Wednesday, August 5, 2009

จักรพรรดิฮิโรฮิโต..ผู้ไม่เคยทรยศประชาชน



article : SIAM Freedom Fight / secretMAI
originally posted on May 4, 2008 : moved to this blog August 2009

องค์มหาจักรพรรดิฮิโรฮิโต..แห่งประเทศญี่ปุ่น
สมมุติเทพผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ความยิ่งใหญ่ของพระองค์นั้น มิใช่การนำกองทัพอันเกรียงไกร มิใช่การมีผู้คนกราบไหว้บูชา
อย่างปราศจากความหมาย แต่ความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิฮิโรฮิโต..คือความเสียสละตนเอง
ในยามที่บ้านเมืองต้องการมากที่สุด การยอมเสี่ยงชีวิตตนเอง ..ยอมเสียสละแม้แต่สถาบัน
สมมุติเทพที่สืบเนื่องยาวนานหลายศตวรรษ เพื่อรักษาชีวิตประชาชน..

นี่คือสมมุติเทพ..ผู้ไม่เคยทรยศประชาชน

เราลองย้อนดูประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นกันสักเล็กน้อย
นับแต่โบราณกาล ตำแหน่งจักรพรรดิญี่ปุ่นนั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง
อาจมีช่วงสั้นๆในสมัยเมจิ ที่องค์จักรพรรดิมีบทบาทในการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ..
แต่หลังจากนั้นก็กลับสู่สภาพเดิม และอาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซํ้า -- เพราะหลังจากสมัยเมจิ
กลุ่มอมาตยาธิปไตยญี่ปุ่น--โดยเผด็จการทหาร มักจะแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเพื่อผลประโยชน์
ทางการเมืองของตน

ใช้เป็นข้ออ้างก่อรัฐประหาร..ครั้งแล้วครั้งเล่า
ใช้กำจัดคู่แข่ง - ศัตรูทางการเมือง ..ใช้กดขี่ข่มเหงประชาชน
และท้ายที่สุดก็แอบอ้างสถาบันเพื่อก่อสงครามครั้งใหญ่กับสหรัฐอเมริกา

นั่นคือช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

และเมื่อสงครามที่ทหารญี่ปุ่นเริ่มก่อไว้นั้น เดินมาถึงจุดหายนะ
ความพ่ายแพ้ปรากฏทุกแนวรบ ทางฝ่ายสัมพันธมิตร..คืออังกฤษ อเมริกา ต่างก็มีธงไว้ล่วงหน้า
ฝ่ายสัมพันธมิตรตั้งธงไว้ว่า--จะต้องแขวนคอจักรพรรดิฮิโรฮิโตและนายพลโตโจ

เมื่อใกล้สูญเสียเกาะโอกินาว่า กองทัพญี่ปุ่นเตรียมสู้รบบนแผ่นดินตนเอง
มีการเตรียมกองทัพชาวบ้าน เด็กผู้หญิง คนชราล้วนฝึกอาวุธเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด
พวกฮาร์ดคอร์ในกองทัพเตรียมสู้จนกว่า..ประชาชนทุกคนจะตายหมดทั้งประเทศ

แต่พวกที่ยังมีสติ..คือรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี คันตาโร ซูซูกิ
มองว่านี่เป็นความตายที่เปล่าประโยชน์ และพยายามติดต่อขอสงบศึกกับสหรัฐอเมริกาหลายครั้ง
แต่มีเงื่อนไขว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะต้องไม่นำองค์จักรพรรดิขึ้นศาลอาชญากรสงคราม –
กระทรวงต่างประเทศสหรัฐปฏิเสธเงื่อนไขญี่ปุ่น และยืนยันว่าญี่ปุ่นต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข
เท่านั้น


มาถึงตรงนี้..การศึกษาในระบบของไทยมักทำให้พวกเราเข้าใจไขว้เขวไป
ว่าญี่ปุ่นยอมแพ้เพราะถูกระเบิดนิวเคลียร์ และมองข้ามเหตุการณ์สำคัญอีกมากมาย
ระเบิดนิวเคลียร์..ในเวลานั้นมีผลน้อยมาก ทั้งทางจิตวิทยาและทางยุทธศาสตร์

ประการแรกคือ..ไม่มีใครในตอนนั้นเข้าใจผลข้างเคียงอันร้ายแรงของกัมมันตภาพรังสีที่ตกค้าง –
ญี่ปุ่นไม่รู้ ทหารอเมริกันก็ไม่รู้.. ฝ่ายอเมริกันยังวางแผนยกพลขึ้นบกในบริเวณที่ตัวเองทิ้งระเบิด
นิวเคลียร์ด้วยซํ้า (ก็เพราะไม่รู้ว่ามันอันตรายแค่ไหน) ส่วนญี่ปุ่นนั้น ก็เพียงรับรู้ว่ามีระเบิดแบบ
ใหม่ แต่ไม่มีผลทางใจอย่างใด เพราะในตอนนั้น โตเกียวถูกระเบิดนาปาล์มของอเมริกันทุกวี่ทุกวัน
นับจำนวนคนตาย เทียบความเสียหายแล้ว..ระเบิดนาปาล์มน่ากลัวกว่าหลายเท่าในความทรงจำ
ของชาวญี่ปุ่นยุคนั้น

