Thursday, February 25, 2010

คำประกาศแดงสยาม

คำประกาศแดงสยาม
วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 โดย จักรภพ เพ็ญแข

แดงสยามกำเนิดขึ้นแล้วในเมืองไทย ตามสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของปวงชนชาวไทย
โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใด คนไทยทุกคนที่เคารพในตนเองและผู้อื่น ด้วยจิตใจอันเป็นประชาธิปไตย
อย่างแท้จริง คือสมาชิกโดยธรรมชาติของแดงสยาม

นานมาแล้วที่คนไทยถูกปฏิเสธสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยตกเป็นเครื่องมือของการ
โฆษณาชวนเชื่อด้วยอำนาจรัฐแบบเผด็จการ จนลุ่มหลงในทิศทางอันเป็นมิจฉาทิฐิ ระบบใดๆที่
ถูกสร้างขึ้นมาในระบอบอันฉ้อฉลย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมทั้งของสังคม และสมาชิกทุกผู้ทุกนาม


เราถูกทำให้เชื่อว่าคนไทยไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง
ทั้งๆที่ความเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับกฏเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์
และปรัชญาพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย

เราถูกทำให้เชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งเลวร้าย
พรรคการเมืองไม่ใช่ทางออก สู้ระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไม่ได้ -

เราถูกทำให้เชื่อว่า เศรษฐกิจอุปถัมภ์แบบอำมาตย์เป็นครรลองหลักของวิถีไทย
ทั้งๆที่ผู้ชี้นำดำรงสภาพอยู่ในทุนนิยมชนิดล้าหลัง
และกำปัจจัยที่บันดาลความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจไว้ทั้งหมด

เราถูกทำให้เชื่อว่าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยแล้ว ทั้งๆที่กองทัพ ตุลาการ พรรคการเมือง
ระบบราชการ ระบบการศึกษา สื่อมวลชน .. ล้วนสนับสนุนความเป็นเผด็จการแทบทุกมิติ


แดงสยามต้องการให้ปวงชนชาวไทยได้รับสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดบต่อสู้เพื่อให้
เกิดประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นในบ้านเมืองและจะต่อสู้โดยไม่หยุดยั้ง ถึงจะใช้เวลานานขนาดข้ามรุ่นข้ามสมัย

โดยประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นต้องมีปัจจัยชี้ขาดดังต่อไปนี้

1. อำนาจสูงสุดต้องเป็นของปวงชนชาวไทย
2. บุคคลต้องมีเสรีภาพอันบริบูรณ์
3. สังคมต้องเสมอภาค
4. กฏหมายต้องศักดิ์สิทธ์และเป็นธรรมด้วยมาตรฐานเดียวกัน
5. ผู้ถืออำนาจรัฐแทนประชาชนต้องมาจากการเลือกตั้ง

ขอเชิญปวงชนชาวไทย ได้ตื่นขึ้นรับความสว่างอันเกิดขึ้นจากระบอบประชาธิปไตย และเห็นความมืดมนของฝ่าย
เผด็จการที่ครอบงำสังคมไทยมาจนกระทั่งปัจจุบัน เพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นเพื่อตัวเราและปวงชน
ชาวไทยรุ่นต่อๆ ไป

นี่คือภารกิจ "แดงสยาม"





Thursday, February 4, 2010

โค่น..สื่ออำมาตย์

article : SIAM Freedom Fight

สื่อมวลชนกระแสหลักของไทย คือส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตยาธิปไตย
เป็นส่วนสำคัญ เป็นกำลังหลัก ในการปกป้องและแพร่ขยายแนวคิด ภายใต้ระบอบอำมาตยาธิปไตยมานานกว่า
ครึ่งศตวรรษ เป็นกำลังหลักในการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 เป็นกำลังหลักที่ใช้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ
ในการเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้างรัฐบาลที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ติดต่อกันถึงสามรัฐบาล เป็นกำลังหลัก
ที่ใช้โจมตีประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งในรูปข่าวบิดเบือน บทความ สัมภาษณ์ วรรณกรรม ละครโทรทัศน ฯลฯ

สื่อมวลชนกระแสหลักไทย ผูกขาดในมือกลุ่มธุรกิจไม่กี่กลุ่มและเมื่อย้อนถึงแหล่งทุน ที่มาของเงิน ก็อยู่ในมือคน
ไม่กี่คน นอกจากเป็นอาวุธหลักทางการเมืองของอำมาตยาธิปไตยแล้ว สื่อในระดับขี้ข้าก็ยังใช้ความเป็นอภิสิทธิ์ชน
หรือฐานันดรที่อุปโลกน์ขึ้นมาเอง ในการล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพ และ เหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
ไม่ว่าจะดารา นักแสดง หรือประชาชนทั่วไป มีผู้คนมากมายเท่าใด ที่ถูกตราหน้าเป็นฆาตกร เป็นคนบ้ากามโรคจิต
ขึ้นข่าวหน้าหนึ่งโดยปราศจากมูลความจริง และสื่อกระแสหลักเหล่านี้ก็ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆต่อการกระทำของตน

การกล่าวว่าสื่อมวลชนไทยมี"จรรยาบรรณ"และ"เป็นกลาง"ก็ไม่ต่างไปจาก
การที่บอกว่า สถานบริการ อาบ อบ นวด ในเมืองไทย..ไม่มีการค้าประเวณี


แม้แต่ในหมู่สื่อกระแสรอง หรือสื่อทางเลือกของฝ่ายที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในปัจจุบัน ก็ยังพยายามแก้ตัวให้แก่
สื่อมวลชนกระแสหลักอยู่เนืองๆ เช่น กล่าวว่าสื่อปัจจุบันถูกแทรกแซง ..?? แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ???

ในเมื่อสื่อกระแสหลักช่างมีเขี้ยวเล็บ เข้มแข็ง เป็นอภิสิทธิ์ชนที่ฟาดฟันรัฐบาลพรรคไทยรักไทย - จนมาถึงรัฐบาล
พรรคพลังประชาชน สื่อกระแสหลักโจมตีอย่างดุเดือด ไม่อ่อนข้อถอยหนี แล้วอยู่ดีๆ..จะมากลายเป็นลูกหมาพิกล
พิการ ที่ซบเลียรัฐบาล คมช. หรือ พรรคประชาธิปัตย์ ?? ย่อมเป็นไปไม่ได้.. เพราะสื่อมวลชนเหล่านี้เป็นมนุษย์ที่
มีการศึกษา พวกเขายืนยันว่าพวกเขามีจรรยาบรรณ ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว เป็นเหยี่ยวข่าว..ไม่ใช่แมงดา
ดังนั้น การที่สื่อกระแสหลักยืนอยู่ข้างอำมาตยาธิปไตย และประกาศสงครามกับฝ่ายประชาชน จึงมีคำอธิบายเพียง
อย่างเดียวว่า สื่อมวลชนกระหลักเต็มใจ..ที่จะยืนอยู่กับระบอบอำมาตยาธิปไตย และเป็นพวกเดียวกัน

เหตุการณ์สงกรานต์เลือด ปี พ.ศ. 2552 เป็นตัวอย่างที่ประชาชนไม่ควรลืมเลือน
ว่า..สื่อมวลชนกระแสหลัก ไดักระทำต่อประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยไว้อย่างไร


เรื่องราวชั่วร้าย และอาชญากรรมต่ออธิปไตยของประชาชน ที่สื่อกระแสหลักไทยร่วมกระทำนั้น มีผู้กล่าวถึงแล้ว
มากมายก่อนหน้า และจะไม่นำมากล่าวซ้ำในขณะนี้ เพราะมิใช่ประเด็น
ประเด็นคือ จะทำอย่างไรกับสื่อกระแสหลักพวกนี้
หลังจากการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง


แน่นอนว่า สื่อมวลชนอำมาตย์พวกนี้สมควรที่จะมีปากเสียง มีเสรีภาพในการ
แสดงออกซึ่งลัทธิความเชื่อของพวกเขา แม้มันจะเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยก็ตาม
แต่ทว่า..การผูกขาดทุกช่องทางของสื่ออำมาตย์จะต้องยุติลง


การผูกขาดช่องทางสื่อสาร..ของสื่อมวลชนกระแสหลักในปัจจุบัน จะต้องยุติลงทันที..ที่ประชาชนได้รับชัยชนะ

หลังสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้นในประเทศนี้ -
สมควรต้องมีการทบทวน และทวงคืนสัมปทานโทรทัศน์ - วิทยุทั้งหมด

และนายทุน ผู้บริหาร พนักงาน ที่มีส่วนร่วมสนับสนุนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร
จะต้องถูกนำมาขึ้นศาลประชาชน หรือกระบวนการยุติธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง - นายทุน ผู้บริหาร พนักงานที่มี
ส่วนร่วมในการให้ร้ายป้ายสีประชาชน..โดยเฉพาะการให้ร้ายประชาชนที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
อาชญากรสื่อเหล่านี้จะต้องถูกดำเนินคดีในศาลประชาชน หรือกระบวนการยุติธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งนี้รวม
ถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่จะต้องถูกพิจารณาลงโทษ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่เยาวชนในอนาคต

รายการข่าวอำมาตย์ที่ออกอากาศปัจจุบัน ก็ควรให้ทำรายการต่อไป แต่จะต้องมีรายการข่าวฝ่ายประชาธิปไตย
ประกบคู่ เช่น ข่าวอำมาตย์ 06.00 น. ต้องมีข่าวฝ่ายประชาธิปไตยเวลา 06.30 น. ประกบทันทีทุกคลื่น ทุกสถานี
แล้วให้ประชาชนเลือกตัดสินใจเอาเอง ว่าจะเชื่อใคร -

สังคมประชาธิปไตย ไม่ใช่สังคมที่ต้องยอมทนให้อีกฝ่ายหนึ่งตบตีโดยไม่ตอบโต้ ..
สังคมประชาธิปไตย ไม่ใช่สังคมที่จะยอมให้ตนเองถูกใส่ร้ายป้ายสีอยู่เพียงฝ่ายเดียว -
ไม่ใช่สังคมที่ทุกคนจะต้องคิดเหมือนกัน ชอบเหมือนกัน เป็นเหมือนกัน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่คิดต่างจะมากวนตีนได้ โดยไม่ถูกกวนตีนกลับ

สังคมประชาธิปไตย จะเป็นสังคมที่ต่างฝ่ายต่างไม่ล่วงละเมิดสิทธิซึ่งกันและกัน


แต่จะไปถึง..และรักษาสภาพนั้นไว้ได้ การกวนตีนแบบศรีธนนชัยของพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ จะ
ต้องถูกขจัดให้บรรเทาเบาบางลงให้ได้ สื่ออำมาตย์ และลูกจ้างสื่ออำมาตย์ทั้งหมด ต้องอยู่ในพื้นที่ของตนเอง
ในสัดส่วนที่ไม่เป็นภัยต่อสังคมอนาคต ไม่ใช่บริษัททำข่าวบริษัทเดียว ทำรายการข่าวคลุมไปทุกช่องโทรทัศน์

เมื่อกล่าวถึงการปฏิรูปสื่อ ก็คงมิใช่แค่การละเล่นเชิงวิชาการ ที่บรรดาขี้ข้าอำมาตย์มาเสวนากันเองเพื่ออวดภูมิรู้
และแถลงการณ์บ้าๆบอๆที่ไม่มีสาระ เพราะนักวิชาการในมหาวิทยาลัยไทยปัจจุบัน..จำนวนไม่น้อย ที่ไม่ต่างไป
จากขี้ข้าอำมาตย์สาขาอื่นๆ ไม่มีความรู้ ไม่มีสติปัญญาเพียงพอให้เชื่อถืออีกต่อไป ไม่มีองค์กรใดในระบบของ
อำมาตย์วันนี้ที่น่าเชื่อถือ สังคมต่อจากนี้ไปจึงอาจจำเป็นตั้งต้นกันใหม่ทั้งหมด เริ่มจากหัวขบวนคือกำจัดนายทุน
สื่อสารมวลชนปัจจุบัน บริษัทใดเป็นบริษัทมหาชนก็ดำเนินกิจการต่อไป แต่คนในองค์กรต้องเปลี่ยน และหมุน
เวียนมารับโทษทัณฑ์ที่ก่อไว้ในอดีต ..ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

แนวคิดเช่นนี้ มิใช่การจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ..แต่ตรงกันข้าม
สังคมประชาธิปไตยในอนาคต สื่อมวลชนจะต้องมีสิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่
ตราบที่ไม่ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น ซึ่งแน่นอนว่า สิทธิเสรีภาพของมนุษย์
มาพร้อมกับความรับผิดชอบ สื่อเสรีประชาธิปไตยในอนาคต จึงต้องมีความ
รับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่ตนกระทำ ต่างจากสื่ออำมาตย์แบบทุกวันนี้


และแน่นอนอีกเช่นกันว่า สื่อสารมวลชนในโลกเสรีประชาธิปไตย และการแข่งขันในระบบเสรีทุนนิยม คงเกิด
ขึ้นไม่ได้ หากสื่ออำมาตย์ผูกขาด..ในยุคทุนนิยมสามานย์ ยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่บนแผ่นดินนี้ ไม่ต้องเสีย
เวลาเสวนา สัมนาปฏิรูปสื่อให้เปลืองน้ำชากาแฟ -

ถึงวันนั้น โค่นอำมาตย์ลงได้ แต่โค่นสื่ออำมาตย์ไม่ลง
อีกไม่เกินห้าปี อำมาตยาธิปไตยจะกลับมายึดครองแผ่นดินอีกครั้ง





Sunday, January 31, 2010

ระหว่างความเป็นทาส กับ ความเป็นไท

originally article written / posted August 18, 2008 : by SIAM Freedom Fight
ระหว่างชาติพันธุ์ที่เกิดมาเป็นทาส กับชาติพันธุ์ที่เกิดมาเป็นไท แตกต่างกันที่กระบวนคิด

01

ในสมัยรัชกาลที่ 5 รัฐบาลประกาศเลิกทาส รวมทั้งยกเลิกระบบไพร่ทั้งหมดในราชอาณาจักร
การศึกษาไทยมักจะสอน และเปรียบเทียบปรากฏการณ์นี้กับการประกาศเลิกทาสในประเทศ
สหรัฐอเมริกา และพยายามบอกว่าเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน

ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว..แต่เป็นแค่ความจริงเพียงครึ่งเดียว


การเลิกทาสอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกานั้น
ประกาศเมื่อสงครามกลางเมืองดำเนินไปได้สักระยะหนึ่ง ถึงแม้ประเด็นการมีหรือไม่มีทาสจะเป็นหนึ่งในสาเหตุ
ของความขัดแย้งที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองสหรัฐ แต่ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด และไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่สุดด้วยซํ้า
แต่สาเหตุหลักที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา
คือความขัดแย้งเกี่ยวกับอธิปไตยของมลรัฐและอำนาจของรัฐบาลกลาง


เมื่อตกลงกันไม่ได้ พูดกันไม่รู้เรื่องสักที..ก็ต้องรบกัน

แม้ฝ่ายเหนือ..หรือรัฐบาลกลางสหรัฐจะชนะสงคราม
แต่ฝ่ายใต้ก็ชนะในเรื่องหลักการ เพราะรัฐบาลกลางให้การยอมรับในอธิปไตยของมลรัฐ และ/หรืออธิปไตยของ
ปวงชน ว่าคืออำนาจสูงสุดของประเทศ – ส่วนการที่รัฐบาลกลางประกาศเลิกทาสในระหว่างสงครามกลางเมือง
ก็เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่สงคราม และเป็นการสกัดกั้น..มิให้อังกฤษเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายใต้

สงครามกลางเมืองเป็นโศกนาฏกรรมของอเมริกา สร้างความหายนะทางเศรษฐกิจและชีวิตผู้คนมากมายมหาศาล
แต่สิ่งที่ได้คือประเทศชาติสามารถรวมกันเป็นหนึ่ง อธิปไตยเป็นของปวงชนอย่างสมบูรณ์.. หรืออย่างน้อยก็เป็น
ของปวงชนมากกว่าชาติอื่นในโลก แถมวัฒนธรรมการเลี้ยงทาสยังถูกกำจัดไปจากแผ่นดิน

ในสยามประเทศ การเลิกทาสเกิดขึ้นเพื่อล้มระบอบศักดินา
ไม่ใช่เพื่ออธิปไตยของปวงชน แต่เป็นการสร้างความมั่นคงแก่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์


