Saturday, August 1, 2009

6 ตุลา ประชาธิปัตย์ยืนดูตำรวจ ทหารฆ่าประชาชน





INTRO :
this article (in Thai) retraces the events on October 6, 1976
in which Thai military and right wing extremists committed unpunished crimes
against humanity by mass murdering students / pro democracy activists at
Thammasat University, then staged a coup - overthrew an elected government
(that led by Democrat Party at that time). Many students now in their 50s, told
similar story of the event, my be different in details but still the same story.

However, almost all versions tend to overlook many important facts and time lines,
such as the Democrat Party who was the government at the time did not do much
of anything to prevent or to stop the violence that occurred in the morning of
October 6, 1976. By that time, Democrat's government still in full power
but police / military forces combined with army of right wing extremists could
roamed freely, armed and murderous. Students on Thammasat campus were
beaten, shot, stabbed, staked, raped, burnt, and arrested if survived. All these
murderous details are well known today but the fact that Democrat's government
did nothing is something Bangkok middle class don't usually talk about. In fact,
the government, the Democrat Party had publicly announced to press charges
against students for causing problems - hour after violence broke out on campus.

Although not in the article, after October 6 bloodbath, thousand of students escaped,
and joined the Communist Party of Thailand in arms struggle against the Thai
government. Many years later under 66/23 policy in which the Thai government
made deals with China to stop communists movements in Thailand, all students
and most of communist party returned home. Unbelievably enough, many of this
Communist Party of Thailand became active ultra-conservatives , ultra royalists,
working side by side, heart and soul of "Bureaucratic Polity" or in Thai
called "Amarttaya thipatai" , a system in which combined old world power
like ruling class / families, military, old world capitalists / industrial groups / mass
media , Bangkok middle class and the Democrat Party - joining forces of a few to
rule and share power, regardless of how the rest of the people say.

This is probably why story of October 6, 1976 was incompletely told.

Only handful of extreme right wing characters were placed as monsters in this
"based on true story" version of history. Characters like Samak Sundaravej
who in fact had small - unimportant role (but very visible) in October 6 incident.
Samak Sundaravej himself, is a controversial character and easy / visible target
but what he did to offend the old world is that, later in his life, he came out against
the circle of "Bureaucratic Polity" or "Amarttaya thipatai". And
this probably made him a mass media target.

At the same time, Bangkok middle class tend to, again, overlook the role of Thai
mass media itself. The violence of October 6, 1976 got started with a fake photograph
published in Dao Siam newspaper and Bangkok Post. The photograph in
question caused misinformation, promoted hatred, and led extreme right wingers to believe
that students gathering on Thammasat campus were about to overthrow the royal
family. - With Vietnam war came to horrific end for right wingers, one fake photograph
was enough to make people killed. But Bangkok middle class will not talk about this.

Also the article does not mention the mastermind behind October 6, 1976
which is understandable since no one dares. (ask Thais who have to leave the country)
However, the article collects useful, comprehensive information in time line. The
focus is purposely on the Democrat Party since writer of this article intended to make
a political attack. Still, it gives enough to begin future searching.

INTRO :
ช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชนชั้นปรสิตในระบอบอมาตยาธิไตยได้บิดเบือน
ประวัติศาสตร์ 6 ตุลาคม 2519 จนกระทั่งพวกตนเองก็พลอยสับสนไปกับลำดับเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นจริง ทั้งที่ตัวการนำสู่การนองเลือดนั้นก็คือ “สื่อมวลชน” ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ
ยานเกราะของทหาร หนังสือพิมพ์..คือดาวสยาม และ บางกอกโพสต์ รวมไปถึง
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปล่อยให้จอมพลถนอมเดินทางกลับมาตั้งแต่ต้น..
และหลังจากนโยบาย 66/23 ของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ในรัฐบาลของ
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ..กลุ่มคนเดือนตุลาที่ว่านี้ก็มีโอกาสกลับมาทำมาหากิน
และ”หากินกับศพเพื่อน”มากว่าสองทศวรรษ
จนนักอุดมการณ์ในวันนั้นกลายเป็น
เพียงชนชั้นปรสิต ที่เสวยสุขกับระบอบอมาตยาธิปไตย..บนความทุกข์ของประชาชน

