป็นโมฆะด้วยเหตุผลไม่เป็นสาระ แถมยังยอมเว้นวรรคทางการเมือง..โดยลาพักจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ซึ่งเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอสมควรแก่เหตุ แต่ฝ่ายอำมาตย์ยังคงรุกไล่ ตามบี้อย่างไม่จบสิ้น .. สื่อมวลชนกระแสหลัก
ซึ่งรับใช้กลุ่มทุนอำมาตย์ (ทุนนิยมสามานย์) ยังคงโหมกระพือให้ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น
คะแนนเสียงเดิมของพรรคไทยรักไทย
โดยเฉลี่ยจะอยู่ระหว่าง 14 - 16 ล้านคะแนน บวกลบไปตามสถานการณ์การเลือกตั้ง
ผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 พรรคไทยรักไทย ได้คะแนนรวม 14,077,711 คะแนน คิดเป็น 56.4% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนรวมคิดเป็น 16.1% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
พรรคไทยรักไทยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งสัดส่วนและแบ่งเขต 375 คน จากทั้งหมด 500 ที่นั่ง ยังไม่นับรวม
สมาชิกวุฒิสภาที่ไม่สามารถสังกัดพรรค แต่มีใจฝักใฝ่พรรคไทยรักไทยอีกจำนวนหนึ่ง (ซึ่งอาจเกือบครึ่งวุฒิสภา)
ด้วยคะแนนนิยม หรือคะแนนเสียงมากมายเช่นนี้
ย่อมบ่งบอกถึงฐานมวลชนของพรรค ที่มีมากที่สุดในประเทศ ..
มากที่สุดในประวัติศาสตร์ การที่คนจะเทคะแนนให้ใครมากขนาดนี้ พรรคนั้น หรือตัวบุคคลในพรรคนั้นจะต้องทำ
อะไรไว้เป็นที่ถูกใจประชาชนมากพอสมควร - นี่น่าจะเป็นสามัญสำนึกทั่วไป
แต่นี่คือสิ่งที่ชนชั้นอำมาตย์คิด..
การที่พรรคไทยรักไทยได้คะแนนมากมายเช่นนี้ เพราะมีเงินซื้อเสียง (คือมองว่าประชาชนโง่เง่า และซื้อได้)
มองว่าการมีรัฐบาลเข้มแข็ง มีเสียงเบ็ดเสร็จในสภาเป็น "เผด็จการรัฐสภา" อาจฟังดูโง่เง่ากับตรรกะเช่นนี้ แต่อำมาตย์
และชนชั้นปฏิกิริยาในกรุงเทพสามารถคิดและเชื่อเช่นนี้จริงๆ ดังปรากฏอยู่ตามข้อเขียนในสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์และงาน
วิชาการทั่วไปที่ผลิตออกมาตลอดช่วงเวลานั้น เป็นหลักฐานยืนยันว่าพวกเขาคิดและเชื่อเช่นนั้นจริงๆ
และเมื่อชนชั้นอำมาตย์ - ปฏิกิริยาชนชั้นกลางกรุงเทพฯ ออกมาไล่ชี้หน้าใครต่อใครว่า
"นายกฯทักษิณและพรรคไทยรักไทยใช้วิธีซื้อเสียง" ชนชั้นอำมาตย์อาจต้องการผล..เพียงแค่ทำลายชื่อเสียงของ
พรรคไทยรักไทย และอาจมองข้ามไปว่า คำพูดเช่นนั้น ได้ก่อให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์กับ "ประชาชนไม่ต่ำกว่า 14
ล้านคนที่เลือกพรรคไทยรักไทย" - นี่เป็นการสะสมคะแนนความโกรธแค้นเบื้องต้น
แต่ชนชั้นอำมาตย์จะเข้าใจสิ่งนี้หรือไม่ ( ? )
เพราะในระบอบอำมาตยาธิปไตย นับแต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สถาปนาระบอบอำมาตยาธิปไตยยุคใหม่ขึ้นมา
(ด้วยการรัฐประหาร ช่วงชิงอำนาจมาจากระบอบเผด็จการทหาร fascism) การก่นด่านักการเมืองเป็นวาทกรรมของ
พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง วาทกรรมนี้ช่วยให้พวกเขาดูเหมือนผู้มีจิตสำนึกทางการเมือง ..ส่วนนักการเมืองในระบอบ
เผด็จการอำมาตยาธิปไตยนั้น "ไม่มีตัวตน" เป็นแค่ "นักเลือกตั้ง" ในเทศกาล "ปาหี่ประชาธิปไตย" และนักการเมือง
หรือนักเลือกตั้งเหล่านี้ มีบทบาทน้อยมากในการกำหนดทิศทางประเทศ เพราะทุกอย่างถูกกำหนดมาจากข้างบน แม้
แต่นายกรัฐมนตรีก็ต้องเป็นคนที่ชนชั้นสูงส่งมาให้ นายกรัฐมนตรีที่ไม่เข้าตา หรือทำงานไม่ถูกใจชนชั้นสูง..ก็จะ
ถูกเขี่ยออกไปในเวลารวดเร็ว นายกรัฐมนตรีที่ถูกใจชนชั้นสูง..แต่ไม่เคยมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ยังสามารถอยู่ได้
และได้รับการเยินยอจากสื่อมวลชนกระแสหลัก (ที่ผูกขาดโดยชนชั้นสูงไม่กี่คน)
นายกรัฐมนตรีที่ถูกชนชั้นสูงที่เขี่ยทิ้ง แล้วยังไม่ยอมลาออก ..ก็จะถูกรัฐประหาร -
แต่ทว่า "บทบาทนักเลือกตั้ง" เปลี่ยนไปหลังจาก 4 ปีของพรรคไทยรักไทย
ในการเลือกตั้งครั้งแรก พรรคไทยรักไทยอาจชนะมาด้วยเหตุหลากหลายประการ คือชนชั้นกลางส่วนหนึ่งอาจเบื่อ
พรรคประชาธิปัตย์ อยากลองของใหม่คือทักษิณ ชินวัตร อีกส่วนหนึ่งคือการรวมก๊กเหล่าทางการเมืองเข้าไว้ใต้ชายคา
เดียวกัน (อันเป็นผลงานของเสนาะ เทียนทอง ในการรวมก๊กต่างๆ) - แต่นั่นก็เป็นการเลือกตั้งในครั้งแรกของพรรค ..
ต่อเมื่อปี 2548 นโยบายหลายอย่างเป็นรูปธรรม มีความสำเร็จพึงพอใจเกิดขึ้นในหมู่ประชาชน สิ่งเหล่านี้คือ "ความหวัง"
ของผู้คนใต้สังคมอำมาตย์ ที่ถูกกดขี่มานาน ยกตัวอย่างเช่น ประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค หมายถึงประชาชน
ซื้อบริการสุขภาพ..ด้วยราคาถูกแค่ 30 บาท แต่ก็เป็น "การซื้อ" ไม่ใช่ "การร้องขอ" และโรงพยาบาลต้องให้บริการอย่าง
เท่าเทียม เป็นหน้าที่..ไม่ใช่ทำด้วยเวทนา หรือเป็นบุญคุณ - นี่คือ "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ที่ประชาชนต้องการจาก
นโยบายเหล่านี้ และรัฐบาลไทยรักไทยก็สามารถทำให้ได้จริง ดังนั้น การเลือกตั้ง ปี 2548 จึงเป็นการแสดงประชามติของ
ประชาชน ที่ต้องการสานต่อความหวังและอนาคตของพวกเขา
วาทกรรมก่นด่านักการเมืองหลังจากปี 2548 จึงไม่ใช่การด่านักการเมืองที่ไม่มีตัวตน
แต่เป็นการด่า..ที่เจาะจงไปยัง ประชาชน ผู้เลือกนักการเมืองเหล่านั้นขึ้นมา นี่คือสิ่งที่
ชนชั้นอำมาตย์ และปฏิกิริยาชนชั้นกลางกรุงเทพฯตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลง (อย่างฉับพลัน)
ของสังคมภายนอก และสิ่งเหล่านี้เริ่มสร้างรอยปริร้าวขึ้นทีละเล็กละน้อย
จากนั้นชนชั้นอำมาตย์ยังสร้าง กลุ่มพันธมิตรฯขึ้นมาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย สนับสนุนด้วยบทความ
ข้อเขียน ศิลปะ วิชาการจากพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ เป็นการตอกย้ำว่า สิทธิพลเมืองของประชากร 16.1%
นั้นยิ่งใหญ่และเหนือกว่าสิทธิของประชาชน 56.4% - สิ่งเหล่านี้ช่วยขยายรอยแยกในสังคมให้รุนแรงมากขึ้น และที่
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯไม่สามารถโค่นรัฐบาลลงได้ ก็ต้องใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจ เรียกว่าเป็นการ
หักดิบ ..และเป็นจุดแตกหักที่ไม่อาจเยียวยาได้อีกต่อไป
ความมุ่งมั่นของชนชั้นอำมาตยาธิปไตยที่จะกำจัดนายกฯทักษิณ..
เป็นเพียงความขัดแย้งรอง คือความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นสูงด้วยกันเอง
แต่ทว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้เปลี่ยนความขัดแย้งรอง ให้กลายเป็นความหลัก
กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้น ระหว่างระบอบการปกครอง ระหว่างอำมาตยาธิปไตยกับประชาธิปไตย
เป็นความขัดแย้งที่ "ประชาชน" กลายมาเป็นคู่กรณีโดยตรงกับชนชั้นอำมาตย์และพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง
02
พ.ศ. 2549 - 2550 ชนชั้นอำมาตย์ยิ่งรุกไล่ ความแตกแยกยิ่งขยายวง
หลังจากการัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ฝ่ืายอำมาตยาธิปไตยสามารถยึดครองการใช้อำนาจรัฐ และอำนาจสื่อมวลชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็ยัง
ไม่สามารถบริหารราชการอย่างราบรื่น เรียกกันว่า "ยึดเมืองได้แต่ปกครองไม่ได้" ชนชั้นอำมาตย์ตั้งสมมุติฐาน
ไว้ว่า หากกำจัด ดร.ทักษิณ ชินวัตร ไปแล้ว พวกตนก็จะกลับมามีอำนาจเต็มได้ดังเดิม เหมือนครั้งที่เคยกำจัด
รัฐบาลของพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ หรือเมื่อครั้งที่กวาดล้างผู้สนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์
แต่ทว่ารัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มิได้เป็นอย่างที่ชนชั้นอำมาตย์คาดคิดไว้
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร เรียกปรากฏการณ์ "อารยะขัดขืน" นี้ว่า "คลื่นใต้น้ำ"
นั่นคือ คณะรัฐประหาร (คมช.) รู้ว่ามีการต่อต้าน มีประชาชนไม่ให้ความร่วมมือกับพวกเขาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่รู้ว่า
ประชาชนที่ต่อต้านพวกเขามีหน้าตาอย่างไร เป็นใคร และอยู่ที่ไหนกันบ้าง การแทรกซึมเข้าไปในองค์กรที่ต่อต้าน
การรัฐประหาร ก็เป็นแค่การแทรกซึมเข้าสู่องค์กรเล็กๆ และไม่สามารถโยงใยไปสู่การจับกุมองค์กรที่ใหญ่กว่านั้น ครั้น
จะตามจับปลาเล็กปลาน้อย ก็เกรงว่าจะทำให้ปลาใหญ่ไหวตัวทัน..แล้วหลบหนีไปเสียก่อน ครั้นเมื่อแทรกซึมนานวัน
ก็ยิ่งพบว่าปลาเล็กปลาน้อยมีอยู่มากมาย จะจับก็ง่ายดาย..แต่คงไม่มีวันหมด
และที่สำคัญคือพวกเขาไม่เคยเจอปลาใหญ่ที่จินตนาการไว้เลย -
บทสรุปง่ายๆของชนชั้นอำมาตย์ (และพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางกรุงเทพ) จึงชี้ไปที่ ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นต้นเหตุ
เป็นหัวเรือใหญ่ เป็นปลาใหญ่ เป็นปัญหาของทุกอย่างในชีวิตชนชั้นอำมาตย์.. ดังนั้น การตามล่าตามล้าง ตามรังควาน
อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร จึงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น ยกระดับความอำมหิตมากขึ้นอย่างไม่สนใจกฎกติกา
ซึ่งเป็นเรื่องตลกหักมุมในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะช่วงเวลานั้น ดร.ทักษิณได้ถอดใจ แพ้หมดรูปไปตั้งแต่วินาที
ที่เขาตัดสินใจ "ไม่ยอมตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น" ทั้งที่มีเสียงสนับสนุนจากนานาประเทศมากเพียงพอ มีประชาชนในประเทศ
ที่พร้อมจะลุกขึ้นสู้อีกนับล้าน มีกองทหารที่รอฟังคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ต่อสู้กับคณะรัฐประหาร - แต่การเลือกที่จะ
ไม่ต่อสู้ ไม่ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น .. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม .. เท่ากับว่าดร.ทักษิณประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข..