การเลิกระบบไพร่ คือการตัดกำลังไพร่พลของขุนนาง ซึ่งกำลังไพร่ในสังกัดขุนนางนี้เคยใช้ในการรัฐประหาร
ครั้งแล้ว ครั้งเล่า..นับแต่กรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา
(แนะนำให้อ่านหนังสือ "การเมืองเรื่องสถาปนาพระจอมเกล้าฯ" โดยเทอดพงศ์ คงจันทร์ สำนักพิมพ์มติชน -
ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งกล่าวถึงอำนาจของขุนนาง ที่มีบทบาทอิทธิพลต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างสูง -
สื่ออำมาตยาธิปไตยจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีในการศึกษาระบอบศักดินา)

ซึ่งแน่นอนว่า การเลิกทาสในประเทศสยามปราศจากการนองเลือด
เพราะไม่รู้จะไปนองเลือดกับใคร ในเมื่ออำนาจขุนนางเวลานั้นก็ไม่ได้มากมายเหมือนในสมัยรัชกาลก่อน
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวหักมุมแบบไทยๆ ที่เรามักได้ยินกันเสมอ คือ ทาสที่ปล่อยแล้วไม่ยอมไป

กลายเป็นว่าคนที่ไม่ยินดีกับการเลิกทาส ก็คือพวกทาสนั่นเอง

ศูนย์อำนาจของราชอาณาจักรอยู่ที่ภาคกลางและเมืองหลวงคือกรุงเทพฯ
จำนวนทาส..และลูกหลานทาสส่วนใหญ่จึงอาศัยในแถบภาคกลาง


ในขณะที่ภาคอีสานสมัยก่อนเป็นดินแดนห่างไกลจากศูนย์อำนาจ แทบจะเป็นดินแดนอิสระในชีวิตประจำวัน
ส่วนภาคเหนือนั้นก็เป็น "อีกอาณาจักรหนึ่ง" มาตลอด ถึงจะอิงอำนาจการเมืองของกรุงศรีอยุธยาบ้าง พม่าบ้าง
หรือกรุงเทพฯบ้าง แต่ในวิถีชีวิตปกติก็เป็นอิสระในตนเอง เป็นอาณาจักรล้านนา - และเพิ่งจะมารวมกับกรุงเทพฯ
ในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้เอง (ยังมีเบื้องหลังการรวมอาณาจักรที่ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้)

ส่วนประเด็นที่ว่าประชากรลูกหลานทาสที่อาศัยอยู่ในภาคกลางซึ่งเป็นศูนย์อำนาจนี้
ก็ขออนุญาต - จะยังไม่ขยายความในที่นี้

02

"สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" กลายเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ที่จะใช้กดหัวประชาชน
และเปิดโอกาสให้ชนชั้นปฏิกิริยาสามารถทำตัวเป็น "กาฝาก" ได้อย่างชอบธรรม


ในวัยเยาว์ เราเรียนรู้จากระบบการศึกษา ถึงคำว่าสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ ล้วนเป็นคำที่มีความหมายดีงาม
เป็นวัตถุประสงค์หลักในชีวิตและระบอบการบริหารบ้านเมือง แม้การศึกษาในวัยเยาว์นั้นจะเป็นการศึกษาภายใต้
ระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นแนวคิดฝังหัวที่เกิดจากการรัฐประหาร 2490 และ 2500 แต่จะอย่างไรก็ตาม คำว่า
"สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์"ก็ยังเป็นความหมายที่งดงาม ไม่ว่าในระบอบใด

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราเห็นโลกมาหลายต่อหลายทศวรรษ
และยามบ้านเมืองวิกฤติจึงเรียนรู้ว่า "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" ก็เหมือน "เปลือกของความดีงาม"
อีกหลายต่อหลายอย่างในสังคมนี้ คือเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ที่จะไม่ทำอะไร หรือทำให้น้อยที่สุด

เป็นข้ออ้างเพื่อยอมก้มหัวอยู่ใต้ฝ่าตีนผู้มีอำนาจให้มากที่สุด
และไม่เสียความรู้สึกของตนเอง ..คือเป็นทาสที่ยังกร่างได้


แล้วรู้ทั้งรู้ว่า การรัฐประหารนั้นคือการเป็นโจรกบฏ
มีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 113 มีโทษถึงประหารชีวิต

แล้วคนในบ้านเมืองนี้ทำอะไร..เมื่อโจรปล้นเมือง
คนในบ้านเมืองนี้ก็ยังท่องคาถา "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" กับโจร

ขอความเมตตาจากโจร หวังความยุติธรรมจากโจร
ยอมรับกฎหมายโจรไปก่อน..แล้วหวังว่าโจรท่านคงยอมให้แก้ไขทีหลัง หวังให้โจรยึดมั่นในกติกาที่โจรเขียนขึ้นมา
หวังให้กรรมการที่โจรตั้งขึ้นจะมีความยุติธรรมต่อคนที่ถูกโจรปล้น ยอมก้มหน้าก้มตาปฏิบัติตามกระบวนการโจร -
แล้วบอกว่าเรายังอยู่ในระบอบประชาธิปไตย เมื่อโจรไม่เมตตา..ก็หันมาปลอบใจกันเองว่า "เอาเถอะ โจรมันแก่แล้ว
วันหนึ่งมันก็ต้องตาย" ก็หวังไว้ว่าลูกหลานโจร เมียโจรมันจะไม่เป็นโจรเหมือนพ่อแม่มัน ??? ก็เอาเถอะ

หากคำว่า "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ สันติภาพ"
คือการยอมให้สัตว์นรกกดขี่กดหัว รุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นทาสที่ดีและมีชีวิต
แล้วหลอกตัวเองว่าบ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตย

แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่การยอมก้มหัวใต้ฝ่าตีนชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่การยอมก้มหัวใต้ฝ่าตีนใครทั้งนั้น ประชาธิปไตยคืออธิปไตยเป็นของปวงชน
โดยยึดเอาเสียงส่วนใหญ่เป็นสำคัญ.. ขณะที่ไม่กดขี่ประชากรกลุ่มน้อย


ประชาธิปไตยต้องอยู่บนพื้นฐานความเสมอภาค เสรีภาพ ภาดรภาพ
นั่นคือ คนจน หรือ คนรวย .. คนทีการศึกษา หรือ ไม่มีการศึกษา ย่ิอมมีสิทธิทางการเมืองที่เท่าเทียมกัน
เมื่อไม่มีความเสมอภาค ย่อมไม่มีเสรีภาพ เมื่อไม่มีเสรีภาพ ย่อมไม่มีภาดรภาพ - ไม่มีสันติภาพ

ทุกคนอยากนอนอยู่บ้านสบายๆทั้งนั้น ไม่มีใครอยากเดือดร้อน แต่บางครั้ง ชีวิตก็ไม่ปล่อยทางเลือกแสนสุขให้
กับเราสักเท่าใด - ในปี พ.ศ. 2310 สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ประชากรสมัยนั้นก็มีทางเลือกว่าจะหลบอยู่ใน
กำแพงเมืองกับพระเจ้าเอกทัศ หรือจะออกไปเสี่ยงชะตากรรมกับพระยาตาก ..มุดหัวอยู่ภายในกำแพงเมือง
กรุงศรีอยุธยาก็ดูเหมือนจะปลอดภัย นอนเฉยๆ ไม่ต้องสู้รบกับใคร สงบ สันติ และเป็นกลาง ยามเมื่อพม่าพังกำแพง
เมืองเข้ามา คนเหล่านี้ก็ไปเป็นทาสพม่า ถูกกวาดต้อนไปอยู่พม่าจนทุกวันนี้ ก็เป็นทาสที่สุขสบายดี - แต่ถ้าเลือกที่
จะร่วมทางกับกองทัพพระยาตาก โอกาสตายก็มีสูง .. แต่จะอยู่อย่างทาส หรือจะตายอย่างเสรีชน

คำตอบในหัวใจ สุดแต่ใครเกิดมาเพื่อเป็นทาส
หรือใครเกิดมาเพื่อเป็นไท ..อย่างที่บอก มันต่างกันที่กระบวนคิด






Thursday, January 28, 2010

เงื่อนไขและเวลาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น

from คอลัมน์ "ผมเป็นข้าราษฎร" นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 35
28 มกราคม 2553 / January 28. 2010
บทความ : เงื่อนไขและเวลาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
article / บทความโดย : จักรภพ เพ็ญแข

แล้ววลี “กงล้อแห่งประวัติศาสตร์”
ก็มีน้ำหนักขึ้นในทันทีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย
ประกาศคำว่า “รัฐบาลพลัดถิ่น” ออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ ระหว่างการปราศรัยผ่านดาวเทียมกับมวลมหาประชาชน
ที่กำลังชุมนุมทวงแผ่นดินคืนจากอำมาตย์ ณ เขาสอยดาว จันทบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2553

ผมทราบว่าหลายท่านน้ำตาไหล และหลายท่านหายใจอย่างโล่งอกว่า
นี่แหละเกียรติภูมิที่ควรเป็นของขบวนการประชาธิปไตย
ตัวผมนั่งอยู่อีกมุมโลกหนึ่ง รู้สึกประหนึ่งว่าเราชนะแล้วด้วยซ้ำไป

รัฐบาลพลัดถิ่นคืออะไร ทำไมสำคัญถึงขนาดนี้
เราจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้จริงหรือ ทั่วโลกเขาจะเอากับเราหรือ ?


