Wednesday, September 16, 2009

ปัญหาของแนวทางสันติวิธี

article : Giles Ji Ungpakorn ใจ อึ๊งภากรณ์
date : September 14 , 2009 - 14 กันยายน 2552

เวลาพิจารณาแนวทางการต่อสู้แบบสันติวิธี
เราจะต้องคำนึงถึงประเด็นปัญหา 3 อย่างคือ

1. แนวทางสันติวิธีมีประสิทธิภาพในการสร้างประชาธิปไตย
และเสรีภาพแค่ไหน ? และหลีกเลี่ยงเหตุการนองเลือดได้จริงหรือ ?

2. คนในสังคม นักวิชาการ สื่อกระแสหลัก และคนทั่วไป นิยามสันติวิธีอย่างไรบ้าง ?

3. คนกลุ่มไหนในสังคมเป็นผู้ที่ใช้ความรุนแรงมาตลอดและอย่างเป็นระบบ ?

ประสิทธิภาพของสันติวิธี

มหาตมะ คานธี ขึ้นชื่อว่าเป็นศาสดาแห่งสันติวิธี
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาจริงใจที่จะใช้แนวทางนี้ และเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเขามีบทบาท
ในการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดียจากอังกฤษ อย่างไรก็ตามแนวทางของ
มหาตมะ คานธี ไม่ได้หลีกเลี่ยงเหตุการณ์นองเลือดแต่อย่างใดทั้งสิ้น

เพราะในการก่อตั้งประเทศอินเดียและปากีสถานเป็นประเทศอิสระจากอังกฤษ มีการ
ฆ่าฟันกันทั่วทวีประหว่างคนมุสลิมและคนฮินดู มีคนล้มตายหลายหลายแสน และมี
คนที่ต้องอพยพหนีความรุนแรงเป็นล้านๆ

ปัญหาสำคัญของแนวทาง มหาตมะ คานธี
คือเขามักจะคัดค้านการต่อสู้ของมวลชน การนัดหยุดงาน
และการกบฏของทหารต่ออังกฤษ

ดังนั้นเวลามีการต่อสู้ของมวลชน คานธี จะเรียกร้องให้มวลชนสงบนิ่งกลับบ้าน
เพื่อให้ตัวเขาเองเป็นสัญลักษณ์ของการ ต่อสู้ต่อไปด้วยการอดอาหาร --

การต่อสู้ของมวลชนในอินเดียก่อนที่จะได้รับเอกราชจากอังกฤษมักจะเป็นการต่อสู้ของ
คนชั้นล่างที่เรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมพร้อมๆ กับเสรีภาพ และที่สำคัญที่สุดมัน
เป็นการต่อสู้ที่จำเป็นต้องสามัคคีคนยากคนจนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือฮินดู
หรือศาสนาอื่น แต่เมื่อมวลชนถูกสลาย นิ่งเฉยอยู่บ้าน ฝ่ายนักการเมือง
ที่อยากจะปลุกระดมความเกลียดชังทางศาสนา ก็จะมีช่องทางเพื่อไปขยายความคิดที่นำ
ไปสู่ความแตกแยกได้ เพราะคนที่นั่งเฉยอยู่บ้านอาจจะยอมเชื่อว่าความเลวร้ายต่างๆใน
ชีวิตเขามาจาก การกระทำของคนที่มีความเชื่อทางศาสนาต่างจากตัวเอง

แต่คนที่ร่วม สู้กับเพื่อนหลากหลายศาสนาจะไม่มีวันเชื่อการเป่าหูแบบนี้

ความแตกแยกระหว่างคนฮินดูกับคนมุสลิม และการฆ่าฟันกัน เกิดขึ้นเป็นระยะๆจนถึง
ทุกวันนี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องธรรมชาติที่คนมุสลิม และคนฮินดูจะเกลียดชังกัน ในประวัติศาสตร์
มีช่วงที่อยู่ด้วยกันอย่างสันติมานาน ความแตกแยกที่เกิดขึ้นมาจากการปลุกระดมของนักการเมือง
แนวศาสนาเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

สิ่งที่ค้านแนวความคิดนี้ได้
เป็นแนวคิดที่สามัคคีคนจนเพื่อต่อสู้กับคนชั้นบนที่กดขี่ขูดรีดคนจนเสมอ

แต่ มหาตมะ คานธี มีความใกล้ชิดกับนายทุนใหญ่และชนชั้นสูงในอินเดีย
เขาไม่อยากให้มีการต่อสู้ในเชิงชนชั้น มหาตมะ คานธี ไม่ได้ปลดแอกอินเดียคนเดียว
การปลดแอกอินเดียมาจากการต่อสู้ของคนจำนวนมากทั้งในและนอกพรรคคองเกรส การอ้างว่า
มหาตมะ คานธี สามารถปลดแอกอินเดียได้คนเดียวเป็นการพูดเกินเหตุ และไม่ได้เป็นการ
พิจารณาบริบทการเมืองระหว่างประเทศในยุคนั้นอีกด้วย