แน่นอนว่า ยังมีเรื่องราวความรักความผูกพันที่ ดร. ทักษิณมีต่อผู้บงการรัฐประหารครั้งนี้ แต่นั่นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง -
จุดหักเหสำคัญ..อยู่ที่ประชาชนยังไม่ยอมแพ้
ประชาชนยังไม่ยอมแพ้ และทำการต่อต้านในรูปแบบต่างๆ ด้วยสันติวิธี ปราศจากความรุนแรง (เพราะไม่มีอาวุธ)
เป็นการอารยะขัดขืนที่ประชาชนคิดและปฏิบัติกันเอง..โดยมิได้นัดหมาย แต่บังเอิญว่าพวกเขาคิดคล้ายๆกัน..เป็น
จำนวนมาก เป็นสัดส่วนเกือบทั้งหมดของภาคเหนือ ภาคอีสาน และอีกเกือบครึ่งหนึ่งของประกรในกรุงเทพ จึงเกิดสื่งที่
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินเรียกว่า "คลื่นใต้น้ำ"
ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้นั้น ประชาชนต้องมีสำนึกทางการเมือง
ประชาชนต้องรู้ว่าตนเองต้องการอะไร และกำลังได้อะไรที่ตนเองไม่ต้องการ
นี่คือสิ่งที่ชนชั้นในระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่เข้าใจ ชนชั้นอำมาตยาธิปไตยมองประชาชนเป็นไพร่ทาส ทั้งๆที่ระบบไพร่
ถูกยกเลิกไปกว่าร้อยปี..ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว แต่เมื่อชนชั้นอำมาตยาธิปไตยมองคนเป็นไพร่ พวกเขาจึงไม่เคยคิด
ว่า ประชาชนจะสามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยตนเอง ..และเป็นเพราะชนชั้นอำมาตย์มองประชาชนเป็นไพร่ทาสในลักษณะนี้
ชนชั้นอำมาตย์จึงไม่เข้าใจว่า "นโยบายประชานิยม" ของรัฐบาลทักษิณจะนำไปสู่อะไร ..หรือประชาชนเหล่านี้กำลังต่อสู้
เพื่ออะไร (ทั้งที่ภายหลังก็รู้ว่าสู้กับใคร) การประเมินสถานการณ์ของชนชั้นอำมาตย์จึงผิดพลาดมาตลอดปี 2549 - 2550
มักจะมีคำกล่าวในทำนองว่า..
"ดูเหมือน สิทธิพลเมือง ในความคิดของชนชั้นอำมาตย์ จะครอบคลุมแค่พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพ และ/หรือ
ชนชั้นกลางในต่างจังหวัดที่ปรารถนาจะเป็นเช่นคนกรุงเทพ แม้แต่ชนชั้นต่ำที่ภักดีต่อระบอบอำมาตยาธิปไตยก็ยังไม่ได้
รับสิทธิพลเมืองทางสังคมเช่นนี้"
ดังนั้น ชนชั้นอำมาตย์ยังมองความขัดแย้งนี้เป็นความขัดแย้งรอง
คือเป็นเรื่องระหว่างกลุ่มอำนาจของพวกตน..ต่อสู้กับกลุ่มอำนาจของทักษิณ ชินวัตร
ชนช้นอำมาตย์จึงพยายามมองหา "ท่อน้ำเลี้ยง" มองหา "องค์กรหลัก" หรือ ปลาตัวใหญ่ ..
ด้วยคิดว่า ถ้ากำจัดสิ่งที่ว่าไปได้ ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์..ด้วยดี แต่ชนชั้นอำมาตย์ก็ไม่เคยค้นพบและทำลาย
สิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้นได้เลย นั่นเป็นเพราะ ตั้งแต่ กันยายน 2549 มาจนถึงมิถุนายน 2550 ไม่เคยมีปลาตัวใหญ่
ความจริงแล้ว "คลื่นใต้น้ำ" หรืออารยะขัดขืนด้วยสันติวิธี..ของประชาชนที่อยู่กระจัดกระจายทั่วประเทศนั้น ย่อม
ไม่สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนอะไรแก่คณะรัฐประหารได้เลย ไม่สามารถเป็นพลังปะทะกับระบอบอำมาตยาธิปไตยได้
แม้แต่น้อยนิด ยิ่งไปกว่านั้น ประชาชนส่วนใหญ่ในปี 2549 - 2551 ยังไม่รู้จักคำว่า อำมาตยาธิปไตย เสียด้วยซ้ำ (!!)
ทั้งๆที่ถูกครอบงำด้วยกระบวนคิดอำมาตยาธิปไตยกันมาตลอดชีวิต..
แต่เป็นเพราะ
อาการฟาดงวงฟาดงาอาละวาดของชนชั้นอำมาตยาธิปไตยนี่เอง.. ที่สร้างขบวนการต่อต้านขึ้นมา
และแน่นอน ชนชั้นอำมาตย์ยังมองว่า "ทักษิณสู้" จึงยิ่งรุกไล่ ..รุกไล่คนที่ถอดใจยอมแพ้ไปนานแล้ว
แต่กลับปล่อยให้ "ประชาาชน..ที่ยังไม่ยอมแพ้" มีโอกาสขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ
ชนชั้นอำมาตย์มองหาปลาใหญ่ จึงมองไปที่"พรรคไทยรักไทย" นี่ก็เป็นข้อผิดพลาดของชนชั้นอำมาตย์
เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงทีเดียว เพราะพรรคไทยรักไทย มิได้มีพลังอะไรหลงเหลือ ทั้งนักการเมืองหลายต่อ
หลายกลุ่มในพรรคก็เป็นพวกทรยศ เป็นไส้ศึกให้อำมาตย์ตั้งแต่ต้น .. หัวหน้าพรรคคนเก่าคือทักษิณ ชินวัตรก็ได้
ถอดใจลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคไปตั้งแต่ต้นเช่นกัน ..จาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคก็ทำได้
เพียงแค่ท่าทีและความมุ่งมั่นที่จะรักษาสภาพของพรรคเอาไว้เท่านั้น
พรรคไทยรักไทยจึงไม่ใช่ขุมกำลังที่เป็นอันตรายกับคณะรัฐประหาร หรือระบอบอำมาตยาธิปไตยในขณะนั้น
อันที่จริง การก่อรัฐประหารคือการปล้น
ดังนั้น หากคณะรัฐประหารจะประกาศยุบพรรคการเมืองทุกพรรคในประเทศ..ตั้งแต่คืนที่ปล้นสำเร็จก็สามารถทำได้
และโจรรัฐประหารคณะอื่นๆในอดีต ก็เคยทำเช่นนี้มาแล้ว
แต่ทว่าชนชั้นอำมาตย์ในปี 2549 ปนเปื้อนไปด้วย "พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางกรุงเทพ" ที่เพิ่งเข้าสู่ระบอบอำมาตย์
ได้ไม่นาน ชนชั้นอำมาตย์ใน พ.ศ. นี้จึงพกพา "จริตคนกรุงเทพ" หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "ตอแหล - ดัดจริต"
และความตอแหล ดัดจริตนี้เอง ผู้บงการคณะรัฐประหารจึงละเว้นการยุบพรรคการเมืองต่างๆไว้ เพื่อนำขึ้นเวทีเชือด
ด้วยคณะตุลาการ เพื่อให้ดูเหมือนเป็นการกระทำที่ถูกต้องชอบธรรม คือพรรคไทยรักไทยจะถูกยุบด้วยกระบวนการ
ทางกฎหมาย..มิใช่โดยคณะรัฐประหาร ซึ่งเป็นตรรกะที่ซับซ้อนอย่างไม่มีสาระเท่าใดนัก เป็นการเล่นปาหี่กันเองใน
หมู่คณะ เป็นโฆษณาชวนเชื่อให้กับกลุ่มประชากรของตนเอง..ที่มีความเชื่อเช่นนั้นอยู่เดิมแล้ว
การนำคดียุบพรรคไทยรักไทย และ พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นสู่กระบวนพิจารณาในปี 2550
แทนที่จะเป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่การรัฐประหาร กลับส่งผลให้ความขัดแย้งขยายวงกว้างยิ่งขึ้น สาเหตุคือ..
เมื่อมีการออกกฎหมายใหม่ แล้วนำมาใช้ย้อนหลัง..เพื่อให้เป็นโทษแก่ผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งผิดหลักกฎหมายในโลกสากล
และผิดหลักกฎหมายไทย แต่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ก็บอกว่าทำได้ (ตรงนี้ ควรอ่าน
เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้ออ้างของตุลาการรัฐธรรมนูญ เรื่องการพิจารณาคดีแพ่ง คดีอาญา ซึ่งจะไม่นำมาขยายความ ณ ที่นี้
เนื่องจากมีรายละเอียดมาก และเป็นข้ออ้างที่สับสน ฟังไม่ขึ้น และไม่มีใครใช้ข้ออ้างพิศดารเช่นนี้มาก่อน)
ในคดีเดียวกัน พยาน ซึ่งให้การขัดแย้ง..กลับไปกลับมา ย่อมไม่สามารถรับฟังได้ ไม่สามารถเชื่อถือได้
แต่ในกรณีคดียุบพรรคไทยรักไทย พยานโจทก์กลับคำให้การ และยังร้องว่าตนถูกบังคับให้กล่าวโทษจำเลย ซึ่งโดย
ทั่วไปแล้วศาลต้องยกฟ้องทันที แต่กรณีนี้ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร เลือกที่จะเชื่อ
เฉพาะข้อความที่ให้ร้ายแก่พรรคไทยรักไทย
หลักฐานในคดียุบพรรคไทยรักไทย เป็นภาพถ่ายบางส่วนจากวิดีโอวงจรปิด ซึ่งมิได้บอกเล่าเรื่องราวใดๆ และเป็น
เพียงการ "คาดเดา" ของผู้กล่าวหาเท่านั้น ว่าคนนั้นมาพบกับคนนี้ด้วยสาเหตุนี้ (???) ซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นเพียงภาพของ
คนที่เดินผ่านกันเท่านั้น แต่ทว่า คณะตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ก็เลือกที่จะเชื่อหลักฐานแบบนี้
ขณะเดียวกัน การพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารชุด
เดียวกันนี้ ..กลับมีอีกมาตราฐานหนึ่ง - ซึ่งประชาชนจำนวนมาก ทั้งที่รู้กฎหมายและไม่รู้กฎหมาย ต่างมองว่าเป็นสิ่ง
ที่ "ไม่ยุติธรรม" มองเห็นว่าเป็น "การใช้อำนาจกลั่นแกล้งฝ่ายหนึ่ง แล้วเอื้อประโยชน์ให้อีกฝ่ายหนึ่ง" ..
การใช้อำนาจกลั่นแกล้งอย่างไร้ความยุติธรรมนั้น เป็นเสมือนเชื้อเพลิงที่จุดอารมณ์โกรธแค้นให้ผู้คนในทุกวัฒนธรรม
ได้อย่างร้ายกาจ รุนแรง และคาดเดาไม่ได้ ..แต่ชนชั้นอำมาตย์ และปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพ ก็เลือกที่จะเล่น
กับเชื้อเพลิงอันตรายเช่นนี้..
พรรคไทยรักไทยถูกตุลาการคณะรัฐประหารยุบเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550
วันนั้นไม่มีการจลาจลวุ่นวายใดๆเกิดขึ้น ผู้คนที่ไปให้กำลังใจพรรคไทยรักไทยก็ไปกันอย่างสงบ
กลุ่มต่อต้านรัฐประหารหลายๆกลุ่มที่ยึดครองสนามหลวงอยู่ขณะนั้น ก็มิได้เคลื่อนไหวก่อเหตุใดๆ กลุ่ม PTV ก็มิได้
เคลื่อนไหวอะไร ซ้ำยังย้ำเตือนให้ประชาชนอยู่ในความสงบ.. อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์เหล่านี้..คือลางบอกถึง
ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์
ความสงบในวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 มิได้หมายถึงการยอมจำนน
แต่ความสงบของคืนวันนั้น คือพลังที่คาดเดาไม่ได้ของมวลมหาประชาชนที่สะสมและเพิ่มทวีคูณ
ในช่วงเวลาสั้นๆ ชนชั้นอำมาตย์อาจวางใจว่าการโค่นกลุ่มอำนาจของ ดร.ทักษิณ ชินวัตรน่าจะจบลงได้ เพราะพรรค
ไทยรักไทยถูกยุบแล้ว ถูกตัดสิทธิทางการเมืองรวดเดียว 111 คน แล้วยังมีคดีประหลาดๆที่ คตส. เตรียมปั้นแต่งให้
เป็นโทษแก่นายกฯทักษิณอีกเป็นจำนวนมาก (แต่ที่สุดก็สามารถส่งฟ้องได้แค่คดีเดียว) ส่วนการชุมนุมต่อต้านของ
ประชาชนนั้น ชนชั้นอำมาตย์มองว่าเป็นแค่ "ม๊อบรับจ้าง" น่าจะหมดแรงไปในเวลาไม่นาน เนื่องจากชนชั้นอำมาตย์
ได้กำจัดปลาใหญ่ กำจัดท่อนน้ำเลี้ยงไปแล้ว ดังนั้น เหล่าชนชั้นสูงจึงอาจจะคิดว่า ร่างรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจของ
ชนชั้นตนเองขึ้นมา จัดปาหี่เลือกตั้ง..เพื่อให้ดูคล้ายสังคมประชาธิปไตย จากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็จะขึ้นเป็นรัฐบาล
แน่นอนว่า..ทุกอย่างที่กล่าวมาไม่เคยเกิดขึ้นได้จริง
การใช้อำนาจกลั่นแกล้ง ความอยุติธรรม สองมาตราฐาน ก่อให้เกิดความไม่พอใจขึ้นอย่างมากมายในหมู่ประชาชน
ผู้คนที่เคยทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่างออกมาร่วมชุมนุม แสดงความรู้สึกต่อต้านมากขึ้น
"ความขัดแย้งรอง" ได้กลายเป็น "ความขัดแย้งหลัก" อย่างสมบูรณ์
และเพิ่มอัตราความเข้มข้น ร้าวลึกมากขึ้นทุกขณะ ยิ่งสื่อมวลชนกระแสหลักพยายามบิดเบือนข่าว โกหกตอแหลมาก
ขึ้นเท่าใด ความโกรธแค้นและจำนวนผู้คนที่เข้ามาร่วมกับ นปก. ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งชนชั้นอำมาตย์รุกไล่ดร.ทักษิณ
มากแค่ไหน จำนวนผู้คนในภูมิภาคยิ่งแสดงความสงสารเห็นใจดร.ทักษิณเป็นเท่าทวีคูณ -
มาถึงจุดนี้ คำว่า "อำมาตยาธิปไตย" กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนรู้จักกันมากขึ้น
การชุมนุมทางการเมืองนั้น ไม่ใช่การนั่งฟังบรรยายในห้องเรียน การปราศรัยบนเวทีเป็นแค่กิจกรรมหนึ่ง เป็นเพียงยอด
ของภูเขาน้ำแข็ง กิจกรรมความเคลื่อนไหวแท้จริงอยู่บนสนาม อยู่ระหว่างประชาชนผู้มาร่วมชุมนุมด้วยกันเอง พวกเขา
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร สร้างเครือข่ายของตนเอง และขับเคลื่อนเป็นกลุ่มย่อยๆตามทางถนัด
การชุมนุมต่อเนื่องเป็นเวลากว่าสองเดือนครึ่งของ นปก. ได้หล่อหลอมความคิดประชาชนจำนวนมาก
ยิ่งไปกว่านั้น การชุมนุมของ นปก. เป็นการชุมนุมที่ถูกขัดขวางจากภาครัฐในทุกวิถีทาง
ถูกบิดเบือนเรื่องราวจากสื่อมวลชนกระแสหลัก ถูกเยาะเย้ยถากถางจากพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ
สิ่งเหล่านี้ยิ่งสร้างความสัมพันธ์แน่นแฟ้นในกลุ่มประชาชน พวกเขาสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย
ในช่วงเวลาครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา พวกเขาสามารถมองเห็นสิ่งที่ชนชั้นอำมาตย์กระทำกับผู้คน .. สิ่งเหล่านี้ ผู้คนส่วนใหญ่
ไม่เคยสนใจมาก่อน หรือมองเห็นแต่ไม่เคยฉุกคิด ..กระทั่งเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาถึงยุบพรรคไทยรักไทย
ปรากฏการณ์ที่ทำให้คนตาสว่างขึ้นมากมาย
เพียงแค่เดือนแรกของการชุมนุมในนาม นปก. (มิถุนายน 2550) เนื้อหาของการต่อต้านรัฐประหารก็เริ่มเปลี่ยนไป
เริ่มมีพูดถึงการ "โค่นระบอบอำมาตยาธิปไตย" กันมากขึ้น นี่คือความคิดของประชาชนผู้มาร่วมชุมนุมที่ท้องสนามหลวง
และยิ่งแนวคิดโค่นอำมาตยาธิปไตยแพร่กระจายออกไป แบบปากต่อปาก จำนวนชนชั้นกลางในกรุงเทพก็ยิ่งเข้ามาร่วม
มากขึ้น - เริ่มเป็นขบวนการประชาชนที่ขยายวงออกไป
เริ่มมีการตั้งคำถามว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษนั้น ประเทศไทยเคยมีประชาธิปไตยที่แท้จริงบ้างหรือไม่
เริ่มมีการพูดถึงการสถาปนา รัฐประชาธิปไตยที่แท้จริง และควรมีรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
นี่คือแนวความคิดที่ขยายวงกันเองในหมู่ประชาชน ผู้มาร่วมชุมนุมที่สนามหลวงในช่วงกลางปี 2550
"ความขัดแย้งหลัก" เกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพ ทั้งในภูมิภาค เหนือ อีสาน
ในขณะที่ชนชั้นอำมาตย์ยังมองว่านี่เป็นแค่"ความขัดแย้งรอง" ที่พวกเขายังคงจำเป็นต้องรุกไล่ดร.ทักษิณ ชินวัตร
ชนชั้นอำมาตย์ยังมองว่ามวลชน นปก. เป็นแค่"ม๊อบรับจ้าง"ของ ดร.ทักษิณ และน่าจะอ่อนแรงไปเอง ..