ผมได้ยินคำถามดังออกมาจากหัวใจของพวกเราที่ร่วมต่อสู้
และปรารถนาจะเห็นชัยชนะอย่างไม่มีเงื่อนไขของฝ่ายประชาชน วันนี้ต้องตอบคำถามเหล่านั้นให้ชัดเจน
หรืออย่างน้อยต้องลดความสงสัยลงบ้าง

รัฐบาล พลัดถิ่น หรือ government-in-exile เป็นวิถีทางต่อสู้อย่างหนึ่งของขบวนการการเมืองในแต่ละประเทศ
เมื่อการต่อสู้ในประเทศตนไม่อาจเป็นไปได้แล้ว โลกหรือประชาคมระหว่างประเทศ โดยองค์การสหประชาชาติ
คือผู้ประกันสิทธิตามธรรมชาติในข้อนี้ของขบวนการการ เมืองใดๆที่ได้รับการสนับสนุนอย่างบริสุทธิ์ใจจาก
มวลชนจำนวนมากในประเทศนั้นๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นกลไกการต่อสู้ที่โลกยอมรับ และถือเป็นการรณรงค์ทาง
การเมืองโดยสันติวิธีอย่างหนึ่ง

รัฐบาลพลัดถิ่นจึงไม่ใช่รัฐบาลเถื่อน

มิหนำซ้ำ หากรัฐบาลนั้นๆ ตั้งขึ้นบนความยอมรับนับถือของประชาคมระหว่างประเทศ และได้รับการสนับสนุน
อย่างเพียงพอในประเทศของตนแล้ว ยังเกิดผลอีกอย่างหนึ่งคือทำให้รัฐบาลที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นรัฐบาลฝ่ายตรงข้าม
ในขณะนั้น หมดสิ้นความชอบธรรมลงไปทันที มหาประชาชนจะฉุดกระชากลากลงมาจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และ
คณะรัฐมนตรีเสียเมื่อไหร่ก็ได้

ครับ ถ้า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมาได้สำเร็จ
รัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลสุรยุทธ์ รัฐบาลปีย์ รัฐบาลเปรม และรัฐบาลเขายายเที่ยงบวกกับตาเที่ยง หรือรัฐบาลเวรกรรม
ใดๆ ที่มาจากการปล้นอำนาจรัฐจากประชาชนด้วยกำลังกองทัพ ตุลาการวิบัติ หรือองค์กรอิสระ (แต่เป็นทาสอำมาตย์)
จะกลายสภาพเป็นรัฐบาลเถื่อนในทันที

การจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นคำประกาศว่าใครคือรัฐบาลตัวจริง

รัฐบาลตัวจริงหมายถึงรัฐบาลที่มีความชอบธรรมอย่างแท้จริง และรัฐบาลมีฐานประชาชนหนุนอย่างเพียงพอ
ไม่ใช่รัฐบาลที่มีคนเรียกฝ่ายตุลาการออกมาวางแผนปล้นให้ ไม่ใช่รัฐบาลที่คอยแก้ไขปัญหาปากคอกอย่างเพลี้ย
สีน้ำตาล หรือทะเลกัดเซาะชายฝั่งที่ปักษ์ใต้ โดยไม่ได้แก้ไขปัญหาจากเหตุปัจจัยหลัก เพราะทำเพียงเพื่อจะหาทาง
ผันงบประมาณออกมาใช้กันให้อ้วนท้วนไปตามๆ กันเท่านั้น

ที่มาของรัฐบาลก็ต้องชอบธรรม การทำงานในขณะเป็นรัฐบาลหรือขณะที่ถืออำนาจรัฐอยู่ก็ต้องชอบธรรม
เรียกว่าชอบธรรมตั้งแต่หัวจรดเท้าและยาวนานตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง

รัฐบาล เฮียดึงหรือเจ๊ดันอย่างรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ และนายอภิสิทธิ์จึงขาดชอบธรรมอย่างเด็ดขาด
จะดูที่มาของรัฐบาลหรือวิธีการใช้อำนาจรัฐ ก็ขาดด้วนหมด ไม่ต่างอะไรจากคนเป็นสมีปาราชิก แต่ไปหลอก
สาธุชนว่าเป็นพระ ให้ศีลให้พรคนจนยุ่งไปหมด เผลอๆ ยังหน้าด้านไปทำหน้าที่อุปัชฌาย์ หรือเป็นพระพี่เลี้ยงนวกะ
สร้างพระใหม่อีก ต่างหาก

แล้วจะตั้งได้หรือ รัฐบาลพลัดถิ่นที่ว่านี้ ?

เจ้าของประเทศไทยคือประชาชนส่วนมากอาจจะยังไม่ทราบว่า
วันที่เราถูกปล้นอำนาจรัฐในวันอังคารที่ 19 กันยายน 2549 เราเกือบจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นกันแล้ว
ในวันนั้นนายกรัฐมนตรีของเราก็อยู่ที่องค์การสหประชาชาติ พร้อมกับผู้นำทั่วโลกอีกมากมาย ต่างฝ่ายต่างมาร่วม
ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติประจำปีกันในโอกาสนั้นทั้งสิ้น

เลขาธิการสหประชาชาติในเวลานั้นคือนายโคฟี่ อันนัน ก็ย้ำคำเชิญให้นายกรัฐมนตรีทักษิณขึ้นกล่าวปราศรัยตาม
กำหนดการเดิม โดยไม่คำนึงถึงการรัฐประหาร เป็นการประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดว่า องค์การสหประชาชาติยอมรับ
รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไม่รับรัฐบาลที่ซากเดนศักดินาร่วมกันตั้งขึ้นในเมืองไทย

เราสามารถตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้อย่างง่ายดายราวดีดนิ้ว

เหตุที่ไม่ได้ตั้ง เพราะเจตนาในขณะนั้นคือความสมานฉันท์
ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ในขณะที่ “สติ” ยังตามไม่ทัน “จิต” ไม่รู้ว่าเขาพูดคำว่าสมานฉันท์แบบย้ำๆ ยานๆ
เพื่อให้มีเวลาบรรจุกระสุนปืน หรือไม่ก็มีเวลาผสมยาพิษให้เต็มแก้ว


เรียนปริญญาตรีก็ใช้ เวลาในราว ๔ ปี ปีแรกอาจไร้เดียงสา ทำตัวเหมือนอยู่ชั้นมัธยม ปีสองและปีสามแก่กล้าขึ้นบ้าง
ทั้งในทางปัญญาและอารมณ์ จนถึงปีสี่ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนจบ ถึงขั้นจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ก็ถือว่าประเสริฐ ไม่มี
อะไรสูญเปล่า

สามปีที่ผ่านมาคือช่วงเวลาบ่มเพาะ ทั้งความพร้อมเพรียง และความมั่นใจในตัวเองของขบวนการประชาธิปไตย
เรารักกัน เราทะเลาะกัน เราเห็นด้วย เราเห็นแย้ง เราขาดความเชื่อมั่น เราเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา ในที่สุดเราก็
เดินมาถึงยุทธศาสตร์เดียวกัน