ครั้งนี้ ลองมาไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ ข้อมูลเดิมๆ – ตามที่เกิดขึ้นจริงกันอีกครั้ง
จากบทความเก่า (พ.ศ. 2551) ของเว็บไฮทักษิณ เขียนโดยนายประดาบ ซึ่งปัจจุบันนี้
กล่าวกันว่าทีมงาน..หรือบุคคลกลุ่มนี้ได้ย้ายข้างไปอยู่ฝ่ายอมาตยาธิปไตย พร้อมกับ
นายเนวิน ชิดชอบ เมื่อปลายปี 2551 ..อย่างไรก็ตาม บทความนี้ยังคงเป็นประโยชน์ใน
แง่ของข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ซึ่งนายประดาบผู้เขียน มิได้ยกเมฆขึ้นมาเอง แต่ผ่านการ
ค้นคว้า อ้างอิงแหล่งข้อมูลจากที่ต่างๆ และเรายังคงสามารถย้อนกลับไปตรวจสอบข้อมูล
เหล่านั้นได้จากแหล่งข้อมูลสาธารณะต่างๆ ..

ARTICLE :
6 ตุลา ประชาธิปัตย์ยืนดูตำรวจ – ทหารฆ่าประชาชน
บทความ : ประดาบ -- จากเว็บ hi - thaksin

ทนดูทนฟังมาหลายวันด้วยความสะอิดสะเอียนเหลือกำลังกับลีลาและอาการของ
พรรคประชาธิปัตย์ ต่อกรณีเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์การเมือง
การปกครองไทย ที่น่าเศร้าเสียใจและอภัยให้ไม่ได้ กับความโหดร้ายของฆาตรกรใน
เครื่องแบบตำรวจและทหาร ที่เข่นฆ่าล้างผลาญชีวิตนักศึกษาและประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างบ้าคลั่ง

นายสมัคร สุนทรเวช จะเห็นคนตายกี่ศพ ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับ ใครฆ่าประชาชน

ป่วยการที่จะมาไล่บี้ถามหาคาดคั้นกับคนเห็นเหตุการณ์ว่ามีคนตายกี่คนกันแน่
แต่ควรจะต้องไปไล่บี้ถามหาว่าใครฆ่าประชาชน ต่างหากเล่า
ที่สำคัญกว่าจำนวนคนตายว่ากี่ราย กี่ศพ และใครฆ่าประชาชน ก็คือ ทำไมรัฐบาล
ผู้บริหารบ้านเมืองในขณะนั้นไม่ป้องกัน ไม่สกัดกั้น ไม่ยับยั้งการฆ่าประชาชน

จากบันทึกของคนเดือนตุลา ใน เวปไซต์ www.2519.net ได้ลำดับเหตุการณ์ก่อน
จะเกิดกรณี 6 ตุลาคม 2519 ว่าเค้าลางความเลวร้ายและรุนแรง สัญญาณแห่งหายนะ
มีแนวโน้มให้เห็นตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2519 ซึ่งมีการโฆษณาชวนเชื่อใส่ร้ายขบวนการ
นักศึกษาที่กำลังเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็ว อย่างหนักหน่วง

นับจากเดือนมิถุนายน ถึง เดือนตุลาคม เป็นเวลา 4 เดือนเต็ม ที่มีเหตุการณ์ต่างๆ
เกิดขึ้นมากมาย เสมือนเป็นการยั่วยุให้เกิดการปะทะของนักศึกษา กับกลุ่มมวลชน
ที่ได้รับการฟูมฟักจากทหารบางกลุ่ม และใช้สื่อวิทยุยานเกราะ
และสื่อหนังสือพิมพ์ดาวสยาม และ บางกอกโพสต์
โฆษณาชวนเชื่อ
ให้ประชาชนหลงเชื่อว่า ขบวนการนักศึกษาเป็นผู้มีเจตนาร้ายต่อ
ประเทศชาติ และพระมหากษัตริย์ เนื่องจากเป็นผู้ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่มี
เป้าหมายโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์

หลายครั้งที่มีการเอ่ยอ้างถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มักจะมีตัวละครหลักอยู่
เพียง 3 ตัว คือ นักศึกษา ตำรวจ-ทหาร และ สื่อ ไม่ทราบว่าเป็นความตั้งใจที่จะ
หลีกเลี่ยงไม่พูดถึงรัฐบาลที่บริหารราชการแผ่นดินในห้วงเวลานั้น หรือเป็นเพราะ
ไม่มีใครให้ค่า ให้ราคารัฐบาลในขณะนั้น ทั้งๆ ที่รัฐบาลเป็นผู้มีหน้าที่บริหารประเทศ
ให้เกิดความสงบเรียบร้อย และดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน


เป็นไปได้อย่างไรที่รัฐบาลในขณะนั้น ปล่อยให้มีการใช้สื่อของรัฐและสื่อเอกชน
ปลุกระดมมวลชนให้เข้าใจผิดต่อขบวนการนักศึกษา ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นผู้มี
แผนการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ และ มีพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริงสักเรื่องเดียว
อีกทั้งรัฐบาลยังดำเนินการจับกุมแกนนำนักศึกษา ด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ตามที่สื่อตั้งข้อกล่าวหา ไปคุมขัง แต่ปฏิเสธที่จะทำตามข้อเรียกร้องของนักศึกษาที่ให้
ขับจอมพลถนอม กิตติขจร ในคราบของเณร ออกจากประเทศไทย โดยอ้างว่าเป็น
สิทธิตามรัฐธรรมนูญของจอมพลถนอม ที่จะอยู่ในประเทศไทยได้ ทั้งๆ ที่จอมพล
ถนอม เป็นผู้ทำลายระบบประชาธิปไตย และทำลายรัฐธรรมนูญ มาก่อน ท่าทีและ
การดำเนินการของรัฐบาล จึงเท่ากับเป็นการจงใจยั่วยุให้นักศึกษาลุกฮือขึ้นมานั่นเอง

รัฐบาลที่ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน แต่ไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อย
ในประเทศ และไม่สามารถคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ ในขณะนั้น
ก็คือ รัฐบาลที่มี “พรรคประชาธิปัตย์” เป็นแกนนำ มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้า
พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี หรือเรียกตามภาษาการเมืองทั่วไปว่า เป็น
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ หรือ รัฐ บาลหม่อมเสนีย์นั่นเอง

จากลำดับเหตุการณ์กรณี 6 ตุลาคม 2519 ที่ปรากฏอยู่ในเวปไซต์ www.2519. net
ระบุว่าเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม
2516 อย่างยิ่ง กล่าวคือ หลังจากที่ขบวนการนิสิตนักศึกษา ได้รับชัยชนะจากการ
ประท้วงขับไล่จอมพลถนอม กิตติขจร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้สำเร็จ
แม้จะมีการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อของนักศึกษาและประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่ก็ถือ
ว่าคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่ได้รับคือ การได้ประชาธิปไตยกลับคืนมาสู่ประเทศไทย
หลังจากที่ห่างหายไปนานกว่าสิบปี ที่อำนาจอธิปไตย ไม่ได้เป็นของปวงชนชาวไทย
แต่ไปตกอยู่ในมือทรราช นับเนื่องจากจอมพล สฤษฎิ์ ธนะรัชต์ จนถึงจอมพลถนอม
กิตติขจร และ จอมพลประภาส จารุเสถียร

หลังจากที่พลังนักศึกษาและประชาชน ร่วมกันขับไล่ทรราชออกไปจากประเทศไทย
ได้แล้ว ขบวนการนักศึกษาหัวก้าวหน้าก็เติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นกลุ่มพลังที่สำคัญ
ในการคานอำนาจ เป็นดุลอำนาจใหม่ของสังคมไทย ที่ทำให้กลุ่มอำนาจเดิมซึ่ง
ประกอบด้วยข้าราชการ ตำรวจ และทหาร ที่เคยได้ประโยชน์จากการที่มีอำนาจ
อยู่ในมือและทำอะไรได้ตามใจชอบ ต้องเสียประโยชน์จากากรถูกขบวนการนักศึกษา
ตรวจสอบ และเปิดโปง

ความไม่พอใจและแผนการที่จะกำจัดขบวนการนักศึกษาก่อรูปก่อร่างขึ้นมา
ในหมู่นาย ทหารและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ที่พ่ายแพ้เสียอำนาจไปในเหตุการณ์
14 ตุลาคม 2516 ด้วยการจัดตั้งมวลชน อาทิ ลูกเสือชาวบ้าน กลุ่มนวพล กลุ่ม
กระทิงแดง ซึ่งเป็นนักเรียนอาชีวะ นัก เรียนช่างกล ขึ้นมาเป็นกลุ่มพลัง ก่อกวน
บ้านเมือง หาเรื่องทำร้ายนักศึกษา สร้างสถานการณ์ความไม่สงบขึ้นในประเทศ
เพื่อเปิดโอกาสให้ตำรวจและทหารได้ออกมาแสดงบทบาท และปฏิบัติการรักษา
ความสงบเรียบร้อยในประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดกั้นการเติบโตของ
ขบวนการนักศึกษา ไปถึงขั้นทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง

เหตุการณ์ นิสิตนักศึกษาและประชาชนนับแสนเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย
เมื่อ 14 ตุลาคม 2516 จบลงด้วยชัยชนะเป็นของประชาชน หลังจากที่จอมพลถนอม
กิตติขจร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเดินทางออกนอกประเทศ
แต่เพียง 3 ปี ชัยชนะของนักศึกษาและประชาชน เมื่อ 14 ตุลาคม 2516 ก็พลิกผัน
แปรเปลี่ยนเป็นความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับเมื่อถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 โดยมีการ
ใช้เหตุการณ์ชุมนุมประท้วงไม่ให้จอมพลถนอม กิตติขจร เดินทางกลับประเทศไทย
ของขบวนการนักศึกษามาเป็นเงื่อนไข และกล่าวหาบิดเบือนว่านักศึกษาไม่ได้
ต้องการประชาธิปไตย ไม่ได้คัดค้านจอมพลถนอม แต่ มีเป้าหมายโค่นล้มสถาบัน
พระมหากษัตริย์ และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

วันที่ 29 สิงหาคม 2519 บุตรสาวจอมพลถนอม เข้าพบม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่บ้านพัก เพื่อเจรจาขอให้
จอมพลถนอมกลับประเทศไทย เพื่อบวช

วันที่ 31 สิงหาคม 2519 คณะรัฐมนตรี มีมติไม่ให้จอมพลถนอม เดินทางกลับประเทศไทย

วันที่ 2 กันยายน 2519 แนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ติดใบปลิวต่อต้านการ
เดินทางกลับประเทศไทยของจอมพลถนอม โดยมีขบวนการนักศึกษาเข้าร่วม

วันที่ 3 กันยายน 2519 นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
กล่าวว่ามีมือที่สามจะสวมรอยเอาการกลับมาของจอมพลถนอม เป็นเครื่องมือก่อเหตุร้าย


เป็นการปรากฎชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช ครั้งแรก
ในบันทึกลำดับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ในเวปไซต์ www.2519.net ในฐานะ
ผู้กล่าวเตือนให้ระมัดระวัง “มือที่สาม” จะก่อเหตุร้าย มิใช่ในฐานะผู้ก่อเหตุร้าย
ทั้งก่อด้วยตนเอง หรือสนับสนุน และเป็นการปรากฎชื่อของนายสมัคร สุนทรเวช
เพียงครั้งเดียวในบันทึกลำดับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519

แม้รัฐบาลจะมีมติไม่เห็นด้วยกับการกลับประเทศไทยของจอมพลถนอม กิตติขจร
แต่ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2519 จอมพลถนอม กิตติขจร ในคราบของสามเณร
ก็อาศัยผ้าเหลืองห่มตัว เดินทางจากสิงคโปร์ มาถึงวัดบวรนิเวศ เมื่อเวลา 10.00 น. โดย
มีนายทหารและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ไปรอต้อนรับ

พฤติการณ์ของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่แตกต่างจากปากว่าตาขยิบ
ทั้งๆ ที่มีมติคณะรัฐมนตรีว่าไม่ให้เข้าประเทศไทย แต่เมื่อจอมพลถนอม เดินทางมาถึง
กลับมีทหารชั้นผู้ใหญ่ไปรอต้อนรับและให้ความคุ้มครอง อีกทั้งวิทยุยานเกราะของ
ทหาร ยังโจมตีนักศึกษาที่ต่อต้านคัดค้าน ว่าเป็นผู้ทำลายศาสนา

โฆษกรัฐบาลแถลงว่าจอมพลถนอม เข้ามาบวชตามที่ได้ขอรัฐบาลไว้แล้ว
และน่าจะพิจารณาตัวเองได้หากเกิดความไม่สงบขึ้น

รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะนั้น ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะขับจอมพลถนอม
ออกนอกประเทศ ตรงกันข้ามกลับเปิดโอกาสให้จอมพลถนอม พำนักอยู่ใน
ประเทศไทย ได้ตามความพึงพอใจ และไม่มีมาตรการใดๆ กำกับดูแลเป็นพิเศษ
แต่ปล่อยให้เป็นไปตามวินิจฉัยของจอมพลถนอมเอง

ท่าทีของรัฐบาลต่อการกลับมาเข้ามาของจอมพลถนอม ทำให้ขบวนการนักศึกษา
ไม่พอใจ เพราะจอมพลถนอม คือหัวหน้าทรราชที่ทำลายประชาธิปไตยของประเทศไทย
ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน

วันที่ 21 กันยายน 2519 นายสุรินทร์ มาศดิตถ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
แถลงว่ารัฐบาลมีมติจะให้จอมพลถนอม ออกไปนอกประเทศโดยเร็ว

วันที่ 23 กันยายน 2519 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในขณะที่ทหารเตรียมกำลังเต็มอัตราศึก และ
สถานีวิทยุยานเกราะออกอากาศให้ตำรวจจับนักศึกษาที่ติดโปสเตอร์ต่อต้านจอมพลถนอม

วันที่ 24 กันยายน 2519 พนักงานการไฟฟ้านครปฐม 2 คน ที่เป็นสมาชิกแนวร่วม
ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ถูกสังหารและแขวนคออย่างโหดเหี้ยม

วันที่ 25 กันยายน 2519 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
เป็นนายกรัฐมนตรี อีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่ขบวนการนักศึกษา และ แนวร่วมต่อต้าน
เผด็จการแห่งชาติ เรียกร้องให้ขับจอมพลถนอม ออกนอกประเทศ และ เร่งจับ
ฆาตรกรสังหารพนักงานการไฟฟ้า โดยเร็ว

วันที่ 30 กันยายน 2519 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค
ประชาธิปัตย์ ยืนยันว่าข้อเรียกร้องให้พระถนอม ออกนอกประเทศนั้น รัฐบาลทำไม่ได้
เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ทั้งๆ ที่รัฐบาลมีมติไม่ให้จอมพลถนอม เข้าประเทศ แต่ก็ไม่ขัดขวาง และดำเนินคดี
เมื่อจอมพลถนอม แอบเข้าประเทศ แล้วยังมาบอกว่าไม่สามารถขับออกไปได้
เพราะขัดรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้ขบวนการนักศึกษา และญาติวีรชนที่เสียชีวิตเมื่อ
14 ตุลาคม 2516 ประท้วงกันอย่างต่อเนื่อง

4 ตุลาคม 2519 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ามีตำรวจกลุ่มหนึ่ง
เป็นผู้สังหารโหดพนักงานการไฟฟ้านครปฐม ที่ต่อต้านจอมพลถนอม ในขณะที่
นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงละครล้อเลียนการสังหารโหดพนักงาน
ไฟฟ้านครปฐม ที่ถูกฆ่าแขวนคอ

การแสดงละครของนักศึกษา ถูกสถานีวิทยุยานเกราะบิดเบือนให้ประชาชน
เข้าใจผิดและหลงเชื่อว่านักศึกษาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และมีแผนการโค่น
ล้มสถาบันพระมหากษัตริย์
โดยบอกว่าผู้แสดงเป็นคนถูกแขวนคอมีหน้าคล้ายเจ้าฟ้าชาย

5 ตุลาคม 2519 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่
โดยไม่มีนายสมัคร สุนทรเวช ร่วมเป็นรัฐมนตรี

หนังสือพิมพ์ดาวสยาม และหนังสือพิมพ์ “บางกอกโพสต์”
เผยแพร่ภาพการแสดงละครล้อการแขวนคอของนักศึกษา
โดยพาดหัวข่าวเป็นเชิงว่าการแสดงดังกล่าวเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ


สถานีวิทยุยานเกราะ โดยพ.อ.อุทาร สนิทวงศ์ ประกาศว่า
“เดี๋ยวนี้การชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ไม่ใช่เป็นเรื่องต่อต้านพระถนอมแล้ว
หากแต่เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” และ “ขอให้รัฐบบาลจัดการกับผู้
ทรยศเหล่านี้โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการนองเลือดที่อาจจะเกิดขึ้น หากให้
ประชาชนชุมนุมกันแล้ว อาจมีการนองเลือดขึ้นก็ได้”

เวลา 21.30 น. นายประยูร อัครบวร รองเลขาธิการฝ่ายการเมือง ของศนนท.
ได้นำนักศึกษา 2 คนที่แสดงเป็นพนักงานการไฟฟ้าที่ถูกแขวนคอ มาแถลงข่าว
เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่า “ทางนักศึกษาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสถานี
วิทยุยานเกราะและหนังสือพิมพ์ดาวสยาม จึงให้ร้ายป้ายสีบิดเบือนให้เป็นอย่างอื่น
โดยดึงเอาสถาบันที่เคารพมาเกี่ยวข้อง”