การที่ชนชั้นอำมาตย์มีวิธีคิดเช่นนี้ กลับกลายผลดีต่อมวลชนฝ่ายประชาธิปไตย
เพราะทำให้มวลชนมีเวลาหล่อหลอมความคิดให้กันและกัน มีเวลาสะสมกำลังทรัพย์
กำลังคน และอื่นๆ ..ในขณะที่ชนชั้นอำมาตย์ยังคงวิ่งไล่เงาของทักษิณ ชินวัตร
03
การเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 ภายใต้รัฐธรรมนูญอำมาตยาธิปไตย
แม้ว่าชนชั้นอำมาตย์จะระดมสรรพกำลังทุกชนิดที่มี จนสามารถทำให้ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ผ่านการประชามติ
แต่ก็เป็นชัยชนะที่น่าสงสัย ซ้ำยังแสดงให้เห็นภาพของความขัดแย้งที่เด่นชัดในสังคม เป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่านี่คือ
"ความขัดแย้งหลัก" ไม่ใช่"ความขัดแย้งรอง" ในภาคเหนือ ภาคอีสาน ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนี้ด้วยเปอร์เซ็นต์ที่สูงลิ่ว
ขณะที่ภาคใต้ - กรุงเทพฯแสดง"ความเห็นชอบต่อระบอบอำมาตยาธิปไตย"อย่างสูงสุดเช่นเดียวกัน
การลงประชามติ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ชนชั้นอำมาตย์ได้ใช้สื่อมวลชนกระแสหลักทุกชนิด ทั้งโทรทัศน์ วิทยุและ
หนังสือพิมพ์ รวมไปถึงนิตยสารที่ไม่เกี่ยวข้องการเมือง ในการโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนตอบรับร่างรัฐธรรมนูญของ
อำมาตยาธิปไตย มีการใช้สื่อมวลชนกระแสรอง เช่นวิทยุชุมชน อินเตอร์เนต ใบปลิวแผ่นพับ เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันนี้
มีการใช้กลไกของรัฐทุกหน่วยงาน ใช้กำลังพลของกองทัพ และสารพัดวิธีการ
อีกทั้งยังกีดกันไม่ให้ "ผู้คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ 50" ได้มีโอกาสแสดงความเห็นของตน
ในภาคเหนือ อีสาน..ทุกพื้นที่ที่ นปก. จะเข้าไปตั้งเวทีเพื่อแสดงข้อมูล - ความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญอำมาตย์ฉบับนี้
ทุกพื้นที่จะมีการขัดขวางจากหน่วยงานราชการอย่างเต็มกำลัง มีการใช้กำลังพลของกองทัพไปข่มขู่คุกคามประชาชน การ
จัดเวลาให้"ผู้คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ 50"ได้มีโอกาสชี้แจงมุมมองของตนตามรายการโทรทัศน์ ก็เป็นไปอย่างน้อยนิด เป็น
แค่ไม้ประดับไม่กี่นาที เพียงเพื่อให้ดูเหมือนว่า..อำมาตย์ได้เปิดโอกาสให้แล้ว..ก็เท่านั้น
ระหว่างประชามติ หลายจังหวัดในภาคเหนือ ภาคอีสานยังคงอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก
แต่แล้ว..ผลประชามติก็ออกมาตามที่เห็น
จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งขณะนั้น 45,092,955 คน -
ออกมาใช้สิทธิ์เพียง 25,978,954 คน หรือคิดเป็น 57.61%
และในจำนวนนี้ มีผู้เห็นชอบจำนวน 14,727,306 คน หรือ 57.81%
ขณะที่มีผู้ไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถึง 10,747,441 คน หรือ 42.19%
และยังมีบัตรเสียถึง 504,207 ใบ (ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย)
เมื่อร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ผ่านประชามติ (อย่างเฉียดฉิว) และจะต้องประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญในเวลาอันใกล้
เท่ากับว่าชนชั้นอำมาตย์ได้ผูกมัดตนเองเข้าสู่ "การเลือกตั้ง" ในเร็ววันเช่นกัน เมื่อดูคะแนนเสียงประชามติในพื้นที่
ต่างๆแล้ว ฝ่ายประชาธิปไตยก็มีความมั่นใจมากขึ้น เพราะหลังจากการรัฐประหาร การยุบพรรคไทยรักไทย การ
รุกไล่ดร.ทักษิณ ชินวัตรอย่างรุนแรง การบิดเบือนข่าวให้ร้ายแก่ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย การโฆษณาชวนเชื่อ
ที่ใช้สื่อมวลชนทุกแขนง การปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร ..ทั้งหมดนี้ยังไม่สามารถสั่นคลอนฐานเสียงของพรรคไทยรักไทย
ได้มากนัก โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคอีสาน -
พรรคไทยรักไทย..ซึ่งแปลงร่างมาสู่ "พรรคพลังประชาชน" จึงมั่นใจว่าสามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้แน่นอน
หรือถ้าจะแพ้ (ในกรณีที่ถูกโกงอย่างถล่มทลาย) ก็คงไม่แพ้มากมาย น่าจะเป็นพรรคที่มีคะแนนเป็นอันดับสอง
คืนวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ไม่กี่ชั่วโมงหลังปิดหีบลงคะแนน
นปก. ประกาศยุติการชุมนุมที่ท้องสนามหลวง เพื่อเตรียมปรับองค์กรสนับสนุนการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น และยกระดับ
การต่อสู้ทางการเมืองไปสู่ระดับชาติ มีแผนการขยายสาขาไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ และพวกเขามั่นใจว่าการเลือกตั้ง
มิใช่จุดจบของปัญหา แต่เป็นการต่อสู้ยกใหม่ ถึงแม้ว่าชนะการเลือกตั้ง..ได้เป็นรัฐบาล ปัญหาก็ยังไม่อาจยุติลงได้
นปก. จึงต้องดำรงอยู่เพื่อรับกับสถานการณ์ที่มิอาจคาดเดาในอนาคต ขณะนั้น พวกเขามักใช้คำว่า ต่อต้านเผด็จการ
ต่อต่านรัฐประหารทุกรูปแบบ
แต่ในหมู่ประชาชนหลายต่อหลายกลุ่มบนท้องสนามหลวง จะพูดถึงการโค่นระบอบอำมาตยาธิปไตยให้สิ้นซาก
คืนวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ..สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หนึ่งในแกนนำ นปก.รุ่นสอง ประกาศสลายการชุมนุม
ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน ไปเตรียมเครือข่ายเพื่อนพ้องของตน เตรียมช่องทางสื่อสาร และเตรียมความพร้อมใน
การต่อสู้ยกต่อไป ..ผู้ชุมนุม นปก. จำนวนมากหันมาเป็นผู้สนับสนุน"พรรคพลังประชาชน"
"แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ" (นปก.)
United Front of Democracy Against Dictatorship (UDD)
เปลี่ยนชื่อมาเป็น "แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ" (นปช.)
National United Front of Democracy Against Dictatorship (NUDD)
ในช่วงหลังประชามติ และ ช่วงก่อนการเลือกตั้ง 2550 นปก. / นปช. ลดบทบาทในที่สาธารณะ แกนนำบางส่วน
ถูกส่งเข้าสังกัดพรรคพลังประชาชน เพื่อเป็นตัวแทนเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ..ประชาชนผู้ร่วมชุมนุม เปลี่ยนบทบาท
กลายเป็นสมาชิกพรรค และเป็นสมาชิกพรรคที่มีปากเสียงได้ตลอดเวลาเสียด้วย ส่วนหนึ่ง คงเป็นผลจากการที่
พวกเขาเคยต่อสู้ภาคสนามติดต่อ - ร่วมกันมาเป็นเวลาหลายเดือน เคยแม้กระทั่งเจ็บตัวร่วมกัน (จากการที่ตำรวจ
สลายการชุมนุมหน้าบ้านสี่เสา เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2550) ประสบการณ์เหล่านี้ น่าจะดึงดูดผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน
เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง
กลุ่ม สส. กรุงเทพ (ส่วนมากคือกลุ่มของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์) ที่เคยยิ่งใหญ่ในพรรคไทยรักไทยก็กลับมา
แสดงบาบาทสำคัญอีกครั้งใน"พรรคพลังประชาชน" ซึ่งเป็นบ้านหลังใหม่ อย่างไรก็ตาม การเมืองหลังจากนี้ แตกต่าง
ไปจากเดิม.. เมื่อกลุ่ม สส.กรุงเทพ(เก่า)เหล่านี้ แสดงอาการตั้งแง่ รังเกียจตัวแทนของ นปก. ที่ถูกส่งเข้าไปในพรรค
ทันใดนั้น ก็เกิดเสียงก่นด่าจากประชาชน ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนพรรค เป็นสมาชิกพรรค และเป็น นปก. ในกรุงเทพ..