ถึงวันนี้ใครที่ถือยุทธศาสตร์คนละเล่มก็ถือว่าอยู่กันคนละสนามแล้ว
ถ้าสามปียังคิดไม่ได้ ก็คงไม่ต้องคิด เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะเป็นไพร่และเป็นทาสต่อไป
เหมือนนกติดยาในกรงเหล็กที่เขาขังไว้ขายคนชอบปล่อยนก
แต่เราจะไม่ยอมให้คนเหล่านั้นเข้ามาทำลายยุทธศาสตร์หลักของเราเป็นอันขาด


รัฐบาลพลัดถิ่นเป็นสิ่งที่ทำได้ และต้องทำเมื่อเกิดเงื่อนไขที่เหมาะสมในทางการเมือง

การยึดอำนาจรัฐประหารเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น

ตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งแปลว่าสังคมขาดความยุติธรรมอย่างร้ายแรง
มนุษย์ทุกคนมิได้เสมอภาคกันตามกฎหมายอย่างที่เขาโฆษณาชวนเชื่อ ก็เป็นเหตุได้

การใช้ความรุนแรงกับมวลมหาประชาชนที่ใช้สิทธิ์ในการประท้วงอย่างสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ ก็เป็นเหตุได้

การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง อย่างคำกล่าวของผู้บริหารองค์การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
หรือ Human Rights Watch ที่ว่า “...ถึงบางครั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะกล่าวถึง
สิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่การกระทำของนายอภิสิทธิ์กลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม รัฐบาล
ชุดนี้ได้บั่นทอนการเคารพสิทธิมนุษยชนและนิติธรรมในประเทศไทยอย่างต่อ เนื่อง..”
หรือ
“...ประชาธิปไตยในประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการบังคับใช้
กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ บรรยากาศแห่งความ
หวาดกลัวได้ปกคลุมสังคมอินเตอร์เน็ต เนื่องจากการที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เพิ่มระดับการจำกัดเสรีภาพ
ในการแสดงความคิดเห็น...”


สภาพความพิการล่าสุดของเมืองไทยภายใต้อำมาตย์อย่างนี้ ก็เป็นเหตุได้

รัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นสมบัติสาธารณะ และเป็นกลไกของเราในฝ่ายประชาธิปไตย
ไม่ต้องไปฟังความเห็นของเหล่าขี้ข้าอำมาตย์ในรัฐบาลหรอกครับ เพราะเราไม่ได้ต้องพึ่งอะไรเขาในการจัดตั้ง

ถึงเวลาอันเหมาะสม เราตั้งได้แน่ครับ.






Sunday, January 24, 2010

อำมาตย์เนรคุณ

คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 34
บทความ "อำมาตย์เนรคุณ" / มกราคม 2553 / January 2010
article / บทความโดย : จักรภพ เพ็ญแข


การเชือด พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ โดยย้อนความผิดที่ได้อุ้มฆ่าชาวซาอุดิอาระเบีย
เมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นตัวอย่างที่ดีของวิถีโจรในระบอบอำมาตยาธิปไตย


จับขึ้นมาขึงพืด บูชายัญ เป็นแพะถูกเชือดเพื่อไม่ให้ถึงตัวมหาอำมาตย์ หรือทำให้ระบอบอำมาตย์เสียหาย
ทั้งที่ใช้วิชาโจรและสันดานดิบของฆาตกรช่วยทำงานให้กับอำมาตย์มาไม่น้อยกว่าลูกหาบคนอื่นๆ กระเทือนใจอย่าง
แสนสาหัสไปจนถึงคนเป็นพี่อย่าง พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผู้ออกโรงมาตลอดจนบัดนี้ ก็เพราะต้องการช่วยเหลือ
สมคิดให้พ้นภัยจากคดีฆ่าชาวซาอุฯ

พอสุดท้ายพบว่าตัวเองและน้องชายเป็นเพียงแพะบูชายัญของมหาอำมาตย์
ป่านนี้ก็คงนอนก่ายหน้าผากรำพึงว่าไม่น่าเลย ทำลายโคตรตระกูลบุญถนอมเพราะไปเชื่อว่าอำมาตย์เขาจะจริงใจด้วย

เรื่องนี้เป็นอนุสติล่าสุดของคนที่ยึดมั่นถือมั่นในระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย และมีปกติวิสัยวิ่งไปกราบตีนเขา

ถ้าอ่านประวัติศาสตร์กันสักเล็กน้อย
จะรู้ทันทีว่าการหลอกให้คนมาเป็นพวก และใช้งานเขาจนน้ำแห้งไปทั้งตัว
เหลือเพียงกากหรือซากก่อนจะโยนทิ้งอย่างไม่แยแส เป็นธรรมชาติของ
มหาอำมาตย์ไทยที่ได้ทำต่อเนื่องมานานแล้วจนเป็นมากกว่านิสัย


ถ้าไม่ใช่สันดอนก็ต้องเป็นสันดานไปแล้ว

คนในวัยรุ่นที่มีจิตใจปกติธรรมดา ถ้ากระทำความผิดขนาดทำให้คนตายโหงไปต่อหน้า เมื่อได้รับความช่วยเหลือจาก
คนที่รักเขาและผูกพันกับเขาจนถึงขั้นเข้ารับความผิดแทน หรือช่วยปกปิดความผิดจนมิดชิด มักจะสำนึกบุญคุณของ
คนๆนั้น หรือคนเหล่านั้นไปจนตาย หรืออาจใช้หนี้กรรมข้ามชาติข้ามภพเลยด้วยซ้ำ

แต่ถ้ามีจิตใจชนิดผิดปกติ นอกจากไม่สำนึกในบุญคุณแล้ว ยังจับไปฆ่าจนตายเพื่อกำจัดพยานรู้เห็น
ยึดเอาความอยู่รอดของตัวเป็นที่ตั้ง ทำลายทั้งชีวิตและจิตใจของผู้คนเหล่านั้น ตลอดจนครอบครัวของเขา ขนาดไหน
หรือกี่ชั่วอายุคนก็ช่าง คนบางคนเห็นแก่ตัวชนิดข้นคลั่ก มองทะลุไปจนถึงหัวใจสีดำและความโหดเหี้ยมเลือดเย็น
แววตาที่เรียบเฉยไร้ความรู้สึกรู้สมที่เพียงเห็นก็ขนลุก

เมื่อเวลาผ่านไป เขี้ยวยาวขึ้น ก็รู้จักเอาใจคนหนึ่งไปฆ่าอีกคนหนึ่งในทางการเมือง
ดร.ปรีดี พนมยงค์ เตียง ศิริขันธ์ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ ทองอินทร์ ภูริพัฒน์
ถวิล อุดล จำลอง ดาวเรือง จอมพลแปลก พิบูลสงคราม จิตร ภูมิศักดิ์
กุหลาบ สายประดิษฐ์ ถนอม กิตติขจร - ประพาส จารุเสถียร กฤษณ์ สีวะรา
เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ประจักษ์ สว่างจิตร ณรงค์เดช นันทโพธิเดช ฯลฯ
สูญเสียชีวิตหรือโอกาสที่จะได้รับใช้บ้านเมืองเช่นนี้ทั้งนั้น


นี่ยกเฉพาะผู้มีชื่อเสียงเท่านั้น คนทั่วไปที่ไม่โด่งดังและต้องล้มหายตายจากไปด้วยแรงตัณหา
(ความกระเสือกกระสนเอาตัวรอด) ของมหาอำมาตย์ ยังมีอีกมากมายเหลือคณานับ

ก่อนกรณีของ สมคิด บุญถนอม ก็มีเรื่องของ สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งรับใช้เขาด้วยการใช้สติปัญญาที่มีมาตลอดชีวิต
และไปลากเครือข่ายทั้งหมดที่ตัวสร้างไว้มารองรับ จนประสบความสำเร็จในการทำลายระบอบประชาธิปไตยในระยะ
ตั้งไข่ได้ เมื่อถึงคราววางบิล และวางโฉ่งฉ่างแบบสนธิชอบทำ เขาก็พร้อมลืมผลงานเหล่านั้นและส่งลูกตะกั่วมาฝัง
ไว้ในหัวให้แทน