ถัดมาอีกเพียง 10 นาที คือ เวลา 21.40 น. รัฐบาลก็ออกแถลงการณ์ทาง
สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ว่า “ตามที่มีการแสดงละครที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ศกนี้ มีลักษณะเป็นการหมิ่นหรือการแสดงความอาฆาต
มาดร้ายต่อองค์รัชทายาท รัฐบาลได้สั่งการให้กรมตำรวจดำเนินการสอบสวน
กรณีนี้โดยด่วนแล้ว”

หลังจากนั้น สถานีวิทยุยานเกราะ ก็ปลุกระดมมวลชนและลูกเสือชาวบ้านให้
ไปรวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการจับ
กุมผู้กระทำการหมิ่นองค์สยามมกุฎราชกุมารมาลงโทษ และ กล่าวหานักศึกษา
หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตลอดทั้งคืนจนถึงเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519

6 ตุลาคม 2519 เวลา 08.10 น.
นาทีแห่งการเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนผู้บริสุทธิ์ก็อุบัติขึ้น
โดย พล.ต.ต.เสน่ห์ สิทธิพันธุ์ บัญชาการให้ตำรวจตระเวณชายแดน หรือ ตชด.
พร้อมอาวุธสงครามครบมือบุกเข้าในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ซึ่งมีนักศึกษาชุมนุมกันอยู่ประมาณ 3,000 คน

การระดมยิงเข้าใส่ของตชด. ทำให้นักศึกษาเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
ในขณะที่ส่วนใหญ่ยอมจำนน ถูกจับถอดเสื้อมัดมือไพล่หลัง นอนกลางสนามฟุตบอล
ที่ร้อนระอุ แต่อีกส่วนหนึ่งตกใจวิ่งหนีออกด้านหน้าประตูมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ฝั่งสนามหลวง ก็ถูกรุมประชาทัณฑ์จนบาดเจ็บเสียชีวิต บางรายถูกจับแขวนคอ
บางรายถูกเผาสด

3 ชั่วโมงที่ล้อมปราบและเข่นฆ่าอย่างอำมหิตผ่านพ้นไป
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ นักศึกษาที่รอดตายกว่าพันชีวิต
ตกอยู่ในกรงเล็บของมัจจุราชที่เรียกว่า ตำรวจและทหาร โดยมีศพเพื่อนๆ ล้มตาย
อยู่หลายคนและหลายจุด เป็นพยานหลักฐานความโหดร้ายของผู้ฆ่าและผู้สั่งฆ่า

11.50 น. สำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่านายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้ตั้งกองบัญชาการ
รักษาความสงบเรียบร้อยขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล

12.00 น. รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ว่า
1).เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพสยามมกุฎราชกุมารได้
แล้ว 6 คน จะดำเนินการฟ้องศาลโดยเร็ว

2). เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าควบคุมสถานการณ์การปะทะกันที่
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้แล้ว
3). รัฐบาลได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายโดยเด็ดขาด

เป็นแถลงการณ์ที่บ่งบอกถึงความเด็ดขาดของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้
เลือกข้างแล้วว่าจะยืนอยู่ตรงข้ามกับนิสิตนึกศึกษาประชาชน ที่ถูกเข่นฆ่าล้มตาย
ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และดำเนินการตามข้อเรียกร้องของสถานีวิทยุยานเกราะ
และลูกเสือชาวบ้านที่ถูกปลุกระดมขึ้นมาทุกประการ ทั้งยังกล่าวหาว่านักศึกษา
ดำเนินการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งต่อมามีพยานหลักฐานปรากฎชัดว่านักศึกษา
เป็นผู้ถูกใส่ร้ายโดยสถานีวิทยุยานเกราะของทหาร เป็นผู้บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร
หลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อด้วยความเข้าใจผิด

แต่อีกเพียง 6 ชั่วโมงต่อมา
พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของรัฐบาลหม่อมเสนีย์
ก็ประกาศยึดอำนาจปกครองแผ่นดิน เป็นการสิ้นสุดวาระของรัฐบาลพรรค
ประชาธิปัตย์ และนำประเทศไทยเข้าสู่ยุคสมัยของเผด็จการอีกครั้งหนึ่ง

จากลำดับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ของคนเดือนตุลา ในเวปไซต์ www.2519.net
ที่ได้นำมาบอกกล่าวข้างต้นนี้ มีข้อพึงสังเกตและตั้งคำถามหลายประการด้วยกัน ดังนี้