ประเทศ ปากีสถานเป็นประเทศที่ก่อตั้งในยุคเดียวกับที่อินเดียได้รับเอกราชคือในปี 1947
ประเทศนี้เป็นผลจากการปลุกระดมของนักการเมืองแนวศาสนา ปากีสถาน จึงประกาศตัวว่าเป็น
“ประเทศมุสลิมบริสุทธิ์” ซึ่งก่อให้เกิดปัญหามหาศาลกับครอบครัวชาวฮินดูจำนวนมากที่อาศัย
ในพื้นที่ ประเทศใหม่นี้ -- ปากีสถานเองเป็นประเทศที่ตกอยู่ภายใต้เผด็จการทหารมาอย่างต่อเนื่อง
และปัจจุบันอยู่ภายใต้อำนาจจักรวรรดินิยมอเมริกา ประชาชนปากีสถานอาจจะได้รับเอกราช
จากอังกฤษ แต่ไม่เคยได้รับสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย

อีกคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าต่อสู้แบบสันติวิธีคือ นางอองซาน ซูจี
และเขาได้ใช้วิธีคล้ายๆ มหาตมะ คานธี คือ เมื่อมวลชนออกมาสู้เป็นจำนวนมาก
เช่นในเหตุการณ์ 8-8-88 อองซาน ซูจี จะชักชวนให้ประชาชนกลับบ้านอย่างสงบ เพื่อให้ตัวเขา
คนเดียวเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่า และเพื่อให้ประชาชนตั้งความหวัง
กับการเลือกตั้ง และไว้ใจนายพลที่ปกครองประเทศอยู่ ทั้งๆที่นางอองซาน ซูจี เป็นคนที่กล้าหาญ
และจริงใจ แต่การต่อสู้ของเขายังไม่ประสบผลสำเร็จ และยังไม่สามารถทำให้มีการหลีกเลี่ยง
เหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ได้

เราจะเห็นได้ว่าแนวทางสันติวิธีไม่สามารถหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นองเลือดได้
ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และเป็นการต่อสู้ในรูปแบบที่เชิดชู
สัญลักษณ์ของบุคคลคนหนึ่งโดยหันหลังกับ บทบาทมวลชนจำนวนมาก ซึ่งไม่แตกต่าง
จากการหันหลังให้กับบทบาทมวลชน โดยพวกที่เน้นการสร้างกองกำลังติดอาวุธ


นิยามของสันติวิธี

การนิยามว่าอะไรเป็นการต่อสู้แบบ “สันติ” และการต่อสู้แบบ “รุนแรง”
มีการนิยามที่แตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับอคติและจุดยืน ตัวอย่างที่ดีคือ อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์
ที่ขึ้นชื่อว่าศึกษาและเลื่อมใสในแนวทางสันติวิธี หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยา นักวิชาการคนนี้
ได้ประกาศว่ารัฐประหารดังกล่าวอาจจะเรียกได้ว่า “เป็นสันติวิธี” !!

เหมือนกับว่าการนำรถถังแ ละทหารติดปืนออกมาบนท้องถนนไม่ได้เป็นการข่มขู่ที่จะใช้
ความรุนแรงแต่อย่างใด คำพูดของ ชัยวัฒน์ ในกรณีนี้แสดงให้เห็นว่าบ่อยครั้งนักสันติวิธี
ใช้สองมาตรฐาน และแม้แต่นักสันติวิธีที่ซื่อสัตย์และจริงใจก็มักจะมีเส้นแบ่งว่าจะใช้สันติวิธี
ในกรณีใดและพร้อมจะใช้ความรุนแรงเมื่อไหร่ คนที่นับถือพุทธอาจไม่อยากฆ่าคน แต่อาจ
เห็นด้วยกับโทษประหาร เป็นต้น

ถ้า เราพิจารณาสื่อกระแสหลัก เราจะเห็นว่าพวกนี้มักจะนิยมว่าคนที่เคลื่อนไหวต่อสู้
หรือแค่พูดในแนวที่ตรง ข้ามกับชนชั้นปกครอง จะถูกนิยามว่าเป็นพวก “หัวรุนแรง”
ทั้งๆที่เขาไม่ได้จับอาวุธหรือก่อให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงแต่อย่างใด

ใน กรณี 3 จังหวัดภาคใต้ ที่มีการปะทะกันระหว่างฝ่ายที่กบฏต่อรัฐไทยกับทหาร
สื่อกระแสหลักมักจะมองว่าผู้ใช้ความรุนแรงมีฝ่ายเดียวคือฝ่ายกบฏ ดังนั้น เราจึงต้องพิจารณา
การนิยมสันติวิธีอย่างละเอียด

