tag:blogger.com,1999:blog-23976784110903739452024-03-08T13:28:56.040-08:00Siam Freedom FightFreemen will Fight for Their Rights : A fragment of political history in ThailandsecretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comBlogger32125tag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-51440810431109836632010-02-25T20:59:00.001-08:002010-02-26T11:10:22.645-08:00คำประกาศแดงสยามคำประกาศแดงสยาม<br />วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 โดย <b>จักรภพ เพ็ญแข</b><br /><br />แดงสยามกำเนิดขึ้นแล้วในเมืองไทย ตามสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของปวงชนชาวไทย<br />โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใด คนไทยทุกคนที่เคารพในตนเองและผู้อื่น ด้วยจิตใจอันเป็นประชาธิปไตย<br />อย่างแท้จริง คือสมาชิกโดยธรรมชาติของแดงสยาม<br /><br />นานมาแล้วที่คนไทยถูกปฏิเสธสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยตกเป็นเครื่องมือของการ<br />โฆษณาชวนเชื่อด้วยอำนาจรัฐแบบเผด็จการ จนลุ่มหลงในทิศทางอันเป็นมิจฉาทิฐิ <b>ระบบใดๆที่<br />ถูกสร้างขึ้นมาในระบอบอันฉ้อฉลย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมทั้งของสังคม และสมาชิกทุกผู้ทุกนาม</b><br /><br /><span style="font-size:130%;">เราถูกทำให้เชื่อว่าคนไทยไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง<br />ทั้งๆที่ความเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับกฏเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์<br />และปรัชญาพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย<br /><br />เราถูกทำให้เชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งเลวร้าย<br />พรรคการเมืองไม่ใช่ทางออก สู้ระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไม่ได้ -<br /><br />เราถูกทำให้เชื่อว่า เศรษฐกิจอุปถัมภ์แบบอำมาตย์เป็นครรลองหลักของวิถีไทย<br />ทั้งๆที่ผู้ชี้นำดำรงสภาพอยู่ในทุนนิยมชนิดล้าหลัง<br />และกำปัจจัยที่บันดาลความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจไว้ทั้งหมด<br /><br />เราถูกทำให้เชื่อว่าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยแล้ว ทั้งๆที่กองทัพ ตุลาการ พรรคการเมือง<br />ระบบราชการ ระบบการศึกษา สื่อมวลชน .. ล้วนสนับสนุนความเป็นเผด็จการแทบทุกมิติ</span><br /><br />แดงสยามต้องการให้ปวงชนชาวไทยได้รับสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดบต่อสู้เพื่อให้<br />เกิดประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นในบ้านเมืองและจะต่อสู้โดยไม่หยุดยั้ง ถึงจะใช้เวลานานขนาดข้ามรุ่นข้ามสมัย<br /><br />โดยประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นต้องมีปัจจัยชี้ขาดดังต่อไปนี้<br /><br />1. อำนาจสูงสุดต้องเป็นของปวงชนชาวไทย<br />2. บุคคลต้องมีเสรีภาพอันบริบูรณ์<br />3. สังคมต้องเสมอภาค<br />4. กฏหมายต้องศักดิ์สิทธ์และเป็นธรรมด้วยมาตรฐานเดียวกัน<br />5. ผู้ถืออำนาจรัฐแทนประชาชนต้องมาจากการเลือกตั้ง<br /><br />ขอเชิญปวงชนชาวไทย ได้ตื่นขึ้นรับความสว่างอันเกิดขึ้นจากระบอบประชาธิปไตย และเห็นความมืดมนของฝ่าย<br />เผด็จการที่ครอบงำสังคมไทยมาจนกระทั่งปัจจุบัน เพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นเพื่อตัวเราและปวงชน<br />ชาวไทยรุ่นต่อๆ ไป<br /><br />นี่คือภารกิจ "แดงสยาม"<br /><br /><img src="http://farm5.static.flickr.com/4012/4319761545_ebba1ff1cf.jpg" /><br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-32055166939803654152010-02-04T14:56:00.001-08:002010-02-04T14:56:59.403-08:00โค่น..สื่ออำมาตย์article : SIAM Freedom Fight<br /><br /><span style="font-size:130%;">สื่อมวลชนกระแสหลักของไทย คือส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตยาธิปไตย</span><br />เป็นส่วนสำคัญ เป็นกำลังหลัก ในการปกป้องและแพร่ขยายแนวคิด ภายใต้ระบอบอำมาตยาธิปไตยมานานกว่า<br />ครึ่งศตวรรษ เป็นกำลังหลักในการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 เป็นกำลังหลักที่ใช้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ<br />ในการเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้างรัฐบาลที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ติดต่อกันถึงสามรัฐบาล เป็นกำลังหลัก<br />ที่ใช้โจมตีประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งในรูปข่าวบิดเบือน บทความ สัมภาษณ์ วรรณกรรม ละครโทรทัศน ฯลฯ<br /><br />สื่อมวลชนกระแสหลักไทย ผูกขาดในมือกลุ่มธุรกิจไม่กี่กลุ่มและเมื่อย้อนถึงแหล่งทุน ที่มาของเงิน ก็อยู่ในมือคน<br />ไม่กี่คน นอกจากเป็นอาวุธหลักทางการเมืองของอำมาตยาธิปไตยแล้ว สื่อในระดับขี้ข้าก็ยังใช้ความเป็นอภิสิทธิ์ชน<br />หรือฐานันดรที่อุปโลกน์ขึ้นมาเอง ในการล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพ และ เหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น<br />ไม่ว่าจะดารา นักแสดง หรือประชาชนทั่วไป มีผู้คนมากมายเท่าใด ที่ถูกตราหน้าเป็นฆาตกร เป็นคนบ้ากามโรคจิต<br />ขึ้นข่าวหน้าหนึ่งโดยปราศจากมูลความจริง และสื่อกระแสหลักเหล่านี้ก็ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆต่อการกระทำของตน<br /><br /><span style="font-size:130%;">การกล่าวว่าสื่อมวลชนไทยมี"จรรยาบรรณ"และ"เป็นกลาง"ก็ไม่ต่างไปจาก<br />การที่บอกว่า สถานบริการ อาบ อบ นวด ในเมืองไทย..ไม่มีการค้าประเวณี</span><br /><br />แม้แต่ในหมู่สื่อกระแสรอง หรือสื่อทางเลือกของฝ่ายที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในปัจจุบัน ก็ยังพยายามแก้ตัวให้แก่<br />สื่อมวลชนกระแสหลักอยู่เนืองๆ เช่น กล่าวว่าสื่อปัจจุบันถูกแทรกแซง ..?? แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ???<br /><br />ในเมื่อสื่อกระแสหลักช่างมีเขี้ยวเล็บ เข้มแข็ง เป็นอภิสิทธิ์ชนที่ฟาดฟันรัฐบาลพรรคไทยรักไทย - จนมาถึงรัฐบาล<br />พรรคพลังประชาชน สื่อกระแสหลักโจมตีอย่างดุเดือด ไม่อ่อนข้อถอยหนี แล้วอยู่ดีๆ..จะมากลายเป็นลูกหมาพิกล<br />พิการ ที่ซบเลียรัฐบาล คมช. หรือ พรรคประชาธิปัตย์ ?? ย่อมเป็นไปไม่ได้.. เพราะสื่อมวลชนเหล่านี้เป็นมนุษย์ที่<br />มีการศึกษา <b>พวกเขายืนยันว่าพวกเขามีจรรยาบรรณ ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว เป็นเหยี่ยวข่าว..ไม่ใช่แมงดา</b><br />ดังนั้น การที่สื่อกระแสหลักยืนอยู่ข้างอำมาตยาธิปไตย และประกาศสงครามกับฝ่ายประชาชน จึงมีคำอธิบายเพียง<br />อย่างเดียวว่า <b>สื่อมวลชนกระหลักเต็มใจ..ที่จะยืนอยู่กับระบอบอำมาตยาธิปไตย และเป็นพวกเดียวกัน</b><br /><br /><span style="font-size:130%;">เหตุการณ์สงกรานต์เลือด ปี พ.ศ. 2552 เป็นตัวอย่างที่ประชาชนไม่ควรลืมเลือน<br />ว่า..สื่อมวลชนกระแสหลัก ไดักระทำต่อประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยไว้อย่างไร </span><br /><br />เรื่องราวชั่วร้าย และอาชญากรรมต่ออธิปไตยของประชาชน ที่สื่อกระแสหลักไทยร่วมกระทำนั้น มีผู้กล่าวถึงแล้ว<br />มากมายก่อนหน้า และจะไม่นำมากล่าวซ้ำในขณะนี้ เพราะมิใช่ประเด็น<br /><span style="font-size:130%;">ประเด็นคือ จะทำอย่างไรกับสื่อกระแสหลักพวกนี้ <br />หลังจากการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง</span><br /><br /><span style="font-size:130%;">แน่นอนว่า สื่อมวลชนอำมาตย์พวกนี้สมควรที่จะมีปากเสียง มีเสรีภาพในการ<br />แสดงออกซึ่งลัทธิความเชื่อของพวกเขา แม้มันจะเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยก็ตาม<br />แต่ทว่า..การผูกขาดทุกช่องทางของสื่ออำมาตย์จะต้องยุติลง</span><br /><br />การผูกขาดช่องทางสื่อสาร..ของสื่อมวลชนกระแสหลักในปัจจุบัน จะต้องยุติลงทันที..ที่ประชาชนได้รับชัยชนะ<br /><br /><span style="font-size:130%;">หลังสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้นในประเทศนี้ - <br />สมควรต้องมีการทบทวน และทวงคืนสัมปทานโทรทัศน์ - วิทยุทั้งหมด</span><br />และนายทุน ผู้บริหาร พนักงาน ที่มีส่วนร่วมสนับสนุนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร <br />จะต้องถูกนำมาขึ้นศาลประชาชน หรือกระบวนการยุติธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง - นายทุน ผู้บริหาร พนักงานที่มี<br />ส่วนร่วมในการให้ร้ายป้ายสีประชาชน..โดยเฉพาะการให้ร้ายประชาชนที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย <br />อาชญากรสื่อเหล่านี้จะต้องถูกดำเนินคดีในศาลประชาชน หรือกระบวนการยุติธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งนี้รวม<br />ถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่จะต้องถูกพิจารณาลงโทษ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่เยาวชนในอนาคต<br /><br />รายการข่าวอำมาตย์ที่ออกอากาศปัจจุบัน ก็ควรให้ทำรายการต่อไป แต่จะต้องมีรายการข่าวฝ่ายประชาธิปไตย<br />ประกบคู่ เช่น ข่าวอำมาตย์ 06.00 น. ต้องมีข่าวฝ่ายประชาธิปไตยเวลา 06.30 น. ประกบทันทีทุกคลื่น ทุกสถานี<br />แล้วให้ประชาชนเลือกตัดสินใจเอาเอง ว่าจะเชื่อใคร - <br /><br /><span style="font-size:130%;">สังคมประชาธิปไตย ไม่ใช่สังคมที่ต้องยอมทนให้อีกฝ่ายหนึ่งตบตีโดยไม่ตอบโต้ .. <br />สังคมประชาธิปไตย ไม่ใช่สังคมที่จะยอมให้ตนเองถูกใส่ร้ายป้ายสีอยู่เพียงฝ่ายเดียว - <br />ไม่ใช่สังคมที่ทุกคนจะต้องคิดเหมือนกัน ชอบเหมือนกัน เป็นเหมือนกัน <br />แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่คิดต่างจะมากวนตีนได้ โดยไม่ถูกกวนตีนกลับ <br /><br />สังคมประชาธิปไตย จะเป็นสังคมที่ต่างฝ่ายต่างไม่ล่วงละเมิดสิทธิซึ่งกันและกัน</span><br /><br />แต่จะไปถึง..และรักษาสภาพนั้นไว้ได้ การกวนตีนแบบศรีธนนชัยของพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ จะ<br />ต้องถูกขจัดให้บรรเทาเบาบางลงให้ได้ สื่ออำมาตย์ และลูกจ้างสื่ออำมาตย์ทั้งหมด ต้องอยู่ในพื้นที่ของตนเอง<br />ในสัดส่วนที่ไม่เป็นภัยต่อสังคมอนาคต ไม่ใช่บริษัททำข่าวบริษัทเดียว ทำรายการข่าวคลุมไปทุกช่องโทรทัศน์<br /><br />เมื่อกล่าวถึงการปฏิรูปสื่อ ก็คงมิใช่แค่การละเล่นเชิงวิชาการ ที่บรรดาขี้ข้าอำมาตย์มาเสวนากันเองเพื่ออวดภูมิรู้<br />และแถลงการณ์บ้าๆบอๆที่ไม่มีสาระ เพราะนักวิชาการในมหาวิทยาลัยไทยปัจจุบัน..จำนวนไม่น้อย ที่ไม่ต่างไป<br />จากขี้ข้าอำมาตย์สาขาอื่นๆ ไม่มีความรู้ ไม่มีสติปัญญาเพียงพอให้เชื่อถืออีกต่อไป ไม่มีองค์กรใดในระบบของ<br />อำมาตย์วันนี้ที่น่าเชื่อถือ สังคมต่อจากนี้ไปจึงอาจจำเป็นตั้งต้นกันใหม่ทั้งหมด เริ่มจากหัวขบวนคือกำจัดนายทุน<br />สื่อสารมวลชนปัจจุบัน บริษัทใดเป็นบริษัทมหาชนก็ดำเนินกิจการต่อไป แต่คนในองค์กรต้องเปลี่ยน และหมุน<br />เวียนมารับโทษทัณฑ์ที่ก่อไว้ในอดีต ..ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง<br /><br /><span style="font-size:130%;">แนวคิดเช่นนี้ มิใช่การจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ..แต่ตรงกันข้าม<br />สังคมประชาธิปไตยในอนาคต สื่อมวลชนจะต้องมีสิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่ <br />ตราบที่ไม่ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น ซึ่งแน่นอนว่า สิทธิเสรีภาพของมนุษย์<br />มาพร้อมกับความรับผิดชอบ สื่อเสรีประชาธิปไตยในอนาคต จึงต้องมีความ<br />รับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่ตนกระทำ ต่างจากสื่ออำมาตย์แบบทุกวันนี้</span> <br /><br />และแน่นอนอีกเช่นกันว่า สื่อสารมวลชนในโลกเสรีประชาธิปไตย และการแข่งขันในระบบเสรีทุนนิยม คงเกิด<br />ขึ้นไม่ได้ หากสื่ออำมาตย์ผูกขาด..ในยุคทุนนิยมสามานย์ ยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่บนแผ่นดินนี้ ไม่ต้องเสีย<br />เวลาเสวนา สัมนาปฏิรูปสื่อให้เปลืองน้ำชากาแฟ - <br /><br />ถึงวันนั้น โค่นอำมาตย์ลงได้ แต่โค่นสื่ออำมาตย์ไม่ลง<br />อีกไม่เกินห้าปี อำมาตยาธิปไตยจะกลับมายึดครองแผ่นดินอีกครั้ง<br /><br /><img src="http://farm3.static.flickr.com/2747/4329230936_fcc2c19be8.jpg" /><br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-50431728092588050292010-01-31T08:42:00.000-08:002010-01-31T15:00:31.530-08:00ระหว่างความเป็นทาส กับ ความเป็นไทoriginally article written / posted August 18, 2008 : by SIAM Freedom Fight<br />ระหว่างชาติพันธุ์ที่เกิดมาเป็นทาส กับชาติพันธุ์ที่เกิดมาเป็นไท แตกต่างกันที่กระบวนคิด<br /><br /><span style="font-size:130%;"><u>01</u><br /><br />ในสมัยรัชกาลที่ 5 รัฐบาลประกาศเลิกทาส รวมทั้งยกเลิกระบบไพร่ทั้งหมดในราชอาณาจักร<br />การศึกษาไทยมักจะสอน และเปรียบเทียบปรากฏการณ์นี้กับการประกาศเลิกทาสในประเทศ<br />สหรัฐอเมริกา และพยายามบอกว่าเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน<br /><br />ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว..แต่เป็นแค่ความจริงเพียงครึ่งเดียว</span><br /><br /><strong>การเลิกทาสอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกานั้น</strong><br />ประกาศเมื่อสงครามกลางเมืองดำเนินไปได้สักระยะหนึ่ง ถึงแม้ประเด็นการมีหรือไม่มีทาสจะเป็นหนึ่งในสาเหตุ<br />ของความขัดแย้งที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองสหรัฐ แต่ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด และไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่สุดด้วยซํ้า<br /><strong>แต่สาเหตุหลักที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา<br />คือความขัดแย้งเกี่ยวกับอธิปไตยของมลรัฐและอำนาจของรัฐบาลกลาง</strong><br /><br />เมื่อตกลงกันไม่ได้ พูดกันไม่รู้เรื่องสักที..ก็ต้องรบกัน<br /><br />แม้ฝ่ายเหนือ..หรือรัฐบาลกลางสหรัฐจะชนะสงคราม<br />แต่ฝ่ายใต้ก็ชนะในเรื่องหลักการ เพราะรัฐบาลกลางให้การยอมรับในอธิปไตยของมลรัฐ และ/หรืออธิปไตยของ<br />ปวงชน ว่าคืออำนาจสูงสุดของประเทศ – ส่วนการที่รัฐบาลกลางประกาศเลิกทาสในระหว่างสงครามกลางเมือง<br />ก็เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่สงคราม และเป็นการสกัดกั้น..มิให้อังกฤษเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายใต้<br /><br />สงครามกลางเมืองเป็นโศกนาฏกรรมของอเมริกา สร้างความหายนะทางเศรษฐกิจและชีวิตผู้คนมากมายมหาศาล<br />แต่สิ่งที่ได้คือประเทศชาติสามารถรวมกันเป็นหนึ่ง อธิปไตยเป็นของปวงชนอย่างสมบูรณ์.. หรืออย่างน้อยก็เป็น<br />ของปวงชนมากกว่าชาติอื่นในโลก แถมวัฒนธรรมการเลี้ยงทาสยังถูกกำจัดไปจากแผ่นดิน<br /><br /><span style="font-size:130%;">ในสยามประเทศ การเลิกทาสเกิดขึ้นเพื่อล้มระบอบศักดินา<br />ไม่ใช่เพื่ออธิปไตยของปวงชน แต่เป็นการสร้างความมั่นคงแก่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์</span><br /><br />การเลิกระบบไพร่ คือการตัดกำลังไพร่พลของขุนนาง ซึ่งกำลังไพร่ในสังกัดขุนนางนี้เคยใช้ในการรัฐประหาร<br />ครั้งแล้ว ครั้งเล่า..นับแต่กรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา<br />(แนะนำให้อ่านหนังสือ "การเมืองเรื่องสถาปนาพระจอมเกล้าฯ" โดยเทอดพงศ์ คงจันทร์ สำนักพิมพ์มติชน -<br />ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งกล่าวถึงอำนาจของขุนนาง ที่มีบทบาทอิทธิพลต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างสูง -<br />สื่ออำมาตยาธิปไตยจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีในการศึกษาระบอบศักดินา)<br /><br />ซึ่งแน่นอนว่า การเลิกทาสในประเทศสยามปราศจากการนองเลือด<br />เพราะไม่รู้จะไปนองเลือดกับใคร ในเมื่ออำนาจขุนนางเวลานั้นก็ไม่ได้มากมายเหมือนในสมัยรัชกาลก่อน<br />อย่างไรก็ตาม เรื่องราวหักมุมแบบไทยๆ ที่เรามักได้ยินกันเสมอ คือ <b>ทาสที่ปล่อยแล้วไม่ยอมไป</b><br /><br /><span style="font-size:130%;">กลายเป็นว่าคนที่ไม่ยินดีกับการเลิกทาส ก็คือพวกทาสนั่นเอง</span><br /><br /><b>ศูนย์อำนาจของราชอาณาจักรอยู่ที่ภาคกลางและเมืองหลวงคือกรุงเทพฯ<br />จำนวนทาส..