1. พึงสังเกตว่า มีการใช้สื่อมวลชน ได้แก่วิทยุ และหนังสือพิมพ์ เป็นเครื่องมือ
ปลุกระดมมวลชน และเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ให้ประชาชนหลงผิด เข้าข่ายการ
โฆษณาชวนเชื่อ ใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมือง แบ่งแยกคนในชาติเป็น
ฝักฝ่าย และทำร้ายซึ่งกันและกัน โดยขาดสติ ไม่ยั้งคิด ซึ่งวิธีการเช่นนี้ ได้ถูกนำ
มาใช้โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล และสื่อเครือข่ายผู้จัดการ จนทำให้เกิดความแตกแยก
ของคนในชาติ อย่างรุนแรง และกลายเป็นเงื่อนไขให้ทหารก่อการรัฐประหาร เมื่อ 19 กันยายน 2549


2. พึงสังเกตว่า มีการแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง
และใส่ร้ายผู้อื่น ด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และไม่จงรักภักดี ในทุกครั้งที่มี
การแย่งชิงอำนาจทางการเมืองและยึดอำนาจปกครองแผ่นดิน

3. พึงตั้งคำถามแก่พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค
ประชาธิปัตย์ ที่บอกว่าแม้จะมีอายุเพียง 11 ปี ในขณะเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
แต่ก็ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาเป็นอย่างดี และ นายชวน หลีกภัย
ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรม
ในห้วงเวลาที่มีการปลุกระดมมวลชนสร้างความแตกแยกให้คนในชาติ และ
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในห้วงเวลาที่มีการเข่นฆ่านักศึกษา
ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า...

เหตุใด รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่หาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้น
ทั้งๆ ที่มีเค้าลางมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2519 และมีความพยายามที่จะก่อเหตุ
วุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองมาโดยตลอด

เหตุใด รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงปล่อยให้จอมพลถนอม เข้ามาในประเทศไทยได้
และไม่ดำเนินการกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ไปรอต้อนรับและคุ้มครองความปลอดภัย
ให้จอมพลถนอม ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดมติคณะรัฐมนตรี

เหตุใด
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่เชื่อนายสมัคร สุนทรเวช ..ว่าจะมีการใช้การ
เดินทางกลับประเทศไทยของจอมพลถนอมเป็นเงื่อนไขสร้างความวุ่นวายขึ้น


เหตุใด รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่ขับจอมพลถนอม ออกนอกประเทศ
ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะเป็นชนวนให้นักศึกษาชุมนุมประท้วงและมีโอกาสที่จะเกิดการ
ปะทะกันได้โดยง่าย เนื่องจากมี “มือที่สาม” รอสร้างสถานการณ์อยู่แล้ว

เหตุใด รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงพูดจาภาษาเดียวกับสถานีวิทยุยานเกราะ
กล่าวหาว่านักศึกษาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ


เหตุใด รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่ดำเนินการกับสถานีวิทยุยานเกราะ
ซึ่งดำเนิน การปลุกระดม สร้างความแตกแยกให้แก่คนในชาติ ขัดต่อความสงบ
เรียบร้อยของบ้านเมือง

เหตุใด รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยอม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี และ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของทหาร และตำรวจ จึง
ไม่ออกคำสั่งหยุดการเข่นฆ่านักศึกษา ของตำรวจและทหาร แต่กลับปล่อยให้มีการ
ล้อมปราบและสังหารโหด ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้มีผู้ล้มตายและบาดเจ็บจำนวนมาก

ต้องถามว่า พล.ต.ต.เสน่ห์ สิทธิพันธุ์
ได้รับคำสั่งจากใคร จึงสั่งการให้ตชด. บุกเข้าไปยิงนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ต้องถามว่า ในฐานะรมว.มหาดไทย ซึ่งกำกับดูแลกรมตำรวจ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดำเนินการอย่างไรบ้าง เมื่อเห็นตำรวจฆ่านักศึกษา

ต้องถามว่า นายชวน หลีกภัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในขณะนั้น
แสดงบทบาท ท่าทีอย่างไรเมื่อเห็นการประหารโหดนักศึกษา ด้วยเหตุที่เชื่อว่า
เป็นคอมมิวนิสต์ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ต้องถามว่า ในขณะที่นักศึกษาถูกล้อมปราบและเข่นฆ่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
ได้แสดงบทบาทอย่างไรบ้าง ต่อการทำหน้าที่ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
และรักษาความสงบเรียบร้อยของคนในชาติ