สมาชิกพรรค..หรือมวลชน นปก. มองกลุ่มสส.เก่ากรุงเทพเหล่านี้ว่า ในยามถูกรัฐประหารก็หดหัว ในยามประชาชน
ออกมาต้านรัฐประหารที่สนามหลวง สส.เหล่านี้ก็ไม่เคยมาร่วม นอกจากไม่ร่วมแล้วยังออกแนวคัดค้าน หาทางสมสู่
กับชนชั้นอำมาตย์อยู่เนืองๆ ซ้ำร้าย..เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง พวกขี้ขลาดตาขาวเหล่านี้ยังออกมาพูด
ทำนองว่า ไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับ นปก. เพราะมีภาพพจน์รุนแรง ไม่ต้องใจคนกรุงเทพฯ - แน่นอนว่า นี่คือแนวคิด
ตอแหลดัดจริตของพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง ที่พูดตามสื่อกระแสหลัก..ซึ่งรับใช้อำมาตยาธิปไตย และเมื่อเป็นเช่นนี้
กลุ่ม สส.เก่ากรุงเทพเหล่านี้ จึงเป็นคนในระบอบอำมาตยาธิปไตยมากกว่า ดังนั้น จึงไม่ควรมีสิทธิลงเลือกตั้งในนาม
พรรคพลังประชาชน ควรไปอยู่พรรคประชาธิปัตย์ - นี่เป็นความคิดหนึ่งของมวลชนผู้สนับสนุนพรรคพลังประชาชน
แน่นอนว่า สมาชิกพรรคพลังประชาชนไม่ได้เป็น นปก. ทั้งหมด แต่ นปก. ก็มีอยู่มากในพรรค
เป็นปรากฎการณ์ที่..ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในพรรคการเมืองของตน เป็นการเมืองภาคประชาชนจริงๆก็ว่าได้
และการเมืองภาคประชาชนนั้น การประนีประนอม หรือถนอมน้ำใจ..เป็นเรื่องยาก ประชาชนด่าด้วยคำสั้นๆ รุนแรง
และด่าซ้ำๆ เรียงหน้าผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาไม่รู้จบสิ้น เวลาสองเดือนครึ่ง..บนท้องสนามหลวง ได้เปลี่ยนวัฒนธรรม
การเมืองของไทยไปพอสมควรทีเดียว
ทางฝ่ายชนชั้นอำมาตย์ก็เตรียมการรับศึกเลือกตั้งไว้หลายซับหลายซ้อน
ชนชั้นอำมาตย์มี"พรรคประชาธิปัตย์"เป็นพรรคการเมืองหลัก แล้วยังสร้าง"พรรคเพื่อแผ่นดิน"เป็นพรรคสำรอง ใช้
ในการดึงคะแนนเสียงจากภาคอีสาน ซึ่งเป็นฐานเดิมของพรรคไทยรักไทย ในพรรคเพื่อแผ่นดินนี้ ดำเนินการโดย
คนเก่าแก่จากพรรคไทยรักไทย ที่เคยเป็นไส้ศึกให้อำมาตย์..ในการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หรือคนที่ย้ายขั้ว
ไปอยู่กับอำมาตย์หลังรัฐประหาร เรียกว่าเป็นแหล่งรวมคนที่ทรยศหักหลัง ดร. ทักษิณ ชินวัตร
ชนชั้นอำมาตย์มีรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ให้ตนเองอย่างเต็มที่
ชนชั้นอำมาตย์มีองค์การอิสระ ที่ตั้งโดยคณะรัฐประหาร คมช. (ซึ่งอำมาตย์ก็บงการ คมช.อีกทีหนึ่ง)
ชนชั้นอำมาตย์มีกองทัพไทยเป็นกำลังสนับสนุน..ในการเลือกตั้ง ดังจะเห็นได้จากเอกสารลับ คมช. ที่หลุดออกมาสู่
สาธารณะ เช่น หนังสือเลขที่ คมช.0003.5/480 ลงวันที่ 14 กันยายน 2550 ซึ่งมีคำสั่งให้ทำลายพรรคพลังประชาชน
ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะด้วยการใส่ร้ายป้ายสี สร้างข่าวลือ และสารพัดความชั่วร้าย
นอกจากนั้นยังมี หนังสือเลขที่ คมช.0002 /1492 ลงวันที่ 26 กันยายน 2550
เกี่ยวกับการลงคะแนนเลือกตั้ง หนังสือดังกล่าวได้ชี้แจงถึงการลงประชามติที่ผ่านมา เหตุที่พ่ายแพ้ หรือชนะบางพื้นที่
ในหนังสือได้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่าง ทหาร - กลุ่มพันธมิตรฯ - ชนชั้นอำมาตย์ ตอนหนึ่งในเอกสารระบุ
"๒.๒.๒ พื้นที่ ทภ.๓ ปัจจัยที่สนับสนุนที่สำคัญต่อการเห็นชอบ ได้แก่
การรณรงค์ของวิทยากร มท. กลุ่มพันธมิตร และการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง"
แล้วยังมี เอกสาร "ลับมาก" ออกจากส่วนราชการ ยก.ทบ. (กองนโยบายและแผน)
เลขที่หนังสือ กห0403/512 วันที่ 26 กันยายน 2550 เรื่อง สรุปการบรรยายพิเศษและการประชุมมอบโอวาทของ
ผบ.ทบ. ให้กับ ผบ.หน่วยระดับกองพันขึ้นไป โดย พล.ต.อักษรา เกิดผล จก.ยก.ทบ. ทำถึง ผบ.ทบ. เพื่อขออนุญาต
นำคำบรรยายของผบ.ทบ. แจกจ่ายแก่นขต.ทบ. เพื่อนำไปยึดถือเป็นกรอบในการดำเนินการ และนำไปสู่การปฏิบัติ
ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน - เนื้อหาออกแนวล้างสมอง ใส่ร้ายป้ายสี และนำสถาบันกษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้อง
ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2550
คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ (กบว.)
สั่งห้ามมิให้มีการเผยแพร่โฆษณาพรรคพลังประชาชนทางโทรทัศน์
ขณะที่ยินยอมให้พรรคการเมืองอื่นๆกระทำได้ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์
วันที่ 22 ตุลาคม 2550 นพ.ชาญชัย ศิลปอวยชัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ ถูกคนร้ายลอบสังหาร
หลังจากที่เขาหันมาสนับสนุนพรรคพลังประชาชน และมีแนวโน้มว่าอาจจะได้รับการเลือกตั้ง เนื่องจากมีเสียง
สนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมาก
ระหว่างการเลือกตั้งล่วงหน้า 16 ธันวาคม 2550
มีการเผาบัตรเลือกตั้ง 2,500 ใบ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่ง กกต.อธิบายว่าเจ้าหน้าที่"เข้าใจผิด" (???)
โดยบอกว่าบัตร 2,500 ใบที่ถูกเผานั้นเป็นบัตรเก่าที่ใช้ในการลงประชามติ (???)
การเลือกตั้งครั้งนี้ มีผู้ใช้สิทธิลงคะแนนล่วงหน้าเป็นจำนวนมากผิดปกติ วิธีการเก็บหีบบัตรเลือกตั้ง วิธีการนับ
คะแนน ก็เป็นขั้นตอนที่ประชาชนไม่สามารถเข้าไปสอดส่องดูแลได้ ผิดจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาในอดีต..
ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550
การระดมสรรพกำลังอย่างมโหฬารของชนชั้นอำมาตย์..มิได้สูญเปล่า
พวกเขาสามารถทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกมาถึง 165 ที่นั่ง (แบ่งเขต 132 คน สัดส่วน 33 คน)
ขณะที่พรรคสำรองอย่าง พรรคเพื่อแผ่นดิน ชนชั้นอำมาตย์สามารถพาเข้ามาได้เพียง 24 ที่นั่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม..
ปัญหาใหญ่ของชนชั้นอำมาตย์ อยู่ที่พรรคพลังประชาชน ที่ได้มาทั้งหมด 233 ที่นั้ง (แบ่งเขต 199 สัดส่วน 34)
กลายเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภา แม้จะไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้
แต่ทว่าตัวเลขก้ำกึ่งเช่นนี้ ทำให้พรรคอื่นๆ..ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เช่นกัน หากไม่มีพรรคพลังประชาชน
เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
เรื่องหักมุมที่น่าขบขัน พรรคการเมืองสำรองของชนชั้นอำมาตย์ เช่น พรรคเพื่อแผ่นดิน หรือพรรคแยกย่อยเช่น
พรรคมัชฌิมาธิปไตย ..เมื่อลงพื้นที่หาเสียงในภาคอีสานก็ยังต้องแอบอ้างชื่อ ดร. ทักษิณ ชินวัตร ในการขอ
คะแนนเสียงจากประชาชน สรุปแล้ว ทั้งรัฐประหาร ทั้งเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ เขียนกฎกติกาใหม่เพื่อใช้เป็น
ประโยชน์แก่ฝ่ายตน..ชนชั้นอำมาตย์ ..รุกไล่ ดร.ทักษิณในทุกวิถีทาง แต่พอลงสนามเลือกตั้ง ก็ยังอุตส่าห์
เอาชื่อทักษิณมาแอบอ้าง - จนต้องมีการประกาศชี้แจงกันบ่อยๆว่า "ทักษิณของแท้คือพรรคพลังประชาชน"
พรรคพลังประชาชน เป็นพรรคเสียงข้างมากอันดับหนึ่ง แต่ไม่มากพอที่จะตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
พรรคประชาธิปัตย์ มีคะแนนเป็นอันดับสอง และมีเสียงน้อยเกินไป แม้จะรวมกับพรรคการเมืองอื่นๆ ก็ยังไม่พอ
ที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างมั่นคง
ฝ่ายชนชั้นอำมาตย์อาจมีเล่ห์กล ที่จะอาศัยพรรคแยกย่อยต่างๆ พรรคที่มีเสียงไม่มาก..กระจัดกระจายกันไป
แต่เมื่อเข้ามารวมกันในสภาแล้ว ก็พอมีกำลังสนับสนุนชี้ขาดชัยชนะให้ฝ่ายตนเองได้ เป็นยุทธวิธีที่เรียกกันว่า
"แยกกันเดิน รวมกันตี" - อย่างไรก็ตาม แนวร่วมของทักษิณ ชินวัตร ก็เข้าใจวิธีการเช่นนี้ และพวกเขายังเป็น
แนวร่วมตามธรรมชาติอยู่เดิม โดยเฉพาะ สส. ในเขตเลือตั้งที่ประชาชนยังนิยมชมชอบ ดร. ทักษิณ..
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในปี 2550 โอกาสที่ พรรคประชาธิปัตย์ จะรวมพรรคแยกย่อยต่างๆจัดตั้งรัฐบาล จึงเป็นไปไม่ได้
พรรคพลังประชาชน จึงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
วันที่ 29 มกราคม 2551 ..ปีที่ 63 ในรัชกาลปัจจุบันมีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ..
โดยมีนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานรัฐสภาเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ขณะเดียวกัน ตัวแทนจาก นปก. จักรภพ เพ็ญแข รับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ
จตุพร พรหมพันธุ์ เป็น สส. กรุงเทพมหานคร (แบบสัดส่วน) ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ เป็นรองโฆษกรัฐบาล
บุคคลเหล่านี้ ถือเป็นตัวแทนประชาชนผู้ร่วมอุดมการณ์ นปก. เพื่อเข้าไปต่อสู้ เป็นปากเสียงในรัฐบาล
การต่อสู้ที่มีประชาชนเข้ามาร่วม เข้ามามีบทบาทสำคัญ ทำให้วัฒนธรรมการเมืองเปลี่ยนไป เพราะประชาชนใน
ปี พ.ศ.นี้ "จะไม่ตีงูให้กากิน" ..ประชาชนจะไม่ปล่อยให้ "คนที่ไม่เคยออกมาร่วมต่อสู้ ฉกฉวยโอกาสเข้าไปมี
อำนาจวาสนาเพียงฝ่ายเดียว" พวกอ้างความเป็นกลาง..เพื่อจะไม่ต้องลงมือทำอะไร ก็คือ "กาฝาก" และพวก
ชนชั้นกาฝาก หรือ ชนชั้นปรสิต ควรจะต้องถูกกำจัด หรือต้องถูกลดบทบาทลงไปจากสังคมไทยในอนาคต..
04
ชนชั้น และระบอบอำมาตยาธิปไตย
ผลการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ทำให้ชนชั้นอำมาตย์บางส่วนเริ่มรู้สึกว่า ความขัดแย้งครั้งนี้ได้กลาย
สภาพจากความขัดแย้งรอง ไปเป็นความขัดแย้งหลักเสียแล้ว
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
เขาเป็นบุคคลหนึ่งที่ร่วมประชุมที่บ้านของ ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ในการวางแผนโค่นล้ม ดร.ทักษิณ ชินวัตร
(ตามคำบอกเล่าของ พล.อ. พัลลภ ปิ่นมณี) และระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯกำลังชุนุมขับไล่รัฐบาลทักษิณในปี 2549
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ (ตามคำบอกเล่าของสนธิ ลิ้มทองกุล) ได้โทรศัพท์ไปให้กำลังใจ ให้นายสนธิอดทน และ
เมื่อเสร็จงานแล้ว เขาจะให้สถานีโทรทัศน์หนึ่งช่องเป็นรางวัล
หลังจากรัฐประหาร 19 กันยาเสร็จสิ้น - พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2552 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช / หัวหน้าคณะรัฐประหาร ได้กล่าวว่า
ตนเอง (พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน) มีหน้าที่แค่ยึดอำนาจ และต้องคืนอำนาจให้ (ผู้อยู่เบื้องหลัง) ภายในสิบวัน
ดังนั้น หากสิ่งที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน กล่าวเป็นความจริง ก็เท่ากับว่าการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ล้วนถูก
บงการ..และขับเคลื่อนโดยชนชั้นอำมาตย์ หรือกลุ่มคณะที่ประชุมกันที่บ้าน ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา นั่นเอง
เป็นที่รู้กันว่าพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คือผู้มีอำนาจอันดับสองรองจาก เปรม ติณสูลานนท์
แต่ในทางปฏิบัติ หลายคนเชื่อว่ากิจกรรมอำนาจในช่วงหลังนี้ อยู่ในมือของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เกือบทั้งหมด
จากบทสัมภาษณ์ของ พล.อ.วัฒนชัย ฉายเหมือนวงศ์
ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ แทปลอย (ประมาณปลายปี 2550 ตรวจสอบวันที่แน่นอนอีกครั้ง)
พล.อ.วัฒนชัย ฉายเหมือนวงศ์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นเพื่อนสนิทแต่วัยเยาว์ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
และยังคงทำงานใกล้ชิด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เสมอมา ..ดังนั้น ความคิดบางอย่างของพล อ. วัฒนชัย จึงพอที่จะ
ทำให้มองเห็นบางมุมมองของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้บ้าง..(แต่มิได้หมายความว่าสิ่งที่คนหนึ่งพูดจะต้องเป็นสิ่ง
ที่อีกคนหนึ่งคิด ไม่ใช่เช่นนั้น - แต่เป็นแค่ภาพสะท้อนบางอย่าง ในบางมุมมองเท่านั้น) ในบทสัมภาษณ์นั้น เขากล่าว
ถึง "ความจำเป็นที่จะต้องถอย เพื่อปรับเปลี่ยนแผน" โดยยกตัวอย่างจากการลงประชามติ "ที่แดงพรึ่บเต็มไปหมด"
สิ่งนี้บ่งบอกอะไรบ้าง ?