และลูกหลานทาสส่วนใหญ่จึงอาศัยในแถบภาคกลาง</b><br /><br />ในขณะที่ภาคอีสานสมัยก่อนเป็นดินแดนห่างไกลจากศูนย์อำนาจ แทบจะเป็นดินแดนอิสระในชีวิตประจำวัน<br />ส่วนภาคเหนือนั้นก็เป็น "อีกอาณาจักรหนึ่ง" มาตลอด ถึงจะอิงอำนาจการเมืองของกรุงศรีอยุธยาบ้าง พม่าบ้าง<br />หรือกรุงเทพฯบ้าง แต่ในวิถีชีวิตปกติก็เป็นอิสระในตนเอง เป็นอาณาจักรล้านนา - และเพิ่งจะมารวมกับกรุงเทพฯ<br />ในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้เอง (ยังมีเบื้องหลังการรวมอาณาจักรที่ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้)<br /><br />ส่วนประเด็นที่ว่าประชากร<strong>ลูกหลานทาส</strong>ที่อาศัยอยู่ในภาคกลางซึ่งเป็นศูนย์อำนาจนี้<br />ก็ขออนุญาต - จะยังไม่ขยายความในที่นี้<br /><br /><span style="font-size:130%;"><u>02</u><br /><br />"สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" กลายเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ที่จะใช้กดหัวประชาชน<br />และเปิดโอกาสให้ชนชั้นปฏิกิริยาสามารถทำตัวเป็น "กาฝาก" ได้อย่างชอบธรรม</span><br /><br />ในวัยเยาว์ เราเรียนรู้จากระบบการศึกษา ถึงคำว่าสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ ล้วนเป็นคำที่มีความหมายดีงาม<br />เป็นวัตถุประสงค์หลักในชีวิตและระบอบการบริหารบ้านเมือง แม้การศึกษาในวัยเยาว์นั้นจะเป็นการศึกษาภายใต้<br />ระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นแนวคิดฝังหัวที่เกิดจากการรัฐประหาร 2490 และ 2500 แต่จะอย่างไรก็ตาม คำว่า<br />"สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์"ก็ยังเป็นความหมายที่งดงาม ไม่ว่าในระบอบใด<br /><br />แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราเห็นโลกมาหลายต่อหลายทศวรรษ<br />และยามบ้านเมืองวิกฤติจึงเรียนรู้ว่า "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" ก็เหมือน "เปลือกของความดีงาม"<br />อีกหลายต่อหลายอย่างในสังคมนี้ คือเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ที่จะไม่ทำอะไร หรือทำให้น้อยที่สุด<br /><br /><span style="font-size:130%;">เป็นข้ออ้างเพื่อยอมก้มหัวอยู่ใต้ฝ่าตีนผู้มีอำนาจให้มากที่สุด<br />และไม่เสียความรู้สึกของตนเอง ..คือเป็นทาสที่ยังกร่างได้</span><br /><br />แล้วรู้ทั้งรู้ว่า <strong>การรัฐประหารนั้นคือการเป็นโจรกบฏ</strong><br />มีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 113 มีโทษถึงประหารชีวิต<br /><br />แล้วคนในบ้านเมืองนี้ทำอะไร..เมื่อโจรปล้นเมือง<br />คนในบ้านเมืองนี้ก็ยังท่องคาถา "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" กับโจร<br /><br /><strong>ขอความเมตตาจากโจร หวังความยุติธรรมจากโจร</strong><br />ยอมรับกฎหมายโจรไปก่อน..แล้วหวังว่าโจรท่านคงยอมให้แก้ไขทีหลัง หวังให้โจรยึดมั่นในกติกาที่โจรเขียนขึ้นมา<br />หวังให้กรรมการที่โจรตั้งขึ้นจะมีความยุติธรรมต่อคนที่ถูกโจรปล้น ยอมก้มหน้าก้มตาปฏิบัติตามกระบวนการโจร -<br />แล้วบอกว่าเรายังอยู่ในระบอบประชาธิปไตย เมื่อโจรไม่เมตตา..ก็หันมาปลอบใจกันเองว่า "เอาเถอะ โจรมันแก่แล้ว<br />วันหนึ่งมันก็ต้องตาย" ก็หวังไว้ว่าลูกหลานโจร เมียโจรมันจะไม่เป็นโจรเหมือนพ่อแม่มัน ??? ก็เอาเถอะ<br /><br />หากคำว่า "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ สันติภาพ"<br />คือการยอมให้สัตว์นรกกดขี่กดหัว รุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นทาสที่ดีและมีชีวิต<br /><strong>แล้วหลอกตัวเองว่าบ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตย</strong><br /><br /><span style="font-size:130%;">แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่การยอมก้มหัวใต้ฝ่าตีนชนกลุ่มน้อย<br />ไม่ใช่การยอมก้มหัวใต้ฝ่าตีนใครทั้งนั้น ประชาธิปไตยคืออธิปไตยเป็นของปวงชน<br />โดยยึดเอาเสียงส่วนใหญ่เป็นสำคัญ.. ขณะที่ไม่กดขี่ประชากรกลุ่มน้อย</span><br /><br />ประชาธิปไตยต้องอยู่บนพื้นฐานความเสมอภาค เสรีภาพ ภาดรภาพ<br />นั่นคือ คนจน หรือ คนรวย .. คนทีการศึกษา หรือ ไม่มีการศึกษา ย่ิอมมีสิทธิทางการเมืองที่เท่าเทียมกัน<br />เมื่อไม่มีความเสมอภาค ย่อมไม่มีเสรีภาพ เมื่อไม่มีเสรีภาพ ย่อมไม่มีภาดรภาพ - ไม่มีสันติภาพ<br /><br />ทุกคนอยากนอนอยู่บ้านสบายๆทั้งนั้น ไม่มีใครอยากเดือดร้อน แต่บางครั้ง ชีวิตก็ไม่ปล่อยทางเลือกแสนสุขให้<br />กับเราสักเท่าใด - ในปี พ.ศ. 2310 สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ประชากรสมัยนั้นก็มีทางเลือกว่าจะหลบอยู่ใน<br />กำแพงเมืองกับพระเจ้าเอกทัศ <b>หรือจะออกไปเสี่ยงชะตากรรมกับพระยาตาก</b> ..มุดหัวอยู่ภายในกำแพงเมือง<br />กรุงศรีอยุธยาก็ดูเหมือนจะปลอดภัย นอนเฉยๆ ไม่ต้องสู้รบกับใคร สงบ สันติ และเป็นกลาง ยามเมื่อพม่าพังกำแพง<br />เมืองเข้ามา คนเหล่านี้ก็ไปเป็นทาสพม่า ถูกกวาดต้อนไปอยู่พม่าจนทุกวันนี้ ก็เป็นทาสที่สุขสบายดี - แต่ถ้าเลือกที่<br />จะร่วมทางกับกองทัพพระยาตาก โอกาสตายก็มีสูง .. แต่จะอยู่อย่างทาส หรือจะตายอย่างเสรีชน<br /><br />คำตอบในหัวใจ สุดแต่ใครเกิดมาเพื่อเป็นทาส<br />หรือใครเกิดมาเพื่อเป็นไท ..อย่างที่บอก <strong>มันต่างกันที่กระบวนคิด</strong><br /><br /><br /><img src="http://farm5.static.flickr.com/4012/4319761545_ebba1ff1cf.jpg" /><br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-81215521240970310032010-01-28T05:41:00.001-08:002010-01-29T10:35:43.732-08:00เงื่อนไขและเวลาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นfrom คอลัมน์ "ผมเป็นข้าราษฎร" นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 35<br />28 มกราคม 2553 / January 28. 2010<br />บทความ : เงื่อนไขและเวลาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น<br /><b>article / บทความโดย : จักรภพ เพ็ญแข</b><br /><br />แล้ววลี “กงล้อแห่งประวัติศาสตร์”<br />ก็มีน้ำหนักขึ้นในทันทีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย<br />ประกาศคำว่า “รัฐบาลพลัดถิ่น” ออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ ระหว่างการปราศรัยผ่านดาวเทียมกับมวลมหาประชาชน<br />ที่กำลังชุมนุมทวงแผ่นดินคืนจากอำมาตย์ ณ เขาสอยดาว จันทบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2553<br /><br />ผมทราบว่าหลายท่านน้ำตาไหล และหลายท่านหายใจอย่างโล่งอกว่า<br />นี่แหละเกียรติภูมิที่ควรเป็นของขบวนการประชาธิปไตย<br />ตัวผมนั่งอยู่อีกมุมโลกหนึ่ง รู้สึกประหนึ่งว่าเราชนะแล้วด้วยซ้ำไป<br /><br /><b>รัฐบาลพลัดถิ่นคืออะไร ทำไมสำคัญถึงขนาดนี้<br />เราจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้จริงหรือ ทั่วโลกเขาจะเอากับเราหรือ ?</b><br /><br />ผมได้ยินคำถามดังออกมาจากหัวใจของพวกเราที่ร่วมต่อสู้<br />และปรารถนาจะเห็นชัยชนะอย่างไม่มีเงื่อนไขของฝ่ายประชาชน วันนี้ต้องตอบคำถามเหล่านั้นให้ชัดเจน<br />หรืออย่างน้อยต้องลดความสงสัยลงบ้าง<br /><br />รัฐบาล พลัดถิ่น หรือ government-in-exile เป็นวิถีทางต่อสู้อย่างหนึ่งของขบวนการการเมืองในแต่ละประเทศ<br />เมื่อการต่อสู้ในประเทศตนไม่อาจเป็นไปได้แล้ว โลกหรือประชาคมระหว่างประเทศ โดยองค์การสหประชาชาติ<br />คือผู้ประกันสิทธิตามธรรมชาติในข้อนี้ของขบวนการการ เมืองใดๆที่ได้รับการสนับสนุนอย่างบริสุทธิ์ใจจาก<br />มวลชนจำนวนมากในประเทศนั้นๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นกลไกการต่อสู้ที่โลกยอมรับ และถือเป็นการรณรงค์ทาง<br />การเมืองโดยสันติวิธีอย่างหนึ่ง<br /><br /><b>รัฐบาลพลัดถิ่นจึงไม่ใช่รัฐบาลเถื่อน</b><br /><br />มิหนำซ้ำ หากรัฐบาลนั้นๆ ตั้งขึ้นบนความยอมรับนับถือของประชาคมระหว่างประเทศ และได้รับการสนับสนุน<br />อย่างเพียงพอในประเทศของตนแล้ว ยังเกิดผลอีกอย่างหนึ่งคือทำให้รัฐบาลที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นรัฐบาลฝ่ายตรงข้าม<br />ในขณะนั้น หมดสิ้นความชอบธรรมลงไปทันที มหาประชาชนจะฉุดกระชากลากลงมาจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และ<br />คณะรัฐมนตรีเสียเมื่อไหร่ก็ได้<br /><br />ครับ ถ้า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมาได้สำเร็จ<br />รัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลสุรยุทธ์ รัฐบาลปีย์ รัฐบาลเปรม และรัฐบาลเขายายเที่ยงบวกกับตาเที่ยง หรือรัฐบาลเวรกรรม<br />ใดๆ ที่มาจากการปล้นอำนาจรัฐจากประชาชนด้วยกำลังกองทัพ ตุลาการวิบัติ หรือองค์กรอิสระ (แต่เป็นทาสอำมาตย์)<br />จะกลายสภาพเป็นรัฐบาลเถื่อนในทันที<br /><br /><b>การจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นคำประกาศว่าใครคือรัฐบาลตัวจริง</b><br /><br />รัฐบาลตัวจริงหมายถึงรัฐบาลที่มีความชอบธรรมอย่างแท้จริง และรัฐบาลมีฐานประชาชนหนุนอย่างเพียงพอ<br />ไม่ใช่รัฐบาลที่มีคนเรียกฝ่ายตุลาการออกมาวางแผนปล้นให้ ไม่ใช่รัฐบาลที่คอยแก้ไขปัญหาปากคอกอย่างเพลี้ย<br />สีน้ำตาล หรือทะเลกัดเซาะชายฝั่งที่ปักษ์ใต้ โดยไม่ได้แก้ไขปัญหาจากเหตุปัจจัยหลัก เพราะทำเพียงเพื่อจะหาทาง<br />ผันงบประมาณออกมาใช้กันให้อ้วนท้วนไปตามๆ กันเท่านั้น<br /><br />ที่มาของรัฐบาลก็ต้องชอบธรรม การทำงานในขณะเป็นรัฐบาลหรือขณะที่ถืออำนาจรัฐอยู่ก็ต้องชอบธรรม<br />เรียกว่าชอบธรรมตั้งแต่หัวจรดเท้าและยาวนานตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง<br /><br />รัฐบาล เฮียดึงหรือเจ๊ดันอย่างรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ และนายอภิสิทธิ์จึงขาดชอบธรรมอย่างเด็ดขาด<br />จะดูที่มาของรัฐบาลหรือวิธีการใช้อำนาจรัฐ ก็ขาดด้วนหมด ไม่ต่างอะไรจากคนเป็นสมีปาราชิก แต่ไปหลอก<br />สาธุชนว่าเป็นพระ ให้ศีลให้พรคนจนยุ่งไปหมด เผลอๆ ยังหน้าด้านไปทำหน้าที่อุปัชฌาย์ หรือเป็นพระพี่เลี้ยงนวกะ<br />สร้างพระใหม่อีก ต่างหาก<br /><br /><b>แล้วจะตั้งได้หรือ รัฐบาลพลัดถิ่นที่ว่านี้ ?</b><br /><br />เจ้าของประเทศไทยคือประชาชนส่วนมากอาจจะยังไม่ทราบว่า<br />วันที่เราถูกปล้นอำนาจรัฐในวันอังคารที่ 19 กันยายน 2549 เราเกือบจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นกันแล้ว<br />ในวันนั้นนายกรัฐมนตรีของเราก็อยู่ที่องค์การสหประชาชาติ พร้อมกับผู้นำทั่วโลกอีกมากมาย ต่างฝ่ายต่างมาร่วม<br />ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติประจำปีกันในโอกาสนั้นทั้งสิ้น<br /><br />เลขาธิการสหประชาชาติในเวลานั้นคือนายโคฟี่ อันนัน ก็ย้ำคำเชิญให้นายกรัฐมนตรีทักษิณขึ้นกล่าวปราศรัยตาม<br />กำหนดการเดิม โดยไม่คำนึงถึงการรัฐประหาร เป็นการประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดว่า องค์การสหประชาชาติยอมรับ<br />รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไม่รับรัฐบาลที่ซากเดนศักดินาร่วมกันตั้งขึ้นในเมืองไทย<br /><br />เราสามารถตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้อย่างง่ายดายราวดีดนิ้ว<br /><br /><b>เหตุที่ไม่ได้ตั้ง เพราะเจตนาในขณะนั้นคือความสมานฉันท์<br />ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ในขณะที่ “สติ” ยังตามไม่ทัน “จิต” ไม่รู้ว่าเขาพูดคำว่าสมานฉันท์แบบย้ำๆ ยานๆ<br />เพื่อให้มีเวลาบรรจุกระสุนปืน หรือไม่ก็มีเวลาผสมยาพิษให้เต็มแก้ว</b><br /><br />เรียนปริญญาตรีก็ใช้ เวลาในราว ๔ ปี ปีแรกอาจไร้เดียงสา ทำตัวเหมือนอยู่ชั้นมัธยม ปีสองและปีสามแก่กล้าขึ้นบ้าง<br />ทั้งในทางปัญญาและอารมณ์ จนถึงปีสี่ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนจบ ถึงขั้นจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ก็ถือว่าประเสริฐ ไม่มี<br />อะไรสูญเปล่า<br /><br />สามปีที่ผ่านมาคือช่วงเวลาบ่มเพาะ ทั้งความพร้อมเพรียง และความมั่นใจในตัวเองของขบวนการประชาธิปไตย<br />เรารักกัน เราทะเลาะกัน เราเห็นด้วย เราเห็นแย้ง เราขาดความเชื่อมั่น เราเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา ในที่สุดเราก็<br />เดินมาถึงยุทธศาสตร์เดียวกัน<br /><span style="font-size:130%;"><br />ถึงวันนี้ใครที่ถือยุทธศาสตร์คนละเล่มก็ถือว่าอยู่กันคนละสนามแล้ว<br />ถ้าสามปียังคิดไม่ได้ ก็คงไม่ต้องคิด เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะเป็นไพร่และเป็นทาสต่อไป<br />เหมือนนกติดยาในกรงเหล็กที่เขาขังไว้ขายคนชอบปล่อยนก<br />แต่เราจะไม่ยอมให้คนเหล่านั้นเข้ามาทำลายยุทธศาสตร์หลักของเราเป็นอันขาด</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;">รัฐบาลพลัดถิ่นเป็นสิ่งที่ทำได้ และต้องทำเมื่อเกิดเงื่อนไขที่เหมาะสมในทางการเมือง</span><br /><br />การยึดอำนาจรัฐประหารเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น<br /><br />ตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งแปลว่าสังคมขาดความยุติธรรมอย่างร้ายแรง<br />มนุษย์ทุกคนมิได้เสมอภาคกันตามกฎหมายอย่างที่เขาโฆษณาชวนเชื่อ ก็เป็นเหตุได้<br /><br />การใช้ความรุนแรงกับมวลมหาประชาชนที่ใช้สิทธิ์ในการประท้วงอย่างสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ ก็เป็นเหตุได้<br /><br />การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง อย่างคำกล่าวของผู้บริหารองค์การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ<br />หรือ Human Rights Watch ที่ว่า <b>“...ถึงบางครั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะกล่าวถึง<br />สิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่การกระทำของนายอภิสิทธิ์กลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม รัฐบาล<br />ชุดนี้ได้บั่นทอนการเคารพสิทธิมนุษยชนและนิติธรรมในประเทศไทยอย่างต่อ เนื่อง..”</b> หรือ <br /><b>“...ประชาธิปไตยในประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการบังคับใช้<br />กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ บรรยากาศแห่งความ<br />หวาดกลัวได้ปกคลุมสังคมอินเตอร์เน็ต เนื่องจากการที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เพิ่มระดับการจำกัดเสรีภาพ<br />ในการแสดงความคิดเห็น...”</b><br /><br />สภาพความพิการล่าสุดของเมืองไทยภายใต้อำมาตย์อย่างนี้ ก็เป็นเหตุได้<br /><br />รัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นสมบัติสาธารณะ และเป็นกลไกของเราในฝ่ายประชาธิปไตย<br />ไม่ต้องไปฟังความเห็นของเหล่าขี้ข้าอำมาตย์ในรัฐบาลหรอกครับ เพราะเราไม่ได้ต้องพึ่งอะไรเขาในการจัดตั้ง<br /><br />ถึงเวลาอันเหมาะสม เราตั้งได้แน่ครับ.<br /><br /><br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3027/2400614675_0acfbf0e1a.jpg" /><br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-14876912243471988932010-01-24T16:11:00.000-08:002010-01-24T16:16:55.372-08:00อำมาตย์เนรคุณคอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”<br />หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 34<br />บทความ "อำมาตย์เนรคุณ" / มกราคม 2553 / January 2010<br /><strong>article / บทความโดย : จักรภพ เพ็ญแข</strong><br /><br /><br /><span style="font-size:130%;">การเชือด พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม<br />ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ โดยย้อนความผิดที่ได้อุ้มฆ่าชาวซาอุดิอาระเบีย<br />เมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นตัวอย่างที่ดีของวิถีโจรในระบอบอำมาตยาธิปไตย</span><br /><br />จับขึ้นมาขึงพืด บูชายัญ เป็นแพะถูกเชือดเพื่อไม่ให้ถึงตัวมหาอำมาตย์ หรือทำให้ระบอบอำมาตย์เสียหาย<br />ทั้งที่ใช้วิชาโจรและสันดานดิบของฆาตกรช่วยทำงานให้กับอำมาตย์มาไม่น้อยกว่าลูกหาบคนอื่นๆ กระเทือนใจอย่าง<br />แสนสาหัสไปจนถึงคนเป็นพี่อย่าง พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผู้ออกโรงมาตลอดจนบัดนี้ ก็เพราะต้องการช่วยเหลือ<br />สมคิดให้พ้นภัยจากคดีฆ่าชาวซาอุฯ<br /><br />พอสุดท้ายพบว่าตัวเองและน้องชายเป็นเพียงแพะบูชายัญของมหาอำมาตย์<br />ป่านนี้ก็คงนอนก่ายหน้าผากรำพึงว่าไม่น่าเลย ทำลายโคตรตระกูลบุญถนอมเพราะไปเชื่อว่าอำมาตย์เขาจะจริงใจด้วย<br /><br />เรื่องนี้เป็นอนุสติล่าสุดของคนที่ยึดมั่นถือมั่นในระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย และมีปกติวิสัยวิ่งไปกราบตีนเขา<br /><br /><span style="font-size:130%;">ถ้าอ่านประวัติศาสตร์กันสักเล็กน้อย<br />จะรู้ทันทีว่าการหลอกให้คนมาเป็นพวก และใช้งานเขาจนน้ำแห้งไปทั้งตัว <br />เหลือเพียงกากหรือซากก่อนจะโยนทิ้งอย่างไม่แยแส เป็นธรรมชาติของ<br />มหาอำมาตย์ไทยที่ได้ทำต่อเนื่องมานานแล้วจนเป็นมากกว่านิสัย</span><br /><br />ถ้าไม่ใช่สันดอนก็ต้องเป็นสันดานไปแล้ว<br /><br />คนในวัยรุ่นที่มีจิตใจปกติธรรมดา ถ้ากระทำความผิดขนาดทำให้คนตายโหงไปต่อหน้า เมื่อได้รับความช่วยเหลือจาก<br />คนที่รักเขาและผูกพันกับเขาจนถึงขั้นเข้ารับความผิดแทน หรือช่วยปกปิดความผิดจนมิดชิด มักจะสำนึกบุญคุณของ<br />คนๆนั้น หรือคนเหล่านั้นไปจนตาย หรืออาจใช้หนี้กรรมข้ามชาติข้ามภพเลยด้วยซ้ำ<br /><br />แต่ถ้ามีจิตใจชนิดผิดปกติ นอกจากไม่สำนึกในบุญคุณแล้ว ยังจับไปฆ่าจนตายเพื่อกำจัดพยานรู้เห็น<br />ยึดเอาความอยู่รอดของตัวเป็นที่ตั้ง ทำลายทั้งชีวิตและจิตใจของผู้คนเหล่านั้น ตลอดจนครอบครัวของเขา ขนาดไหน<br />หรือกี่ชั่วอายุคนก็ช่าง คนบางคนเห็นแก่ตัวชนิดข้นคลั่ก มองทะลุไปจนถึงหัวใจสีดำและความโหดเหี้ยมเลือดเย็น<br />แววตาที่เรียบเฉยไร้ความรู้สึกรู้สมที่เพียงเห็นก็ขนลุก<br /><br /><span style="font-size:130%;">เมื่อเวลาผ่านไป เขี้ยวยาวขึ้น ก็รู้จักเอาใจคนหนึ่งไปฆ่าอีกคนหนึ่งในทางการเมือง<br />ดร.