เราทราบดีว่าพวกเสื้อเหลืองพันธมารฯ ก็มีการโกหกอ้างตัวว่าใช้วิธีแบบสันติ
ทั้งๆที่มีกองกำลัง มีการใช้ระเบิดและมีการทำร้ายร่างกายของฝ่ายตรงข้าม
จำลอง ศรีเมือง ผู้นำคนหนึ่งของพันธมารฯ ที่ประกาศตัวว่าใช้แนวสันติวิธีในการต่อสู้กับ
เผด็จการทหารในเหตุการพฤษภาคม 2535 อาจจะใช้แนวทางสันติในกรณีปี 2535 แต่ใน
ช่วงที่เข้าร่วมกับพันธมารฯ หลายคนคาดว่ามีส่วนในการฝึกกองกำลังของอันธพาลพวกนี้

นอกจากนี้ จำลอง ศรีเมือง เป็นคนที่ก่อความรุนแรงต่อสตรีไทยในทางอ้อม
เพราะคัดค้านสิทธิที่จะเลือกทำแท้งของผู้หญิงไทย ซึ่งบังคับให้สตรีจำนวนมากต้องไปเสี่ยง
ทำแท้งในสถานที่ที่ไม่ปลอดภัย นี่คืออีกตัวอย่างของสองมาตรฐาน

ใครใช้ความรุนแรงในสังคมอย่างเป็นระบบ ?

คำตอบสั้นๆคือ “ทหาร”
ทหารไม่ได้มีไว้เพื่อไถนา เพื่อเป็นนักสังคมสงเคราะห์
หรือเพื่อสร้างสิ่งประดิษฐ์งดงามในบ้านเมืองของเรา ทหารมีไว้เพื่อฆ่าคน
และการฆ่าคนหรือการขู่ว่าจะฆ่าคนเป็นความรุนแรง หลายคนในสังคมต่างๆ อาจจะมองว่า
การฆ่าคนต่างชาติในสงครามเป็นความรุนแรงที่ยอมรับได้ แต่ทหารไทยมีประวัติศาสตร์อัน
ยาวนานในการฆ่าประชาชนคนไทยเพื่อที่จะปกครอง ประเทศด้วยระบบเผด็จการ

ใน 3 จังหวัดภาคใต้ทหารเป็นผู้ที่ใช้ความรุนแรงมาตั้งแต่การยึดพื้นที่ของอาณาจักรปัตตานี
มาเป็นของกรุงเทพฯ -- ดังนั้นถ้าเราจะคัดค้านการใช้ความรุนแรงในสังคมอย่างจริงจังและ
ปราศจากสอง มาตรฐานเราจำเป็นต้องเริ่มด้วยการเรียกร้องให้ยกเลิกกองทัพ
ซึ่งคงจะมีประโยชน์ในเรื่องประชาธิปไตยอีกด้วย

การใช้ความรุนแรงของ ทหารและอำมาตย์เป็นการใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้องผลประโยชน์อัน
ไม่ชอบธรรมของ คนกลุ่มน้อย มันเป็นการปกป้องระบบเผด็จการเพื่อไม่ให้เกิดประชาธิปไตย
ดังนั้นความรุนแรงของทหารมีเป้าหมายอันไม่ชอบธรรมที่ขัดกับประชาธิปไตยและ สิทธิเสรีภาพ
ในกรณีที่มีคนจับอาวุธสู้กับเผด็จการไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ ใน 3 จังหวัดภาคใต้ หรือใน
ประเทศต่างๆ ของตะวันออกกลาง ความรุนแรงดังกล่าวเป็นไปเพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย
เป้าหมายจึงมีความชอบธรรม แต่มันก็ยังเป็นความรุนแรงอยู่ดี

ใครที่ ชอบวิจารณ์ “ความรุนแรง”
ควรจะวิจารณ์ความรุนแรงของทหารและอำมาตย์เป็นหลัก
ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ถือว่าใช้สองมาตรฐาน


และนอกจากนี้ควรจะตั้งคำถามและตอบคำถามว่า
เมื่อคนที่ถูกกดขี่ลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธ เขามีทางเลือกอื่นหรือไม่ ?
และเรามีส่วนในการช่วยให้เขามีทางเลือกอื่นหรือไม่ ?

คนที่ถูกกดขี่ ขูดรีดด้วยกำลังทหารที่ใช้ความรุนแรงอย่างเป็นระบบ
ย่อมมี “สิทธิ์” ที่จะจับอาวุธลุกขึ้นสู้และกบฏ แต่แนวทางนั้นจะเป็นแนวทางที่ฉลาด
และนำไปสู่ประชาธิปไตยแท้จริงหรือไม่ -- นั่นคือประเด็นใหญ่

ในความเห็นผมแนวทางจับอาวุธสู้กับอำมาตย์ไม่ใช่แนวทางที่ฉลาดของเสื้อแดง
อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ในบทความอื่น
แนวทางปฏิวัติสังคมโดยมวลชน เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการจับอาวุธ
หรือการอ้างแบบลอยๆถึงแนวสันติวิธี