แต่กรณีของคุณสนธิน่าเห็นใจน้อยกว่า เพราะคุณสนธิทำโดยคาดคะเนผลประโยชน์ของตนแล้วอย่างเต็มที่ ทำ
สัญญากับปิศาจ แล้วโดนปิศาจหักหลังเข้าให้ จะไปร้องแรกแหกกระเชอกับใครได้เล่า นรกขุมนี้เป็นของมหาอำมาตย์
อสุรกายน้อยใหญ่เป็นของเขาทั้งสิ้น ถึงคุณสนธิจะเลี้ยงตำรวจ ทหาร ข้าราชการ นักการเมือง มาขนาดไหน ถึงเวลาที่
อำมาตย์เขาเรียกตรวจแถว คนที่คุณสนธิเผลอคิดว่าเป็นเด็กของตัวมักเป็นคนแรกๆ ที่อาสาเข้ามาเด็ดชีพของคุณสนธิ
เสียเอง

คติของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า ระบอบเผด็จการมันก็คือระบอบเผด็จการวันยังค่ำครับ
เราอาจเผลอไผลคิดไปว่า เผด็จการทหารหนักกว่าพลเรือนเพราะมีกำลังสรรพาวุธ หรือเผด็จการพลเรือนโลกแคบ
อย่างสมัยองคมนตรีธานินทร์ กรัยวิเชียรน่าจะอันตรายยิ่งกว่า แต่ในที่สุดแล้วเผด็จการต่างมีธรรมชาติ (สันดาน) อย่าง
เดียวกันหมด ระบอบเผด็จการต้องมีผู้เผด็จการ ซึ่งอาจใหญ่โตอยู่คนเดียว ไม่แบ่งลูกแบ่งเมีย ไม่มีใครร่วมใช้อำนาจ
ด้วย (ตามแนว The Prince ของนิโคโล แมคเคียเวลลี่) หรือใช้อำนาจกันเป็นหมู่คณะ (power-sharing) แต่ก็ต้องมี
ศูนย์อำนาจที่จะ “ฟันธง” ได้เมื่อจำเป็น

ตรงศูนย์อำนาจนี่ล่ะ ที่คนจะวิ่งกันเข้าไปเอาอกเอาใจ เสนอตัวทำงาน และอาสาประสานประโยชน์ให้กับผู้มีอำนาจ

ไม่ต่างนักกับวิถีของรัฐบาลประชาธิปไตย
แต่ระบอบเผด็จการจบที่ตัวผู้เผด็จการ ไม่มีใครต่อรองได้อีก
แต่ระบอบประชาธิปไตยไปจบลงที่ประชาชนส่วนใหญ่
เพราะโครงสร้างบังคับให้ต้องคิดถึงผลประโยชน์ของคนทั้งหลายก่อนตัวเองและพรรคพวก
ถ่วงน้ำหนักอย่างเหมาะสมระหว่างคนมี (the haves) และคนไม่มี (the havenots) ในสังคมนั้น

ผู้เผด็จการก็จะเลือกและทดลองใช้คน ด้วยความที่มีตัวเลือกมากก็เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย
โดยเฉพาะงานสกปรกและงานใต้ดินต่างๆ ที่ต้องใช้คนที่มีความสามารถอำพรางตัวเองสูง อย่างที่เกิดมาตลอดใน
ช่วงสามปีเศษที่ผ่านมา และเมื่องานจบแล้ว คนเหล่านั้นต้องการรางวัลตอบแทนเกินกว่าที่จะให้ได้ ก็จะเรียก
คนใหม่มาฆ่าคนเก่า หรือทำลายทิ้งอย่างเลือดเย็น เหมือนกับการฆ่าหมู่ยิวสมัยนาซี

ใครก็ตามที่มีความต้องการแรงกล้า ที่จะได้อำนาจรัฐ ซึ่งเป็นสมบัติสาธารณะของประชาชน ไม่มีทางลัดด้วยการ
สถาปนาตนเองเป็นผู้เผด็จการ หรือเกาะหางเผด็จการไปสู่อำนาจรัฐ ต้องนอบน้อมถ่อมตัวและเข้าหามวลชน
ให้มวลชนตัดสินว่าตนสมควรจะได้รับโอกาสหรือไม่ จึงจะได้มาซึ่งอำนาจและใช้อำนาจนั้นได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ต้อง
ใช้วิธีมืดดำอย่างเผด็จการในการประคองตัว หรือต้องคิดกำจัดคู่แข่งทางการเมือง

ผมรู้มาว่ามหาอำมาตย์ไทยจะกำจัดลูกหาบของตนอีกหลายคน
เพราะความดื้อรั้นของตัวเองได้นำบ้านเมืองเข้าสู่ทางตัน จนลูกหาบทั้งหลายเริ่มละล้าละลัง
จะทำงานต่อก็ไม่กล้า จะย้อนไปล้างความผิดที่กระทำมาตลอดช่วงปีที่ผ่านมานี้ก็ทำไม่ได้
จึงเริ่มคิดที่จะโดดเรือหนี เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด แต่ก็สายเกินไปทั้งสำหรับลูกน้องและเจ้านาย
คนบางคนจึงต้องถูกทำลายทิ้งเพราะเป็นพิษ


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความเนรคุณคือลักษณะประจำของเผด็จการทุกชนิด รวมทั้งไม้ตายซากในเมืองไทยด้วย.






Saturday, January 16, 2010

ทำไมชาว เฮติ ถึงยากจน ขณะที่ประชาชนถูกซ้ำเติมด้วยแผ่นดินไหว ?

article : ใจ อึ๊งภากรณ์
January 14, 2010

ทำไมชาว เฮติ ถึงยากจน ขณะที่ประชาชนถูกซ้ำเติมด้วยแผ่นดินไหว ?

คำตอบสั้นๆคือ “จักรวรรดินิยม”
เพราะภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดินิยม ชาวเฮติถูกนำมาเป็นทาส
ถูกปล้น ถูกกดขี่โดยเผด็จการ
และเกาะของพวกเขาถูกยึดครอง..โดยทหารสหรัฐสามครั้ง


เกาะที่เดิมชื่อ Hispaniola ในทะเลแคริเบียนถูกแบ่งระหว่างสเปนกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1697
และภายใต้ระบบทาสในไร่อ้อย เกาะนี้สร้างความร่ำรวยมหาศาลให้กับชนชั้นปกครองยุคกษัตริย์ของฝรั่งเศส
แต่ในปี 1791 ซึ่งตรงกับช่วงการปฏิวัติล้มเจ้าของฝรั่งเศสเอง ทาสทั้งหลายในเฮติได้ลุกฮือกบฏ และสร้างกองทัพเพื่อ
ปลดแอกตนเอง ผู้นำสำคัญของกองทัพทาสคือ Toussaint L’Ouverture และในที่สุด หลังจากการต่อสู้กับกองทัพจาก
อังกฤษและประเทศอื่นที่ต้องการฟื้นฟูระบบทาส ชาวเฮติก็ได้รับชัยชนะ มีการยกเลิกทาส และประกาศให้เป็นประเทศ
อิสระภายใต้การปกครองของอดีตทาส อย่างไรก็ตามในปี 1825 รัฐบาลฝรั่งเศสบังคับให้เฮติจ่าย “ค่าชดเชยสำหรับ
สมบัติของฝรั่งเศสที่เสียไป” ถึง 150 ล้าน ฟรัง ซึ่งมีผลสำคัญที่ทำให้เฮติติดกับดักหนี้สินมาจนถึงทุกวันนี้

ในปี 1915 สหรัฐอเมริกาส่งทหารมายึดครองเฮติ และในเวลาต่อมา
สหรัฐส่งทหารบุกเกาะนี้อีกสองครั้ง ในปี 1957 (ปีที่จอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหารในไทย)
สหรัฐให้การสนับสนุนกับเผด็จการโหดร้ายของ Papa Doc Duvalier
เพราะสหรัฐมองว่าเป็นแนวร่วมสำคัญในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ -
Papa Doc ชอบให้ประชาชนเรียกเขาว่า “พ่อ” และกดขี่ควบคุมประชาชนด้วยกองกำลังอันธพาล
ชื่อ Tonton Macoute หลังจากที่ Papa Doc ตายในปี 1971 ลูกชายที่ทุกคนเรียกว่า
“Baby Doc” ก็สืบทอดอำนาจพร้อมกับได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐต่อไป


พวกอภิสิทธิ์ชนของเฮติในปัจจุบัน ประกอบไปด้วยตระกูลที่ได้ดิบได้ดีในยุคนี้ บวกกับพวกนายทหารชั้นสูงและพ่อค้า
พวกนี้กอบโกยความร่ำรวยในขณะที่ประชาชนยากจน ทุกวันนี้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ในระดับต่ำกว่า 60 บาทต่อวัน
แต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีงานทำและรายได้ต่ำกว่านี้