ปรีดี พนมยงค์ เตียง ศิริขันธ์ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ ทองอินทร์ ภูริพัฒน์<br />ถวิล อุดล จำลอง ดาวเรือง จอมพลแปลก พิบูลสงคราม จิตร ภูมิศักดิ์<br />กุหลาบ สายประดิษฐ์ ถนอม กิตติขจร - ประพาส จารุเสถียร กฤษณ์ สีวะรา<br />เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ประจักษ์ สว่างจิตร ณรงค์เดช นันทโพธิเดช ฯลฯ<br />สูญเสียชีวิตหรือโอกาสที่จะได้รับใช้บ้านเมืองเช่นนี้ทั้งนั้น</span><br /><br />นี่ยกเฉพาะผู้มีชื่อเสียงเท่านั้น คนทั่วไปที่ไม่โด่งดังและต้องล้มหายตายจากไปด้วยแรงตัณหา<br />(ความกระเสือกกระสนเอาตัวรอด) ของมหาอำมาตย์ ยังมีอีกมากมายเหลือคณานับ<br /><br />ก่อนกรณีของ สมคิด บุญถนอม ก็มีเรื่องของ สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งรับใช้เขาด้วยการใช้สติปัญญาที่มีมาตลอดชีวิต<br />และไปลากเครือข่ายทั้งหมดที่ตัวสร้างไว้มารองรับ จนประสบความสำเร็จในการทำลายระบอบประชาธิปไตยในระยะ<br />ตั้งไข่ได้ เมื่อถึงคราววางบิล และวางโฉ่งฉ่างแบบสนธิชอบทำ เขาก็พร้อมลืมผลงานเหล่านั้นและส่งลูกตะกั่วมาฝัง<br />ไว้ในหัวให้แทน <br /><br />แต่กรณีของคุณสนธิน่าเห็นใจน้อยกว่า เพราะคุณสนธิทำโดยคาดคะเนผลประโยชน์ของตนแล้วอย่างเต็มที่ ทำ<br />สัญญากับปิศาจ แล้วโดนปิศาจหักหลังเข้าให้ จะไปร้องแรกแหกกระเชอกับใครได้เล่า นรกขุมนี้เป็นของมหาอำมาตย์<br />อสุรกายน้อยใหญ่เป็นของเขาทั้งสิ้น ถึงคุณสนธิจะเลี้ยงตำรวจ ทหาร ข้าราชการ นักการเมือง มาขนาดไหน ถึงเวลาที่<br />อำมาตย์เขาเรียกตรวจแถว คนที่คุณสนธิเผลอคิดว่าเป็นเด็กของตัวมักเป็นคนแรกๆ ที่อาสาเข้ามาเด็ดชีพของคุณสนธิ<br />เสียเอง<br /><br />คติของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า ระบอบเผด็จการมันก็คือระบอบเผด็จการวันยังค่ำครับ<br />เราอาจเผลอไผลคิดไปว่า เผด็จการทหารหนักกว่าพลเรือนเพราะมีกำลังสรรพาวุธ หรือเผด็จการพลเรือนโลกแคบ<br />อย่างสมัยองคมนตรีธานินทร์ กรัยวิเชียรน่าจะอันตรายยิ่งกว่า แต่ในที่สุดแล้วเผด็จการต่างมีธรรมชาติ (สันดาน) อย่าง<br />เดียวกันหมด ระบอบเผด็จการต้องมีผู้เผด็จการ ซึ่งอาจใหญ่โตอยู่คนเดียว ไม่แบ่งลูกแบ่งเมีย ไม่มีใครร่วมใช้อำนาจ<br />ด้วย (ตามแนว The Prince ของนิโคโล แมคเคียเวลลี่) หรือใช้อำนาจกันเป็นหมู่คณะ (power-sharing) แต่ก็ต้องมี<br />ศูนย์อำนาจที่จะ “ฟันธง” ได้เมื่อจำเป็น<br /><br />ตรงศูนย์อำนาจนี่ล่ะ ที่คนจะวิ่งกันเข้าไปเอาอกเอาใจ เสนอตัวทำงาน และอาสาประสานประโยชน์ให้กับผู้มีอำนาจ<br /><br />ไม่ต่างนักกับวิถีของรัฐบาลประชาธิปไตย<br />แต่ระบอบเผด็จการจบที่ตัวผู้เผด็จการ ไม่มีใครต่อรองได้อีก<br />แต่ระบอบประชาธิปไตยไปจบลงที่ประชาชนส่วนใหญ่<br />เพราะโครงสร้างบังคับให้ต้องคิดถึงผลประโยชน์ของคนทั้งหลายก่อนตัวเองและพรรคพวก<br />ถ่วงน้ำหนักอย่างเหมาะสมระหว่างคนมี (the haves) และคนไม่มี (the havenots) ในสังคมนั้น<br /><br />ผู้เผด็จการก็จะเลือกและทดลองใช้คน ด้วยความที่มีตัวเลือกมากก็เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย<br />โดยเฉพาะงานสกปรกและงานใต้ดินต่างๆ ที่ต้องใช้คนที่มีความสามารถอำพรางตัวเองสูง อย่างที่เกิดมาตลอดใน<br />ช่วงสามปีเศษที่ผ่านมา และเมื่องานจบแล้ว คนเหล่านั้นต้องการรางวัลตอบแทนเกินกว่าที่จะให้ได้ ก็จะเรียก<br />คนใหม่มาฆ่าคนเก่า หรือทำลายทิ้งอย่างเลือดเย็น เหมือนกับการฆ่าหมู่ยิวสมัยนาซี<br /><br />ใครก็ตามที่มีความต้องการแรงกล้า ที่จะได้อำนาจรัฐ ซึ่งเป็นสมบัติสาธารณะของประชาชน ไม่มีทางลัดด้วยการ<br />สถาปนาตนเองเป็นผู้เผด็จการ หรือเกาะหางเผด็จการไปสู่อำนาจรัฐ ต้องนอบน้อมถ่อมตัวและเข้าหามวลชน<br />ให้มวลชนตัดสินว่าตนสมควรจะได้รับโอกาสหรือไม่ จึงจะได้มาซึ่งอำนาจและใช้อำนาจนั้นได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ต้อง<br />ใช้วิธีมืดดำอย่างเผด็จการในการประคองตัว หรือต้องคิดกำจัดคู่แข่งทางการเมือง<br /><br /><span style="font-size:130%;">ผมรู้มาว่ามหาอำมาตย์ไทยจะกำจัดลูกหาบของตนอีกหลายคน<br />เพราะความดื้อรั้นของตัวเองได้นำบ้านเมืองเข้าสู่ทางตัน จนลูกหาบทั้งหลายเริ่มละล้าละลัง<br />จะทำงานต่อก็ไม่กล้า จะย้อนไปล้างความผิดที่กระทำมาตลอดช่วงปีที่ผ่านมานี้ก็ทำไม่ได้<br />จึงเริ่มคิดที่จะโดดเรือหนี เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด แต่ก็สายเกินไปทั้งสำหรับลูกน้องและเจ้านาย<br />คนบางคนจึงต้องถูกทำลายทิ้งเพราะเป็นพิษ</span><br /><br />นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความเนรคุณคือลักษณะประจำของเผด็จการทุกชนิด รวมทั้งไม้ตายซากในเมืองไทยด้วย.<br /><br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3027/2400614675_0acfbf0e1a.jpg"/><br/><br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-57034842211627974752010-01-16T06:44:00.000-08:002010-01-16T06:46:04.627-08:00ทำไมชาว เฮติ ถึงยากจน ขณะที่ประชาชนถูกซ้ำเติมด้วยแผ่นดินไหว ?<strong>article : ใจ อึ๊งภากรณ์</strong><br />January 14, 2010<br /><br />ทำไมชาว เฮติ ถึงยากจน ขณะที่ประชาชนถูกซ้ำเติมด้วยแผ่นดินไหว ?<br /><br /><span style="font-size:130%;">คำตอบสั้นๆคือ “จักรวรรดินิยม”<br />เพราะภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดินิยม ชาวเฮติถูกนำมาเป็นทาส <br />ถูกปล้น ถูกกดขี่โดยเผด็จการ<br />และเกาะของพวกเขาถูกยึดครอง..โดยทหารสหรัฐสามครั้ง</span><br /><br />เกาะที่เดิมชื่อ Hispaniola ในทะเลแคริเบียนถูกแบ่งระหว่างสเปนกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1697<br />และภายใต้ระบบทาสในไร่อ้อย เกาะนี้สร้างความร่ำรวยมหาศาลให้กับชนชั้นปกครองยุคกษัตริย์ของฝรั่งเศส<br />แต่ในปี 1791 ซึ่งตรงกับช่วงการปฏิวัติล้มเจ้าของฝรั่งเศสเอง ทาสทั้งหลายในเฮติได้ลุกฮือกบฏ และสร้างกองทัพเพื่อ<br />ปลดแอกตนเอง ผู้นำสำคัญของกองทัพทาสคือ Toussaint L’Ouverture และในที่สุด หลังจากการต่อสู้กับกองทัพจาก<br />อังกฤษและประเทศอื่นที่ต้องการฟื้นฟูระบบทาส ชาวเฮติก็ได้รับชัยชนะ มีการยกเลิกทาส และประกาศให้เป็นประเทศ<br />อิสระภายใต้การปกครองของอดีตทาส อย่างไรก็ตามในปี 1825 รัฐบาลฝรั่งเศสบังคับให้เฮติจ่าย “ค่าชดเชยสำหรับ<br />สมบัติของฝรั่งเศสที่เสียไป” ถึง 150 ล้าน ฟรัง ซึ่งมีผลสำคัญที่ทำให้เฮติติดกับดักหนี้สินมาจนถึงทุกวันนี้<br /><br /><span style="font-size:130%;">ในปี 1915 สหรัฐอเมริกาส่งทหารมายึดครองเฮติ และในเวลาต่อมา<br />สหรัฐส่งทหารบุกเกาะนี้อีกสองครั้ง ในปี 1957 (ปีที่จอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหารในไทย)<br />สหรัฐให้การสนับสนุนกับเผด็จการโหดร้ายของ Papa Doc Duvalier<br />เพราะสหรัฐมองว่าเป็นแนวร่วมสำคัญในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ -<br />Papa Doc ชอบให้ประชาชนเรียกเขาว่า “พ่อ” และกดขี่ควบคุมประชาชนด้วยกองกำลังอันธพาล<br />ชื่อ Tonton Macoute หลังจากที่ Papa Doc ตายในปี 1971 ลูกชายที่ทุกคนเรียกว่า<br />“Baby Doc” ก็สืบทอดอำนาจพร้อมกับได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐต่อไป</span><br /><br />พวกอภิสิทธิ์ชนของเฮติในปัจจุบัน ประกอบไปด้วยตระกูลที่ได้ดิบได้ดีในยุคนี้ บวกกับพวกนายทหารชั้นสูงและพ่อค้า<br />พวกนี้กอบโกยความร่ำรวยในขณะที่ประชาชนยากจน ทุกวันนี้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ในระดับต่ำกว่า 60 บาทต่อวัน<br />แต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีงานทำและรายได้ต่ำกว่านี้<br /><br />ในปี 1986 มีการลุกฮือของมวลชนที่สามารถโค่นล้มเผด็จการ Baby Doc นี่คือจุดเริ่มต้นของขบวนการ “Lavalas”<br />ซึ่งชื่อ Lavalas หมายถึง “น้ำป่าท่วม” หรือ “มวลประชาชน” และเป็นขบวนการของคนยากคนจนที่ต้องเผชิญหน้ากับ<br />อภิสิทธิ์ชนหรืออำมาตย์ ผู้นำขบวนการนี้เป็นพระศาสนาคริสต์ชื่อ Jean-Bertrad Aristide และในปี 1990 Aristide ชนะ<br />การเลือกตั้งและขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีด้วยเสียงจากประชาชน 67% คนยากคนจนแฮ่กันไปเลือกเขาเพราะเขาเสนอ<br />นโยบายปฏิรูปสังคมที่จะกระจายรายได้และสร้างความเป็นธรรม และแน่นอนพวกอำมาตย์เกลียดชังและโกรธแค้นใน<br />ชัยชนะของ Aristide และทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางการทำงานของรัฐบาล ในที่สุดเพียงหนึ่งปีหลังจากการเลือกตั้ง<br />Aristide ถูกรัฐประหารทหารโค่นล้มไป<br /><br /><span style="font-size:130%;">พวกอำมาตย์ที่ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้รับการสนับสนุนแบบลับๆจาก<u>สหรัฐอเมริกา</u></span><br /><br />ในปี 1994 กองทัพได้บุกเข้าไปสังหารคนจนในสลัม<br />และในที่สุดปัญหาความไม่สงบนี้กลายเป็นข้ออ้างของรัฐบาลสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดี Bill Clinton ที่จะส่งทหารบุก<br />เฮติเป็นครั้งที่สอง ในช่วงนี้อดีตประธานาธิบดี Aristad ที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ถูกสหรัฐกดดันให้ยอมรับข้อตกลงพิษ<br />สหรัฐสัญญาว่าจะให้กลับมาดำรงตำแหน่งได้ แต่เงื่อนไขคือ จะต้องใช้นโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมตามคำสั่งของ<br />ธนาคารโลก และ ไอเอ็มเอฟ นโยบายดังกล่าวระบุว่า ต้องตัดงบประมาณรัฐที่ลดราคาสินค้าจำเป็นให้คนจน ต้องมีการ<br />ตัดสวัสดิการทุกอย่างและขายรัฐวิสาหกิจให้เอกชน ประชาชนที่ยากจนอยู่แล้วจึงยิ่งยากลำบากมากขึ้น<br />อดีตประธานาธิบดี Clinton ที่บังคับใช้นโยบายนี้ และผู้ส่งทหารเข้าไปยึดครองเฮติ เป็นผู้ที่ถูกเสนอมาในยุคนี้ว่าจะ<br />ประสานการแก้ปัญหาจากแผ่นดินไหว<br /><br />สหรัฐอนุญาตให้ Aristide ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแค่หนึ่งปี และห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งหลังจากนั้น ต้องรออีกห้าปี<br />พร้อมกันนั้นนโยบายเสรีนิยมที่ถูกนำมาใช้ได้ทำลายขบวนการ Lavalas จนเสื่อมไปจากเดิม<br /><br />คนจนส่วนใหญ่เริ่มหมดกำลังใจ แต่อย่างไรก็ตามในปี 2000 Aristide ลงสมัครและชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง<br /><br />หลังชัยชนะครั้งที่สองของ Aristide พวกอภิสิทธิ์ชนหรืออำมาตย์ก็เปิดศึกจับอาวุธเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง<br />ฝ่ายอำมาตย์ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐและฝรั่งเศส และที่น่าสลดใจคือได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่เรียก<br />ตัวเองว่า “ประชาสังคม” และองค์กรเอ็นจีโอสากลอีกด้วย<br /><br />กลุ่มที่อ้างว่าเป็น “ประชาสังคม” แท้ที่จริงเป็นกลุ่มของนักธุรกิจและนายทุนที่คัดค้านการกระจายรายได้และการปฏิรูปสังคม<br />ส่วนเอ็นจีโอสากลมีบทบาทในการให้บริการกับประชาชนแทนรัฐบาลที่ไม่มีเงิน เงินทุนของเอ็นจีโอเหล่านี้ได้มาจาก<br />รัฐบาลสหรัฐและคานาดา และวิถีชีวิตของนักเอ็นจีโอไม่ต่างจากวิถีชีวิตของคนชั้นสูงในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยากจน<br />ในที่สุดมีการทำรัฐประหารครั้งที่สองเพื่อล้ม Aristide ในปี 2004 (สองปีก่อนรัฐประหาร ๑๙ กันยาในไทย) และพวก<br />ประชาสังคมและเอ็นจีโอก็สนับสนุนรัฐประหาร (ไม่ต่างจากไทย) อย่างไรก็ตามมีนักเอ็นจีโอรากหญ้าในองค์กรเล็กๆ<br />บางแห่งที่ใกล้ชิดประชาชนซึ่งเข้าข้าง Lavalas และประชาธิปไตย<br /><br />Aristide ถูกขนออกนอกประเทศอีกครั้งในเครื่องบินของสหรัฐ<br />และรัฐบาลสหรัฐภายใต้ George Bush ก็สั่งให้ทหารยึดครองเฮติเป็นครั้งที่สาม หลังจากนั้นสหรัฐโอนอำนาจทางทหาร<br />ให้สหประชาชาติ และกองกำลังสหประชาชาติก็ถูกใช้ในการปราบปราบขบวนการ Lavalas<br /><br />เราไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมประชาชนเกาะเฮติถึงยากลำบากแบบนี้<br />และเรื่องราวของเฮติมีบทเรียนหลายอย่างเกี่ยวกับ จักรวรรดินิยม นโยบายเสรีนิยม บทบาทสหประชาชาติ และท่าทีของ<br />เอ็นจีโอกระแสหลักต่อประชาธิปไตย<br /><br />โชคดีจังเลยที่ประเทศไทยไม่ได้เหมือนเฮติ เพราะเรามีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข<br />ซึ่งปกป้องโดยทหาร พันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์ !!<br /><br />แหล่งข้อมูลและอ่านเพิ่ม: Peter Hallward (2007) Damming the Flood. Haiti,<br />Aristide, and the Politics of Containment. Verso, London, New York.<br /><br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3027/2400614675_0acfbf0e1a.jpg"/><br/><br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-73757110680814832422010-01-09T14:06:00.000-08:002010-01-09T14:30:53.972-08:00บทความจาก จักรภพ เพ็ญแขบทความ "ดูไบ" จาก คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”<br />หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 32<br />article : <span style="font-weight: bold;">จักรภพ เพ็ญแข</span><br /><br />หลังจากนั่งเครื่องบินออกจากนครหลวงพนมเปญแห่งกัมพูชา<br />พร้อมกับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ผมก็ไปพักอยู่กับท่านหลายวันที่ดูไบ<br />และรีบกลับมาก่อนเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ เพราะอยากให้ท่านพักผ่อนอย่างสงบกับครอบครัวโดยไม่มีใครรบกวน<br /><br />สองท่านที่ไปพร้อมกันคืออดีตประธานรัฐสภา คุณยงยุทธ ติยะไพรัช<br />และอีกคนที่มีบทบาทสำคัญในภารกิจของเรา แต่ไม่จำเป็นจะต้องขานชื่อกันในขณะนี้<br /><br /><span style="font-size:130%;">เรื่องที่ไปฟังและไปบอกท่านมีไม่มาก<br />วิธีการก็ไม่ได้ประชุมกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ดูตาและดูใจกันเสียมากกว่า<br />แล้วก็ได้ความสงบทางใจ</span><br /><br />ไม่มีอะไรทำลายยุทธศาสตร์ได้เท่ากับความคลางแคลงใจ อย่างที่พุทธธรรมเรียกว่า วิจิกิจฉา เมื่อทำให้ข้อนั้นหมด<br />หรือลดลงไปได้ ก็เท่ากับได้ยุทธศาสตร์ทั้งหมดคืนมา<br /><br />ผมไปหาแม่ทัพขบวนการ ประชาธิปไตยถึงกลางทะเลทราย แต่พบว่าบรรยากาศทางใจเหมือนอยู่ในโอเอซิส<br />เพราะในที่สุดแล้วชิ้นต่างๆ ของฝ่ายประชาธิปไตยที่เหลื่อมกันไปบ้าง เกยกันอยู่บ้างแต่เดิม บัดนี้กลับเข้าที่หมด<br />กงล้อแห่งประวัติศาสตร์ที่เคยเคลื่อนอย่างฝืดๆ น่าจะคล่องตัวขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็ในส่วนที่พวกเราเกี่ยวข้องอยู่<br /><br />มิจฉาทิฐิที่เคยมี เช่นว่าประเทศชาติอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพระประธาน<br />หรือพระประธานไม่พูดสั่งสอนเสียงดังๆ ได้เหมือนในนวนิยายเรื่อง “ไผ่แดง” (ซึ่งดัดแปลงมาจากนวนิยายอิตาลี <br />โดยฝีมือของหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของอำมาตย์ไทยยุคนั้นคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) ก็จะพากันฉิบหายหมด<br /><br />หรือเชื่อว่าเขาเป็นคน ดีมีศีลธรรม เพราะเกิดมาเป็นตัวก็มีแต่คนพร่ำใส่หูว่าดีอย่างประเสริฐ เขาก็ย่อมจะเห็นอกเห็นใจ<br />และเข้าใจเพื่อนร่วมชาติ และอยากเห็นบ้านเมืองสงบระงับจากวิกฤติในที่สุด -- ไปคราวนี้ได้เห็นว่ามิจฉาทิฐิหรือความ<br />ยึดที่ผิดๆ อย่างนี้สลายลงไปมาก<br /><br />ผมรู้สึกขอบคุณนักฆ่าผู้สูงศักดิ์ ที่สั่งฆ่าและทำลายล้างนายกรัฐมนตรี และขบวนการประชาธิปไตยอย่างเลือดเย็นและ<br />ต่อเนื่อง จนปลุกคนส่วนใหญ่ให้ตื่นจากความหลับใหลยาวนานหลายสิบปีได้ - เคยอ่าน จากที่ไหนก็จำไม่ได้เสียแล้วว่า<br />ผืนทะเลทรายมีอานุภาพอันน่าทึ่ง เม็ดทรายน้อยๆ ที่รวมตัวเป็นลมปนทรายและปลิวกระจายไปทั่วตะวันออกกลาง หรือ<br />ในทะเลทรายโกบี หรือซาฮาร่า สามารถเปลี่ยนสภาพทุกสิ่งทุกอย่างได้หากปลิวปะทะนานพอ<br /><br />ในเมืองไทยเอง ลมทะเลทรายก็คงพัดมาถึง เพราะรูปทองบางอย่างค่อยๆ กร่อนลงเรื่อยทุกวันในอัตราเร่ง<br />จนเห็นรูปลักษณ์ที่ไม่ใช่ผู้มีธรรมแต่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง (serial killer) อยู่ภายใน<br /><br />หัวใจบริสุทธิ์ที่ถูกความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกาะกุมอยู่ ในที่สุดก็ได้รับอิสรภาพด้วยวิถีนี้<br /><br />ดูไบ เป็นหนึ่งในเจ็ดนครรัฐที่รวมเข้าด้วยกันเป็นประเทศเดียว ในรูปแบบสหพันธรัฐ<br />และเรียกตัวเองว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี แต่ละรัฐมีเจ้าครองแคว้นของตนเอง<br />รัฐใหญ่ที่สุดคือ อาบูดาบี กลายเป็นเมืองหลวง เจ้าผู้ครองแคว้นอาบูดาบีรั้งตำแหน่งกษัตริย์<br />หรือสมเด็จพระราชาธิบดีตลอดกาล รัฐที่ลดหลั่นลงมาเป็นอันดับสองคือ ดูไบ เจ้าผู้ครองแคว้นก็ได้รั้งตำแหน่ง<br />นายกรัฐมนตรีตลอดกาลเช่นกัน ส่วนอีก 5 นครรัฐที่เหลือคืออัจมัน, ฟูจาร์ราห์, อุมอัล-กูเวน, รัสอัล-ไคมาห์ และซาร์จาห์<br />ก็พอใจในสมการทางการเมืองแบบนี้<br /><br />เจ้ายูเออีเขาคงไม่มีความอิจฉาริษยาเป็นเจ้าเรือน ถึงถือแคว้นถือตระกูลกันมาอย่างไรก็ยังอยู่ในโลกแห่งความจริง ถึงขั้น<br />วางโครงสร้างการเมืองที่ทำให้คงสภาพร่วมกันได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวเองจนน้ำหนักของมงกุฎทับจนบี้แบน<br /><br />น่าสังเกตว่า นายกทักษิณมีเพื่อนฝูงเป็นกษัตริย์หรือผู้ครองแคว้นทั่วโลก นอกจากบรรดาเจ้าในตะวันออกกลางหลายประเทศ<br />ก็ยังมีบรูไนดารุสซาลามในอาเซียน สวาซิแลนด์ในแอฟริกา ตองก้าในแปซิฟิคใต้ และพระราชวงศ์อื่นๆ อีกมากมายหลาย<br />ภูมิภาค กษัตริย์เหล่านี้ล้วนเป็นประมุขแห่งรัฐที่ ทันสมัยและก้าวหน้า ยอมรับวิถีประชาธิปไตยโดยดุษฎี โดยไม่โดดเข้า<br />ขวางโอกาสที่ประชาชนของตนจะกลายเป็นมนุษย์อันสมบูรณ์ ส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศเหล่านี้ ยืนยงสถาพร<br />และไม่แสลงต่อโลก ที่ประชาชนรากหญ้าเป็นใหญ่<br /><br />เขาละโมหะจริตในความเป็นเทพลงเสียบ้าง และสร้างเป้าหมายใหม่ให้กับบ้านเมืองอย่างในกรณีของนครรัฐดูไบ<br />นั่นคือความเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลก (economic hub) จนกลายเป็นจุดสนใจของโลก ทั้งเจ้าทั้งไพร่ต่างได้<br />รับประโยชน์ ความเป็นเจ้าของเจ็ดผู้ครองแคว้นในยูเออี จึงคงเจิดจรัสท่ามกลางเศรษฐกิจที่พัฒนาไป<br /><span style="font-size:130%;">ทุนนิยมก้าวหน้าไม่ได้ขัดแย้งใดๆเลยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หากมองด้วยทัศนะใหม่และไม่คับแคบ</span><br /><br />ผมคิดว่าใครที่ไปอยู่ดูไบอย่างนายกทักษิณ คงจะได้สังเกตเรื่องนี้กันทุกคน<br /><br />ช่วงเวลาอันยาวนานที่จำต้องพำนักอยู่ที่นั่น<br />ในที่สุดก็กลายเป็นช่วงเวลาอันมีประโยชน์ต่อนายกทักษิณ อย่างที่อำมาตย์ไทยนึกไม่ถึง<br />นอกจากได้ทบทวนถึงความใจดำและความเห็นแก่ตัวซ้ำซากแล้ว ยังเป็นเวลาของบทเรียนใหม่ในระดับโลกว่า<br />สถาบันโบราณ กับ โลกยุคใหม่ อยู่ร่วมกันอย่างผาสุกได้อย่างไร<br /><br />บางคนกระซิบผมว่า ความสมานฉันท์แบบนี้น่าจะเกิดในเมืองไทยได้ง่ายกว่า เพราะผู้ปกครองมีธรรมะ<br /><br /><span style="font-size:130%;">ธรรมะ ?</span><br /><br />เมื่อ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร แห่งวัดป่าอุดมสมพร สกลนคร ยังไม่มรณภาพ<br />บุคคลสำคัญขนาดหนักของเมืองไทยได้ไปกราบเยี่ยมและสนทนาธรรมกับท่านครั้งหนึ่ง<br />บุคคลผู้นี้ถามพระอาจารย์ว่า ทำอย่างไรจะให้คนส่วนมากเข้าวัด อาจารย์ฝั้นตอบสวนทันทีว่า “ตัวท่านก็เข้าวัดเสียก่อนสิ!”<br /><br />เป็นที่ลือลั่นกันว่า ความลึกซึ้งในธรรมตามภาพที่สร้างกันมาเนิ่นนานนั้นอาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป<br /><br /><span style="font-size:130%;">เจ้ายูเออี และสุลต่านบรูไนฯเป็นมุสลิม คงจะไม่ได้ยึดพุทธธรรมเป็นหลักแน่<br />เช่นเดียวกับสมเด็จพระราชินีอังกฤษ ผู้เป็นคริสต์แองกลิกัน และสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นที่ถือชินโต</span><br /><br />น่าแปลกใจที่หลายพระองค์เหล่านี้<br />กลับถือวิถีพุทธโดยไม่ต้องแสดงองค์เป็นพุทธมามกะ จนบ้านเมืองของเขาร่มเย็นเป็นสุข<br /><br />ผมเริ่มสงสัยว่า พุทธมามกะบางคนที่ออกนอกลู่ทางจนเกือบกู่ไม่กลับแล้วนั้น<br />เป็นเพราะลุ่มหลงในเรื่องคุณไสยและเดรัจฉานวิชา หรือไม่ก็หลงใหลในตนเอง<br />อย่างที่เรียกว่า ติดดี จนลืมพุทธธรรมไปแล้วหรือไม่ ?<br /><br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3027/2400614675_0acfbf0e1a.jpg"/><br/><br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-89700569168777673292010-01-03T05:44:00.000-08:002010-01-31T09:42:14.670-08:002549 - 2551 ลำดับความขัดแย้ง - แตกแยก - แตกหัก !!article by SIAM Freedom Fight<br />an excerpt from Red in The Land<br /><a href="http://siamfreedomfight.blogspot.com/"><u>go to Records & Documents Section</u></a><br /><br /><span style="color: rgb(153, 0, 0);font-size:130%;" ><span>รัฐประหาร 2549 เปลี่ยนความขัดแย้งเป็นความแตกแยก</span></span><br /><span style="color: rgb(153, 0, 0);font-size:130%;" ><span>ตุลาการรัฐประหาร 2551 ขยายความแตกแยกสู่จุดแตกหักที่มิอาจเยียวยา</span></span><br /><br /><span style="font-size:130%;">สุพจน์ ด่านตระกูล นักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทางประวัติศาสตร์ในระบอบประชาธิปไตย<br />เคยกล่าวไว้เมื่อปี พ.ศ. 2549 <u>สรุปความดังนี้ว่า</u> "การรัฐประหารในอดีตของประเทศไทย<br />เป็นความขัดแย้งรอง คือเป็นความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นสูง หรือชนชั้นอำนาจ โดยประชาชน<br />มิได้รู้เห็น มิได้เกี่ยวข้องสนใจ แต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นเรื่องของความ<br />ขัดแย้งหลัก คือชนชั้นอำนาจได้แย่งชิงอธิปไตยไปจากปวงชนโดยตรง (หมายถึงการยึด<br />อำนาจจากรัฐบาลที่มาจากตัวแทนประชาชน..ที่ยังมีประชาชนจำนวนมากมายสนับสนุน)<br />รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงเป็นความขัดแย้งหลัก - ความขัดแย้งระหว่างประชาชน<br />กับชนชั้นที่ผูกขาดอำนาจในสังคมไว้เนิ่นนาน</span><br /><br />การรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เป็นเสมือนการทำลายอุดมการณ์ของ "คณะราษฎร" ลงอย่างเบ็ดเสร็จ<br />เป็นการกวาดล้างคนสำคัญกลุ่มสุดท้ายของ "การปฏิวัติ 2475" ออกไปจากการเมืองไทย และเป็นจุดเริ่มต้นของ<br />ระบอบเก่าในรูปแบบใหม่ หรือ "ระบอบอำมาตยาธิปไตย" ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน และระบอบอำมาตยาธิปไตยก็<br />สามารถกลับเข้าสู่อำนาจอย่างสมบูรณ์เมื่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก่อรัฐประหาร ในคืนวันที่ 16 กันยายน 2500<br />ระบอบอำมาตยาธิปไตยเข้าสู่ยุครุ่งเรืองสูงสุด ในสมัยที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2523<br /><br />ชนชั้นในระบอบอำมาตยาธิปไตย สามารถรักษาอำนาจไว้อย่างมั่นคงและแนบเนียนเสมอมา<br />ความขัดแย้งใดที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2490 ถึง 2549 ล้วนแต่เป็นความขัดแย้งรอง เป็นความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นสูง<br />ความขัดแย้งในหมู่นายพลขุนศึก ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหาร หรือการนองเลือดในกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถยุติอย่าง<br />ง่ายดายเมื่อมีคนเข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ย ต้นเหตุความขัดแย้ง และ / หรือคู่กรณีในความขัดแย้ง ล้วนแต่เป็นคนใน<br />ชนชั้นปกครอง และยังไม่เคยขยายวงเป็น "ความขัดแย้งหลัก" หรือความขัดแย้งในระดับชนชั้น ที่มีประชาชนเป็น<br />คู่กรณี (แม้แต่การสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย..ในอดีต พรรคคอมมิวนิสต์ก็ยังไม่เคยมีฐานมวลชน<br />มากเพียงพอที่จะทำให้ความขัดแย้งนั้นลงสู่ระดับรากหญ้าของประเทศได้)<br /><br /><br /><span style="color: rgb(153, 0, 0);font-size:130%;" ><span>01</span><br /><span>ชนชั้นอำมาตย์สร้างความขัดแย้งรองให้เป็นความขัดแย้งหลัก</span></span><br /><br />การบริหารราชการของนายกรัฐมนตรี ดร. ทักษิณ ชินวัตร ระหว่างปี พ.ศ. 2544 - 2548<br />มิได้เป็นอุปสรรคต่อการดำรงอยู่ซึ่งอำนาจในระบอบอำมาตยาธิปไตย นโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีทุนนิยม ก็แค่<br />สร้างความมั่งคั่งให้กับการคลังของประเทศ ซึ่งชนชั้นสูงเองก็ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นด้วย และการที่<br />ประชาชนในภูมิภาคสามารถลืมตาอ้าปาก สามารถช่วยตัวเอง และมีชีวิตที่ดีขึ้นจากนโยบายเศรษฐกิจนี้ ก็มิได้<br />สั่นคลอนอำนาจของอำมาตยาธิปไตยแต่อย่างใด ..นโยบายสวัสดิการสังคม ก็มีเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน<br /><br />ขณะที่นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ดำเนินนโยบายตามที่สัญญาไว้กับประชาชน ตัวของเขาเองก็ไม่เคยท้าทาย<br />อำนาจของระบอบอำมาตยาธิปไตย ตรงกันข้าม นายกฯ ทักษิณ เป็นคนที่ประนีประนอม..และโอนอ่อนตามระบอบ<br />อำมาตยาธิปไตยมากที่สุดคนหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่มุมทางวัฒนธรรม ยกตัวอย่าง "การจัดระเบียบสังคม" ของ<br />ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รัฐมนตรีมหาดไทยขณะนั้น แม้มีเจตนาที่ดีงาม มีเนื้อหาที่ถูกต้องเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม<br />แต่ทว่า ถ้อยคำ - ทัศนะคติ - วิธีการ ล้วนเป็นกระบวนคิดอำมาตยาธิปไตย<br /><br />นั่นคือ..ยัดเยียดค่านิยมทางวัฒนธรรม - ศีลธรรมของตนเอง แล้วบังคับใช้ด้วยอำนาจ<br />ผลที่ได้เบื้องต้นคือความสงบเรียบร้อยของสังคม แต่สิ่งที่ปลูกฝังให้สังคมคือ "อำนาจ" สามารถบังคับให้ได้มาซึ่ง<br />ทุกสิ่งที่ผู้มีอำนาจต้องการ<br /><br />นอกจากนั้น นายกฯทักษิณ ยังปล่อยให้ "ผู้นิยมระบอบอำมาตยาธิปไตย" เข้าไปดำเนินนโยบาย<br />ใน<u>กระทรวงวัฒนธรรม</u>อย่างเต็มที่ เรียกได้ว่า ไม่มีการคานอำนาจจากผู้คนที่มีแนวคิดเสรีนิยมหรือแนวคิดแตกต่าง<br />อาจเป็นเพราะนายกฯทักษิณกำลังเน้นไปที่ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ<br />และเห็นว่ากระทรวงวัฒนธรรมไม่ใช่กระทรวงเศรษฐกิจ เป็นกระทรวงเล็ก..<br />จึงอาจมองข้ามไปได้ว่า "วัฒนธรรมคืออาวุธ" แม้แต่สหรัฐอเมริกาในช่วงต้นสงครามเย็น ก็ยังก่อตั้งหน่วยงานใต้ดิน<br />ทางวัฒนธรรมขึ้นมา ดำเนินการโดย CIA เพื่อใช้ศิลปะวัฒนธรรมเป็นอาวุธต่อต้านการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ -<br />ซึ่งอำมาตยาไทยบางส่วน..จะเข้าใจเรื่องราวในมิติเช่นนี้ดี..<br /><br />กระทรวงวัฒนธรรมเกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งฝ่ายอำมาตย์ก็มีส่วนร่วมร่างอยู่เกือบทั้งหมด พวกเขาจึงส่งคน<br />ของตนเองเข้าไปเต็มกระทรวงวัฒนธรรม ก่อตั้งหน่วยงานพิศดารเช่น "ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม" แค่ชื่อก็บ่งบอก<br />ถึงลัทธิอำนาจนิยม เผด็จการในทุกรูปแบบ แต่เวลานั้น..ไม่มีใครออกมาคัดค้าน ที่ค้านก็ไม่มีคนฟัง เพราะทุกคนคิด<br />ว่าเป็นเรื่องดีงาม เพราะทุกคนก็อยู่ในกรอบแนวคิดอำมาตยาธิปไตยด้วยกันทั้งนั้น - แล้วการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม<br />คืออะไร ?? มันคือการเฝ้าดูให้แน่ใจ..ว่าทุกคนจะเป็นไปในกรอบคิดอนุรักษ์นิยม ไม่ต่างจากการ"จัดระเบียบสังคม"<br />นอกจากนั้น กฎหมายเซ็นเซ่อร์ภาพยนตร์ฉบับแรกจากกระทรวงวัฒนธรรม ยังถือได้ว่าเป็นกฎหมายพิศดาร ที่เป็น<br />ต้นแบบของรัฐธรรมนูญ 2550 - ต้นแบบวิธีการใช้กฎหมายหลังรัฐประหารของ คตส. ปปช. และอีกสารพัดองค์กรอิสระ<br />นั่นคือ <u>กฎหมายที่ให้อำนาจหน่วยงานมากเกินไป ให้อำนาจตีความแบบครอบจักรวาล ทำแล้วก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่อ<br />ผลใดๆที่ตามมา นึกจะเปลี่ยนกติกาใหม่ตอนไหนก็ได้</u><br /><br />เมื่อนายกฯทักษิณ<strong>ได้รับคำสั่ง</strong>ให้จัดการปัญหายาเสพติด เขาก็รับไปปฏิบัติอย่างรวดเร็วทันใจ<br /><br />ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อย และแสดงให้เห็นว่า ดร. ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบ<br />และชนชั้นอำมาตยาธิปไตย ..เขาทำงานรับใช้ชนชั้นในระบอบนี้อย่างแข็งขัน ไม่ต่างไปจากนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ<br /><span style="font-size:130%;"><span>ข้อแตกต่าง</span></span><span style="font-size:130%;"><span>มี</span></span><span style="font-size:130%;"><span>เพียงแค่..นายกฯทักษิณทำงานรับใช้ประชาชนไปด้วยในเวลาเดียวกัน</span></span><br /><br />และประชาชนผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย หรือ ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่มีความเป็นปฏิปักษ์ต่ออำมาตยาธิปไตย<br />แถมยังเป็นประชาชนที่รู้จักเพียงคำว่า "เห็นควรด้วย" เห็นดีงามไปกับค่านิยมอำมาตยาธิปไตยเสียทุกเรื่องทุกประเด็น<br />มาถึงจุดนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่ระบอบอำมาตยาธิปไตยต้องเผชิญกับ"ความขัดแย้งหลัก"ในอนาคตอันใกล้<br /><br />ความแตกต่างของนายกฯทักษิณ คือเขาไม่รับคำสั่งจากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์<br /><br /><strong style="font-weight: bold;">นอกจากนั้น ดร.ทักษิณ ชินวัตร ยังต้องการรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน<br />การจะทำนโยบายให้ได้ผลรวดเร็ว จำเป็นต้องปฏิรูปเปลี่ยนแปลงระบบราชการหลายต่อหลายอย่าง</strong><br /><br />และโดยส่วนตัว เขาเป็นคนอ่านหนังสือมาก ..รู้มากพอๆกับนักวิชาการในมหาวิทยาลัยไทย ปัญหาหลายอย่างใน<br />ระบบการศึกษาไทย เป็นเรื่องที่คนในสายงานต่างวิพากษ์วิจารณ์กันมานานพอสมควร โดยเฉพาะ "คุณภาพการ<br />ศึกษาของมหาวิทยาลัยไทย" ที่ยังเป็นเรื่อง "น่าสงสัย" ..งานวิจัยที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน อาจารย์มหาวิทยาลัยไทย<br />จำนวนไม่น้อยที่<u>เด็กเกินไป</u> ประสบการณ์ในแขนงวิชาน้อยเกินไป ..และอีกมากมาย แต่เมื่อนายกฯทักษิณพูดถึง<br />ปัญหาเหล่านี้ในที่สาธารณะ สิ่งที่ตามมาคือความโกรธอาฆาตแค้นของนักวิชาการไทยจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะใน<br />มหาวิทยาลัยศักดินาทั้งหลาย<br /><br /><strong>ความหมั่นไส้ โกรธแค้น อิจฉาริษยาในเรื่องส่วนตัว</strong><br />บวกกับ ความกลัว ของกลุ่มอำนาจบางกลุ่ม ที่มองว่านายกฯคนนี้ กำลังเป็นที่โปรดปรานของชนชั้นสูงบางคน และ<br />อาจส่งผลให้นายกฯทักษิณก้าวขึ้นมามีอำนาจวาสนาในฐานะ "ผู้มีบารมี" แทนที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ก็เป็นได้<br />ดังนั้น ขบวนการโค่นทักษิณ จึงก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น<br /><br />มาถึงตรงนี้ก็ยังเป็นเพียง "ความขัดแย้งรอง"<br /><br />การโจมตีนายกฯทักษิณ ชินวัตรตลอดสี่ปีของการเป็นรัฐบาล..ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรเลย<br />เพราะประชาชนจำนวนมากชื่นชมผลงานของรัฐบาล ประชาชนเริ่มมีความหวังกับอนาคตของตน ดังนั้น การเลือกตั้ง<br />ในปี พ.ศ. 2548 พรรคไทยรักไทยจึงได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นอีก 127 ที่นั่ง เป็น 375 ที่นั่งจากทั้งหมด 500 ที่นั่ง เท่ากับว่า<br />พรรคไทยรักไทยครองเสียงข้างมากในรัฐสภา..แบบเบ็ดเสร็จพรรคเดียว เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศไทย<br /><br />ปรากฏการณ์เช่นนี้ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกต่อชนชั้นอำมาตย์ พวกเขาจึงเร่งระดมสรรพกำลังทุกรูปแบบ ในการโค่น<br />นายกฯทักษิณ ชนชั้นอำมาตย์สร้างแนวร่วมกับพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง โฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อมวลชนกระแสหลัก<br />ที่ผูกขาดโดยนายทุนไม่กี่กลุ่ม (เมื่อย้อนดูแหล่งที่มาของเงิน + อิทธิพล จะเห็นว่าสื่อไทย คือนายทุนไม่กี่คน) และ<br />ในครั้งนี้..ชนชั้นอำมาตย์มีแนวร่วมสื่อมวลชนเพิ่มขึ้นอีก คือ สนธิ ลิ้มทองกุล<br /><br />ความโอนอ่อนต่อชนชั้นอำมาตย์ ทำให้นายกฯทักษิณยอมยุบสภา ทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็น.. และต้องมาเผชิญ<br />หมากกลง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เช่นการไม่ยอมลงเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ การใช้กระบวนการศาลทำให้การ<br />เลือกตั้งเป็นโมฆะด้วยเหตุผลไม่เป็นสาระ แถมยังยอมเว้นวรรคทางการเมือง..โดยลาพักจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี<br />ซึ่งเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอสมควรแก่เหตุ แต่ฝ่ายอำมาตย์ยังคงรุกไล่ ตามบี้อย่างไม่จบสิ้น .. สื่อมวลชนกระแสหลัก<br />ซึ่งรับใช้กลุ่มทุนอำมาตย์ (ทุนนิยมสามานย์) ยังคงโหมกระพือให้ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น<br /><br />คะแนนเสียงเดิมของพรรคไทยรักไทย<br />โดยเฉลี่ยจะอยู่ระหว่าง 14 - 16 ล้านคะแนน บวกลบไปตามสถานการณ์การเลือกตั้ง<br /><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2548">ผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2548</a> พรรคไทยรักไทย ได้คะแนนรวม 14,077,711 คะแนน คิดเป็น 56.4% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง<br />ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนรวมคิดเป็น 16.1% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง<br />พรรคไทยรักไทยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งสัดส่วนและแบ่งเขต 375 คน จากทั้งหมด 500 ที่นั่ง ยังไม่นับรวม<br />สมาชิกวุฒิสภาที่ไม่สามารถสังกัดพรรค แต่มีใจฝักใฝ่พรรคไทยรักไทยอีกจำนวนหนึ่ง (ซึ่งอาจเกือบครึ่งวุฒิสภา)<br /><span style="font-size:130%;"><br /><span>ด้วยคะแนนนิยม หรือคะแนนเสียงมากมายเช่นนี้<br />ย่อมบ่งบอกถึงฐานมวลชนของพรรค ที่มีมากที่สุดในประเทศ</span></span> ..<br />มากที่สุดในประวัติศาสตร์ การที่คนจะเทคะแนนให้ใครมากขนาดนี้ พรรคนั้น หรือตัวบุคคลในพรรคนั้นจะต้องทำ<br />อะไรไว้เป็นที่ถูกใจประชาชนมากพอสมควร - นี่น่าจะเป็นสามัญสำนึกทั่วไป<br /><br /><span style="font-size:130%;">แต่นี่คือสิ่งที่ชนชั้นอำมาตย์คิด..</span><br />การที่พรรคไทยรักไทยได้คะแนนมากมายเช่นนี้ เพราะมีเงินซื้อเสียง (คือมองว่าประชาชนโง่เง่า และซื้อได้)<br />มองว่าการมีรัฐบาลเข้มแข็ง มีเสียงเบ็ดเสร็จในสภาเป็น "เผด็จการรัฐสภา" อาจฟังดูโง่เง่ากับตรรกะเช่นนี้ แต่อำมาตย์<br />และชนชั้นปฏิกิริยาในกรุงเทพสามารถคิดและเชื่อเช่นนี้จริงๆ ดังปรากฏอยู่ตามข้อเขียนในสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์และงาน<br />วิชาการทั่วไปที่ผลิตออกมาตลอดช่วงเวลานั้น เป็นหลักฐานยืนยันว่าพวกเขาคิดและเชื่อเช่นนั้นจริงๆ<br /><br />และเมื่อชนชั้นอำมาตย์ - ปฏิกิริยาชนชั้นกลางกรุงเทพฯ ออกมาไล่ชี้หน้าใครต่อใครว่า<br />"นายกฯทักษิณและพรรคไทยรักไทยใช้วิธีซื้อเสียง" ชนชั้นอำมาตย์อาจต้องการผล..