ดังนั้น แค่นิวเคลียร์สองลูก..ญี่ปุ่นไม่กลัว
แต่ที่รัฐบาลญี่ปุ่นกังวลคือ กองทัพรัสเซีย..ที่เพิ่งเสร็จศึกกับเยอรมัน
และกำลังหันปืนมาทางญี่ปุ่น รัสเซียเคลื่อนพลเข้าสู่แมนจูเรีย..และใกล้ญี่ปุ่น
เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาทุกวัน

ยุทธศาสตร์ของการใช้เด็กผู้หญิงและคนชราเข้าฟาดฟันทหารอเมริกัน
ก็ใช้ได้กับทหารอเมริกันเท่านั้น เพราะภาพเหล่านี้จะสร้างความสยดสยองแก่คนอเมริกัน
ซึ่งอาจเปลี่ยนใจประชาชนอเมริกันให้หันมาเรียกร้องการยุติสงครามก็เป็นได้
ญี่ปุ่นหวังให้เกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ ..

แต่อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น -- วิธีการแบบนี้ใช้ได้กับคนอเมริกันเท่านั้น
และไม่มีทางใช้ได้กับรัสเซีย ซึ่งเป็นกองทัพมีชื่อเสียงเรื่องความโหดอำมหิต
ขืนส่งเด็กผู้หญิงและคนชราไปสู้กับรัสเซีย มีหวังถูกฆ่าทิ้งอย่างสนุกสนาน

รัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีทางเลือก นอกจากต้องรีบยอมแพ้กับอเมริกัน..ก่อนที่รัสเซียจะมาถึง

วันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945
นายกรัฐมนตรีคันตาโร ซูซูกิ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้าร่วมประชุมปรึกษากับองค์จักรพรรดิ
เห็นร่วมกันว่า..ญี่ปุ่นจะขอยอมแพ้โดยปราศจากเงื่อนไข

และนี่คือความกล้าหาญ ความเสียสละอันยิ่งใหญ่ขององค์จักรพรรดิ

พระองค์ทรงทราบดีว่า -- ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องการแขวนคอพระองค์
ทรงทราบดีว่า -- นี่อาจเป็นจุดจบของระบอบสมมุติเทพในญี่ปุ่น
ทรงทราบดีว่า – พวกกลุ่มทหารหัวรุนแรงในกองทัพ ที่ชอบแอบอ้างสถาบันอยู่เสมอนั้น
ย่อมไม่พอใจอย่างรุนแรง..และอาจนำสู่การรัฐประหารในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า..
ทรงทราบดีว่า -- อย่างไร..ในวินาทีนี้ชีวิตของพระองค์และครอบครัวอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง
ทั้งจากฝ่ายสัมพันธมิตร และจากทหารของพระองค์เอง –
แต่องค์จักรพรรดิเลือกตัดสินใจยอมแพ้ เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนในประเทศ

ซึ่งจะว่าไปแล้ว สงครามนี้ก็เริ่มจากพวกเผด็จการทหารญี่ปุ่น
ไม่ได้เกี่ยวกับองค์จักรพรรดิเลยสักนิด แต่เมื่อทหารมักแอบอ้างสถาบันอยู่เสมอ
องค์จักรพรรดิจึงต้องออกมารับผิดชอบด้วยตนเอง ไม่อาจปัดความรับผิดชอบให้ผู้อื่น

คืนวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945
องค์จักรพรรดิบันทึกเสียงการประกาศยุติสู้รบ และยอมแพ้สงครามอย่างไม่มีเงื่อนไข
เทปบันทึกเสียงทำไว้สองชุด เพื่อเตรียมออกอากาศในตอนเที่ยงของวันที่ 15

เวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945
หน่วยทหารรักษาพระองค์ นำโดยพันตรี เคนจิ ฮาทานากะ พร้อมกำลังพลกว่า1000 นาย
ก่อการรัฐประหาร..เข้าปิดล้อมพระราชวัง สังหารนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมร่วมมือด้วย ..
พลโท ทาเคชิ โมริ หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ปฏิเสธที่จะร่วมมือกับคณะรัฐประหาร
และยอมสละชีวิตตนเอง -- พลโทโมริถูกฮาทานากะยิงทิ้งในห้องทำงาน

เป้าประสงค์ของพันตรีฮาทานากะคือ ค้นหา - ทำลายเทปบันทึกเสียงขององค์จักรพรรดิ
แต่โชคดีที่ทหารของฮาทานากะไม่สามารถหาเทปนั้นเจอ
(ข้าราชการสำนักพระราชวัง โยชิฮิโร โตกูกาว่า เป็นผู้ซ่อนเทปไว้) ..