ในปี 1986 มีการลุกฮือของมวลชนที่สามารถโค่นล้มเผด็จการ Baby Doc นี่คือจุดเริ่มต้นของขบวนการ “Lavalas”
ซึ่งชื่อ Lavalas หมายถึง “น้ำป่าท่วม” หรือ “มวลประชาชน” และเป็นขบวนการของคนยากคนจนที่ต้องเผชิญหน้ากับ
อภิสิทธิ์ชนหรืออำมาตย์ ผู้นำขบวนการนี้เป็นพระศาสนาคริสต์ชื่อ Jean-Bertrad Aristide และในปี 1990 Aristide ชนะ
การเลือกตั้งและขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีด้วยเสียงจากประชาชน 67% คนยากคนจนแฮ่กันไปเลือกเขาเพราะเขาเสนอ
นโยบายปฏิรูปสังคมที่จะกระจายรายได้และสร้างความเป็นธรรม และแน่นอนพวกอำมาตย์เกลียดชังและโกรธแค้นใน
ชัยชนะของ Aristide และทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางการทำงานของรัฐบาล ในที่สุดเพียงหนึ่งปีหลังจากการเลือกตั้ง
Aristide ถูกรัฐประหารทหารโค่นล้มไป

พวกอำมาตย์ที่ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้รับการสนับสนุนแบบลับๆจากสหรัฐอเมริกา

ในปี 1994 กองทัพได้บุกเข้าไปสังหารคนจนในสลัม
และในที่สุดปัญหาความไม่สงบนี้กลายเป็นข้ออ้างของรัฐบาลสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดี Bill Clinton ที่จะส่งทหารบุก
เฮติเป็นครั้งที่สอง ในช่วงนี้อดีตประธานาธิบดี Aristad ที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ถูกสหรัฐกดดันให้ยอมรับข้อตกลงพิษ
สหรัฐสัญญาว่าจะให้กลับมาดำรงตำแหน่งได้ แต่เงื่อนไขคือ จะต้องใช้นโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมตามคำสั่งของ
ธนาคารโลก และ ไอเอ็มเอฟ นโยบายดังกล่าวระบุว่า ต้องตัดงบประมาณรัฐที่ลดราคาสินค้าจำเป็นให้คนจน ต้องมีการ
ตัดสวัสดิการทุกอย่างและขายรัฐวิสาหกิจให้เอกชน ประชาชนที่ยากจนอยู่แล้วจึงยิ่งยากลำบากมากขึ้น
อดีตประธานาธิบดี Clinton ที่บังคับใช้นโยบายนี้ และผู้ส่งทหารเข้าไปยึดครองเฮติ เป็นผู้ที่ถูกเสนอมาในยุคนี้ว่าจะ
ประสานการแก้ปัญหาจากแผ่นดินไหว

สหรัฐอนุญาตให้ Aristide ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแค่หนึ่งปี และห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งหลังจากนั้น ต้องรออีกห้าปี
พร้อมกันนั้นนโยบายเสรีนิยมที่ถูกนำมาใช้ได้ทำลายขบวนการ Lavalas จนเสื่อมไปจากเดิม

คนจนส่วนใหญ่เริ่มหมดกำลังใจ แต่อย่างไรก็ตามในปี 2000 Aristide ลงสมัครและชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง

หลังชัยชนะครั้งที่สองของ Aristide พวกอภิสิทธิ์ชนหรืออำมาตย์ก็เปิดศึกจับอาวุธเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ฝ่ายอำมาตย์ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐและฝรั่งเศส และที่น่าสลดใจคือได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่เรียก
ตัวเองว่า “ประชาสังคม” และองค์กรเอ็นจีโอสากลอีกด้วย

กลุ่มที่อ้างว่าเป็น “ประชาสังคม” แท้ที่จริงเป็นกลุ่มของนักธุรกิจและนายทุนที่คัดค้านการกระจายรายได้และการปฏิรูปสังคม
ส่วนเอ็นจีโอสากลมีบทบาทในการให้บริการกับประชาชนแทนรัฐบาลที่ไม่มีเงิน เงินทุนของเอ็นจีโอเหล่านี้ได้มาจาก
รัฐบาลสหรัฐและคานาดา และวิถีชีวิตของนักเอ็นจีโอไม่ต่างจากวิถีชีวิตของคนชั้นสูงในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยากจน
ในที่สุดมีการทำรัฐประหารครั้งที่สองเพื่อล้ม Aristide ในปี 2004 (สองปีก่อนรัฐประหาร ๑๙ กันยาในไทย) และพวก
ประชาสังคมและเอ็นจีโอก็สนับสนุนรัฐประหาร (ไม่ต่างจากไทย) อย่างไรก็ตามมีนักเอ็นจีโอรากหญ้าในองค์กรเล็กๆ
บางแห่งที่ใกล้ชิดประชาชนซึ่งเข้าข้าง Lavalas และประชาธิปไตย

Aristide ถูกขนออกนอกประเทศอีกครั้งในเครื่องบินของสหรัฐ
และรัฐบาลสหรัฐภายใต้ George Bush ก็สั่งให้ทหารยึดครองเฮติเป็นครั้งที่สาม หลังจากนั้นสหรัฐโอนอำนาจทางทหาร
ให้สหประชาชาติ และกองกำลังสหประชาชาติก็ถูกใช้ในการปราบปราบขบวนการ Lavalas

เราไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมประชาชนเกาะเฮติถึงยากลำบากแบบนี้
และเรื่องราวของเฮติมีบทเรียนหลายอย่างเกี่ยวกับ จักรวรรดินิยม นโยบายเสรีนิยม บทบาทสหประชาชาติ และท่าทีของ
เอ็นจีโอกระแสหลักต่อประชาธิปไตย

โชคดีจังเลยที่ประเทศไทยไม่ได้เหมือนเฮติ เพราะเรามีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ซึ่งปกป้องโดยทหาร พันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์ !!

แหล่งข้อมูลและอ่านเพิ่ม: Peter Hallward (2007) Damming the Flood. Haiti,
Aristide, and the Politics of Containment. Verso, London, New York.






Saturday, January 9, 2010

บทความจาก จักรภพ เพ็ญแข

บทความ "ดูไบ" จาก คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 32
article : จักรภพ เพ็ญแข

หลังจากนั่งเครื่องบินออกจากนครหลวงพนมเปญแห่งกัมพูชา
พร้อมกับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ผมก็ไปพักอยู่กับท่านหลายวันที่ดูไบ
และรีบกลับมาก่อนเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ เพราะอยากให้ท่านพักผ่อนอย่างสงบกับครอบครัวโดยไม่มีใครรบกวน

สองท่านที่ไปพร้อมกันคืออดีตประธานรัฐสภา คุณยงยุทธ ติยะไพรัช
และอีกคนที่มีบทบาทสำคัญในภารกิจของเรา แต่ไม่จำเป็นจะต้องขานชื่อกันในขณะนี้

เรื่องที่ไปฟังและไปบอกท่านมีไม่มาก
วิธีการก็ไม่ได้ประชุมกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ดูตาและดูใจกันเสียมากกว่า
แล้วก็ได้ความสงบทางใจ


ไม่มีอะไรทำลายยุทธศาสตร์ได้เท่ากับความคลางแคลงใจ อย่างที่พุทธธรรมเรียกว่า วิจิกิจฉา เมื่อทำให้ข้อนั้นหมด
หรือลดลงไปได้ ก็เท่ากับได้ยุทธศาสตร์ทั้งหมดคืนมา

ผมไปหาแม่ทัพขบวนการ ประชาธิปไตยถึงกลางทะเลทราย แต่พบว่าบรรยากาศทางใจเหมือนอยู่ในโอเอซิส
เพราะในที่สุดแล้วชิ้นต่างๆ ของฝ่ายประชาธิปไตยที่เหลื่อมกันไปบ้าง เกยกันอยู่บ้างแต่เดิม บัดนี้กลับเข้าที่หมด
กงล้อแห่งประวัติศาสตร์ที่เคยเคลื่อนอย่างฝืดๆ น่าจะคล่องตัวขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็ในส่วนที่พวกเราเกี่ยวข้องอยู่