เพียงแค่ทำลายชื่อเสียงของ<br />พรรคไทยรักไทย และอาจมองข้ามไปว่า คำพูดเช่นนั้น ได้ก่อให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์กับ "ประชาชนไม่ต่ำกว่า 14<br />ล้านคนที่เลือกพรรคไทยรักไทย" - นี่เป็นการสะสมคะแนนความโกรธแค้นเบื้องต้น<br /><br />แต่ชนชั้นอำมาตย์จะเข้าใจสิ่งนี้หรือไม่ ( ? )<br />เพราะในระบอบอำมาตยาธิปไตย นับแต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สถาปนาระบอบอำมาตยาธิปไตยยุคใหม่ขึ้นมา<br />(ด้วยการรัฐประหาร ช่วงชิงอำนาจมาจากระบอบเผด็จการทหาร fascism) การก่นด่านักการเมืองเป็นวาทกรรมของ<br />พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง วาทกรรมนี้ช่วยให้พวกเขาดูเหมือนผู้มีจิตสำนึกทางการเมือง ..ส่วนนักการเมืองในระบอบ<br />เผด็จการอำมาตยาธิปไตยนั้น "ไม่มีตัวตน" เป็นแค่ "นักเลือกตั้ง" ในเทศกาล "ปาหี่ประชาธิปไตย" และนักการเมือง<br />หรือนักเลือกตั้งเหล่านี้ มีบทบาทน้อยมากในการกำหนดทิศทางประเทศ เพราะทุกอย่างถูกกำหนดมาจากข้างบน แม้<br />แต่นายกรัฐมนตรีก็ต้องเป็นคนที่ชนชั้นสูงส่งมาให้ นายกรัฐมนตรีที่ไม่เข้าตา หรือทำงานไม่ถูกใจชนชั้นสูง..ก็จะ<br />ถูกเขี่ยออกไปในเวลารวดเร็ว นายกรัฐมนตรีที่ถูกใจชนชั้นสูง..แต่ไม่เคยมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ยังสามารถอยู่ได้<br />และได้รับการเยินยอจากสื่อมวลชนกระแสหลัก (ที่ผูกขาดโดยชนชั้นสูงไม่กี่คน)<br /><br />นายกรัฐมนตรีที่ถูกชนชั้นสูงที่เขี่ยทิ้ง แล้วยังไม่ยอมลาออก ..ก็จะถูกรัฐประหาร -<br /><span style="font-size:130%;"><br /><strong style="font-weight: normal;">แต่ทว่า "บทบาทนักเลือกตั้ง" เปลี่ยนไปหลังจาก 4 ปีของพรรคไทยรักไทย</strong></span><br />ในการเลือกตั้งครั้งแรก พรรคไทยรักไทยอาจชนะมาด้วยเหตุหลากหลายประการ คือชนชั้นกลางส่วนหนึ่งอาจเบื่อ<br />พรรคประชาธิปัตย์ อยากลองของใหม่คือทักษิณ ชินวัตร อีกส่วนหนึ่งคือการรวมก๊กเหล่าทางการเมืองเข้าไว้ใต้ชายคา<br />เดียวกัน (อันเป็นผลงานของเสนาะ เทียนทอง ในการรวมก๊กต่างๆ) - แต่นั่นก็เป็นการเลือกตั้งในครั้งแรกของพรรค ..<br /><br />ต่อเมื่อปี 2548 นโยบายหลายอย่างเป็นรูปธรรม มีความสำเร็จพึงพอใจเกิดขึ้นในหมู่ประชาชน สิ่งเหล่านี้คือ "ความหวัง"<br />ของผู้คนใต้สังคมอำมาตย์ ที่ถูกกดขี่มานาน ยกตัวอย่างเช่น ประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค หมายถึงประชาชน<br />ซื้อบริการสุขภาพ..ด้วยราคาถูกแค่ 30 บาท แต่ก็เป็น "การซื้อ" <u>ไม่ใช่</u> "การร้องขอ" และโรงพยาบาลต้องให้บริการอย่าง<br />เท่าเทียม เป็นหน้าที่..ไม่ใช่ทำด้วยเวทนา หรือเป็นบุญคุณ - นี่คือ "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ที่ประชาชนต้องการจาก<br />นโยบายเหล่านี้ และรัฐบาลไทยรักไทยก็สามารถทำให้ได้จริง ดังนั้น การเลือกตั้ง ปี 2548 จึงเป็นการแสดงประชามติของ<br />ประชาชน ที่ต้องการสานต่อความหวังและอนาคตของพวกเขา<br /><br /><span style="font-size:130%;">วาทกรรมก่นด่านักการเมืองหลังจากปี 2548 จึงไม่ใช่การด่านักการเมืองที่ไม่มีตัวตน<br />แต่เป็นการด่า..ที่เจาะจงไปยัง <u>ประชาชน</u> ผู้เลือกนักการเมืองเหล่านั้นขึ้นมา นี่คือสิ่งที่<br />ชนชั้นอำมาตย์ และปฏิกิริยาชนชั้นกลางกรุงเทพฯตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลง (อย่างฉับพลัน)<br />ของสังคมภายนอก และสิ่งเหล่านี้เริ่มสร้างรอยปริร้าวขึ้นทีละเล็กละน้อย</span><br /><br />จากนั้นชนชั้นอำมาตย์ยังสร้าง กลุ่มพันธมิตรฯขึ้นมาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย สนับสนุนด้วยบทความ<br />ข้อเขียน ศิลปะ วิชาการจากพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ เป็นการตอกย้ำว่า สิทธิพลเมืองของประชากร 16.1%<br />นั้นยิ่งใหญ่และเหนือกว่าสิทธิของประชาชน 56.4% - สิ่งเหล่านี้ช่วยขยายรอยแยกในสังคมให้รุนแรงมากขึ้น และที่<br />ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯไม่สามารถโค่นรัฐบาลลงได้ ก็ต้องใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจ เรียกว่าเป็นการ<br />หักดิบ ..และเป็นจุดแตกหักที่ไม่อาจเยียวยาได้อีกต่อไป<br /><br /><span style="font-size:130%;">ความมุ่งมั่นของชนชั้นอำมาตยาธิปไตยที่จะกำจัดนายกฯทักษิณ..<br />เป็นเพียงความขัดแย้งรอง คือความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นสูงด้วยกันเอง<br />แต่ทว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้เปลี่ยนความขัดแย้งรอง ให้กลายเป็นความหลัก</span><br />กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้น ระหว่างระบอบการปกครอง ระหว่างอำมาตยาธิปไตยกับประชาธิปไตย<br />เป็นความขัดแย้งที่ "ประชาชน" กลายมาเป็นคู่กรณีโดยตรงกับชนชั้นอำมาตย์และพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง<br /><br /><br /><span style="color: rgb(153, 0, 0);font-size:130%;" ><span>02</span><br /><span>พ.ศ. 2549 - 2550 ชนชั้นอำมาตย์ยิ่งรุกไล่ ความแตกแยกยิ่งขยายวง</span></span><br /><br />หลังจากการัฐประหาร 19 กันยายน 2549<br />ฝ่ืายอำมาตยาธิปไตยสามารถยึดครองการใช้อำนาจรัฐ และอำนาจสื่อมวลชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็ยัง<br />ไม่สามารถบริหารราชการอย่างราบรื่น เรียกกันว่า "ยึดเมืองได้แต่ปกครองไม่ได้" ชนชั้นอำมาตย์ตั้งสมมุติฐาน<br />ไว้ว่า หากกำจัด ดร.ทักษิณ ชินวัตร ไปแล้ว พวกตนก็จะกลับมามีอำนาจเต็มได้ดังเดิม เหมือนครั้งที่เคยกำจัด<br />รัฐบาลของพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ หรือเมื่อครั้งที่กวาดล้างผู้สนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์<br /><br />แต่ทว่ารัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มิได้เป็นอย่างที่ชนชั้นอำมาตย์คาดคิดไว้<br /><br />พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร เรียกปรากฏการณ์ "อารยะขัดขืน" นี้ว่า "คลื่นใต้น้ำ"<br />นั่นคือ คณะรัฐประหาร (คมช.) รู้ว่ามีการต่อต้าน มีประชาชนไม่ให้ความร่วมมือกับพวกเขาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่รู้ว่า<br />ประชาชนที่ต่อต้านพวกเขามีหน้าตาอย่างไร เป็นใคร และอยู่ที่ไหนกันบ้าง การแทรกซึมเข้าไปในองค์กรที่ต่อต้าน<br />การรัฐประหาร ก็เป็นแค่การแทรกซึมเข้าสู่องค์กรเล็กๆ และไม่สามารถโยงใยไปสู่การจับกุมองค์กรที่ใหญ่กว่านั้น ครั้น<br />จะตามจับปลาเล็กปลาน้อย ก็เกรงว่าจะทำให้ปลาใหญ่ไหวตัวทัน..แล้วหลบหนีไปเสียก่อน ครั้นเมื่อแทรกซึมนานวัน<br />ก็ยิ่งพบว่าปลาเล็กปลาน้อยมีอยู่มากมาย จะจับก็ง่ายดาย..แต่คงไม่มีวันหมด<br /><br />และที่สำคัญคือพวกเขาไม่เคยเจอปลาใหญ่ที่จินตนาการไว้เลย -<br />บทสรุปง่ายๆของชนชั้นอำมาตย์ (และพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางกรุงเทพ) จึงชี้ไปที่ ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นต้นเหตุ<br />เป็นหัวเรือใหญ่ เป็นปลาใหญ่ เป็นปัญหาของทุกอย่างในชีวิตชนชั้นอำมาตย์.. ดังนั้น การตามล่าตามล้าง ตามรังควาน<br />อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร จึงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น ยกระดับความอำมหิตมากขึ้นอย่างไม่สนใจกฎกติกา<br /><br />ซึ่งเป็นเรื่องตลกหักมุมในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะช่วงเวลานั้น ดร.ทักษิณได้ถอดใจ แพ้หมดรูปไปตั้งแต่วินาที<br />ที่เขาตัดสินใจ "ไม่ยอมตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น" ทั้งที่มีเสียงสนับสนุนจากนานาประเทศมากเพียงพอ มีประชาชนในประเทศ<br />ที่พร้อมจะลุกขึ้นสู้อีกนับล้าน มีกองทหารที่รอฟังคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ต่อสู้กับคณะรัฐประหาร - แต่การเลือกที่จะ<br />ไม่ต่อสู้ ไม่ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น .. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม .. เท่ากับว่าดร.ทักษิณประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข..<br />แน่นอนว่า ยังมีเรื่องราวความรักความผูกพันที่ ดร. ทักษิณมีต่อผู้บงการรัฐประหารครั้งนี้ แต่นั่นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง -<br /><br /><span style="font-size:130%;">จุดหักเหสำคัญ..อยู่ที่ประชาชนยังไม่ยอมแพ้</span><br /><br />ประชาชนยังไม่ยอมแพ้ และทำการต่อต้านในรูปแบบต่างๆ ด้วยสันติวิธี ปราศจากความรุนแรง (เพราะไม่มีอาวุธ)<br />เป็นการอารยะขัดขืนที่ประชาชนคิดและปฏิบัติกันเอง..โดยมิได้นัดหมาย แต่บังเอิญว่าพวกเขาคิดคล้ายๆกัน..เป็น<br />จำนวนมาก เป็นสัดส่วนเกือบทั้งหมดของภาคเหนือ ภาคอีสาน และอีกเกือบครึ่งหนึ่งของประกรในกรุงเทพ จึงเกิดสื่งที่<br />พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินเรียกว่า "คลื่นใต้น้ำ"<br /><br />ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้นั้น ประชาชนต้องมีสำนึกทางการเมือง<br />ประชาชนต้องรู้ว่าตนเองต้องการอะไร และกำลังได้อะไรที่ตนเองไม่ต้องการ<br /><br />นี่คือสิ่งที่ชนชั้นในระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่เข้าใจ ชนชั้นอำมาตยาธิปไตยมองประชาชนเป็นไพร่ทาส ทั้งๆที่ระบบไพร่<br />ถูกยกเลิกไปกว่าร้อยปี..ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว แต่เมื่อชนชั้นอำมาตยาธิปไตยมองคนเป็นไพร่ พวกเขาจึงไม่เคยคิด<br />ว่า ประชาชนจะสามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยตนเอง ..และเป็นเพราะชนชั้นอำมาตย์มองประชาชนเป็นไพร่ทาสในลักษณะนี้<br />ชนชั้นอำมาตย์จึงไม่เข้าใจว่า "นโยบายประชานิยม" ของรัฐบาลทักษิณจะนำไปสู่อะไร ..หรือประชาชนเหล่านี้กำลังต่อสู้<br />เพื่ออะไร (ทั้งที่ภายหลังก็รู้ว่าสู้กับใคร) การประเมินสถานการณ์ของชนชั้นอำมาตย์จึงผิดพลาดมาตลอดปี 2549 - 2550<br /><br />มักจะมีคำกล่าวในทำนองว่า..<br />"ดูเหมือน สิทธิพลเมือง ในความคิดของชนชั้นอำมาตย์ จะครอบคลุมแค่พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพ และ/หรือ<br />ชนชั้นกลางในต่างจังหวัดที่ปรารถนาจะเป็นเช่นคนกรุงเทพ แม้แต่ชนชั้นต่ำที่ภักดีต่อระบอบอำมาตยาธิปไตยก็ยังไม่ได้<br />รับสิทธิพลเมืองทางสังคมเช่นนี้"<br /><br />ดังนั้น ชนชั้นอำมาตย์ยังมองความขัดแย้งนี้เป็นความขัดแย้งรอง<br />คือเป็นเรื่องระหว่างกลุ่มอำนาจของพวกตน..ต่อสู้กับกลุ่มอำนาจของทักษิณ ชินวัตร<br /><strong>ชนช้นอำมาตย์จึงพยายามมองหา "ท่อน้ำเลี้ยง" มองหา "องค์กรหลัก" หรือ ปลาตัวใหญ่ ..</strong><br />ด้วยคิดว่า ถ้ากำจัดสิ่งที่ว่าไปได้ ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์..ด้วยดี แต่ชนชั้นอำมาตย์ก็ไม่เคยค้นพบและทำลาย<br />สิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้นได้เลย นั่นเป็นเพราะ ตั้งแต่ กันยายน 2549 มาจนถึงมิถุนายน 2550 ไม่เคยมีปลาตัวใหญ่<br /><br />ความจริงแล้ว "คลื่นใต้น้ำ" หรืออารยะขัดขืนด้วยสันติวิธี..ของประชาชนที่อยู่กระจัดกระจายทั่วประเทศนั้น ย่อม<br />ไม่สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนอะไรแก่คณะรัฐประหารได้เลย ไม่สามารถเป็นพลังปะทะกับระบอบอำมาตยาธิปไตยได้<br />แม้แต่น้อยนิด ยิ่งไปกว่านั้น ประชาชนส่วนใหญ่ในปี 2549 - 2551 ยังไม่รู้จักคำว่า อำมาตยาธิปไตย เสียด้วยซ้ำ (!!)<br />ทั้งๆที่ถูกครอบงำด้วยกระบวนคิดอำมาตยาธิปไตยกันมาตลอดชีวิต..<br /><br />แต่เป็นเพราะ<br />อาการฟาดงวงฟาดงาอาละวาดของชนชั้นอำมาตยาธิปไตยนี่เอง.. ที่สร้างขบวนการต่อต้านขึ้นมา<br />และแน่นอน ชนชั้นอำมาตย์ยังมองว่า "ทักษิณสู้" จึงยิ่งรุกไล่ ..รุกไล่คนที่ถอดใจยอมแพ้ไปนานแล้ว<br />แต่กลับปล่อยให้ "ประชาาชน..ที่ยังไม่ยอมแพ้" มีโอกาสขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ<br /><br />ชนชั้นอำมาตย์มองหาปลาใหญ่ จึงมองไปที่"พรรคไทยรักไทย" นี่ก็เป็นข้อผิดพลาดของชนชั้นอำมาตย์<br />เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงทีเดียว เพราะพรรคไทยรักไทย มิได้มีพลังอะไรหลงเหลือ ทั้งนักการเมืองหลายต่อ<br />หลายกลุ่มในพรรคก็เป็นพวกทรยศ เป็นไส้ศึกให้อำมาตย์ตั้งแต่ต้น .. หัวหน้าพรรคคนเก่าคือทักษิณ ชินวัตรก็ได้<br />ถอดใจลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคไปตั้งแต่ต้นเช่นกัน ..จาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคก็ทำได้<br />เพียงแค่ท่าทีและความมุ่งมั่นที่จะรักษาสภาพของพรรคเอาไว้เท่านั้น<br /><br />พรรคไทยรักไทยจึงไม่ใช่ขุมกำลังที่เป็นอันตรายกับคณะรัฐประหาร หรือระบอบอำมาตยาธิปไตยในขณะนั้น<br /><br />อันที่จริง การก่อรัฐประหารคือการปล้น<br />ดังนั้น หากคณะรัฐประหารจะประกาศยุบพรรคการเมืองทุกพรรคในประเทศ..ตั้งแต่คืนที่ปล้นสำเร็จก็สามารถทำได้<br />และโจรรัฐประหารคณะอื่นๆในอดีต ก็เคยทำเช่นนี้มาแล้ว<br /><br />แต่ทว่าชนชั้นอำมาตย์ในปี 2549 ปนเปื้อนไปด้วย "พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางกรุงเทพ" ที่เพิ่งเข้าสู่ระบอบอำมาตย์<br />ได้ไม่นาน ชนชั้นอำมาตย์ใน พ.ศ. นี้จึงพกพา "จริตคนกรุงเทพ" หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "ตอแหล - ดัดจริต"<br />และความตอแหล ดัดจริตนี้เอง ผู้บงการคณะรัฐประหารจึงละเว้นการยุบพรรคการเมืองต่างๆไว้ เพื่อนำขึ้นเวทีเชือด<br />ด้วยคณะตุลาการ เพื่อให้ดูเหมือนเป็นการกระทำที่ถูกต้องชอบธรรม คือพรรคไทยรักไทยจะถูกยุบด้วยกระบวนการ<br />ทางกฎหมาย..มิใช่โดยคณะรัฐประหาร ซึ่งเป็นตรรกะที่ซับซ้อนอย่างไม่มีสาระเท่าใดนัก เป็นการเล่นปาหี่กันเองใน<br />หมู่คณะ เป็นโฆษณาชวนเชื่อให้กับกลุ่มประชากรของตนเอง..ที่มีความเชื่อเช่นนั้นอยู่เดิมแล้ว<br /><br /><span style="font-size:130%;">การนำคดียุบพรรคไทยรักไทย และ พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นสู่กระบวนพิจารณาในปี 255</span><span style="font-size:130%;">0</span><br />แทนที่จะเป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่การรัฐประหาร กลับส่งผลให้ความขัดแย้งขยายวงกว้างยิ่งขึ้น สาเหตุคือ..<br />เมื่อมีการออกกฎหมายใหม่ แล้วนำมาใช้ย้อนหลัง..เพื่อให้เป็นโทษแก่ผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งผิดหลักกฎหมายในโลกสากล<br />และผิดหลักกฎหมายไทย แต่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ก็บอกว่าทำได้ (ตรงนี้ ควรอ่าน<br />เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้ออ้างของตุลาการรัฐธรรมนูญ เรื่องการพิจารณาคดีแพ่ง คดีอาญา ซึ่งจะไม่นำมาขยายความ ณ ที่นี้<br />เนื่องจากมีรายละเอียดมาก และเป็นข้ออ้างที่สับสน ฟังไม่ขึ้น และไม่มีใครใช้ข้ออ้างพิศดารเช่นนี้มาก่อน)<br /><br />ในคดีเดียวกัน พยาน ซึ่งให้การขัดแย้ง..กลับไปกลับมา ย่อมไม่สามารถรับฟังได้ ไม่สามารถเชื่อถือได้<br />แต่ในกรณีคดียุบพรรคไทยรักไทย พยานโจทก์กลับคำให้การ และยังร้องว่าตนถูกบังคับให้กล่าวโทษจำเลย ซึ่งโดย<br />ทั่วไปแล้วศาลต้องยกฟ้องทันที แต่กรณีนี้ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร เลือกที่จะเชื่อ<br />เฉพาะข้อความที่ให้ร้ายแก่พรรคไทยรักไทย<br /><br />หลักฐานในคดียุบพรรคไทยรักไทย เป็นภาพถ่ายบางส่วนจากวิดีโอวงจรปิด ซึ่งมิได้บอกเล่าเรื่องราวใดๆ และเป็น<br />เพียงการ "คาดเดา" ของผู้กล่าวหาเท่านั้น ว่าคนนั้นมาพบกับคนนี้ด้วยสาเหตุนี้ (???) ซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นเพียงภาพของ<br />คนที่เดินผ่านกันเท่านั้น แต่ทว่า คณะตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ก็เลือกที่จะเชื่อหลักฐานแบบนี้<br /><br />ขณะเดียวกัน การพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารชุด<br />เดียวกันนี้ ..กลับมีอีกมาตราฐานหนึ่ง - ซึ่งประชาชนจำนวนมาก ทั้งที่รู้กฎหมายและไม่รู้กฎหมาย ต่างมองว่าเป็นสิ่ง<br />ที่ "ไม่ยุติธรรม" มองเห็นว่าเป็น "การใช้อำนาจกลั่นแกล้งฝ่ายหนึ่ง แล้วเอื้อประโยชน์ให้อีกฝ่ายหนึ่ง" ..<br /><br />การใช้อำนาจกลั่นแกล้งอย่างไร้ความยุติธรรมนั้น เป็นเสมือนเชื้อเพลิงที่จุดอารมณ์โกรธแค้นให้ผู้คนในทุกวัฒนธรรม<br />ได้อย่างร้ายกาจ รุนแรง และคาดเดาไม่ได้ ..แต่ชนชั้นอำมาตย์ และปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพ ก็เลือกที่จะเล่น<br />กับเชื้อเพลิงอันตรายเช่นนี้..<br /><br /><strong style="font-weight: bold;">พรรคไทยรักไทยถูกตุลาการคณะรัฐประหารยุบเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550</strong><br />วันนั้นไม่มีการจลาจลวุ่นวายใดๆเกิดขึ้น ผู้คนที่ไปให้กำลังใจพรรคไทยรักไทยก็ไปกันอย่างสงบ<br />กลุ่มต่อต้านรัฐประหารหลายๆกลุ่มที่ยึดครองสนามหลวงอยู่ขณะนั้น ก็มิได้เคลื่อนไหวก่อเหตุใดๆ กลุ่ม PTV ก็มิได้<br />เคลื่อนไหวอะไร ซ้ำยังย้ำเตือนให้ประชาชนอยู่ในความสงบ.. อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์เหล่านี้..