เมื่อหาเทปไม่เจอ พรรคพวกฮาทานากะจึงเขียนคำประกาศขึ้นมาเอง เรียกร้องให้คนญี่ปุ่นทุกคน
สู้กับศัตรูจนตัวตาย พวกเขาสั่งให้เจ้าหน้าที่สถานี NHK อ่านคำประกาศนั้น แต่เจ้าหน้าที่สังหรณ์
ใจว่าคำประกาศดังกล่าวไม่น่าจะใช่ขององค์จักรพรรดิ จึงพยายามหาเหตุอ้างโน่นอ้างนี่ บอกว่า
ไฟฟ้าดับ..ต้องรออีกหลายชั่วโมงกว่าจะออกอากาศได้

การก่อรัฐประหารล้มเหลวเมื่อรุ่งสาง
กองทัพภาคตะวันออกไม่ยอมเข้าร่วมขบวนการ และบังคับให้ฮาทานากะยอมแพ้
ท้ายที่สุด..เทปบันทึกเสียงองค์จักรพรรดิ
ก็ได้ออกอากาศในตอนเที่ยงวันที่ 15 สิงหาคม เป็นอันยุติสงครามอันยาวนาน

เมื่อกองทัพอเมริกันเข้ายึดครองญี่ปุ่น
มีเสียงเรียกร้องจากคนอเมริกัน..ให้นำองค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตขึ้นศาลอาชญากรสงคราม
นายพลดักลาส แมคอาเธอร์..แม่ทัพภาคแปซิฟิค ปฏิเสธชนิดหัวชนฝา และประกาศว่า
หากคิดนำจักรพรรดิญี่ปุ่นขึ้นศาล อเมริกาจะต้องส่งกำลังทหารเข้ามาเพิ่ม..อีกหนึ่งล้านคน
เมื่อแม่ทัพอเมริกันพูดแบบนี้ ฝ่ายการเมืองในสหรัฐก็ต้องยอมรับฟังเหมือนกัน

ไม่มีใครแตะต้องจักรพรรดิฮิโรฮิโต..

บรรดาแม่ทัพนายกองระดับสูงของอเมริกัน ก็ให้ความเคารพยกย่ององค์จักรพรรดิญี่ปุ่น
เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคนที่เคยสู้รบกับญี่ปุ่นมาอย่างโชกโชน พวกนี้จะเกิดอาการปลื้มญี่ปุ่น
เอามากๆในช่วงหลังสงคราม และเป็นตัวตั้งตัวตีในการฟื้นฟูกองทัพญี่ปุ่น (จนปัจจุบันญี่ปุ่นมี
ศักยภาพทางทหารเหนือกว่าสมัยสงครามโลกครั้งสองหลายต่อหลายเท่า)

องค์จักรพรรดิฮิโรฮิโต ตัดสินใจยอมแพ้ฝ่ายสัมพันธมิตรในห้วงเวลาที่ไม่มีหลักประกันใดต่อ
ความปลอดภัยของพระองค์เอง อาจถูกจับแขวนคอโดยสัมพันธมิตร อาจถูกสังหารด้วยนํ้ามือ
ทหารรักษาพระองค์ ราชวงศ์อาจล่มสลายในพริบตา ..ไม่มีหลักประกันอะไรเลยสำหรับองค์
จักรพรรดิฮิโรฮิโต ข้างฝ่ายข้าศึกก็ประกาศปาวๆทุกวี่ทุกวันว่าต้องประหารองค์จักรพรรดิ ..

แต่หลักประกันเดียว—ที่สำคัญที่สุด
คือหลักประกันว่า การยอมแพ้ของพระองค์ จะรักษาชีวิตประชาชนญี่ปุ่นจำนวนมากมาย
และนี่คือความเสียสละอันแท้จริงของสมมุติเทพ


สมมุติเทพต้องยอมตายเพื่อประชาชน มิใช่ให้ประชาชนมาตายแทน
องค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตคือจักรพรรดิผู้มิเคยทรยศประชาชน

นี่คือสิ่งที่ชาวโลกผู้เจริญแล้วให้ความเคารพยกย่อง องค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตมิเคยลงมาวุ่นวายกับ
การเมือง สมมุติเทพเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็กลับไปอยู่ยังที่ของตนเอง และนี่คือสิ่งที่ทำให้สมมุติเทพ
ในญี่ปุ่นสามารถยืนยงอย่างมีเกียรติ์ในประชาคมโลกเสมอมา แม้แต่คนที่เคยเป็นคู่สงครามก็ยัง
หันมายกย่องนับถือ ..สมมุติเทพอยู่ได้ด้วยความรักจากประชาชน และสูญสลายเมื่อความรักนั้น
มลายหายไป ..สมมุติเทพที่คิดทรยศประชาชน..ก็มีเนปาลเป็นตัวอย่างให้เห็น

ประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 ในหมู่นักวิชาการตะวันตกจำนวนไม่น้อย
มิได้มองว่าองค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตเป็นสมมุติเทพผู้แพ้สงคราม แต่กลับมองว่าพระองค์คือผู้เสียสละ
เพื่อยุติสงคราม เพื่อประชาชนของพระองค์

องค์จักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต..แห่งญี่ปุ่น
สมมุติเทพผู้ยอมตายแทนประชาชน ..ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว