Thursday, August 27, 2009

หากรัฐประหาร



article : จักรภพ เพ็ญแข
from : คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 12
date : August 22, 2009 -- 22 สิงหาคม 2552

แทบจะไม่มีใครนึกฝันว่า กระบวนการลงชื่อถวายฎีกากรณีคุณทักษิณ
ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เบาบางที่สุดแล้วในเส้นทางอันยาวไกล จะทำให้ระบอบอำมาตยาธิปไตย
เกิด “วินาศกาเล วิปริตพุทธิ” ขึ้นมาอย่างกะทันหันอย่างนี้

เห็นปัญญาแปรปรวนวิปลาสไป ทำให้ฉุกคิดว่าถึงคราววินาศเสียแล้วล่ะกระมัง

อำมาตย์ไม่รู้หรอกหรือว่า ชาวประชาธิปไตยที่เอาจริงเอาจังเขาไม่ได้เห็นด้วยกับฎีกาทุกคน
แต่เงียบสงบกันอยู่ตลอดมานี้ก็เพราะเห็นว่าสังคมไทยต้องเดินไปตามวงเวียนกรรมของ
ตนเองเสียก่อนที่จะเกิดความเข้าใจทะลุปรุโปร่งว่าทุกข์ทางการเมืองในขณะนี้เกิดจากอะไร

ผิดหวังอีกสักรอบหนึ่งอาจจะเป็นการศึกษาที่ดี
ว่าการต่อสู้ตามสิทธิ์ของความเป็นมนุษย์ กับการลดความเป็นมนุษย์ของตนเองลงเพื่อให้ได้มา
ในสิ่งที่เราต้องการนั้น มีความแตกต่างกันนักหนา .. การต่อสู้ย่อมเหนื่อยยาก ยาวนาน แต่ยั่งยืน

การขอร้องนั้นเร็วทันใจและดูเหมือนได้ผล แต่เขาจะเอากลับคืนไปอีกเมื่อไหร่ก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นข้อใดก็ตามในระบอบประชาธิปไตย ได้แก่ อำนาจสูงสุดที่เป็นของปวงชน
เสรีภาพส่วนบุคคล สังคมเสมอภาค หลักกฎหมาย และผู้ใช้อำนาจรัฐที่มาจากการเลือกตั้ง

แต่สังคมของเรามีคนมากมายและหลากหลาย กว่าจะเกิดแนวคิดที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
อย่างที่เรียกว่าฉันทามตินั้น บางครั้งต้องยอมให้เจ็บตัวบ้าง เหมือนเด็กเล็กที่ต้องหกล้ม
สักครั้งสองครั้งก่อนจะเรียนรู้ว่าพื้นคอนกรีตนั้นมันแข็งและไม่ควรปล่อยตัวให้หกล้ม

พลังประชาธิปไตยที่รอคอยอย่างเงียบสงบในกระบวนการถวายฎีกา รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นการ
ศึกษาของสังคม โอกาสที่จะได้มาซึ่งทางออกอย่างยั่งยืนและระบอบประชาธิปไตยแท้จริง
ด้วยวิธีการอย่างนี้แทบจะไม่เห็นทาง แต่ก็ต้องให้สาธุชนทั้งหลายรู้เองด้วยประสบการณ์ส่วนตัว
บอกล่วงหน้าไม่ได้

คนกำลังหลงใหลอะไร อย่าไปขัดคอขัดใจให้เกิดโกรธเคืองกันเลยครับ
ความหลงถูกทำลายได้ไม่ยากด้วยความจริง เราไม่ควรห่วงใยจนเกินเหตุนัก