คือลางบอกถึง<br />ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์<br /><br />ความสงบในวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 มิได้หมายถึงการยอมจำนน<br />แต่ความสงบของคืนวันนั้น คือพลังที่คาดเดาไม่ได้ของมวลมหาประชาชนที่สะสมและเพิ่มทวีคูณ<br /><br />ในช่วงเวลาสั้นๆ ชนชั้นอำมาตย์อาจวางใจว่าการโค่นกลุ่มอำนาจของ ดร.ทักษิณ ชินวัตรน่าจะจบลงได้ เพราะพรรค<br />ไทยรักไทยถูกยุบแล้ว ถูกตัดสิทธิทางการเมืองรวดเดียว 111 คน แล้วยังมีคดีประหลาดๆที่ คตส. เตรียมปั้นแต่งให้<br />เป็นโทษแก่นายกฯทักษิณอีกเป็นจำนวนมาก (แต่ที่สุดก็สามารถส่งฟ้องได้แค่คดีเดียว) ส่วนการชุมนุมต่อต้านของ<br />ประชาชนนั้น ชนชั้นอำมาตย์มองว่าเป็นแค่ "ม๊อบรับจ้าง" น่าจะหมดแรงไปในเวลาไม่นาน เนื่องจากชนชั้นอำมาตย์<br />ได้กำจัดปลาใหญ่ กำจัดท่อนน้ำเลี้ยงไปแล้ว ดังนั้น เหล่าชนชั้นสูงจึงอาจจะคิดว่า ร่างรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจของ<br />ชนชั้นตนเองขึ้นมา จัดปาหี่เลือกตั้ง..เพื่อให้ดูคล้ายสังคมประชาธิปไตย จากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็จะขึ้นเป็นรัฐบาล<br /><br />แน่นอนว่า..ทุกอย่างที่กล่าวมาไม่เคยเกิดขึ้นได้จริง<br /><br />การใช้อำนาจกลั่นแกล้ง ความอยุติธรรม สองมาตราฐาน ก่อให้เกิดความไม่พอใจขึ้นอย่างมากมายในหมู่ประชาชน<br />ผู้คนที่เคยทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่างออกมาร่วมชุมนุม แสดงความรู้สึกต่อต้านมากขึ้น<br /><br /><br /><span style="font-size:130%;">"ความขัดแย้งรอง" ได้กลายเป็น "ความขัดแย้งหลัก" อย่างสมบูรณ์</span><br />และเพิ่มอัตราความเข้มข้น ร้าวลึกมากขึ้นทุกขณะ ยิ่งสื่อมวลชนกระแสหลักพยายามบิดเบือนข่าว โกหกตอแหลมาก<br />ขึ้นเท่าใด ความโกรธแค้นและจำนวนผู้คนที่เข้ามาร่วมกับ นปก. ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งชนชั้นอำมาตย์รุกไล่ดร.ทักษิณ<br />มากแค่ไหน จำนวนผู้คนในภูมิภาคยิ่งแสดงความสงสารเห็นใจดร.ทักษิณเป็นเท่าทวีคูณ -<br /><br />มาถึงจุดนี้ คำว่า "อำมาตยาธิปไตย" กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนรู้จักกันมากขึ้น<br /><br />การชุมนุมทางการเมืองนั้น ไม่ใช่การนั่งฟังบรรยายในห้องเรียน การปราศรัยบนเวทีเป็นแค่กิจกรรมหนึ่ง เป็นเพียงยอด<br />ของภูเขาน้ำแข็ง กิจกรรมความเคลื่อนไหวแท้จริงอยู่บนสนาม อยู่ระหว่างประชาชนผู้มาร่วมชุมนุมด้วยกันเอง พวกเขา<br />แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร สร้างเครือข่ายของตนเอง และขับเคลื่อนเป็นกลุ่มย่อยๆตามทางถนัด<br />การชุมนุมต่อเนื่องเป็นเวลากว่าสองเดือนครึ่งของ นปก. ได้หล่อหลอมความคิดประชาชนจำนวนมาก<br /><br />ยิ่งไปกว่านั้น การชุมนุมของ นปก. เป็นการชุมนุมที่ถูกขัดขวางจากภาครัฐในทุกวิถีทาง<br />ถูกบิดเบือนเรื่องราวจากสื่อมวลชนกระแสหลัก ถูกเยาะเย้ยถากถางจากพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ<br />สิ่งเหล่านี้ยิ่งสร้างความสัมพันธ์แน่นแฟ้นในกลุ่มประชาชน พวกเขาสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย<br />ในช่วงเวลาครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา พวกเขาสามารถมองเห็นสิ่งที่ชนชั้นอำมาตย์กระทำกับผู้คน .. สิ่งเหล่านี้ ผู้คนส่วนใหญ่<br />ไม่เคยสนใจมาก่อน หรือมองเห็นแต่ไม่เคยฉุกคิด ..กระทั่งเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาถึงยุบพรรคไทยรักไทย<br />ปรากฏการณ์ที่ทำให้คนตาสว่างขึ้นมากมาย<br /><br />เพียงแค่เดือนแรกของการชุมนุมในนาม นปก. (มิถุนายน 2550) เนื้อหาของการต่อต้านรัฐประหารก็เริ่มเปลี่ยนไป<br />เริ่มมีพูดถึงการ "โค่นระบอบอำมาตยาธิปไตย" กันมากขึ้น นี่คือความคิดของประชาชนผู้มาร่วมชุมนุมที่ท้องสนามหลวง<br />และยิ่งแนวคิดโค่นอำมาตยาธิปไตยแพร่กระจายออกไป แบบปากต่อปาก จำนวนชนชั้นกลางในกรุงเทพก็ยิ่งเข้ามาร่วม<br />มากขึ้น - เริ่มเป็นขบวนการประชาชนที่ขยายวงออกไป<br /><br />เริ่มมีการตั้งคำถามว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษนั้น ประเทศไทยเคยมีประชาธิปไตยที่แท้จริงบ้างหรือไม่<br />เริ่มมีการพูดถึงการสถาปนา รัฐประชาธิปไตยที่แท้จริง และควรมีรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน<br />นี่คือแนวความคิดที่ขยายวงกันเองในหมู่ประชาชน ผู้มาร่วมชุมนุมที่สนามหลวงในช่วงกลางปี 2550<br /><br />"ความขัดแย้งหลัก" เกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพ ทั้งในภูมิภาค เหนือ อีสาน<br />ในขณะที่ชนชั้นอำมาตย์ยังมองว่านี่เป็นแค่"ความขัดแย้งรอง" ที่พวกเขายังคงจำเป็นต้องรุกไล่ดร.ทักษิณ ชินวัตร<br />ชนชั้นอำมาตย์ยังมองว่ามวลชน นปก. เป็นแค่"ม๊อบรับจ้าง"ของ ดร.ทักษิณ และน่าจะอ่อนแรงไปเอง ..<br /><span style="font-size:130%;">การที่ชนชั้นอำมาตย์มีวิธีคิดเช่นนี้ กลับกลายผลดีต่อมวลชนฝ่ายประชาธิปไตย<br />เพราะทำให้มวลชนมีเวลาหล่อหลอมความคิดให้กันและกัน มีเวลาสะสมกำลังทรัพย์<br />กำลังคน และอื่นๆ ..ในขณะที่ชนชั้นอำมาตย์ยังคงวิ่งไล่เงาของทักษิณ ชินวัตร</span><br /><br /><br /><span style="color: rgb(153, 0, 0);font-size:130%;" >03<br />การเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 ภายใต้รัฐธรรมนูญอำมาตยาธิปไตย</span><br /><br />แม้ว่าชนชั้นอำมาตย์จะระดมสรรพกำลังทุกชนิดที่มี จนสามารถทำให้ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ผ่านการประชามติ<br />แต่ก็เป็นชัยชนะที่น่าสงสัย ซ้ำยังแสดงให้เห็นภาพของความขัดแย้งที่เด่นชัดในสังคม เป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่านี่คือ<br />"ความขัดแย้งหลัก" ไม่ใช่"ความขัดแย้งรอง" ในภาคเหนือ ภาคอีสาน ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนี้ด้วยเปอร์เซ็นต์ที่สูงลิ่ว<br />ขณะที่ภาคใต้ - กรุงเทพฯแสดง"ความเห็นชอบต่อระบอบอำมาตยาธิปไตย"อย่างสูงสุดเช่นเดียวกัน<br /><br />การลงประชามติ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ชนชั้นอำมาตย์ได้ใช้สื่อมวลชนกระแสหลักทุกชนิด ทั้งโทรทัศน์ วิทยุและ<br />หนังสือพิมพ์ รวมไปถึงนิตยสารที่ไม่เกี่ยวข้องการเมือง ในการโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนตอบรับร่างรัฐธรรมนูญของ<br />อำมาตยาธิปไตย มีการใช้สื่อมวลชนกระแสรอง เช่นวิทยุชุมชน อินเตอร์เนต ใบปลิวแผ่นพับ เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันนี้<br />มีการใช้กลไกของรัฐทุกหน่วยงาน ใช้กำลังพลของกองทัพ และสารพัดวิธีการ<br /><br />อีกทั้งยังกีดกันไม่ให้ "ผู้คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ 50" ได้มีโอกาสแสดงความเห็นของตน<br />ในภาคเหนือ อีสาน..ทุกพื้นที่ที่ นปก. จะเข้าไปตั้งเวทีเพื่อแสดงข้อมูล - ความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญอำมาตย์ฉบับนี้<br />ทุกพื้นที่จะมีการขัดขวางจากหน่วยงานราชการอย่างเต็มกำลัง มีการใช้กำลังพลของกองทัพไปข่มขู่คุกคามประชาชน การ<br />จัดเวลาให้"ผู้คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ 50"ได้มีโอกาสชี้แจงมุมมองของตนตามรายการโทรทัศน์ ก็เป็นไปอย่างน้อยนิด เป็น<br />แค่ไม้ประดับไม่กี่นาที เพียงเพื่อให้ดูเหมือนว่า..อำมาตย์ได้เปิดโอกาสให้แล้ว..ก็เท่านั้น<br /><br /><span style="font-size:130%;"><span>ระหว่างประชามติ หลายจังหวัดในภาคเหนือ ภาคอีสานยังคงอยู่ภายใต้กฎอัยการศึ</span><span style="font-weight: bold;">ก</span> </span><br /><br />แต่แล้ว..ผลประชามติก็ออกมาตามที่เห็น<br /><br />จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งขณะนั้น 45,092,955 คน -<br />ออกมาใช้สิทธิ์เพียง 25,978,954 คน หรือคิดเป็น 57.61%<br />และในจำนวนนี้ มีผู้เห็นชอบจำนวน 14,727,306 คน หรือ 57.81%<br />ขณะที่มีผู้ไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถึง 10,747,441 คน หรือ 42.19%<br />และยังมีบัตรเสียถึง 504,207 ใบ <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%8D_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2550">(ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย)</a><br /><br />เมื่อร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ผ่านประชามติ (อย่างเฉียดฉิว) และจะต้องประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญในเวลาอันใกล้<br />เท่ากับว่าชนชั้นอำมาตย์ได้ผูกมัดตนเองเข้าสู่ "การเลือกตั้ง" ในเร็ววันเช่นกัน เมื่อดูคะแนนเสียงประชามติในพื้นที่<br />ต่างๆแล้ว ฝ่ายประชาธิปไตยก็มีความมั่นใจมากขึ้น เพราะหลังจากการรัฐประหาร การยุบพรรคไทยรักไทย การ<br />รุกไล่ดร.ทักษิณ ชินวัตรอย่างรุนแรง การบิดเบือนข่าวให้ร้ายแก่ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย การโฆษณาชวนเชื่อ<br />ที่ใช้สื่อมวลชนทุกแขนง การปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร ..ทั้งหมดนี้ยังไม่สามารถสั่นคลอนฐานเสียงของพรรคไทยรักไทย<br />ได้มากนัก โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคอีสาน -<br /><br />พรรคไทยรักไทย..ซึ่งแปลงร่างมาสู่ "พรรคพลังประชาชน" จึงมั่นใจว่าสามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้แน่นอน<br />หรือถ้าจะแพ้ (ในกรณีที่ถูกโกงอย่างถล่มทลาย) ก็คงไม่แพ้มากมาย น่าจะเป็นพรรคที่มีคะแนนเป็นอันดับสอง<br /><br />คืนวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ไม่กี่ชั่วโมงหลังปิดหีบลงคะแนน<br />นปก. ประกาศยุติการชุมนุมที่ท้องสนามหลวง เพื่อเตรียมปรับองค์กรสนับสนุนการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น และยกระดับ<br />การต่อสู้ทางการเมืองไปสู่ระดับชาติ มีแผนการขยายสาขาไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ และพวกเขามั่นใจว่าการเลือกตั้ง<br />มิใช่จุดจบของปัญหา แต่เป็นการต่อสู้ยกใหม่ ถึงแม้ว่าชนะการเลือกตั้ง..ได้เป็นรัฐบาล ปัญหาก็ยังไม่อาจยุติลงได้<br />นปก. จึงต้องดำรงอยู่เพื่อรับกับสถานการณ์ที่มิอาจคาดเดาในอนาคต ขณะนั้น พวกเขามักใช้คำว่า ต่อต้านเผด็จการ<br />ต่อต่านรัฐประหารทุกรูปแบบ<br /><br />แต่ในหมู่ประชาชนหลายต่อหลายกลุ่มบนท้องสนามหลวง จะพูดถึงการโค่นระบอบอำมาตยาธิปไตยให้สิ้นซาก<br /><br />คืนวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ..สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หนึ่งในแกนนำ นปก.รุ่นสอง ประกาศสลายการชุมนุม<br />ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน ไปเตรียมเครือข่ายเพื่อนพ้องของตน เตรียมช่องทางสื่อสาร และเตรียมความพร้อมใน<br />การต่อสู้ยกต่อไป ..ผู้ชุมนุม นปก. จำนวนมากหันมาเป็นผู้สนับสนุน"พรรคพลังประชาชน"<br /><br />"แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ" (นปก.)<br />United Front of Democracy Against Dictatorship (UDD)<br />เปลี่ยนชื่อมาเป็น "แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ" (นปช.)<br />National United Front of Democracy Against Dictatorship (NUDD)<br /><br />ในช่วงหลังประชามติ และ ช่วงก่อนการเลือกตั้ง 2550 นปก. / นปช. ลดบทบาทในที่สาธารณะ แกนนำบางส่วน<br />ถูกส่งเข้าสังกัดพรรคพลังประชาชน เพื่อเป็นตัวแทนเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ..ประชาชนผู้ร่วมชุมนุม เปลี่ยนบทบาท<br />กลายเป็นสมาชิกพรรค และเป็นสมาชิกพรรคที่มีปากเสียงได้ตลอดเวลาเสียด้วย ส่วนหนึ่ง คงเป็นผลจากการที่<br />พวกเขาเคยต่อสู้ภาคสนามติดต่อ - ร่วมกันมาเป็นเวลาหลายเดือน เคยแม้กระทั่งเจ็บตัวร่วมกัน (จากการที่ตำรวจ<br />สลายการชุมนุมหน้าบ้านสี่เสา เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2550) ประสบการณ์เหล่านี้ น่าจะดึงดูดผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน<br /><br />เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง<br />กลุ่ม สส. กรุงเทพ (ส่วนมากคือกลุ่มของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์) ที่เคยยิ่งใหญ่ในพรรคไทยรักไทยก็กลับมา<br />แสดงบาบาทสำคัญอีกครั้งใน"พรรคพลังประชาชน" ซึ่งเป็นบ้านหลังใหม่ อย่างไรก็ตาม การเมืองหลังจากนี้ แตกต่าง<br />ไปจากเดิม.. เมื่อกลุ่ม สส.กรุงเทพ(เก่า)เหล่านี้ แสดงอาการตั้งแง่ รังเกียจตัวแทนของ นปก. ที่ถูกส่งเข้าไปในพรรค<br />ทันใดนั้น ก็เกิดเสียงก่นด่าจากประชาชน ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนพรรค เป็นสมาชิกพรรค และเป็น นปก. ในกรุงเทพ..<br /><br />สมาชิกพรรค..หรือมวลชน นปก. มองกลุ่มสส.เก่ากรุงเทพเหล่านี้ว่า ในยามถูกรัฐประหารก็หดหัว ในยามประชาชน<br />ออกมาต้านรัฐประหารที่สนามหลวง สส.เหล่านี้ก็ไม่เคยมาร่วม นอกจากไม่ร่วมแล้วยังออกแนวคัดค้าน หาทางสมสู่<br />กับชนชั้นอำมาตย์อยู่เนืองๆ ซ้ำร้าย..เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง พวกขี้ขลาดตาขาวเหล่านี้ยังออกมาพูด<br />ทำนองว่า ไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับ นปก. เพราะมีภาพพจน์รุนแรง ไม่ต้องใจคนกรุงเทพฯ - แน่นอนว่า นี่คือแนวคิด<br />ตอแหลดัดจริตของพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง ที่พูดตามสื่อกระแสหลัก..ซึ่งรับใช้อำมาตยาธิปไตย และเมื่อเป็นเช่นนี้<br />กลุ่ม สส.เก่ากรุงเทพเหล่านี้ จึงเป็นคนในระบอบอำมาตยาธิปไตยมากกว่า ดังนั้น จึงไม่ควรมีสิทธิลงเลือกตั้งในนาม<br />พรรคพลังประชาชน ควรไปอยู่พรรคประชาธิปัตย์ - นี่เป็นความคิดหนึ่งของมวลชนผู้สนับสนุนพรรคพลังประชาชน<br />แน่นอนว่า สมาชิกพรรคพลังประชาชนไม่ได้เป็น นปก. ทั้งหมด แต่ นปก. ก็มีอยู่มากในพรรค<br /><br />เป็นปรากฎการณ์ที่..ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในพรรคการเมืองของตน เป็นการเมืองภาคประชาชนจริงๆก็ว่าได้<br />และการเมืองภาคประชาชนนั้น การประนีประนอม หรือถนอมน้ำใจ..เป็นเรื่องยาก ประชาชนด่าด้วยคำสั้นๆ รุนแรง<br />และด่าซ้ำๆ เรียงหน้าผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาไม่รู้จบสิ้น เวลาสองเดือนครึ่ง..บนท้องสนามหลวง ได้เปลี่ยนวัฒนธรรม<br />การเมืองของไทยไปพอสมควรทีเดียว<br /><br /><span style="font-size:130%;">ทางฝ่ายชนชั้นอำมาตย์ก็เตรียมการรับศึกเลือกตั้งไว้หลายซับหลายซ้อ</span><span style="font-weight: bold;font-size:130%;" >น</span><br />ชนชั้นอำมาตย์มี"พรรคประชาธิปัตย์"เป็นพรรคการเมืองหลัก แล้วยังสร้าง"พรรคเพื่อแผ่นดิน"เป็นพรรคสำรอง ใช้<br />ในการดึงคะแนนเสียงจากภาคอีสาน ซึ่งเป็นฐานเดิมของพรรคไทยรักไทย ในพรรคเพื่อแผ่นดินนี้ ดำเนินการโดย<br />คนเก่าแก่จากพรรคไทยรักไทย ที่เคยเป็นไส้ศึกให้อำมาตย์..ในการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หรือคนที่ย้ายขั้ว<br />ไปอยู่กับอำมาตย์หลังรัฐประหาร เรียกว่าเป็นแหล่งรวมคนที่ทรยศหักหลัง ดร. ทักษิณ ชินวัตร<br /><br />ชนชั้นอำมาตย์มีรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ให้ตนเองอย่างเต็มที่<br />ชนชั้นอำมาตย์มีองค์การอิสระ ที่ตั้งโดยคณะรัฐประหาร คมช. (ซึ่งอำมาตย์ก็บงการ คมช.อีกทีหนึ่ง)<br />ชนชั้นอำมาตย์มีกองทัพไทยเป็นกำลังสนับสนุน..ในการเลือกตั้ง ดังจะเห็นได้จากเอกสารลับ คมช. ที่หลุดออกมาสู่<br />สาธารณะ เช่น <u>หนังสือเลขที่ คมช.0003.5/480 ลงวันที่ 14 กันยายน 2550</u> ซึ่งมีคำสั่งให้ทำลายพรรคพลังประชาชน<br />ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะด้วยการใส่ร้ายป้ายสี สร้างข่าวลือ และสารพัดความชั่วร้าย<br /><br />นอกจากนั้นยังมี <u>หนังสือเลขที่ คมช.0002 /1492 ลงวันที่ 26 กันยายน 2550</u><br />เกี่ยวกับการลงคะแนนเลือกตั้ง หนังสือดังกล่าวได้ชี้แจงถึงการลงประชามติที่ผ่านมา เหตุที่พ่ายแพ้ หรือชนะบางพื้นที่<br />ในหนังสือได้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่าง ทหาร - กลุ่มพันธมิตรฯ - ชนชั้นอำมาตย์ ตอนหนึ่งในเอกสารระบุ<br /><span style="font-size:130%;">"๒.๒.๒ พื้นที่ ทภ.๓ ปัจจัยที่สนับสนุนที่สำคัญต่อการเห็นชอบ ได้แก่<br />การรณรงค์ของวิทยากร มท. กลุ่มพันธมิตร และการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง"</span><br /><br />แล้วยังมี เอกสาร "ลับมาก" ออกจากส่วนราชการ ยก.ทบ. (กองนโยบายและแผน)<br />เลขที่หนังสือ กห0403/512 วันที่ 26 กันยายน 2550 เรื่อง สรุปการบรรยายพิเศษและการประชุมมอบโอวาทของ<br />ผบ.ทบ. ให้กับ ผบ.หน่วยระดับกองพันขึ้นไป โดย พล.ต.อักษรา เกิดผล จก.ยก.ทบ. ทำถึง ผบ.ทบ. เพื่อขออนุญาต<br />นำคำบรรยายของผบ.ทบ. แจกจ่ายแก่นขต.ทบ. เพื่อนำไปยึดถือเป็นกรอบในการดำเนินการ และนำไปสู่การปฏิบัติ<br />ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน - เนื้อหาออกแนวล้างสมอง ใส่ร้ายป้ายสี และนำสถาบันกษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้อง<br /><br /><span style="font-size:130%;">ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2550<br />คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ (กบว.)<br />สั่งห้ามมิให้มีการเผยแพร่โฆษณาพรรคพลังประชาชนทางโทรทัศน์<br />ขณะที่ยินยอมให้พรรคการเมืองอื่นๆกระทำได้ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์</span><br /><br />วันที่ 22 ตุลาคม 2550 นพ.