หนึ่งคือ บางส่วนของชนชั้นอำมาตย์รู้แล้วว่า ต้องเปลี่ยนวิธีการต่อสู้
สองคือ บางส่วนของชนชั้นอำมาตย์รู้แล้วว่า ตนกำลังเผชิญหน้ากับประชาชนเกือบครึ่งค่อนประเทศ
อย่างไรก็ตาม ชนชั้นอำมาตย์ หรือระบอบอำมาตยาธิปไตย..มิได้มีความเป็นเอกภาพ และไม่เคยมีมาแต่ไหนแต่ไร
ดังนั้น การปรับเปลี่ยนแผน..ก็เป็นไปได้เพียงบางส่วน และหลายๆอย่างก็ยังคงใช้วิธีเดิมๆ ซึ่งยิ่งสร้างความแตกแยก
สร้างศัตรูเพิ่ม เมื่อจนมุมด้วยเหตุผล ก็ยกสถาบันกษัตริย์มาเป็นเกราะกำบัง แล้วทำลายฝ่ายตรงข้ามด้วย ม. 112
ระบอบอำมาตยาธิปไตยใหม่
ระบอบอำมาตยาธิปไตยเติบโตและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีชนชั้นหลากหลายภายในชนชั้น และมีคนใหม่ๆเข้ามา
ร่วมระบอบอยู่เรื่อยๆ ..ในยุคก่อนนั้น จะมีชนชั้นอำมาตย์สายพลเรือน และสายทหาร ต่อมา..โดยเฉพาะช่วงหลังจาก
ดร.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทยเข้าสู่เวทีอำนาจการเมือง ความต่างระหว่างชนชั้นอำมาตย์สายพลเรือนและ
สายทหารก็เลือนลางไป บางกลุ่มเข้ามาผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวมากขึ้น กลายเป็นสายชนชั้นอำมาตย์ปัจจุบัน
อำมาตยาธิปไตย แต่เดิมหมายถึงระบอบที่ อำมาตย์มีอำนาจสูงสุด หรืออธิปไตยเป็นของชนชั้นอำมาตย์
คำว่า "อำมาตย์" โดยทั่วไปหมายถึง ขุนนาง ข้าราชการ แต่ทว่า "อำมาตย์ในระบอบอำมาตยาธิปไตย" มีความมหมาย
ครอบคลุมไกลกว่านั้น เมื่อประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยกล่าวถึง "ระบอบอำมาตยาธิปไตย" คำว่า อำมาตย์ จะรวมไป
ถึง.."ชนชั้นต่างๆที่มีประโยชน์ร่วมกันในระบอบนี้ และทำทุกวิธีทางที่จะรักษาผลประโบชน์แห่งตน ภายใต้ระบอบที่ว่านี้"
ชนชั้นเหล่านี้มีทั้ง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง(ที่ไม่ได้ประโยชน์จากระบอบ แต่ก็ยังสนับสนุน)
แต่เดิมนั้นเมื่อกล่าวถึง"ระบอบอำมาตยาธิปไตย" เรามักเน้นไปที่การบริหารบ้านเมือง..ที่ข้าราชการเป็นใหญ่ ควบคุม
อำนาจกลไกต่างๆไว้ และเป็นผู้กำหนดทิศทางประเทศแต่ฝ่ายเดียว ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงระบอบอำมาตยาธิปไตย บางคน
จึงใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษว่า bureaucratic polity - ซึ่งลักษณะบ้านเมืองเช่นนี้ จะเห็นชัดเจนในช่วงตั้งแต่รัฐบาลของ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มาจนถึงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
อย่างไรก็ตาม ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ระบอบนี้มีชีวิต เติบโตและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นคำว่า อำมาตยาธิปไตย ในปัจจุบันจึงมิใช่แค่ชนชั้นข้าราชการ แต่เป็นในลักษณะของ "อภิสิทธิ์ชน" ซึ่งเราสามารถ
เรียกรวมๆ..ในภาษาอังกฤษได้ว่า aristocracy หรือ aristocrats หรือ pseudo aristocrats (คือการเลียนแบบชนชั้นสูง)
เศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในสมัยรัฐบาลชาติชาย (2531 - 2534) ทำให้เกิดชนชั้นกลางใหม่
ขึ้นมากมาย ขณะที่คนจีนอพยพในรุ่นแรกๆ เริ่มมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ..และส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนชนชั้นศักดินา
เพื่อยกสถานะทางสังคม คบหากับลูกหลานชนชั้นศักดินาจากสังคมเก่า มีการแต่งงานกับลูกหลานศักดินา และชนชั้นสูง
รวมไปถึงเชื้อพระวงศ์บางส่วน ลูกหลานคนอพยพเหล่านี้จึงเปลี่ยนสถานะทางสังคมมาเป็นชนชั้นสูงด้วย - นอกจากนั้น
ยังมี สามัญชน ลูกชาวบ้านธรรมดา ที่ร่ำเรียนด้วยความพยายามจนจบการศึกษา ทั้งที่ได้ทุนจากรัฐ และที่พ่อแม่ส่งเสีย
ให้เรียนหนังสืออย่างยากลำบาก ..คนเหล่านี้เมื่อมีหน้าที่การงาน รับราชการ บางส่วนเจริญก้าวหน้า จนสามารถยกสถานะ
จากลูกชาวบ้าน หลานชาวนา ไปเป็นชนชั้นสูงในสังคมได้เช่นกัน
แน่นอนว่า ในระบอบอำมาตยาธิปไตย ก็เปิดโอกาสให้ชนชั้นล่างยกระดับขึ้นมาเป็นชนชั้นสูง และแน่นอนอีกเช่นกันว่า
จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่สังคมอำมาตยาธิปไตยกำหนด (ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของสังคมทั่วไป ที่มีกติกาของตนเอง)
เปรม ติณสูลานนท์ และ ประเวศ วะสี ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของชนชั้นอำมาตย์ที่ก้าวขึ้นมาจากชนชั้นล่าง
ระบอบอำมาตยาธิปไตยปกครองอย่างแนบเนียน และอาศัยความเชื่อทางศาสนาในการรักษาความสงบ-มั่นคงของชนชั้น
เช่น คนที่มีเงิน มีอำนาจ เป็นเพราะทำบุญไว้มากในชาติปางก่อน ส่วนคนที่ต่ำต้อยยากจน เพราะทำบุญไว้น้อย คติแบบนี้
ช่วยลด หรือกลบเกลื่อนความหมายของการถูกกดขี่ ทางออกสำหรับคนนอกวงจรอำนาจ จึงไม่ใช่การลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิ
พลเมืองของตน แต่วิธีแก้ปัญหากลับเป็น การทำบุญเข้าวัด..เผื่อว่าชาติหน้าจะได้มีวาสนากับเขาบ้าง
หรือความใฝ่ฝันของชนชั้นล่างในระบอบอำมาตยาธิปไตย คือดิ้นรนส่งเสียลูกหลาน เพื่อโตขึ้นจะได้เป็น "เจ้าคนนายคน"
ซึ่งหมายความว่า การเป็นเจ้าเหนือคนอื่นนั้น..เป็นสิ่งที่ดี และคนชั้นล่างควรขยันหมั่นเพียรต่อไป ความเชื่อนี้ คือการสร้าง
ความชอบธรรมให้แก่การเป็น "เจ้าเหนือคนอื่น" ..แล้วยังช่วยสลายแนวคิด "ความเป็นประชาชนที่เสมอภาค" ให้ลบเลือน
หายไปจากกระบวนคิดของคนในสังคมไทย เหล่านี้เป็นการสร้าง "วัฒนธรรมจำยอม" ให้หยั่งรากลึกชั่วลูกหลาน
แน่นอนว่า ระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่เคยปฏิเสธชนชั้นล่าง..ที่จะไต่เต้าขึ้นมาสู่ชนชั้นอำนาจ
และเงื่อนไขของการมีเส้นสาย มีผู้อุปถัมภ์เลี้ยงดู ก็เป็นเงื่อนไขของสังคมมนุษย์ทั่วไป - ไม่ว่าจะในระบอบใด
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของระบอบอำมาตยาธิปไตยไทย อยู่ที่การรวมศุนย์อำนาจไว้นานเกินไป
และรวมศูนย์อำนาจไว้มากเกินไป โดยที่..ตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่ข้อแก้ตัว
แน่นอนว่า การที่ระบอบอำมาตยาธิปไตยครองอำนาจอยู่กว่าครึ่งศตวรรษ ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าการพัฒนาหลายอย่าง
เกิดภายใต้ระบอบอำมาตย์ แต่นั่นก็เป็นเพราะอำมาตย์ผูกขาดการบริหารอยู่ฝ่ายเดียว และยังเป็นผลงานที่เชื่องช้า ไม่ใช่
การพัฒนาที่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก ไม่ว่าจะแง่เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม
ในกลุ่มชนชั้นอำมาตย์เอง เคยมีการยกปัญหาทำนองนี้ขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง มีการเสนอให้กระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น
ทั้งอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของส่วนรวม และยังเป็นการรักษาอำนาจของชนชั้นอำมาตย์ไว้
ได้อีกยาวนานด้วย ..แต่ในที่สุด ก็ไม่เคยมีการแก้ไขปัญหาใด ความพยายามในการแก้ปัญหาบ้านเมืองกลายเป็นการแย่ง
ชิงบทบาทอำนาจระหว่างอำมาตย์สายพลเรือน กับอำมาตย์สายทหาร ..จนกระทั่งอำมาตย์สายทหารขัดแย้งกันเอง จนเกิด
เหตุการณ์นองเลือด พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ที่แทบจะสลายขั้วอำนาจของอำมาตย์สายทหารลงไปเกือบสิ้น
ชนชั้นอำมาตย์สายพลเรือน เช่น ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ..อานันท์ ปัญญารชุน เข้ามีบทบาท หรือให้แนวคิด
ในการร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งในตอนนั้น คนเหล่านี้ต้องการรัฐบาลพลเรือนที่เข้มแข็ง มั่นคง ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา
จึงออกแบบรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อปรากฏการณ์ดังกล่าว คนเหล่านี้ไม่ต้องการรัฐบาลทหาร..ที่ไม่รู้เรื่องราว
เพราะอย่างไร..ในสายตาชนชั้นอำมาตย์
อำมาตย์พลเรือนย่อมมีสติปัญญาเหนือกว่าอำมาตย์ทหารแน่นอน
(คือในชนชั้นก็ยังการแบ่งชนชั้นแยกย่อยอีกด้วย)
การร่างรัฐธรรมนูญ 2540 เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์นองเลือด พฤษภาคม พ.ศ. 2535
พรรคการเมืองที่เข้มแข็ง ที่สามารถขึ้นเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากได้..ขณะนั้น ก็มีเพียงพรรคประชาธิปัตย์
และพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นพรรคเก่าแก่ของชนชั้นอำมาตย์มาเนิ่นนาน โดยเฉพาะอำมาตย์สายพลเรือน
สิ่งที่ไม่คาดคิดไว้ก่อน ก็คือดร. ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาสู่สนามการเมืองอย่างจริงจัง และตั้งพรรคไทยรักไทย
ในขณะที่ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นรัฐบาลตอนนั้น..ไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของชาติได้ ทำให้สูญเสียฐาน
มวลชนชั้นกลาง รวมทั้งพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางไปมากพอสมควร - พรรคไทยรักไทยจึงเป็นทางเลือกสดใหม่ และมี
โอกาสชนะการเลือกตั้งในหลายพื้นที่ - ชนชั้นอำมาตย์สายประชาธิปัตย์ จึงเริ่มโจมตีดร.ทักษิณ..อย่างหนัก มีการโยน
คดีซุกหุ้นและอีกมากมาย ศัตรูเก่าของดร.ทักษิณ..ส่วนหนึ่งมาจากพรรคพลังธรรม ที่ผูกใจเจ็บมาแต่สมัยที่ ดร.ทักษิณ
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในสังกัดพรรคพลังธรรมนั่นเอง
ขณะนั้น ปีพ.ศ. 2544 ชนชั้นอำมาตย์ในระดับสูงขึ้นไปยังวางเฉย
และเมื่อพรรคไทยรักไทยได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากมาย..จนน่าตกใจ ชนชั้นอำมาตย์ระดับสูงก็ยังวางเฉย
แต่ก็แอบสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ด้วยต้องการให้ดร.ทักษิณ ช่วยจัดการแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจ ที่เป็นปัญหาของชาติ
และเป็นปัญหาส่วนตัวของชนชั้นอำมาตย์ระดับสูง
ทักษิณ ชินวัตร..แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้สำเร็จ และยังทำตามนโยบายที่สัญญาไว้กับประชาชน
ช่วงขณะหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะกลายเป็นคนโปรดของชนชั้นสูงหลายต่อหลายคน ประชาชนรากหญ้าก็เริ่มชื่นชม
และอันที่จริง ปัญหาของระบอบอำมาตยาธิปไตยน่าจะยุติลงได้ด้วยดีแล้ว..ตั้งแต่ตอนนั้น
เพราะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ประเทศชาติก็มีอำนาจต่อรองกับนานาประเทศมากขึ้น ประชาชนในภูมิภาค
ก็เริ่มช่วยเหลือตัวเองได้..และมีแนวโน้มว่าจะไม่เป็นภาระของส่วนกลาง (หรือชนชั้นอำมาตย์)อีกต่อไป ในขณะที่
ค่านิยมความเชื่อในระบอบอำมาตยาธิปไตยก็ยังอยู่ดี ไม่มีใครท้าทาย หรือคนที่ท้าทายก็มีน้อย..จนไม่มีปากเสียง
รัฐบาลทักษิณก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางระบอบอำมาตยาธิปไตย โดยเฉพาะในด้านสังคม วัฒนธรรม ความเชื่อ
อย่างไรก็ตาม ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
ชนชั้น และระบอบอำมาตยาธิปไตย ประกอบด้วยผู้คนหลากหลาย
ชนชั้นสูงก็มีความคิดที่คาดเดายาก เปลี่ยนข้างได้รวดเร็ว ..ชนชั้นล่างที่เพิ่งก้าวมาเป็นชนชั้นอำมาตย์ได้ไม่นานก็
ยังไม่ลึกซึ้งกับศักดิ์ศรี และ ยุทธวิธีบางอย่างของชนชั้นศักดินาเดิม จึงเลือกที่จะเปิดแนวรบกับประชาชนโดยตรง
อีกทั้งบางส่วนของชนชั้นอำมาตย์ใหม่ - ชนชั้นกลางใหม่ ยังมีคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไปดึงเอาสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง
เอามาใช้เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม พวกปฏิกิริยาก็เน้นการล่าล้างโคตร เอาสะใจเป็นหลัก
แน่นอนว่า ชนชั้นอำมาตย์ส่วนมาก (แต่ไม่ใช่ทุกคน) มีนิสัยดูถูกประชาชน โดยเฉพาะดูถูกคนเหนือ คนอีสาน
แต่ชนชั้นศักดินาในอดีต จะมีวิธีการดูถูกเหยียดหยามผู้คน..อย่างเนียน และมีศิลปะ ชนชั้นอำมาตย์ในอดีตก็จะ
ไม่เปิดแนวรบกับประชาชนโดยตรง แม้แต่ในสมัยสงครามต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งฝ่ายซ้าย
ก็ประกาศสงครามชนชั้นอย่างชัดเจน แต่ชนชั้นอำมาตย์ในอดีตก็ไม่เคยเปิดแนวรบกับประชาชน จึงทำให้ พคท.