ต้องถามว่า นับแต่การสังหารโหดเริ่มต้นเมื่อเวลา 08.10 น. จนถึง 11.50 น. ที่
รัฐบาลแถลงว่าได้ตั้งกองบัญชาการรักษาความสงบเรียบร้อยขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว
เป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมงที่ตำรวจและทหารใช้อาวุธสงครามสังหารโหดนักศึกษา

รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกคำสั่งให้ตำรวจและทหารหยุดปฏิบัติการ บ้างหรือไม่
และมีรัฐมนตรีคนใด ไปดูเหตุการณ์ สถานการณ์ในพื้นที่หรือไม่

ต้องถามว่า สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ศึกษาประวัติศาสตร์การบริหารราชการแผ่นดิน
ในห้วงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปเป็นรัฐบาลทั้งก่อนเกิดเหตุและวันเกิดเหตุ
6 ตุลาคม 2519 บ้างหรือไม่ และมีความเห็นอย่างไรกับบทบาทท่าทีของพรรค
และรัฐมนตรีของพรรค ที่คิดแต่หนีเพื่อเอาตัวรอด และปล่อยให้นักศึกษาประชาชน
ถูกเข่นฆ่าล้มตายเป็นใบไม้ร่วง

ต้องถามว่า หลังการเข่นฆ่านักศึกษาผ่านพ้นไป ทำไมรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
จึงออกแถลงการณ์ ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่ารัฐบาลเลือกที่จะยืนฝั่งตรงข้ามกับนักศึกษา
ซึ่งเป็นผู้พ่ายแพ้ในวันนั้น ด้วยการจะดำเนินการส่งฟ้องผู้ถูกตำรวจจับกุมข้อหา
หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยเร็ว ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่ว่าเป็นข้อหาที่เกิดขึ้นจากการบิดเบือน
ข้อมูลข่าวสารของสื่อ มิใช่เกิดจากพฤติกรรมของนักศึกษา จริงๆ

ต้องถามว่า หลังจากเหตุการณ์นองเลือดผ่านพ้นไป
เหตุใด พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของรัฐบาลพรรค
ประชาธิปัตย์ จึงก่อการรัฐประหาร ยึดอำนาจปกครองแผ่นดิน ล้มรัฐบาลที่ตัวเอง
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไปด้วย

คำถามข้อสุดท้ายนี้ พรรคประชาธิปัตย์ อาจจะตอบไม่ได้ในวันนั้น
แต่วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ น่าจะตอบได้แล้ว เพราะมีช่องทางที่จะค้นหาความจริงได้แล้ว
เนื่องจากขณะนี้บุคคลในครอบครัวของพล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ คือ พล.อ.วินัย ภัทยิกุล
ปลัดกระทรวงกลาโหม เลขาธิการคมช.
เป็นนายทหารที่รู้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ได้เข้ามามีความสัมพันธ์อันดีกับพรรคประชา ธิปัตย์ ในฐานะพ่อของส.ส.สกลธี ภัทยิกุล
ส.ส.กรุงเทพฯ ของพรรคประชาธิปัตย์

ไม่น่าเชื่อว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่เกิดขึ้นมาในช่วงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์
เป็นรัฐบาล และมีคำถามมากมายเกี่ยวกับบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ ในเวลานั้น
ที่ยังไม่มีคำตอบจวบจนวันนี้ จะหวนกลับมาอีกครั้งจากการขยายประเด็นของพรรคประชาธิปัตย์
เพื่อจะเล่นงาน นายสมัคร สุนทรเวช แต่ดูเหมือนว่า รายการนี้จะเป็นการขว้างงูไม่พ้นคอ

ในขณะที่ นายสมัคร สุนทรเวช ต้องตอบ 1 คำถามว่าเหตุใดจึงพูดว่าเห็นคนตาย 1 คน
แต่พรรคประชาธิปัตย์ ต้องตอบให้ได้ว่าทำไมจึงไม่ป้องกัน
และไม่สกัดกั้นการเข่นฆ่านักศึกษาประชาชน

อ่านประวัติศาสตร์ 6 ตุลาคม 2519 จบลงเที่ยวนี้ ผมเชื่อแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์
รู้ดีที่สุดเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 โดยเฉพาะนายชวน หลีกภัย ประธาน
ที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ

เพราะฉะนั้น หากใครอยากจะถาม อยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับ 6 ตุลาคม 2519
ต้องถามพรรคประชาธิปัตย์ จะได้คำตอบดีที่สุด
แต่อย่าลืมตอบคำถามหลายข้อของผมด้วยนะครับ