ความจริงที่ว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่เป็นที่พึ่งที่หวังได้เลยสำหรับฝ่ายประชาธิปไตย
เพราะใช้เวลาตลอดชีวิตในการบดขยี้ทำลายล้างให้เป็นภัสมธุลี ด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต
เหลือที่จะกล่าวนั้น เป็นความจริงที่เจ็บปวด ฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อขาวอีกเป็นจำนวนมากยัง
ปลงใจเชื่อไม่ได้ และยังฝันว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยเป็นคำตอบที่จะทำให้ระบอบ
ประชาธิปไตยสถิตสถาพรได้

สมการง่ายๆ ว่าฝ่ายอำมาตย์คือผู้ทำลายประชาธิปไตย และประชาธิปไตยจะเกิดและอยู่ถาวร
ได้ในประเทศนี้ต่อเมื่อฝ่ายอำมาตย์ต้องพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด ยังไม่ใช่สมการที่ผู้คนส่วนใหญ่
หรือจำนวนมากพอเข้าใจและยอมรับ

เราจึงต้องใจเย็น

ผมถูกป้ายสีมาตั้งแต่ออกจากเมืองไทยว่า เป็นคนประเภทใช้กำลัง เพราะไปเอ่ยถึงเรื่องการจัดตั้ง
กองกำลังเพื่อเตรียมสู้รบกับฝ่ายอำมาตย์ในการให้สัมภาษณ์ ทั้งๆ ที่พูดสื่อความหมายในทาง
ตรงข้ามว่า ฝ่ายอำมาตย์ไม่ควรบีบบังคับฝ่ายประชาชนให้ถึงขั้นคิดใช้และจัดตั้งกองกำลังเลย

พูดเตือนสติกับสุนัขบ้าที่กำลังน้ำลายฟูมปาก มันก็กัดเข้าให้

ขณะนี้ได้นำบทเรียนนี้มาขบคิดใคร่ครวญและฉีดวัคซีนรอบสะดือไว้แล้วเรียบร้อยโรงเรียนไทย
แล้วครับ อย่าได้เป็นห่วง เชื่อเถิดว่า ความวุ่นวายในหมู่อำมาตย์จนชีวิตกลายเป็นจลาจลในขณะนี้
จะเป็นคุณอย่างมากต่อการยอมรับความจริงที่หลีกเลี่ยงมิได้ของฝ่ายประชาธิปไตย

ไม่เกินจริงเลยที่จะบอกว่าถวายฎีกาแล้วจะเกิดปฏิกิริยาอย่างหนักหน่วงจากฝ่ายอำมาตย์
ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 จำพวก

หนึ่ง-อำมาตย์ใหญ่และคนวงใน จะทำท่าเงียบเฉยจนดูเหมือนให้ความร่วมมือ
แต่รอเวลาที่จะตลบหลังเปลี่ยนฉากทำให้คนเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยกลายเป็นผู้ร้ายไป

สอง-อำมาตย์ระดับกลางและระดับปฏิบัติการจะวิ่งวุ่น แสดงออกโต้งๆ เลยว่าไม่สามารถ
อดทนต่อกระบวนการถวายฎีกาของคนเสื้อแดงได้ เพราะรู้ดีว่ากำลังเสี่ยงภัยมหาศาล
ถ้าอำมาตย์ใหญ่เกิดรับลูกฝ่ายประชาธิปไตยขึ้นมา จะจริงใจหรือไม่ก็ช่างเถิด ตัวเองอาจถูกจับ
บูชายัญแทนเจ้านายผู้เป็นอำมาตย์ใหญ่ที่หาทางลงไม่ได้ หรือถ้าอำมาตย์ใหญ่วางแผนตลบหลัง
คนเสื้อแดงเสียเอง ก็จะได้หน้าว่าออกมาช่วยอำมาตย์ใหญ่ตั้งแต่ต้น

เราจึงเห็นหน้าของคุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ คุณอานันท์ ปันยารชุน
คุณสุรพล นิติไกรพจน์ ฯลฯ ในบัดนี้ เพราะเป็นฤดูกาลหาเสียงของฝ่ายอำมาตย์เขา