ขาดแนวร่วมประชาชน และไม่สามารถรุกคืบได้มากนัก - ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ แตกต่างไปจากชนชั้นอำมาตย์ใน
ยุคปัจจุบัน (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เรื่อยมา) ..และข้อผิดพลาดใหญ่หลวง คือการใช้พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง เป็น
กำลังหลักในการโค่นกลุ่มอำนาจของดร. ทักษิณ ชินวัตร
ที่เรียกกันว่า พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง ก็เพราะเป็นกลุ่มคนที่มีปฏิกิริยา.. และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
"พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง" ใช้สำหรับเป็นแนวหน้า เป็นตัวป่วน สร้างกระแสขัดแย้ง และมีประโยชน์เพียงเท่านั้น
เมื่อจุดกระแสติดแล้ว สมควรเก็บกวาดคนเหล่านี้ออกไปจากสนามการต่อสู้ เพราะคนพวกนี้มักทำให้เสียเรื่อง
คือถ้าไม่ทำให้แพ้ ก็จะทำให้เหตุการณ์บานปลาย.. ในการปฏิวัติของประเทศลาว สิ่งแรกเมื่อฝ่ายสังคมนิยมชนะ
ก็คือกวาดล้างพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง..ที่เคยเป็นแนวร่วมของตนเอง
ในศึกโค่นอำนาจทักษิณ ชินวัตร ชนชั้นอำมาตย์กลับใช้ "พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง" เป็นทั้งแนวหน้าและกำลังหลัก
"พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ"
คือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ชนชั้นอำมาตย์ต้องเปิดแนวรบกับประชาชน
ซ้ำร้าย..ชนชั้นอำมาตย์บางคนก็ยังร่วมผสมโรง ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งรองกลายเป็นความขัดแย้งหลัก..
วาทกรรมที่ไม่เคยมีใครตั้งคำถาม มาถึงตอนนี้ก็ใช้ไม่ได้อีกแล้ว
สิ่งที่พล.อ.วัฒนชัย ฉายเหมือนวงศ์ ให้สัมภาษณ์ (ไทยโพสต์) ถึงการถอยเพื่อปรับยุทธวิธี..
เอาเข้าจริง ชนชั้นอำมาตย์ใหม่เหล่านี้ ก็ยังใช้วิธีเดิมๆ วิธีเดียวกับที่ล้มรัฐบาลทักษิณ เอามาล้มรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช
ผลที่ได้คือ ขยายแนวรบกับประชาชนกว้างออกไปอีก จากเดิมมีแค่ นปก. ไม่ถึงแสนคน ก็กลายเป็น นปช.คนเสื้อแดง
ที่มีมวลชนนับล้าน.. มีเครือข่ายทั่วประเทศ แม้แต่ในภาคใต้
สิ่งเดียวที่ชนชั้นอำมาตย์ปรับยุทธวิธี คือไม่ครองอำนาจโดยตรง..แต่ครองอำนาจผ่านตัวแทน
05
ชนชั้นอำมาตย์เปิดฉากรุกแตกหัก
นปก. ประกาศจุดยืนชัดเจนตั้งแต่ต้น..ว่าไม่รับรัฐธรรมนูญ 2550
เพราะเป็นคัมภีร์สืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร ที่เขียนขึ้นมาเพื่อปกป้องระบอบอำมาตยาธิปไตยเท่านั้น
ระหว่างการลงประชามติ พรรคประธิปัตย์ สื่อมวลชนกระแสหลัก นักวิชาการ (ซึ่งส่วนมากรับใช้ระบอบอำมาตย์)
ล้วนเรียงหน้ากันออกมาบอกประชาชน ให้รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปก่อน ถ้าไม่พอใจก็สามารถมาแก้ไขภายหลังได้
จึงมีประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่หลงเชื่อ..และยอมรับร่างรัฐธรรมนูญ 50 ด้วยหวังให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว และคิดว่าจะ
สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังที่มีรัฐบาลใหม่แล้ว เป็นกระบวนคิดแบบสันติวิธีประนีประนอม ไม่ต้องเสียแรงต่อสู้
พรรคพลังประชาชน ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ก็ประกาศชัดเจนว่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ
หลังจากพรรคพลังประชาชนได้รับเลือกเป็นเสียงข้างมาก และตั้งรัฐบาลแล้ว ก็เริ่มมีการพูดถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
ทางด้าน นปก. นำโดยนายแพทย์เหวง โตจิราการ ร่วมกับตัวแทนกลุ่มประชาชนอีกหลายฝ่าย ได้ประชุมปรึกษา และ
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ "ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ"ฉบับดังกล่าว มีประชาชนลงชื่อสนับสนุนกว่าแสนคน จากนั้นจึงส่ง
ให้รัฐสภานำเข้าพิจารณา ซึ่งถูกบรรจุไว้เป็นวาระแรก ..แต่ก็ถูกอำนาจลึกลับถ่วงเอาไว้
ทางฝ่ายอำมาตย์.. พรรคประชาธิปัตย์ สื่อมวลชนกระแสหลัก
นักวิชาการ (ซึ่งส่วนมากรับใช้ระบอบอำมาตย์) ที่เคยบอกว่า
ให้รับรัฐธรรมนูญไปก่อน แล้วมาแก้ไขทีหลัง ..แต่ถึงตอนนี้
เปลี่ยนท่าทีมาเป็น ต่อต้าน - คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น ย่อมกล่าวได้ว่ากลุ่มประชาชนที่รับรัฐธรรมนูญ 50 เพราะ
คิดว่าจะมาแก้ไขภายหลังนั้น..ล้วนถูกหลอกอย่างน่าเวทนา..
โดยสามัญสำนึก การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ย่อมเป็นสิ่งที่ชนชั้นอำมาตย์ระดับสูง จะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นได้
เพราะนั่นหมายถึงการสูญเสียอำนาจครั้งใหญ่ - ที่สำคัญ พรรคพลังประชาชน - นปก. ไม่ได้คิดแก้รัฐธรรมนูญ
เฉพาะประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองทางการเมือง แต่คิดแก้ไขหมดทั้งฉบับ ให้กลับไปเป็นรัฐธรรมนูญ 2540
ถึงแม้นชนชั้นอำมาตย์จะเป็นผู้ออกแบบรัฐธรรมนูญ 2540 แต่รัฐธรรมนูญ 2540 ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนมากไป
ชนชั้นอำมาตย์จึงต้องก่อรัฐประหาร และเขียนรัฐธรรมนูญ 2550 ขึ้นมา
ชนชั้นอำมาตย์เริ่มเปิดฉากรุกครั้งใหม่
เริ่มจากส่งสมุนสื่อสารมวลชน ออกมาสร้างวาทกรรมซ้ำซาก เช่น แก้รัฐธรรมนูญเพื่อทักษิณ แก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้
พรรคพลังประชาชนพ้นผิดคดียุบพรรค ..วาทกรรมเหล่านี้ ไม่ได้มีเพียงเพื่อโน้วน้าวสังคม แต่ในสังคม "ศรีธนนชัย"
เช่นประเทศไทย วาทกรรมซ้ำซากของชนชั้นอำมาตย์ ยังมีเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น ทำให้การถกเถียงโต้แย้งหลุดออก
ไปจาก "ใจความสำคัญ" .. เป็นยุทธวิธีที่ชนชั้นอำนาจใช้ได้ผลเสมอมา ตราบจนปัจจุบัน
จากนั้น ชนชั้นอำมาตย์ก็ส่งกลุ่มพันธมิตรฯออกมาเคลื่อนไหว
ใช้วิธีเดิม วิธีเดียวที่เคยใช้โค่นล้มรัฐบาลทักษิณ (2548 - 49) ความแตกต่างคือกลุ่มพันธมิตรฯในปี 2551 มาพร้อม
กองกำลังติดอาวุธเบา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ชนชั้นอำมาตย์เริ่มมองเห็นแล้วว่า การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่กลุ่มอำนาจหนึ่ง
ปะทะกับอีกกลุ่มอำนาจหนึ่ง ..แต่มีมวลชนเข้ามาร่วมในการต่อสู้ ดังนั้น หากไม่มีกองกำลังติดอาวุธเบาเข้ามาเสริม
มวลชนของพันธมิตรฯอาจถูกกระทืบตายคาถนนก็เป็นได้ ..ระบอบอำมาตยาธิปไตยนั้นก็มีมวลชนของตนเอง ซึ่งไม่
ต่างไปจากฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งสองฝ่ายล้วนประกอบด้วย ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง ข้าราชการ ตำรวจ และ
ทหาร รวมทั้งชนชั้นปฏิกิริยา..ซึ่งมีอยู่ในมวลชนทั้งสองฝ่าย
ช่วงเวลานั้น นปก. / นปช. ลดบทบาทในพื้นที่สาธารณะ
เพื่อเปิดทางให้ พรรคพลังประชาชน ในฐานะรัฐบาล และ
เสียงข้างมากในรัฐสภา ได้ดำเนินกิจกรรมการเมืองอย่างเต็มที่
การชุมนุมของ นปช. หลังจากวันประชามติ 19 สิงหาคม 2550 เป็นเพียงการนัดพบ และไม่มีความเคลื่อนไหวสำคัญ
วันที่ 25 พฤษภาคม 2551 - ชนชั้นอำมาตย์เปิดศึกแตกหักกับพรรคพลังประชาชน
กลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อเตรียมเดินไปยึดทำเนียบรัฐบาล
ขณะเดียวกัน มวลชนกลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯจำนวนหลายร้อยคน ไปรวมตัวขับไล่อยู่ใกล้ๆ ด้านถนนดินสอ
การประเมินของตำรวจกล่าวว่ากลุ่มพันธมิตรฯมีประมาณ 1500-2000 คน แต่ในความเป็นจริงแล้วมีมากกว่านั้น น่าจะ
อยู่ที่ประมาณ 3000 - 4000 คนขึ้นไป ส่วนฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ ซึ่งมาอย่างปราศจากแกนนำ มีอยู่ประมาณ 700 คน
และยังมีกลุ่มคนวันเสาร์อยู่ที่สนามหลวงอีกประมาณ 300 คน
เวลา 18:50 น. เริ่มมีการปะทะกันระหว่างมวลชนทั้งสองฝ่าย
เวลา 21.00 น. กลุ่มคนวันเสาร์ฯ นำโดยสุชาติ นาคบางไทร (วราวุธ ฐานังกรณ์) เคลื่อนกำลังออกจาสนามหลวง เพื่อ
มาสมทบกับกลุ่มต้านพันธมิตรฯ - ขณะเดียวกัน กลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนขบวน เดินทางไปทำเนียบรัฐบาล โดยมีกำลัง
ตำรวจคุ้มกัน..และพยายามแยกมวลชนทั้งสองฝ่ายให้อยู่ระยะห่างจากกัน -
ขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯ ติดอยู่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานฯ ไม่สามารถผ่านด่านตำรวจไปได้ ..
ขณะเดียวกัน กลุ่มต่อต้านได้รวมพลอยู่ที่สะพานผ่านฟ้า
กลุ่มแท๊กซี่และมอเตอร์ไซค์ เริ่มเดินทางมาเป็นกำลังสนับสนุนให้กับฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ
ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็มีกองกำลังมอเตอร์ไซค์ของตนเองเช่นกัน (ไม่สามารถระบุที่มาของกองกำลังนี้ได้)
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่สับสนอยู่แล้ว ก็ยิ่งสับสนมากขึ้นกว่าเดิม - ฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ ไม่มีแกนนำ ไม่มีแผน
ต่างคนต่างมาและกระจัดกระจาย - ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯเตรียมพร้อมรับมือกับการถูกจู่โจม พวกเขามีกองระวังหลัง
เวลา 22.00 น.โดยประมาณ เกิดปะทะกันครั้งใหญ่ระหว่างฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ กับกองระวังหลังของพันธมิตรฯ
กองรักษาความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรฯ รู้วิธีใช้อาวุธเบาในการสลายชุมชน พวกเขารู้วิธีการตีครั้งเดียวให้หมอบ
ขณะที่มวลชนฝ่ายต่อต้านฯไม่รู้ยุทธวิธีอะไรเลย จึงบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก
เวลา 23.00 น. มวลชนกลุ่มพันธมิตรฯที่อาศัยในกรุงเทพฯ เริ่มทะยอยกลับบ้าน ทำให้มวลชนที่ติดอยู่เชิงสะพาน
มัฆวานฯ มีจำนวนลดลงไปมาก - ขณะที่ฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ ยังคงปักหลักอยู่ที่สะพานผ่านฟ้า
ช่วงเที่ยงคืน รัฐบาลเตรียมสลายการชุมนุม ขณะที่ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ บริเวณเชิงสะพานมัฆวานฯเหลืออยู่ไม่มาก แต่
ไม่สามารถทำได้ กล่าวกันว่ามี อำนาจบางอย่างสั่ง.."ห้ามทำร้ายประชาชนของพวกเขา"
1 มิถุนายน 2551
นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช กล่าวทางสถานีโทรทัศน์ NBT ว่าจะไม่มีการสลายการชุมนุมของกลุ่มพัธมิตรฯ
ในลักษณะที่นักวิชาการ (ฝ่ายอำมาตย์) ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แต่จะให้ตำรวจเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ให้
รื้อเวทีไปจากการกีดขวางจราจร เส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน โดยจะมีการถ่ายทอดสด เชิญสำนักข่าวต่างประเทศ
รวมทั้งสหประชาชาติ ซึ่งอยู่ตรงเชิงสะพานมัฆวานฯ มาร่วมชมการเจรจาและรื้อเวที
และแน่นอนที่สุด ทุกอย่างเป็นแค่คำพูด.. ซึ่งไม่เคยมีการปฏิบัติจริง
19 มิถุนายน 2551
หลังการชุมนุมยืดเยื้อเป็นเวลาประมาณกว่า 20 วันของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เชิงสะพานมัฆวานฯ ยังไม่สามารถบรรลุ
ผลสำเร็จใดตามวัตถุประสงค์ นอกจากนั้น การปราศรัยของแกนนำ เช่น สนธิ ลิ้มทองกุล ยังช่วยทำให้ประชาชน
ทั่วไปเข้าใจว่า "ใครคือผู้สนับสนุนคนสำคัญ" ของปฏิบัติการครั้งนี้ ซึ่งช่วยตอบคำถามประชาชน..ว่าทำไมตำรวจ
จึงไม่กล้าสลายการชุมนุมเมื่อเช้ามืดของวันที่ 26 พฤษภาคม ..
