Wednesday, September 16, 2009

สองระบอบ-สองจัดตั้ง

article : จักรภพ เพ็ญแข
from : คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 15
date : September 2009

ตั้งแต่เข้าร่วมกับพี่น้องประชาชนสู้รบกับระบอบอำมาตยาธิปไตยมาจนบัดนี้
ผมเชื่อมั่นเสมอว่าฝ่ายประชาชนในวันนี้ คือฝ่ายก้าวหน้า -- พร้อม ปฏิเสธความล้าหลัง
ในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศที่ก่อขึ้นโดยฝ่ายอำมาตย์ ไม่นานก็จะ
บริบูรณ์เพียบพร้อมทั้งทางกายภาพ ความกล้าหาญทางจริยธรรม และจังหวะเวลาอัน
เหมาะสมในการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม

ผมไม่เคยเห็นภาพของพี่น้องประชาชนที่เป็นเด็กไม่พร้อมรับความจริงของโลก ต้องให้
อำมาตย์ บริษัทบริวาร และซากเดนทั้งหลายมาตั้งตัวเป็นผู้ใหญ่เข้าปกครองและครอบงำ

ประชาชนในประเทศนี้ปกครองตัวเองได้
นี่ล่ะครับคือจุดตั้งต้นของผม

ยอมรับว่าเมื่อก่อนนี้ผมก็ไม่แน่ใจนัก เพราะไม่ได้เข้ามาคลุกกับมวลชนจนกลายเป็น
ส่วนหนึ่งของท่านอย่างทุกวันนี้ ผมจึงเพิ่งมาซาบซึ้งกับคำกล่าวที่ว่า “ในมวลชนมีทุกสิ่ง”
และยอมรับว่าเป็นสัจธรรมโดยแท้ เพราะผมได้เรียนจากการร่วมต่อสู้กับพี่น้องประชาชน
มากกว่าทุกโรงเรียนและทุก มหาวิทยาลัยที่ผมได้เรียนและได้สอนมารวมกัน

ผมได้เห็นว่าแม่ค้าจบ ประถม ๔ มีความก้าวหน้า ตระหนักในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของ
ตนเองสูงกว่าอธิการบดีจบปริญญาเอกที่ เป็นขี้ข้าของอำมาตย์

ผมได้เห็นคนที่ประกอบอาชีพรับจ้าง อย่างพี่น้องแท็กซี่หรือวินมอเตอร์ไซด์ที่วิเคราะห์
การเมืองได้ดีกว่าคนที่ สังคมอุปโลกน์ให้เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตบางคน

บวกกับบทเรียนและแบบฝึกหัดอีกมากมายหลายครั้ง

ผม พบว่าฝ่ายประชาชนมีจุดอ่อนอย่างเดียวที่ยังสู้ฝ่ายอำมาตย์เขาไม่ได้ และทำให้ฝ่าย
อำมาตย์เขายังควบคุมสังคมได้แทบทุกอณู โดยเฉพาะอำมาตย์ไทยที่ใช้ประโยชน์เต็มที่จาก
วัฒนธรรมสมยอมของไทยและกดขี่ อย่างนุ่มนวล โยนเศษเนื้อให้ฝ่ายประชาชนกินเป็นระยะๆ
เพื่อให้รู้สึกว่าไม่อดตาย จงใจทำลายเงื่อนไขของการปฏิวัติสังคมที่มักเริ่มต้นด้วยความอดอยาก
ยากแค้นใน บ้านเมืองอื่น

นั่นคือการจัดตั้งที่อ่อนกว่า ด้อยกว่า และไม่ต่อเนื่องของฝ่ายประชาชน

ฝ่ายอำมาตย์เขาจัดตั้งมานานกว่า
ครอบคลุมกว่า และยังจัดตั้งอย่างต่อเนื่องแข็งขัน -- เท่านั้นเองครับ

คำว่า การจัดตั้ง ซึ่งเป็นคำเก่าแก่ที่สุดคำหนึ่ง คือการทำความเข้าใจในแนวคิด
อุดมการณ์ ค่านิยม ให้ตรงกันในหมู่คณะ และอาจรวมถึงการทำความตกลงในวิธีการเพื่อ
ให้บรรลุผลนั้น นักจัดตั้งไม่เพียงแต่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อย่างที่เรียกว่า อัตวิสัย แต่ต้องฉลาด
วิเคราะห์จังหวะเวลาและสถานการณ์ เพื่อโยงเอามาใช้ประโยชน์อย่างที่เรียกว่า ภาววิสัย ด้วย