ไม่มีทางเลยที่วิกฤติการเมืองครั้งนี้จะจบลงด้วยความยอมรับนับถือในทัศนะของประชาชน
เพราะหากมี DNA ประชาธิปไตยอยู่ในตัวบ้าง คงไม่จุดไฟเผาเมืองตัวเองจนเป็นจุลมหาจุล
อย่างนี้มาแต่ต้น

การปะทะระหว่างกลุ่มมวลชนเป็นไปได้ ตั้งแต่ปะทะใหญ่โตเป็น 14 ตุลาคม 2516
จนถึงปะทะน้อยๆ แต่สร้างภาพให้น่าสะพรึงกลัวในโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ และเว็ปของ
ฝ่ายอำมาตย์ จนประชาชนทั่วไปรู้สึกว่าสถานการณ์ไร้การควบคุม และยอมให้จัดตั้งรัฐบาลพิเศษ
ขึ้นมาปกครองในรูปแบบที่ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ เมื่อ พ.ศ.2516

คนเสื้อแดงถูกทำลายภาพลักษณ์จนกลายเป็นผู้ร้าย คิดโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์
ด้วยฎีกาที่ยกขบวนกันไปยื่น ทำลายชื่อเสียงกลางเมืองกันอย่างนั้นก็เป็นไปได้

และจนถึงใช้วิธีรัฐประหาร ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
เพราะกองทัพเป็นเครื่องมือชิ้นเดียวที่ยังไม่ออกมาแสดงท่าทีในเรื่องฎีกา
อาจจะรอทำผลงานทีเดียวหลังจากที่กลไกอื่นๆ ทำลายภาพลักษณ์ของฝ่ายประชาธิปไตย
จนย่อยยับแล้ว เหมือนใช้วิทยุยานเกราะ หนังสือพิมพ์อย่างดาวสยามและบางกอกโพสต์
ก่อนเหตุการณ์โหดเหี้ยม 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 จนนักศึกษาในที่ชุมนุมกลายเป็นญวนเป็นแกว
และคิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเมืองไทยด้วยกำลังอาวุธ

ละครแบบนี้เล่นมาหลายรอบแล้ว และเขาก็เชื่อมั่นว่ายังได้ผล
เมื่อเขายังเชื่อมั่นอย่างนั้น เราก็ต้องระมัดระวัง

บทความที่เขียนอยู่นี้ยังไม่รู้ว่าจะได้ลงพิมพ์ทันเวลาหรือไม่

แต่บอกไว้ตรงนี้ว่าอะไรที่พลาดมาจาก 19 กันยายน พ.ศ. 2549
เราจะนำมาเป็นบทเรียนและทำเสียให้แตกต่างในครั้งนี้
เลิกเอาไข่ใส่ในตะกร้าเดียวกันเหมือนที่มั่นใจว่ามีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรเหลือเฟือ
และลืมสร้างกลไกอื่นๆ นอกสภาเอาไว้สู้ .. กลับมาสนับสนุนขบวนการและกลุ่มประชาธิปไตย
เสื้อแดงและเสื้อขาวที่กระจายกำลังกันอยู่แล้วทั่วประเทศและทั่วโลกอย่างเต็มที่ เพราะเขาคือ
พระเอกนางเอกตัวจริง

คนที่เป็น ส.ส. และคนที่อยากเป็น ก็เข้าช่วยเขาในเขตนั้นๆ ด้วยกำลังปัญญา กำลังทรัพย์
และกำลังใจ โดยใช้ความสามารถในการสร้างและพัฒนาเครือข่ายเข้าไปสมทบ

อารยะขัดขืน เอามาใช้ให้เต็มที่ และรัฐบาลพลัดถิ่น ต้องตั้งขึ้นมาสวนควันปืนทันที

เรื่องอื่นๆ ขอเก็บไว้หน่อย ปล่อยให้ (อำมาตย์) งง.