และตอบคำถามว่า ทำไมกลุ่มพันธมิตรฯจึงสามารถอยู่เหนือกฎหมาย และมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าประชาชนทั่วไป
ระหว่างนั้น มีรายงานว่ากลุ่มพันธมิตรฯ กำลังเตรียมรุกแตกหักอีกครั้ง โดยจะฝ่าด่านสะพานมัฆวานฯ และเข้ายึด
ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 20 มิถุนายน - รัฐบาลจึงเตรียมสลายกำลังของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยอาศัยความร่วมมือจาก
มวลชนสนามหลวง - คืนวันที่ 19 มิถุนายน มวลชน นปช. กว่าหมื่นคนเคลื่อนกำลังจากสนามหลวง คราวนี้มีแกนนำ
มีการจัดทัพจัดระเบียบมาอย่างที่ควรจะเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นมวลชนเลอะเทอะกระจัดกระจาย - ดังนั้น
นายแพทย์เหวง โตจิราการ หนึ่งในแกนนำ นปช. จึงเป็นคนนำทัพ - กล่าวกันว่า นปช.ไม่เกี่ยวข้องกับงานนี้ แต่
"มวลชนสนามหลวง"ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ร่วมกับ นปช.
ในคืนวันที่ 19 มิถุนายน กลุ่มพันธมิตรฯ ถูกกดอยู่ในวงล้อม
ด้านสะพานมัฆวานฯเป็นตำรวจ ด้านถนนราชดำเนินเป็นมวลชนสนามหลวง - แต่เหตุการณ์ก็พลิกผันอีกครั้ง
ช่วงเช้าของวันที่ 20 ..กำลังพันธมิตรฯ สามารถผ่านแนวรับของตำรวจอย่างง่ายดาย และไหลเข้าไปในทำเนียบ
ทั้งด้านสะพานมัฆวานฯ และด้านสะพานชมัยมรุเชฐ (ที่มีรั้วเหล็กกั้นหลวมๆเพียงสองชั้น ซึ่งผิดปกติอย่างมาก)
ไม่มีใครทราบถึงเบื้องหลังแน่นอนของปรากฏการณ์นี้ แม้จะมีคำร่ำลือว่า เป็นการสมรู้ร่วมคิดของตำรวจระดับสูง
ที่ฝักใฝ่ฝ่ายอำมาตย์ ซึ่งได้รับคำสั่งมาจากผู้บงการกลุ่มพันธมิตรฯ - จะอย่างไรก็ตาม กลุ่มพันธมิตรฯ ก็สามารถยึด
ทำเนียบรัฐบาลไว้ได้ตามที่ประกาศ และยึดอยู่เกือบครึ่งปี จนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลังประชาชน ใน
เดือนธันวาคม
24 มิถุนายน 2551
นปช. จัดงานรำลึกการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ที่ท้องสนามหลวง
และไม่มีท่าทีเคลื่อนไหวใดๆ ดูเหมือนว่า นปช.ต้องการให้รัฐบาลจัดการปัญหาต่างๆด้วยตนเองมากกว่า
ขณะเดียวกัน วันที่ 27 มิถุนายน 2551 พรรคประชาธิปัตย์ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
ผลออกมาปรากฏว่า นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ยังคงได้รับการไว้วางใจด้วยคะแนน 280 เสียง
ซึ่งการออกเสียง ประธานสภาฯ รองประธานรวมทั้งรัฐมนตรีทั้งคณะต่างไม่ร่วมลงคะแนน เพื่อแสดงความเป็นกลาง
และเป็นมารยาท (ส่วนนายกฯ - รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่มีสิทธิ์ออกเสียงอยู่แล้วตามกฎหมาย) รัฐมนตรีที่เหลือ
ทั้งหมดได้คะแนนลดหลั่นเพียงแค่หนึ่งเสียง คือระหว่าง 278 – 279 เป็นสัญญาณว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังคงมั่นคงดี
อย่างไรก็ตาม แม้นผู้คนส่วนใหญ่คิดว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญล่าช้านั้น เป็นเพราะกระแสต่อต้านจากกลุ่มพันธมิตรฯ
แต่เริ่มมีคำถามในหมู่ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยว่า เป็นไปได้หรือไม่..ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่เกิดขึ้น เพราะ
การเตะถ่วงของ "คนในพรรคพลังประชาชน" เพราะเริ่มมีข่าวลือว่า บางกลุ่มในพรรคพลังประชาชน กำลังเจรจาผล
ประโยชน์กับฝ่ายอำมาตย์ - แต่ที่สุดก็กลายเป็นคำถามแผ่วเบา เพราะไม่มีใครสามารถระบุได้ว่า ใครเจรจากับใคร..
จนกระทั่งเรื่องมาเปิดเผยในเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน เมื่อปรากฏว่ากลุ่มของ เนวิน ชิดชอบ ย้ายข้างไปสนับสนุน
พรรคประชาธิปัตย์ และ ชนชั้นอำมาตย์
06
การรุกแตกหักของชนชั้นอำมาตย์ กลับสร้างแนวร่วมให้ นปช.
ชนชั้นอำมาตย์คาดหวังให้กลุ่มพันธมิตรฯ นำมวลชนออกมาเป็นหัวหอกในการโค่นล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช
เหมือนกับที่เคยกระทำต่อรัฐบาลดร.ทักษิณ ชินวัตร - แต่กลุ่มพันธมิตรฯในปี 2549 ก็ไม่เคยทำสำเร็จ และมวลชน
พันธมิตรฯก็ลดน้อยลงทุกวัน ทั้งที่ทุ่มทุนโฆษณาผ่านสื่อมวลชนกระแสหลักทุกแขนง ในที่สุด ชนชั้นอำมาตย์ก็ต้อง
ใช้กองทัพไทยออกมาก่อรัฐประหาร -
ในความพยายามโค่นรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชก็เช่นกัน ..
ทั้งที่ชนชั้นอำมาตย์สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯในทุกด้าน ทุกรูปแบบ แต่กลุ่มพันธมิตรฯก็ยังไม่สามารถสร้างผลกระทบ
แก่รัฐบาลได้เท่าใด - เริ่มต้น ก็ไปติดอยู่ที่เชิงสะพานมัฆวานฯอยู่เกือบหนึ่งเดือน จนกระทั่งชนชั้นอำมาตย์ต้องเป็นฝ่าย
ใช้อำนาจพิเศษ ในการเปิดทางให้เข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาล อยู่ในทำเนียบรัฐบาลหลายเดือน ก็ยังไม่เกิดผลคืบหน้าใดๆ
ความพยายามปลุกกระแส ให้เกิดเป็นการปฏิวัติประชาชน..ก็ไม่เคยทำได้
ทั้งที่สื่อมวลชนกระแสหลักทุกแขนง ต่างช่วยโฆษณาชวนเชื่ออย่างสุดความสามารถ ว่าพันธมิตรฯมีคนมาร่วมเป็นแสน
เป็นล้าน เป็นร้อยล้าน..มากกว่าจำนวนประชาชนในประเทศไทย - แต่จากการประเมินของตำรวจ โดยประเมินจากพื้นที่
ที่ใช้ในการชุมนุม กลุ่มพันธมิตรฯ ตั้งแต่ปี 2549 มาจนถึงปี 2551 ไม่เคยมีครั้งไหนที่มีคนมากกว่า "สามหมื่นคน"
ในขณะที่มวลชนสามหมื่นคน..เป็นจำนวนปกติของมวลชนสนามหลวง ในวันชุมนุมธรรมดาๆ
แน่นอนว่า จำนวนผู้คนที่ออกมาร่วมชุมนุมบนถนน..มิได้มีผลชี้แพ้ชี้ชนะ บางวันมามาก บางวันมาน้อย..เป็นเรื่องปกติ
แต่การชุมนุมที่มคนมาร่วม ในจำนวนสม่ำเสมอ บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มมวลชน การชุมนุมที่มีคนมาร่วมสม่ำเสมอ
แล้วเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันเมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งบ่งบอกถึงแนวร่วมที่ขยายขึ้น และมุ่งมั่นมากขึ้น มีอารมณ์ร่วมมากขึ้น
ซึ่งมวลชนประเภทนี้ ผ่านไประยะหนึ่งก็จะมีพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนคำปราศรัยของแกนนำไม่มีความหมายมากไปกว่าการ
นัดแนะ ว่าจะทำอะไรกันต่อไป เพราะเมื่อถึงขั้นนั้น มวลชนจะรู้ดีว่าตนเองกำลังทำอะไร เพื่อจุดประสงค์ใด
นี่คือสิ่งที่ทุกฝ่ายคาดหวัง..ในการชุมนุมทางการเมือง
กลุ่มพันธมิตรฯก็คาดหวังให้มวลชนของตนเป็นเช่นนี้ .. นปช. ก็คาดหวังเช่นเดียวกัน
สำหรับกลุ่มพันธมิตรฯ ค่อนข้างมีปัญหา มวลชนของพวกเขามีมากมาย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมนุม
แต่ทว่ามวลชนของพันธมิตรฯ ก็เลือกที่จะนอนดูโทรทัศน์อยู่กับบ้านมากกว่า ..และเมื่อเกิดการต่อต้าน "เสื้อเหลือง"
(เพราะกลุ่มพันธมิตรฯใช้สีเหลือง - เสื้อเหลืองเป็นสัญลักษณ์) กลุ่มมวลชนพันธมิตรฯจำนวนไม่น้อย ก็พยายามปฏิเสธ
ว่าตนเอง "ไม่ใช่พวกเสื้อเหลือง" บางคนก็อ้างว่าเป็นกลางบ้าง เป็นเสื้อขาวบ้าง - นี่คือวิถีของพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง
คือเมื่อไม่สะดวกก็จะหลบหลีก เมื่อไม่เท่ ก็จะปฏิเสธว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน เมื่อถึงเวลาต้องฆ่าฟันกัน ก็จะทิ้งเพื่อนทันที
นี่เป็นเหตุหนึ่ง ที่ไม่ควรนำพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางมาร่วมขบวนการในระยะยาว
อีกประการหนึ่ง ประเทศไทยเป็นบ้านเมืองที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ครอบงำด้วยระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นวัฒนธรรม
แห่งการยอมจำนน ดังนั้น การที่กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นมวลชนอำมาตย์..ปลุกระดมมวลชนเพื่อให้ลุกขึ้นมาปกป้องวิถี
อำมาตยาธิปไตย รักษาแนวคิดอนุรักษ์นิยมและการยอมจำนนต่ออำมาตย์ จึงค่อนข้างเป็นเรื่องที่ "ปลุกได้ยาก" เพราะ
ไม่ว่าจะออกมาสู้เพื่อพันธมิตรฯหรือนอนเฉยๆอยู่บ้าน ไม่ว่าจะออกมาสู้เพื่ออำมาตย์หรือไม่ก็ตาม ทุกคนก็รู้ดีว่าบ้านเมือง
จะยังคงเป็นเช่นเดิม คืออย่างไรคนก็คิดว่าอำมาตย์ชนะอยู่แล้ว ..และชนะแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง - เหตุเหล่านี้
ทำให้การปลุกมวลชนพันธมิตรฯ ให้ออกมาเป็นแสนเป็นล้าน เพื่อสร้างกระแสปฏิวัติประชาชน ..จึงไม่สามารถเกิดขึ้น
การปลุกระดมของชนชั้นอำมาตย์ จึงทำได้แค่ "ปลุกอารมณ์คลั่งชาติ" "สร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชนด้วยกันเอง"
แต่อารมณ์เหล่านี้ก็เป็นแค่ของชั่วคราว ไม่ใช่อุดมการณ์การเมืองที่จะต่อสู้สืบทอดกันได้นาน
นอกจากนั้น ยังมีผลสะท้อนกลับอีกด้วย
การปลุกมวลชน "สร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชนด้วยกันเอง" ย่อมหมายถึงว่า ต้องมีคนที่ถูกเกลียด
และคนที่ถูกตราให้เป็น เป้าหมายความเกลียดชัง ก็ย่อมต้องลุกขึ้นมาสู้..เพื่อปกป้องตนเอง -
ดังนั้น การปลุกให้คนกลุ่มหนึ่งเกลียดคนอีกกลุ่มหนึ่ง ก็เท่ากับเป็นการสร้างมวลชนให้แก่คนอีกกลุ่มหนึ่งมากขึ้นเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ"คนที่ถูกตราให้เป็นเป้าหมายความเกลียดชัง"นั้น มีมากกว่า..และเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ..