มิจฉาทิฐิที่เคยมี เช่นว่าประเทศชาติอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพระประธาน
หรือพระประธานไม่พูดสั่งสอนเสียงดังๆ ได้เหมือนในนวนิยายเรื่อง “ไผ่แดง” (ซึ่งดัดแปลงมาจากนวนิยายอิตาลี
โดยฝีมือของหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของอำมาตย์ไทยยุคนั้นคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) ก็จะพากันฉิบหายหมด

หรือเชื่อว่าเขาเป็นคน ดีมีศีลธรรม เพราะเกิดมาเป็นตัวก็มีแต่คนพร่ำใส่หูว่าดีอย่างประเสริฐ เขาก็ย่อมจะเห็นอกเห็นใจ
และเข้าใจเพื่อนร่วมชาติ และอยากเห็นบ้านเมืองสงบระงับจากวิกฤติในที่สุด -- ไปคราวนี้ได้เห็นว่ามิจฉาทิฐิหรือความ
ยึดที่ผิดๆ อย่างนี้สลายลงไปมาก

ผมรู้สึกขอบคุณนักฆ่าผู้สูงศักดิ์ ที่สั่งฆ่าและทำลายล้างนายกรัฐมนตรี และขบวนการประชาธิปไตยอย่างเลือดเย็นและ
ต่อเนื่อง จนปลุกคนส่วนใหญ่ให้ตื่นจากความหลับใหลยาวนานหลายสิบปีได้ - เคยอ่าน จากที่ไหนก็จำไม่ได้เสียแล้วว่า
ผืนทะเลทรายมีอานุภาพอันน่าทึ่ง เม็ดทรายน้อยๆ ที่รวมตัวเป็นลมปนทรายและปลิวกระจายไปทั่วตะวันออกกลาง หรือ
ในทะเลทรายโกบี หรือซาฮาร่า สามารถเปลี่ยนสภาพทุกสิ่งทุกอย่างได้หากปลิวปะทะนานพอ

ในเมืองไทยเอง ลมทะเลทรายก็คงพัดมาถึง เพราะรูปทองบางอย่างค่อยๆ กร่อนลงเรื่อยทุกวันในอัตราเร่ง
จนเห็นรูปลักษณ์ที่ไม่ใช่ผู้มีธรรมแต่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง (serial killer) อยู่ภายใน

หัวใจบริสุทธิ์ที่ถูกความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกาะกุมอยู่ ในที่สุดก็ได้รับอิสรภาพด้วยวิถีนี้

ดูไบ เป็นหนึ่งในเจ็ดนครรัฐที่รวมเข้าด้วยกันเป็นประเทศเดียว ในรูปแบบสหพันธรัฐ
และเรียกตัวเองว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี แต่ละรัฐมีเจ้าครองแคว้นของตนเอง
รัฐใหญ่ที่สุดคือ อาบูดาบี กลายเป็นเมืองหลวง เจ้าผู้ครองแคว้นอาบูดาบีรั้งตำแหน่งกษัตริย์
หรือสมเด็จพระราชาธิบดีตลอดกาล รัฐที่ลดหลั่นลงมาเป็นอันดับสองคือ ดูไบ เจ้าผู้ครองแคว้นก็ได้รั้งตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรีตลอดกาลเช่นกัน ส่วนอีก 5 นครรัฐที่เหลือคืออัจมัน, ฟูจาร์ราห์, อุมอัล-กูเวน, รัสอัล-ไคมาห์ และซาร์จาห์
ก็พอใจในสมการทางการเมืองแบบนี้

เจ้ายูเออีเขาคงไม่มีความอิจฉาริษยาเป็นเจ้าเรือน ถึงถือแคว้นถือตระกูลกันมาอย่างไรก็ยังอยู่ในโลกแห่งความจริง ถึงขั้น
วางโครงสร้างการเมืองที่ทำให้คงสภาพร่วมกันได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวเองจนน้ำหนักของมงกุฎทับจนบี้แบน

น่าสังเกตว่า นายกทักษิณมีเพื่อนฝูงเป็นกษัตริย์หรือผู้ครองแคว้นทั่วโลก นอกจากบรรดาเจ้าในตะวันออกกลางหลายประเทศ
ก็ยังมีบรูไนดารุสซาลามในอาเซียน สวาซิแลนด์ในแอฟริกา ตองก้าในแปซิฟิคใต้ และพระราชวงศ์อื่นๆ อีกมากมายหลาย
ภูมิภาค กษัตริย์เหล่านี้ล้วนเป็นประมุขแห่งรัฐที่ ทันสมัยและก้าวหน้า ยอมรับวิถีประชาธิปไตยโดยดุษฎี โดยไม่โดดเข้า
ขวางโอกาสที่ประชาชนของตนจะกลายเป็นมนุษย์อันสมบูรณ์ ส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศเหล่านี้ ยืนยงสถาพร
และไม่แสลงต่อโลก ที่ประชาชนรากหญ้าเป็นใหญ่

เขาละโมหะจริตในความเป็นเทพลงเสียบ้าง และสร้างเป้าหมายใหม่ให้กับบ้านเมืองอย่างในกรณีของนครรัฐดูไบ
นั่นคือความเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลก (economic hub) จนกลายเป็นจุดสนใจของโลก ทั้งเจ้าทั้งไพร่ต่างได้
รับประโยชน์ ความเป็นเจ้าของเจ็ดผู้ครองแคว้นในยูเออี จึงคงเจิดจรัสท่ามกลางเศรษฐกิจที่พัฒนาไป
ทุนนิยมก้าวหน้าไม่ได้ขัดแย้งใดๆเลยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หากมองด้วยทัศนะใหม่และไม่คับแคบ

ผมคิดว่าใครที่ไปอยู่ดูไบอย่างนายกทักษิณ คงจะได้สังเกตเรื่องนี้กันทุกคน

ช่วงเวลาอันยาวนานที่จำต้องพำนักอยู่ที่นั่น
ในที่สุดก็กลายเป็นช่วงเวลาอันมีประโยชน์ต่อนายกทักษิณ อย่างที่อำมาตย์ไทยนึกไม่ถึง
นอกจากได้ทบทวนถึงความใจดำและความเห็นแก่ตัวซ้ำซากแล้ว ยังเป็นเวลาของบทเรียนใหม่ในระดับโลกว่า
สถาบันโบราณ กับ โลกยุคใหม่ อยู่ร่วมกันอย่างผาสุกได้อย่างไร

บางคนกระซิบผมว่า ความสมานฉันท์แบบนี้น่าจะเกิดในเมืองไทยได้ง่ายกว่า เพราะผู้ปกครองมีธรรมะ

ธรรมะ ?

เมื่อ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร แห่งวัดป่าอุดมสมพร สกลนคร ยังไม่มรณภาพ
บุคคลสำคัญขนาดหนักของเมืองไทยได้ไปกราบเยี่ยมและสนทนาธรรมกับท่านครั้งหนึ่ง
บุคคลผู้นี้ถามพระอาจารย์ว่า ทำอย่างไรจะให้คนส่วนมากเข้าวัด อาจารย์ฝั้นตอบสวนทันทีว่า “ตัวท่านก็เข้าวัดเสียก่อนสิ!”

เป็นที่ลือลั่นกันว่า ความลึกซึ้งในธรรมตามภาพที่สร้างกันมาเนิ่นนานนั้นอาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป

เจ้ายูเออี และสุลต่านบรูไนฯเป็นมุสลิม คงจะไม่ได้ยึดพุทธธรรมเป็นหลักแน่
เช่นเดียวกับสมเด็จพระราชินีอังกฤษ ผู้เป็นคริสต์แองกลิกัน และสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นที่ถือชินโต


น่าแปลกใจที่หลายพระองค์เหล่านี้
กลับถือวิถีพุทธโดยไม่ต้องแสดงองค์เป็นพุทธมามกะ จนบ้านเมืองของเขาร่มเย็นเป็นสุข

ผมเริ่มสงสัยว่า พุทธมามกะบางคนที่ออกนอกลู่ทางจนเกือบกู่ไม่กลับแล้วนั้น
เป็นเพราะลุ่มหลงในเรื่องคุณไสยและเดรัจฉานวิชา หรือไม่ก็หลงใหลในตนเอง
อย่างที่เรียกว่า ติดดี จนลืมพุทธธรรมไปแล้วหรือไม่ ?