นี่แหละครับคืองานของเรานับจากนี้ไปในฝ่ายประชาชน

การพิสูจน์คลิปเสียง การไล่รัฐบาล การตะเพิดนายอภิสิทธิ์ การล้อมบ้านพลเอกเปรม ฯลฯ
ก็ทำไปเถิดครับ เพราะเป็นการทดสอบวิธีชุมนุมมวลชนในระบอบประชาธิปไตย เหมือนซ้อมใหญ่
แต่จะให้สะเด็ดน้ำจนเราได้ประชาธิปไตยแท้ๆ ด้วยวิธีการชุมนุมแล้วชุมนุมเล่า แล้วเรียกนายหน้า
หรือตัวแทนเขามาเขกกบาลให้สะใจนั้นเห็นจะเป็นไปได้ยาก

เมื่อฝ่ายอำมาตยาธิปไตยรักษาอำนาจของเขาได้อย่างมั่นคงและลุ่มลึก
ถึงขนาดแทบจะควบคุมความคิดคนได้หมดประเทศแล้วด้วยกลไกการจัดตั้ง
ฝ่ายประชาชนเองจะเพิกเฉยอยู่ไม่ได้

ความจริงใจก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่ หรอกครับ แต่ถ้าต่างคนต่างจริงใจและแสดงออกความจริงใจอย่าง
กระจัดกระจายไม่เป็นลำแสง เดียวกัน ก็จะได้พลังประชาธิปไตยที่กว้างขวาง หลากหลาย
แต่ขาดความเข้มข้นและนำไปทดแทนลำแสงที่ดูเจิดจรัสของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยไม่ ได้

การชุมนุมและคำปราศรัยก็เป็นเครื่องมือจัดตั้งอย่างหนึ่ง แต่ต้องแน่ใจว่าความคิดเบื้องหลัง
การแสดงออกเหล่านั้นมีเป้าหมายเพื่อ ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงซ่อนอยู่ หรือบางครั้งก็แสดงออก
เลยโดยไม่ต้องซ่อน ไม่ใช่เพียงเพื่อให้คนชอบคนรัก หรือหาเสียงใส่ตัวเพื่อแปลงเป็นคะแนนเสียง
เลือกตั้งหรือเป็นอำนาจต่อรองทาง การเมืองของตนและหมู่คณะ แต่ต้องเป็นการเตรียมให้มวลชน
เข้าใจเป้าหมายที่ใหญ่โต สำเร็จยาก แต่จำเป็นต้องฝ่าฟันไปเพื่อจัดระเบียบสังคมเสียใหม่

ชุมนุมแต่ละครั้ง อย่าให้แต่ข้อมูลแต่เรื่องปลีกย่อย ต้องฝากความคิดทีละน้อยในเรื่องใหญ่เสมอ

คิดอยู่ในใจว่าการชุมนุมแต่ละครั้งเป็นคือเตรียมมวลชนให้พร้อมต่อความเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง
คิดเชิงคุณภาพ คู่ไปกับความคิดเชิงปริมาณ เพราะจำนวนมวลชนก็มีความจำเป็นต่อชัยชนะอัน
แท้จริงในอนาคต -- ถ้า กำหนดจุดยืนชัดเจนอย่างนี้ การชุมนุมแต่ละครั้ง เว็บไซต์แต่ละเว็บไซต์
สถานีวิทยุชุมชนแนวประชาธิปไตยแต่ละสถานี การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแต่ละครั้ง ฯลฯ จะมี
ทิศทางชัดเจน ไม่แกว่งไกวตามบุคลิกภาพหรือแนวคิดส่วนตัวของแกนนำหรือวิทยากรแต่ละคน

มวล ชนในขณะนี้ก้าวหน้าแล้ว และพร้อมจะก้าวต่อไปอีก กุญแจสำคัญคือ
การนำขบวนที่ก้าวหน้า ไม่วกวน ไม่ตีฝีปาก และไม่ยอมรับสิ่งที่น้อยกว่าประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ใครขาดความมั่นใจว่าประชาชนจะไปได้ถึง ก็ขอพักยกได้ โดยจะไม่มีใครลืมเลือนท่าน
และคุณประโยชน์ที่ท่านได้ทำมาก่อนหน้านั้นเลย

ความก้าวหน้าและล้าหลังนั้นบังคับกันไม่ได้
แต่จะปล่อยเป็นอุปสรรคต่อขบวนการใหญ่ก็ไม่ได้เช่นกัน นี่คือเรื่องบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว

ภารกิจที่รออยู่ข้างหน้า และได้เริ่มไปแล้วมากนั้น
จึงคือการจัดตั้งระบอบประชาชนให้ทัดเทียมกับระบอบอำมาตย์
ซึ่ง ไม่ใช่ทั้งการนั่งกราบกำแพงอย่างไร้สติ หรือเอาหัวชนกำแพงจนหัวแตก
แต่ต้องรู้ว่ากำแพงคือกำแพงและหาเครื่องมือที่เหมาะสมต่อกำแพงนั้น

ประชาชน...อำมาตย์... สองเราต้องเท่ากัน