และนี่เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ชนชั้นศักดินา มาถึงชนชั้นอำมาตย์ในอดีต ไม่เคยคิดเปิดแนวรบกับประชาชน
ด้วยเหตุต่างๆข้างต้น กลุ่มพันธมิตรฯจึงมิได้สร้างประโยชน์ให้ชนชั้นอำมาตย์ หรือระบอบอำมาตยาธิปไตยแม้แต่น้อย
ถ้อยคำปราศรัยของแกนนำพันธมิตรฯ อาจสร้างกำลังใจให้แก่มวลชนของตนเอง เมื่อรู้ว่าพวกตนเป็นชนชั้นที่มีอภิสิทธิ์
แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดโปงระบอบอำมาตยาธิปไตย และประเพณีหลายๆอย่างที่ชนชั้นอำมาตย์เก็บเงียบมานาน
ในการปกครองที่แนบเนียน ..แต่อาวุธลับเหล่านี้ ก็ถูกเปิดออกมาจนหมด..โดยแกนนำพันธมิตรฯ ที่อำมาตย์สร้างขึ้นมา
ความหวังที่จะให้เกิดรัฐประหาร ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในปี 2551
แม้กองกำลังติดอาวุธเบาของพันธมิตรฯ จะช่วยให้เกิดเหตุจลาจลขึ้นหลายครั้ง
เช่นตอนเช้าของวันที่ 26 สิงหาคม (พ.ศ. 2551) กองกำลังติดอาวุธพันธมิตรฯ บุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย
และสถานที่ราชการอีกหลายแห่ง แต่ในที่สุดก็ต้องล่าถอยไปหมด ..เพราะไม่มีกองทัพไทยออกมาช่วยก่อรัฐประหาร
ในกองทัพไทย มีความแตกแยกเป็นหลายฝ่าย จึงเป็นไปได้ว่า..กลุ่มที่ลงมือทำรัฐประหารก่อน อาจถูกอีกกลุ่มออกมา
ปราบ หรือตลบหลัง..ทำรัฐประหารซ้ำ ทำให้ไม่มีใครเสี่ยงออกมาเป็นกลุ่มแรก
การรุกแตกหักของชนชั้นอำมาตย์ ดูเหมือนรุนแรงและได้เปรียบในทุกด้าน ..แต่กลับผิดพลาดไปทุกด้านเช่นกัน
ตรงกันข้ามกับฝ่าย นปช. ที่ในช่วงนั้นลดบทบาทตนเองลง และตั้งเป็นฝ่ายรับเท่านั้น แต่ นปช. กลับมีมวลชนเพิ่มมาก
ขึ้นทุกวัน โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แค่รอผลสะท้อนกลับจากการกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ
อย่างไรก็ตาม ชนชั้นอำมาตย์ในยุคนี้ มีมุมมองที่เหนือสามัญสำนึกอย่างเหลือเชื่อ
และยังคงออกอาวุธ รุกคืบต่อไปอย่างไม่สนใจความเสียหายต่อชนชั้นของตนเอง
07
ตุลาการรัฐประหาร ก่อให้เกิด "คนเสื้อแดง"
การยัดคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้กับจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ / แกนนำ นปช.
การตัดสินคดีทุจริตเลือกตั้งของยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานรัฐสภา / สส.พรรคพลังประชาชน
การใช้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญปลด สมัคร สุนทรเวช จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ..
และมาจนถึงศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลังประชาชน - เหล่านี้ มิได้แตกต่างไปจากคดียุบพรรคไทยรักไทย
ในความเห็นของแนวร่วมชนชั้นอำมาตย์ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องน่ายินดีและสะใจ
แต่ในมุมมองของประชาชนอีกจำนวนมาก เห็นต่างออกไป..และเห็นว่าเป็นการใช้อำนาจเพื่อกลั่นแกล้ง อยุติธรรม
คำบรรยายเชิงวิชาการของนายจักรภพ เพ็ญแข ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ..เมื่อปี 2550 ไม่มีถ้อยคำใดที่กล่าว
หมิ่นสถาบันกษัตริย์ แต่ฝ่ายอำมาตย์ยกเอาคำว่า "ระบบอุปถัมภ์" ว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (?) ทั้งที่คำว่า
patronage ในภาษาอังกฤษ หรือ แปลว่า "ระบบอุปถัมภ์" ในภาษาไทย ล้วนเป็นคำที่ใช้กันทั่วไป และในเนื้อหาก็
มิได้กล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ด้วยซ้ำ - อย่างไรก็ตาม วิธีการกำจัดศัตรูทางการเมืองของชนชั้นอำมาตย์ คือยัดข้อหา
ในทำนองนี้ โดยมี "สื่อมวลชนกระแสหลัก" เป็นผู้รับใช้ขยายความ
ในคดีทุจริตเลือกตั้ง ข้อกล่าวหาคือนายยงยุทธ ติยะไพรัช แจกเงินให้หัวคะแนนในจังหวัดเชียงราย
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากปากคำของพยายโจทก์เอง กลายเป็นว่าพวกเขาพบกับนายยงยุทธ ติยะไพรัช ก่อนจะมี
การเลือกตั้ง และยังไม่มีการประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ..การพบปะกันนั้น นายยงยุทธมิได้เป็นคนนัดหมาย และยัง
ไม่ได้ต้องการจะพบคนเหล่านี้ด้วยซ้ำ .. จากนั้น พยานโจทก์เกือบทุกคนยืนยันว่าจำเลยคือนายยงยุทธ ติยะไพรัช
ไม่เคยแจกเงินให้พวกตน มีพยานโจทก์เพียงคนเดียวที่ยืนยันตามคำฟ้อง ..
ทุกฝ่ายยอมรับว่า การพบปะระหว่างนายยงยุทธ ติยะไพรัช และบุคคลเหล่านี้เกิดขึ้นก่อน พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง
นั่นหมายถึงว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะพบหรือไม่พบ จะให้เงินหรือไม่ให้เงิน
อย่างไรก็ตาม ศาลการเมือง บอกว่าผิด ..และนำคดีเดียวกันไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชนอีกด้วย
วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551
นายชัช ชลวร ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมคณะ ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยในกรณีที่ประธานวุฒิสภา
ส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภาและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความสิ้นสุดการ
เป็นนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 267 ประกอบมาตรา 182 (7) เนื่องจากรับเป็น
"พิธีกรกิตติมศักดิ์" ของรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยง 6 โมงเช้า” ซึ่งคณะตุลาการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0
เสียง เห็นว่านายสมัครกระทำต้องห้ามขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 267 เรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี
จึงทำให้นายสมัครสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีลง แต่ให้คณะรัฐมนตรีรักษาการไปจนกว่าจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่
ตรงนี้เป็นจุดพลิกผันสำคัญ..อีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
นปช. มีแนวร่วมประชาชนเพิ่มขึ้นอีก เป็นเท่าทวีคูณเพียงชั่วข้ามคืน
สิ่งที่ นปช. กล่าวถึงชนชั้นอำมาตย์ อำนาจอันไม่ชอบธรรม ความอยุติธรรมของระบอบอำมาตยาธิปไตย ..สิ่งเหล่านี้
ชนชั้นอำมาตย์ ได้ช่วยพิสูจน์ตนเองด้วยการกระทำ..ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าทุกอย่างที่ นปช. พูดถึงนั้นได้เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น
วันที่ 7 ตุลาคม 2550
กลุ่มพันธมิตรฯ และกองกำลังติดอาวุธเบา พยายามยับยั้งการแถลงนโยบายของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี
คนใหม่จากพรรคพลังประชาชน ..กลุ่มพันธมิตรฯพยายามบุกเข้าไปในรัฐสภา และปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดทั้งวัน
มีผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บจำนวนมาก คนของกลุ่มพันธมิตรฯเสียชีวิตสองคน..จากระเบิดของกลุ่มพันธมิตรฯ
ด้วยกันเอง อย่างไรก็ตาม มวลชนพันธมิตรฯมีความเชื่อตรงกันข้าม และสื่อมวลชนกระแสหลัก ก็โหมข่าวเข้าข้างกลุ่ม
พันธมิตรฯอย่างเต็มที่ - อย่างไรก็ตาม การระดมสรรพกำลังมากมายทุกแขนง ชนชั้นอำมาตย์ก็ยังไม่สามารถทำลายฝ่าย
ตรงข้ามทางการเมืองของตนลงไปได้ ชนชั้นอำมาตย์ไม่ได้เพิ่มมวลชนของฝ่ายตน (ดูจากการออกมาร่วมชุมนุม) และ
ไม่ได้ลดมวลชนของฝ่ายตรงข้าม -
ปรากฏการณ์นี้ แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งได้ร้าวลึก
จนกลายเป็นสองขั้วชัดเจน..และยากจะคุยกันได้อีกต่อไป
แน่นอนว่า ในจำนวนนี้ย่อมมีคนที่อ้างว่า "เป็นกลาง" หรือ "ไม่ฝักใฝ่ใด" หรือสารพัดข้ออ้าง..ที่จะไม่ต้องร่วมรับผิดชอบ
ต่อความเปลี่ยนแปลงในสังคม คนเหล่านี้..นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ เรียกว่า "พวกชิงหมาเกิด" และใน
ความเป็นจริง คนเหล่านี้ก็คือบางส่วนของ พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง ที่สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯมาแต่ต้นนั่นเอง แต่เมื่อ
เหตุการณ์ไม่ราบรื่น ก็เป็นธรรมชาติของคนประเภทนี้..ที่จะหนีเอาตัวรอด โดยอ้าง วาทกรรมความเป็นกลาง - นี่เป็น
ปัญหาใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯมาตั้งแต่ต้น ที่นำพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางเข้ามาร่วมขบวนการ
ขณะเดียวกัน - มวลชนของ นปช. ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นไปอีก
คราวนี้มีมวลชนตำรวจชั้นผู้น้อย..เข้ามาร่วมกับ นปช. อีกเป็นจำนวนมาก เพราะ
ตำรวจชั้นผู้น้อยมองว่าตนเองก็กลายเป็น "เหยื่อความอยุติธรรมของอำมาตยาธิปไตย" เช่นกัน
วันที่ 11 ตุลาคม 2551 ผู้จัดรายการ"ความจริงวันนี้" และแกนนำ นปช. ได้นัดพบประชาชนที่เมืองทองธานี
โดยนัดแนะกันใส่เสื้อแดงเป็นสัญลักษณ์ นับเป็นการปรากฏตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรก..ในฐานะ "คนเสื้อแดง"
แน่นอนว่า เสื้อแดง หรือการใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ มีมาตั้งแต่การรณรงค์คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ 2550 และการ
ชุมนุมที่ม้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2550 ถือเป็นการชุมนุมครั้งแรกที่มีคนใส่เสื้อแดงมารวมกันมากมาย
อย่างไรก็ตาม หากกล่าวถึง "ความเป็นคนเสื้อแดง" จุดเริ่มต้นเป็นทางการคือ 11 ตุลาคม 2551
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2551
รายการ"ความจริงวันนี้"นัดพบประชาชนอีกครั้ง ที่ราชมังคลากีฬาสถานแห่งชาติ ซึ่งมีประชาชนเสื้อแดงมาร่วมประมาณ
หนึ่งแสนคน โดยคำนวณจากที่นั่งในสนามกีฬา พื้นที่บนสนาม พื้นที่บริเวณใกล้เคียงทั้งหมด
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2551
กลุ่มพันธมิตรฯขยายขอบเขตความรุนแรงมากขึ้น
โดยยกกำลังเข้ายึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ สนามบินนานาชาติดอนเมือง
และยังมีการบุกเข้ายึดหอบังคับการบินที่สนามบินสุวรรณภูมิอีกด้วย
ทำให้เครื่องบินทั้งหมดไม่สามารถขึ้นลงได้สักลำเดียว มีสินค้าและผู้โดยสารตกค้าง..
ติดอยู่ในสนามบินอีกเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม การรัฐประหารที่ก็ยังไม่เกิดขึ้น
ส่วนการปราบปรามผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯที่ยึดสนามบินอยู่..ก็ไม่มีเช่นกัน
กล่าวกันว่ากองทัพไทย โดยเฉพาะพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เลือกที่จะขัดคำสั่งรัฐบาล (ถึงสองครั้ง) ในการไม่ปราบ
กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ว่าเมื่อยึดทำเนียบรัฐบาล หรือยึดสนามบิน ขณะเดียวกัน พลเอกอนุพงษ์ ก็ขัดคำสั่งชนชั้นอำมาตย์
โดยไม่นำกำลังทหารออกมาก่อรัฐประหาร (ครั้งแรก 26 สิงหาคม 2551 เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯมายึดสถานีโทรทัศน์แห่ง
ประเทศไทย NBT เปิดทางไว้ให้ แต่ทหารก็ไม่กล้าออกมาสานต่อผลงาน)
เมื่อเป็นเช่นนี้ ชนชั้นอำมาตย์ก็ต้องลงมือเองอีกครั้ง
วันที่ 2 ธันวาคม 2551 ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลังประชาชน..
อย่างรวดเร็ว และลัดขั้นตอนทุกอย่าง เป็นการปิดฉากรัฐบาลพรรคพลังประชาชน -
เท่านั้นยังไม่พอ ชนชั้นอำมาตย์ยังใช้พลังพิเศษในการบังคับให้พรรคร่วมรัฐบาลหันมา
ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์..ในการตั้งรัฐบาลใหม่ แล้วดึงกลุ่ม สส. ทรยศจากพรรค
พลังประชาชนมาร่วมอีกสามสิบกว่าคน (ส่วนมากเป็นกลุ่ม เนวิน ชิดชอบ)
ในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งบังคับยุบพรรพลังประชาชน กองทัพไทยได้นำกำลังทหาร พร้อมอาวุธสงคราม
ออกมาแสดงอาการข่มขู่ประชาชนผู้สนับสนุนพรรคพลังประชาชน ที่ชุมนุมกันอยู่ใกล้สถานที่ตัดสินคดี
และในวินาทีเดียวกันนั้น กลุ่มพันธมิตรฯยังคงยึดสนามบินนานาชาิติสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง ทำเนียบรัฐบาล
รวมทั้งทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวที่สนามบินดอนเมือง (ซึ่งอยู่ติดกับกองทัพอากาศ) ..โดยที่กองทัพไทยไม่เคยแสดง
อาการเดือดร้อนใดๆ ไม่เคยแตะต้องกลุ่มพันธมิตรฯ ซ้ำยังส่งกำลังไปคุ้มครองป้องกันเสียด้วย..
นี่คือการก่อรัฐประหารในรูปแบบใหม่..
และนี่กลายเป็นจุดแตกหัก..ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
ที่ประเทศแบ่งออกเป็นสองขั้ว เกลียดชังกันอย่างชัดเจน เป็นครั้งแรกที่ชนชั้นอำมาตย์เปิดสงครามกับประชาชน
เป็นครั้งแรกที่แนวร่วมประชาชนนับล้าน ประกาศเป็นศัตรูกับชนชั้นอำมาตยาธิปไตย
Subscribe to:
Posts (Atom)