ชาญชัย ศิลปอวยชัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ ถูกคนร้ายลอบสังหาร<br />หลังจากที่เขาหันมาสนับสนุนพรรคพลังประชาชน และมีแนวโน้มว่าอาจจะได้รับการเลือกตั้ง เนื่องจากมีเสียง<br />สนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมาก<br /><br />ระหว่างการเลือกตั้งล่วงหน้า 16 ธันวาคม 2550<br />มีการเผาบัตรเลือกตั้ง 2,500 ใบ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่ง กกต.อธิบายว่าเจ้าหน้าที่"เข้าใจผิด" (???)<br />โดยบอกว่าบัตร 2,500 ใบที่ถูกเผานั้นเป็นบัตรเก่าที่ใช้ในการลงประชามติ (???)<br /><br />การเลือกตั้งครั้งนี้ มีผู้ใช้สิทธิลงคะแนนล่วงหน้าเป็นจำนวนมากผิดปกติ วิธีการเก็บหีบบัตรเลือกตั้ง วิธีการนับ<br />คะแนน ก็เป็นขั้นตอนที่ประชาชนไม่สามารถเข้าไปสอดส่องดูแลได้ ผิดจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาในอดีต..<br /><br /><span style="font-size:130%;">ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550</span><br />การระดมสรรพกำลังอย่างมโหฬารของชนชั้นอำมาตย์..มิได้สูญเปล่า<br />พวกเขาสามารถทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกมาถึง 165 ที่นั่ง (แบ่งเขต 132 คน สัดส่วน 33 คน)<br />ขณะที่พรรคสำรองอย่าง พรรคเพื่อแผ่นดิน ชนชั้นอำมาตย์สามารถพาเข้ามาได้เพียง 24 ที่นั่งเท่านั้น<br /><br />อย่างไรก็ตาม..<br />ปัญหาใหญ่ของชนชั้นอำมาตย์ อยู่ที่พรรคพลังประชาชน ที่ได้มาทั้งหมด 233 ที่นั้ง (แบ่งเขต 199 สัดส่วน 34)<br />กลายเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภา แม้จะไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้<br />แต่ทว่าตัวเลขก้ำกึ่งเช่นนี้ ทำให้พรรคอื่นๆ..ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เช่นกัน หากไม่มีพรรคพลังประชาชน<br />เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล<br /><br />เรื่องหักมุมที่น่าขบขัน พรรคการเมืองสำรองของชนชั้นอำมาตย์ เช่น พรรคเพื่อแผ่นดิน หรือพรรคแยกย่อยเช่น<br />พรรคมัชฌิมาธิปไตย ..เมื่อลงพื้นที่หาเสียงในภาคอีสานก็ยังต้องแอบอ้างชื่อ ดร. ทักษิณ ชินวัตร ในการขอ<br />คะแนนเสียงจากประชาชน สรุปแล้ว ทั้งรัฐประหาร ทั้งเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ เขียนกฎกติกาใหม่เพื่อใช้เป็น<br />ประโยชน์แก่ฝ่ายตน..ชนชั้นอำมาตย์ ..รุกไล่ ดร.ทักษิณในทุกวิถีทาง แต่พอลงสนามเลือกตั้ง ก็ยังอุตส่าห์<br />เอาชื่อทักษิณมาแอบอ้าง - จนต้องมีการประกาศชี้แจงกันบ่อยๆว่า "ทักษิณของแท้คือพรรคพลังประชาชน"<br /><br />พรรคพลังประชาชน เป็นพรรคเสียงข้างมากอันดับหนึ่ง แต่ไม่มากพอที่จะตั้งรัฐบาลพรรคเดียว<br />พรรคประชาธิปัตย์ มีคะแนนเป็นอันดับสอง และมีเสียงน้อยเกินไป แม้จะรวมกับพรรคการเมืองอื่นๆ ก็ยังไม่พอ<br />ที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างมั่นคง<br /><br />ฝ่ายชนชั้นอำมาตย์อาจมีเล่ห์กล ที่จะอาศัยพรรคแยกย่อยต่างๆ พรรคที่มีเสียงไม่มาก..กระจัดกระจายกันไป<br />แต่เมื่อเข้ามารวมกันในสภาแล้ว ก็พอมีกำลังสนับสนุนชี้ขาดชัยชนะให้ฝ่ายตนเองได้ เป็นยุทธวิธีที่เรียกกันว่า<br />"แยกกันเดิน รวมกันตี" - อย่างไรก็ตาม แนวร่วมของทักษิณ ชินวัตร ก็เข้าใจวิธีการเช่นนี้ และพวกเขายังเป็น<br />แนวร่วมตามธรรมชาติอยู่เดิม โดยเฉพาะ สส. ในเขตเลือตั้งที่ประชาชนยังนิยมชมชอบ ดร. ทักษิณ..<br /><br />เมื่อเป็นเช่นนี้ ในปี 2550 โอกาสที่ พรรคประชาธิปัตย์ จะรวมพรรคแยกย่อยต่างๆจัดตั้งรัฐบาล จึงเป็นไปไม่ได้<br /><br /><span style="font-size:130%;">พรรคพลังประชาชน จึงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล</span><br /><span style="font-size:130%;">วันที่ 29 มกราคม 2551 ..ปีที่ 63 ในรัชกาลปัจจุบันมีพระบรมราชโองการ<br />โปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ..<br />โดยมีนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานรัฐสภาเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ</span><br /><br />ขณะเดียวกัน ตัวแทนจาก นปก. จักรภพ เพ็ญแข รับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ<br />จตุพร พรหมพันธุ์ เป็น สส. กรุงเทพมหานคร (แบบสัดส่วน) ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ เป็นรองโฆษกรัฐบาล<br /><br />บุคคลเหล่านี้ ถือเป็นตัวแทนประชาชนผู้ร่วมอุดมการณ์ นปก. เพื่อเข้าไปต่อสู้ เป็นปากเสียงในรัฐบาล<br />การต่อสู้ที่มีประชาชนเข้ามาร่วม เข้ามามีบทบาทสำคัญ ทำให้วัฒนธรรมการเมืองเปลี่ยนไป เพราะประชาชนใน<br />ปี พ.ศ.นี้ "จะไม่ตีงูให้กากิน" ..ประชาชนจะไม่ปล่อยให้ "คนที่ไม่เคยออกมาร่วมต่อสู้ ฉกฉวยโอกาสเข้าไปมี<br />อำนาจวาสนาเพียงฝ่ายเดียว" พวกอ้างความเป็นกลาง..เพื่อจะไม่ต้องลงมือทำอะไร ก็คือ "กาฝาก" และพวก<br />ชนชั้นกาฝาก หรือ ชนชั้นปรสิต ควรจะต้องถูกกำจัด หรือต้องถูกลดบทบาทลงไปจากสังคมไทยในอนาคต..<br /><br /><br /><span style="color: rgb(153, 0, 0);font-size:130%;" ><span>04</span><br /><span>ชนชั้น และระบอบอำมาตยาธิปไตย</span></span><br /><br />ผลการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ทำให้ชนชั้นอำมาตย์<u>บางส่วน</u>เริ่มรู้สึกว่า ความขัดแย้งครั้งนี้ได้กลาย<br />สภาพจากความขัดแย้งรอง ไปเป็นความขัดแย้งหลักเสียแล้ว<br /><br /><span style="font-size:130%;">พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549</span><br />เขาเป็นบุคคลหนึ่งที่ร่วมประชุมที่บ้านของ ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ในการวางแผนโค่นล้ม ดร.ทักษิณ ชินวัตร<br />(ตามคำบอกเล่าของ พล.อ. พัลลภ ปิ่นมณี) และระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯกำลังชุนุมขับไล่รัฐบาลทักษิณในปี 2549<br />พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ (ตามคำบอกเล่าของสนธิ ลิ้มทองกุล) ได้โทรศัพท์ไปให้กำลังใจ ให้นายสนธิอดทน และ<br />เมื่อเสร็จงานแล้ว เขาจะให้สถานีโทรทัศน์หนึ่งช่องเป็นรางวัล<br /><br />หลังจากรัฐประหาร 19 กันยาเสร็จสิ้น - พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี<br /><br />ต่อมาในปี พ.ศ. 2552 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช / หัวหน้าคณะรัฐประหาร ได้กล่าวว่า<br />ตนเอง (พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน) มีหน้าที่แค่ยึดอำนาจ และต้องคืนอำนาจให้ (ผู้อยู่เบื้องหลัง) ภายในสิบวัน<br />ดังนั้น หากสิ่งที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน กล่าวเป็นความจริง ก็เท่ากับว่าการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ล้วนถูก<br />บงการ..และขับเคลื่อนโดยชนชั้นอำมาตย์ หรือกลุ่มคณะที่ประชุมกันที่บ้าน ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา นั่นเอง<br /><br />เป็นที่รู้กันว่าพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คือผู้มีอำนาจอันดับสองรองจาก เปรม ติณสูลานนท์<br />แต่ในทางปฏิบัติ หลายคนเชื่อว่ากิจกรรมอำนาจในช่วงหลังนี้ อยู่ในมือของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เกือบทั้งหมด<br /><br />จากบทสัมภาษณ์ของ พล.อ.วัฒนชัย ฉายเหมือนวงศ์<br />ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ แทปลอย (ประมาณปลายปี 2550 ตรวจสอบวันที่แน่นอนอีกครั้ง)<br />พล.อ.วัฒนชัย ฉายเหมือนวงศ์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นเพื่อนสนิทแต่วัยเยาว์ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์<br />และยังคงทำงานใกล้ชิด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เสมอมา ..ดังนั้น ความคิดบางอย่างของพล อ. วัฒนชัย จึงพอที่จะ<br />ทำให้มองเห็นบางมุมมองของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้บ้าง..(แต่มิได้หมายความว่าสิ่งที่คนหนึ่งพูดจะต้องเป็นสิ่ง<br />ที่อีกคนหนึ่งคิด ไม่ใช่เช่นนั้น - แต่เป็นแค่ภาพสะท้อนบางอย่าง ในบางมุมมองเท่านั้น) ในบทสัมภาษณ์นั้น เขากล่าว<br />ถึง "ความจำเป็นที่จะต้องถอย เพื่อปรับเปลี่ยนแผน" โดยยกตัวอย่างจากการลงประชามติ "ที่แดงพรึ่บเต็มไปหมด"<br /><br />สิ่งนี้บ่งบอกอะไรบ้าง ?<br />หนึ่งคือ บางส่วนของชนชั้นอำมาตย์รู้แล้วว่า ต้องเปลี่ยนวิธีการต่อสู้<br />สองคือ บางส่วนของชนชั้นอำมาตย์รู้แล้วว่า ตนกำลังเผชิญหน้ากับประชาชนเกือบครึ่งค่อนประเทศ<br /><br />อย่างไรก็ตาม ชนชั้นอำมาตย์ หรือระบอบอำมาตยาธิปไตย..มิได้มีความเป็นเอกภาพ และไม่เคยมีมาแต่ไหนแต่ไร<br />ดังนั้น การปรับเปลี่ยนแผน..ก็เป็นไปได้เพียงบางส่วน และหลายๆอย่างก็ยังคงใช้วิธีเดิมๆ ซึ่งยิ่งสร้างความแตกแยก<br />สร้างศัตรูเพิ่ม เมื่อจนมุมด้วยเหตุผล ก็ยกสถาบันกษัตริย์มาเป็นเกราะกำบัง แล้วทำลายฝ่ายตรงข้ามด้วย ม. 112<br /><br /><span style="font-size:130%;">ระบอบอำมาตยาธิปไตยใหม่</span><br />ระบอบอำมาตยาธิปไตยเติบโตและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีชนชั้นหลากหลายภายในชนชั้น และมีคนใหม่ๆเข้ามา<br />ร่วมระบอบอยู่เรื่อยๆ ..ในยุคก่อนนั้น จะมีชนชั้นอำมาตย์สายพลเรือน และสายทหาร ต่อมา..โดยเฉพาะช่วงหลังจาก<br />ดร.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทยเข้าสู่เวทีอำนาจการเมือง ความต่างระหว่างชนชั้นอำมาตย์สายพลเรือนและ<br />สายทหารก็เลือนลางไป บางกลุ่มเข้ามาผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวมากขึ้น กลายเป็นสายชนชั้นอำมาตย์ปัจจุบัน<br /><br />อำมาตยาธิปไตย แต่เดิมหมายถึงระบอบที่ อำมาตย์มีอำนาจสูงสุด หรืออธิปไตยเป็นของชนชั้นอำมาตย์<br />คำว่า "อำมาตย์" โดยทั่วไปหมายถึง ขุนนาง ข้าราชการ แต่ทว่า "อำมาตย์ในระบอบอำมาตยาธิปไตย" มีความมหมาย<br />ครอบคลุมไกลกว่านั้น เมื่อประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยกล่าวถึง "ระบอบอำมาตยาธิปไตย" คำว่า อำมาตย์ จะรวมไป<br />ถึง.."ชนชั้นต่างๆที่มีประโยชน์ร่วมกันในระบอบนี้ และทำทุกวิธีทางที่จะรักษาผลประโบชน์แห่งตน ภายใต้ระบอบที่ว่านี้"<br />ชนชั้นเหล่านี้มีทั้ง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง(ที่ไม่ได้ประโยชน์จากระบอบ แต่ก็ยังสนับสนุน)<br /><br />แต่เดิมนั้นเมื่อกล่าวถึง"ระบอบอำมาตยาธิปไตย" เรามักเน้นไปที่การบริหารบ้านเมือง..ที่ข้าราชการเป็นใหญ่ ควบคุม<br />อำนาจกลไกต่างๆไว้ และเป็นผู้กำหนดทิศทางประเทศแต่ฝ่ายเดียว ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงระบอบอำมาตยาธิปไตย บางคน<br />จึงใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษว่า bureaucratic polity - ซึ่งลักษณะบ้านเมืองเช่นนี้ จะเห็นชัดเจนในช่วงตั้งแต่รัฐบาลของ<br />จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มาจนถึงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์<br /><br />อย่างไรก็ตาม ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ระบอบนี้มีชีวิต เติบโตและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา<br />ดังนั้นคำว่า อำมาตยาธิปไตย ในปัจจุบันจึงมิใช่แค่ชนชั้นข้าราชการ แต่เป็นในลักษณะของ "อภิสิทธิ์ชน" ซึ่งเราสามารถ<br />เรียกรวมๆ..ในภาษาอังกฤษได้ว่า aristocracy หรือ aristocrats หรือ pseudo aristocrats (คือการเลียนแบบชนชั้นสูง)<br /><br />เศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในสมัยรัฐบาลชาติชาย (2531 - 2534) ทำให้เกิดชนชั้นกลางใหม่<br />ขึ้นมากมาย ขณะที่คนจีนอพยพในรุ่นแรกๆ เริ่มมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ..และส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนชนชั้นศักดินา<br />เพื่อยกสถานะทางสังคม คบหากับลูกหลานชนชั้นศักดินาจากสังคมเก่า มีการแต่งงานกับลูกหลานศักดินา และชนชั้นสูง<br />รวมไปถึงเชื้อพระวงศ์บางส่วน ลูกหลานคนอพยพเหล่านี้จึงเปลี่ยนสถานะทางสังคมมาเป็นชนชั้นสูงด้วย - นอกจากนั้น<br />ยังมี สามัญชน ลูกชาวบ้านธรรมดา ที่ร่ำเรียนด้วยความพยายามจนจบการศึกษา ทั้งที่ได้ทุนจากรัฐ และที่พ่อแม่ส่งเสีย<br />ให้เรียนหนังสืออย่างยากลำบาก ..คนเหล่านี้เมื่อมีหน้าที่การงาน รับราชการ บางส่วนเจริญก้าวหน้า จนสามารถยกสถานะ<br />จากลูกชาวบ้าน หลานชาวนา ไปเป็นชนชั้นสูงในสังคมได้เช่นกัน<br /><br />แน่นอนว่า ในระบอบอำมาตยาธิปไตย ก็เปิดโอกาสให้ชนชั้นล่างยกระดับขึ้นมาเป็นชนชั้นสูง และแน่นอนอีกเช่นกันว่า<br />จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่สังคมอำมาตยาธิปไตยกำหนด (ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของสังคมทั่วไป ที่มีกติกาของตนเอง)<br />เปรม ติณสูลานนท์ และ ประเวศ วะสี ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของชนชั้นอำมาตย์ที่ก้าวขึ้นมาจากชนชั้นล่าง<br /><br />ระบอบอำมาตยาธิปไตยปกครองอย่างแนบเนียน และอาศัยความเชื่อทางศาสนาในการรักษาความสงบ-มั่นคงของชนชั้น<br />เช่น คนที่มีเงิน มีอำนาจ เป็นเพราะทำบุญไว้มากในชาติปางก่อน ส่วนคนที่ต่ำต้อยยากจน เพราะทำบุญไว้น้อย คติแบบนี้<br />ช่วยลด หรือกลบเกลื่อนความหมายของการถูกกดขี่ ทางออกสำหรับคนนอกวงจรอำนาจ จึงไม่ใช่การลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิ<br />พลเมืองของตน แต่วิธีแก้ปัญหากลับเป็น การทำบุญเข้าวัด..เผื่อว่าชาติหน้าจะได้มีวาสนากับเขาบ้าง<br /><br />หรือความใฝ่ฝันของชนชั้นล่างในระบอบอำมาตยาธิปไตย คือดิ้นรนส่งเสียลูกหลาน เพื่อโตขึ้นจะได้เป็น "เจ้าคนนายคน"<br />ซึ่งหมายความว่า การเป็นเจ้าเหนือคนอื่นนั้น..เป็นสิ่งที่ดี และคนชั้นล่างควรขยันหมั่นเพียรต่อไป ความเชื่อนี้ คือการสร้าง<br />ความชอบธรรมให้แก่การเป็น "เจ้าเหนือคนอื่น" ..แล้วยังช่วยสลายแนวคิด "ความเป็นประชาชนที่เสมอภาค" ให้ลบเลือน<br />หายไปจากกระบวนคิดของคนในสังคมไทย เหล่านี้เป็นการสร้าง "วัฒนธรรมจำยอม" ให้หยั่งรากลึกชั่วลูกหลาน<br /><br />แน่นอนว่า ระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่เคยปฏิเสธชนชั้นล่าง..ที่จะไต่เต้าขึ้นมาสู่ชนชั้นอำนาจ<br />และเงื่อนไขของการมีเส้นสาย มีผู้อุปถัมภ์เลี้ยงดู ก็เป็นเงื่อนไขของสังคมมนุษย์ทั่วไป - ไม่ว่าจะในระบอบใด<br /><span style="font-size:130%;">อย่างไรก็ตาม ปัญหาของระบอบอำมาตยาธิปไตยไทย อยู่ที่การรวมศุนย์อำนาจไว้นานเกินไป</span><br />และรวมศูนย์อำนาจไว้มากเกินไป โดยที่..ตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่ข้อแก้ตัว<br />แน่นอนว่า การที่ระบอบอำมาตยาธิปไตยครองอำนาจอยู่กว่าครึ่งศตวรรษ ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าการพัฒนาหลายอย่าง<br />เกิดภายใต้ระบอบอำมาตย์ แต่นั่นก็เป็นเพราะอำมาตย์ผูกขาดการบริหารอยู่ฝ่ายเดียว และยังเป็นผลงานที่เชื่องช้า ไม่ใช่<br />การพัฒนาที่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก ไม่ว่าจะแง่เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม<br /><br />ในกลุ่มชนชั้นอำมาตย์เอง เคยมีการยกปัญหาทำนองนี้ขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง มีการเสนอให้กระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น<br />ทั้งอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของส่วนรวม และยังเป็นการรักษาอำนาจของชนชั้นอำมาตย์ไว้<br />ได้อีกยาวนานด้วย ..แต่ในที่สุด ก็ไม่เคยมีการแก้ไขปัญหาใด ความพยายามในการแก้ปัญหาบ้านเมืองกลายเป็นการแย่ง<br />ชิงบทบาทอำนาจระหว่างอำมาตย์สายพลเรือน กับอำมาตย์สายทหาร ..จนกระทั่งอำมาตย์สายทหารขัดแย้งกันเอง จนเกิด<br />เหตุการณ์นองเลือด พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ที่แทบจะสลายขั้วอำนาจของอำมาตย์สายทหารลงไปเกือบสิ้น<br /><br />ชนชั้นอำมาตย์สายพลเรือน เช่น ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ..อานันท์ ปัญญารชุน เข้ามีบทบาท หรือให้แนวคิด<br />ในการร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งในตอนนั้น คนเหล่านี้ต้องการรัฐบาลพลเรือนที่เข้มแข็ง มั่นคง ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา<br />จึงออกแบบรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อปรากฏการณ์ดังกล่าว คนเหล่านี้ไม่ต้องการรัฐบาลทหาร..ที่ไม่รู้เรื่องราว<br /><br /><strong>เพราะอย่างไร..ในสายตาชนชั้นอำมาตย์<br />อำมาตย์พลเรือนย่อมมีสติปัญญาเหนือกว่าอำมาตย์ทหารแน่นอน<br />(คือในชนชั้นก็ยังการแบ่งชนชั้นแยกย่อยอีกด้วย)</strong><br /><br />การร่างรัฐธรรมนูญ 2540 เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์นองเลือด พฤษภาคม พ.ศ. 2535<br />พรรคการเมืองที่เข้มแข็ง ที่สามารถขึ้นเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากได้..ขณะนั้น ก็มีเพียงพรรคประชาธิปัตย์<br />และพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นพรรคเก่าแก่ของชนชั้นอำมาตย์มาเนิ่นนาน โดยเฉพาะอำมาตย์สายพลเรือน<br /><br />สิ่งที่ไม่คาดคิดไว้ก่อน ก็คือดร. ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาสู่สนามการเมืองอย่างจริงจัง และตั้งพรรคไทยรักไทย<br />ในขณะที่ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นรัฐบาลตอนนั้น..ไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของชาติได้ ทำให้สูญเสียฐาน<br />มวลชนชั้นกลาง รวมทั้งพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางไปมากพอสมควร - พรรคไทยรักไทยจึงเป็นทางเลือกสดใหม่ และมี<br />โอกาสชนะการเลือกตั้งในหลายพื้นที่ - ชนชั้นอำมาตย์สายประชาธิปัตย์ จึงเริ่มโจมตีดร.ทักษิณ..อย่างหนัก มีการโยน<br />คดีซุกหุ้นและอีกมากมาย ศัตรูเก่าของดร.ทักษิณ..ส่วนหนึ่งมาจากพรรคพลังธรรม ที่ผูกใจเจ็บมาแต่สมัยที่ ดร.ทักษิณ<br />เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในสังกัดพรรคพลังธรรมนั่นเอง<br /><br />ขณะนั้น ปีพ.ศ. 2544 ชนชั้นอำมาตย์ในระดับสูงขึ้นไปยังวางเฉย<br />และเมื่อพรรคไทยรักไทยได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากมาย..จนน่าตกใจ ชนชั้นอำมาตย์ระดับสูงก็ยังวางเฉย<br />แต่ก็แอบสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ด้วยต้องการให้ดร.ทักษิณ ช่วยจัดการแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจ ที่เป็นปัญหาของชาติ<br />และเป็นปัญหาส่วนตัวของชนชั้นอำมาตย์ระดับสูง<br /><br />ทักษิณ ชินวัตร..แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้สำเร็จ และยังทำตามนโยบายที่สัญญาไว้กับประชาชน<br />ช่วงขณะหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะกลายเป็นคนโปรดของชนชั้นสูงหลายต่อหลายคน ประชาชนรากหญ้าก็เริ่มชื่นชม<br /><span style="font-size:130%;"><span>และอันที่จริง ปัญหาของระบอบอำมาตยาธิปไตยน่าจะยุติลงได้ด้วยดีแล้ว..ตั้งแต่ตอนนั้</span>น</span><br />เพราะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ประเทศชาติก็มีอำนาจต่อรองกับนานาประเทศมากขึ้น ประชาชนในภูมิภาค<br />ก็เริ่มช่วยเหลือตัวเองได้..และมีแนวโน้มว่าจะไม่เป็นภาระของส่วนกลาง (หรือชนชั้นอำมาตย์)อีกต่อไป ในขณะที่<br />ค่านิยมความเชื่อในระบอบอำมาตยาธิปไตยก็ยังอยู่ดี ไม่มีใครท้าทาย หรือคนที่ท้าทายก็มีน้อย..จนไม่มีปากเสียง<br />รัฐบาลทักษิณก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางระบอบอำมาตยาธิปไตย โดยเฉพาะในด้านสังคม วัฒนธรรม ความเชื่อ<br /><br /><span style="font-size:130%;">อย่างไรก็ตาม ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น<br />ชนชั้น และระบอบอำมาตยาธิปไตย ประกอบด้วยผู้คนหลากหลาย</span><br />ชนชั้นสูงก็มีความคิดที่คาดเดายาก เปลี่ยนข้างได้รวดเร็ว ..ชนชั้นล่างที่เพิ่งก้าวมาเป็นชนชั้นอำมาตย์ได้ไม่นานก็<br />ยังไม่ลึกซึ้งกับศักดิ์ศรี และ ยุทธวิธีบางอย่างของชนชั้นศักดินาเดิม จึงเลือกที่จะเปิดแนวรบกับประชาชนโดยตรง<br />อีกทั้งบางส่วนของชนชั้นอำมาตย์ใหม่ - ชนชั้นกลางใหม่ ยังมีคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไปดึงเอาสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง<br />เอามาใช้เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม พวกปฏิกิริยาก็เน้นการล่าล้างโคตร เอาสะใจเป็นหลัก<br /><br />แน่นอนว่า ชนชั้นอำมาตย์ส่วนมาก (แต่ไม่ใช่ทุกคน) มีนิสัยดูถูกประชาชน โดยเฉพาะดูถูกคนเหนือ คนอีสาน<br />แต่ชนชั้นศักดินาในอดีต จะมีวิธีการดูถูกเหยียดหยามผู้คน..อย่างเนียน และมีศิลปะ ชนชั้นอำมาตย์ในอดีตก็จะ<br />ไม่เปิดแนวรบกับประชาชนโดยตรง แม้แต่ในสมัยสงครามต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งฝ่ายซ้าย<br />ก็ประกาศสงครามชนชั้นอย่างชัดเจน แต่ชนชั้นอำมาตย์ในอดีตก็ไม่เคยเปิดแนวรบกับประชาชน จึงทำให้ พคท.<br />ขาดแนวร่วมประชาชน และไม่สามารถรุกคืบได้มากนัก - ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ แตกต่างไปจากชนชั้นอำมาตย์ใน<br />ยุคปัจจุบัน (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เรื่อยมา) ..และข้อผิดพลาดใหญ่หลวง คือการใช้พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง เป็น<br />กำลังหลักในการโค่นกลุ่มอำนาจของดร. ทักษิณ ชินวัตร<br /><br />ที่เรียกกันว่า พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง ก็เพราะเป็นกลุ่มคนที่มีปฏิกิริยา.. และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น<br />"พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง" ใช้สำหรับเป็นแนวหน้า เป็นตัวป่วน สร้างกระแสขัดแย้ง และมีประโยชน์เพียงเท่านั้น<br />เมื่อจุดกระแสติดแล้ว สมควรเก็บกวาดคนเหล่านี้ออกไปจากสนามการต่อสู้ เพราะคนพวกนี้มักทำให้เสียเรื่อง<br />คือถ้าไม่ทำให้แพ้ ก็จะทำให้เหตุการณ์บานปลาย.. ในการปฏิวัติของประเทศลาว สิ่งแรกเมื่อฝ่ายสังคมนิยมชนะ<br />ก็คือกวาดล้างพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง..ที่เคยเป็นแนวร่วมของตนเอง<br /><br />ในศึกโค่นอำนาจทักษิณ ชินวัตร ชนชั้นอำมาตย์กลับใช้ "พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง" เป็นทั้งแนวหน้าและกำลังหลัก<br /><span style="font-size:130%;">"พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ"<br />คือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ชนชั้นอำมาตย์ต้องเปิดแนวรบกับประชาชน</span><br />ซ้ำร้าย..ชนชั้นอำมาตย์บางคนก็ยังร่วมผสมโรง ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งรองกลายเป็นความขัดแย้งหลัก..<br /><br />วาทกรรมที่ไม่เคยมีใครตั้งคำถาม มาถึงตอนนี้ก็ใช้ไม่ได้อีกแล้ว<br /><br />สิ่งที่พล.อ.วัฒนชัย ฉายเหมือนวงศ์ ให้สัมภาษณ์ (ไทยโพสต์) ถึงการถอยเพื่อปรับยุทธวิธี..<br />เอาเข้าจริง ชนชั้นอำมาตย์ใหม่เหล่านี้ ก็ยังใช้วิธีเดิมๆ วิธีเดียวกับที่ล้มรัฐบาลทักษิณ เอามาล้มรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช<br />ผลที่ได้คือ ขยายแนวรบกับประชาชนกว้างออกไปอีก จากเดิมมีแค่ นปก. ไม่ถึงแสนคน ก็กลายเป็น นปช.คนเสื้อแดง<br />ที่มีมวลชนนับล้าน.. มีเครือข่ายทั่วประเทศ แม้แต่ในภาคใต้<br /><br />สิ่งเดียวที่ชนชั้นอำมาตย์ปรับยุทธวิธี คือไม่ครองอำนาจโดยตรง..แต่ครองอำนาจผ่านตัวแทน<br /><br /><br /><span style="color: rgb(153, 0, 0);font-size:130%;" ><span>05</span><br /><span>ชนชั้นอำมาตย์เปิดฉากรุกแตกหัก</span></span><br /><br />นปก. ประกาศจุดยืนชัดเจนตั้งแต่ต้น..ว่าไม่รับรัฐธรรมนูญ 2550<br />เพราะเป็นคัมภีร์สืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร ที่เขียนขึ้นมาเพื่อปกป้องระบอบอำมาตยาธิปไตยเท่านั้น<br /><br />ระหว่างการลงประชามติ พรรคประธิปัตย์ สื่อมวลชนกระแสหลัก นักวิชาการ (ซึ่งส่วนมากรับใช้ระบอบอำมาตย์)<br />ล้วนเรียงหน้ากันออกมาบอกประชาชน ให้รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปก่อน ถ้าไม่พอใจก็สามารถมาแก้ไขภายหลังได้<br />จึงมีประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่หลงเชื่อ..และยอมรับร่างรัฐธรรมนูญ 50 ด้วยหวังให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว และคิดว่าจะ<br />สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังที่มีรัฐบาลใหม่แล้ว เป็นกระบวนคิดแบบสันติวิธีประนีประนอม ไม่ต้องเสียแรงต่อสู้<br /><br />พรรคพลังประชาชน ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ก็ประกาศชัดเจนว่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ<br /><br />หลังจากพรรคพลังประชาชนได้รับเลือกเป็นเสียงข้างมาก และตั้งรัฐบาลแล้ว ก็เริ่มมีการพูดถึงการแก้รัฐธรรมนูญ<br />ทางด้าน นปก. นำโดยนายแพทย์เหวง โตจิราการ ร่วมกับตัวแทนกลุ่มประชาชนอีกหลายฝ่าย ได้ประชุมปรึกษา และ<br />ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ "ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ"ฉบับดังกล่าว มีประชาชนลงชื่อสนับสนุนกว่าแสนคน จากนั้นจึงส่ง<br />ให้รัฐสภานำเข้าพิจารณา ซึ่งถูกบรรจุไว้เป็นวาระแรก ..แต่ก็ถูกอำนาจลึกลับถ่วงเอาไว้<br /><br /><span style="font-size:130%;">ทางฝ่ายอำมาตย์.. พรรคประชาธิปัตย์ สื่อมวลชนกระแสหลัก<br />นักวิชาการ (ซึ่งส่วนมากรับใช้ระบอบอำมาตย์) ที่เคยบอกว่า<br />ให้รับรัฐธรรมนูญไปก่อน แล้วมาแก้ไขทีหลัง ..แต่ถึงตอนนี้<br />เปลี่ยนท่าทีมาเป็น ต่อต้าน - คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ<br />ดังนั้น ย่อมกล่าวได้ว่ากลุ่มประชาชนที่รับรัฐธรรมนูญ 50 เพราะ<br />คิดว่าจะมาแก้ไขภายหลังนั้น..ล้วนถูกหลอกอย่างน่าเวทนา..</span><br /><br />โดยสามัญสำนึก การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ย่อมเป็นสิ่งที่ชนชั้นอำมาตย์ระดับสูง จะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นได้<br />เพราะนั่นหมายถึงการสูญเสียอำนาจครั้งใหญ่ - ที่สำคัญ พรรคพลังประชาชน - นปก. ไม่ได้คิดแก้รัฐธรรมนูญ<br />เฉพาะประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองทางการเมือง แต่คิดแก้ไขหมดทั้งฉบับ ให้กลับไปเป็นรัฐธรรมนูญ 2540<br />ถึงแม้นชนชั้นอำมาตย์จะเป็นผู้ออกแบบรัฐธรรมนูญ 2540 แต่รัฐธรรมนูญ 2540 ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนมากไป<br />ชนชั้นอำมาตย์จึงต้องก่อรัฐประหาร และเขียนรัฐธรรมนูญ 2550 ขึ้นมา<br /><br />ชนชั้นอำมาตย์เริ่มเปิดฉากรุกครั้งใหม่<br />เริ่มจากส่งสมุนสื่อสารมวลชน ออกมาสร้างวาทกรรมซ้ำซาก เช่น แก้รัฐธรรมนูญเพื่อทักษิณ แก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้<br />พรรคพลังประชาชนพ้นผิดคดียุบพรรค ..วาทกรรมเหล่านี้ ไม่ได้มีเพียงเพื่อโน้วน้าวสังคม แต่ในสังคม "ศรีธนนชัย"<br />เช่นประเทศไทย วาทกรรมซ้ำซากของชนชั้นอำมาตย์ ยังมีเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น ทำให้การถกเถียงโต้แย้งหลุดออก<br />ไปจาก "ใจความสำคัญ" .. เป็นยุทธวิธีที่ชนชั้นอำนาจใช้ได้ผลเสมอมา ตราบจนปัจจุบัน<br /><br />จากนั้น ชนชั้นอำมาตย์ก็ส่งกลุ่มพันธมิตรฯออกมาเคลื่อนไหว<br />ใช้วิธีเดิม วิธีเดียวที่เคยใช้โค่นล้มรัฐบาลทักษิณ (2548 - 49) ความแตกต่างคือกลุ่มพันธมิตรฯในปี 2551 มาพร้อม<br />กองกำลังติดอาวุธเบา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ชนชั้นอำมาตย์เริ่มมองเห็นแล้วว่า การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่กลุ่มอำนาจหนึ่ง<br />ปะทะกับอีกกลุ่มอำนาจหนึ่ง ..แต่มีมวลชนเข้ามาร่วมในการต่อสู้ ดังนั้น หากไม่มีกองกำลังติดอาวุธเบาเข้ามาเสริม<br />มวลชนของพันธมิตรฯอาจถูกกระทืบตายคาถนนก็เป็นได้ ..ระบอบอำมาตยาธิปไตยนั้นก็มีมวลชนของตนเอง ซึ่งไม่<br />ต่างไปจากฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งสองฝ่ายล้วนประกอบด้วย ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง ข้าราชการ ตำรวจ และ<br />ทหาร รวมทั้งชนชั้นปฏิกิริยา..ซึ่งมีอยู่ในมวลชนทั้งสองฝ่าย<br /><br />ช่วงเวลานั้น นปก. / นปช. ลดบทบาทในพื้นที่สาธารณะ<br />เพื่อเปิดทางให้ พรรคพลังประชาชน ในฐานะรัฐบาล และ<br />เสียงข้างมากในรัฐสภา ได้ดำเนินกิจกรรมการเมืองอย่างเต็มที่<br /><br />การชุมนุมของ นปช. หลังจากวันประชามติ 19 สิงหาคม 2550 เป็นเพียงการนัดพบ และไม่มีความเคลื่อนไหวสำคัญ<br /><br /><span style="font-weight: bold;">วันที่ 25 พฤษภาคม 2551 - ชนชั้นอำมาตย์เปิดศึกแตกหักกับพรรคพลังประชาชน</span><br /><span style="font-weight: bold;">กลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อเตรียมเดินไปยึดทำเนียบรัฐบาล</span><br /><br />ขณะเดียวกัน มวลชนกลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯจำนวนหลายร้อยคน ไปรวมตัวขับไล่อยู่ใกล้ๆ ด้านถนนดินสอ<br />การประเมินของตำรวจกล่าวว่ากลุ่มพันธมิตรฯมีประมาณ 1500-2000 คน แต่ในความเป็นจริงแล้วมีมากกว่านั้น น่าจะ<br />อยู่ที่ประมาณ 3000 - 4000 คนขึ้นไป ส่วนฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ ซึ่งมาอย่างปราศจากแกนนำ มีอยู่ประมาณ 700 คน<br />และยังมีกลุ่มคนวันเสาร์อยู่ที่สนามหลวงอีกประมาณ 300 คน<br /><br /><span style="font-weight: bold;">เวลา 18:50 น.</span> เริ่มมีการปะทะกันระหว่างมวลชนทั้งสองฝ่าย<br /><span style="font-weight: bold;">เวลา 21.00 น.</span> กลุ่มคนวันเสาร์ฯ นำโดยสุชาติ นาคบางไทร (วราวุธ ฐานังกรณ์) เคลื่อนกำลังออกจาสนามหลวง เพื่อ<br />มาสมทบกับกลุ่มต้านพันธมิตรฯ - ขณะเดียวกัน กลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนขบวน เดินทางไปทำเนียบรัฐบาล โดยมีกำลัง<br />ตำรวจคุ้มกัน..และพยายามแยกมวลชนทั้งสองฝ่ายให้อยู่ระยะห่างจากกัน -<br /><span style="font-weight: bold;">ขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯ ติดอยู่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานฯ</span> ไม่สามารถผ่านด่านตำรวจไปได้ ..<br />ขณะเดียวกัน กลุ่มต่อต้านได้รวมพลอยู่ที่สะพานผ่านฟ้า<br /><br />กลุ่มแท๊กซี่และมอเตอร์ไซค์ เริ่มเดินทางมาเป็นกำลังสนับสนุนให้กับฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ<br />ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็มีกองกำลังมอเตอร์ไซค์ของตนเองเช่นกัน (ไม่สามารถระบุที่มาของกองกำลังนี้ได้)<br />อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่สับสนอยู่แล้ว ก็ยิ่งสับสนมากขึ้นกว่าเดิม - ฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ ไม่มีแกนนำ ไม่มีแผน<br />ต่างคนต่างมาและกระจัดกระจาย - ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯเตรียมพร้อมรับมือกับการถูกจู่โจม พวกเขามีกองระวังหลัง<br /><br /><span style="font-weight: bold;">เวลา 22.00 น.</span>โดยประมาณ เกิดปะทะกันครั้งใหญ่ระหว่างฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ กับกองระวังหลังของพันธมิตรฯ<br />กองรักษาความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรฯ รู้วิธีใช้อาวุธเบาในการสลายชุมชน พวกเขารู้วิธีการตีครั้งเดียวให้หมอบ<br />ขณะที่มวลชนฝ่ายต่อต้านฯไม่รู้ยุทธวิธีอะไรเลย จึงบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก<br /><br /><span style="font-weight: bold;">เวลา 23.00 น.</span> มวลชนกลุ่มพันธมิตรฯที่อาศัยในกรุงเทพฯ เริ่มทะยอยกลับบ้าน ทำให้มวลชนที่ติดอยู่เชิงสะพาน<br />มัฆวานฯ มีจำนวนลดลงไปมาก - ขณะที่ฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ ยังคงปักหลักอยู่ที่สะพานผ่านฟ้า<br /><br />ช่วงเที่ยงคืน รัฐบาลเตรียมสลายการชุมนุม ขณะที่ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ บริเวณเชิงสะพานมัฆวานฯเหลืออยู่ไม่มาก แต่<br />ไม่สามารถทำได้ กล่าวกันว่ามี อำนาจบางอย่างสั่ง.."ห้ามทำร้ายประชาชนของพวกเขา"<br /><br /><span style="font-weight: bold;">1 มิถุนายน 2551</span><br />นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช กล่าวทางสถานีโทรทัศน์ NBT ว่าจะไม่มีการสลายการชุมนุมของกลุ่มพัธมิตรฯ<br />ในลักษณะที่นักวิชาการ (ฝ่ายอำมาตย์) ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แต่จะให้ตำรวจเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ให้<br />รื้อเวทีไปจากการกีดขวางจราจร เส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน โดยจะมีการถ่ายทอดสด เชิญสำนักข่าวต่างประเทศ<br />รวมทั้งสหประชาชาติ ซึ่งอยู่ตรงเชิงสะพานมัฆวานฯ มาร่วมชมการเจรจาและรื้อเวที<br /><br />และแน่นอนที่สุด ทุกอย่างเป็นแค่คำพูด.. ซึ่งไม่เคยมีการปฏิบัติจริง<br /><br /><span style="font-weight: bold;">19 มิถุนายน 2551</span><br />หลังการชุมนุมยืดเยื้อเป็นเวลาประมาณกว่า 20 วันของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เชิงสะพานมัฆวานฯ ยังไม่สามารถบรรลุ<br />ผลสำเร็จใดตามวัตถุประสงค์ นอกจากนั้น การปราศรัยของแกนนำ เช่น สนธิ ลิ้มทองกุล ยังช่วยทำให้ประชาชน<br />ทั่วไปเข้าใจว่า "ใครคือผู้สนับสนุนคนสำคัญ" ของปฏิบัติการครั้งนี้ ซึ่งช่วยตอบคำถามประชาชน..ว่าทำไมตำรวจ<br />จึงไม่กล้าสลายการชุมนุมเมื่อเช้ามืดของวันที่ 26 พฤษภาคม ..<br /><br />และตอบคำถามว่า ทำไมกลุ่มพันธมิตรฯจึงสามารถอยู่เหนือกฎหมาย และมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าประชาชนทั่วไป<br /><br />ระหว่างนั้น มีรายงานว่ากลุ่มพันธมิตรฯ กำลังเตรียมรุกแตกหักอีกครั้ง โดยจะฝ่าด่านสะพานมัฆวานฯ และเข้ายึด<br />ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 20 มิถุนายน - รัฐบาลจึงเตรียมสลายกำลังของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยอาศัยความร่วมมือจาก<br />มวลชนสนามหลวง - คืนวันที่ 19 มิถุนายน มวลชน นปช. กว่าหมื่นคนเคลื่อนกำลังจากสนามหลวง คราวนี้มีแกนนำ<br />มีการจัดทัพจัดระเบียบมาอย่างที่ควรจะเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นมวลชนเลอะเทอะกระจัดกระจาย - ดังนั้น<br />นายแพทย์เหวง โตจิราการ หนึ่งในแกนนำ นปช. จึงเป็นคนนำทัพ - กล่าวกันว่า นปช.ไม่เกี่ยวข้องกับงานนี้ แต่<br />"มวลชนสนามหลวง"ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ร่วมกับ นปช.<br /><br />ในคืนวันที่ 19 มิถุนายน กลุ่มพันธมิตรฯ ถูกกดอยู่ในวงล้อม<br />ด้านสะพานมัฆวานฯเป็นตำรวจ ด้านถนนราชดำเนินเป็นมวลชนสนามหลวง - แต่เหตุการณ์ก็พลิกผันอีกครั้ง<br /><strong>ช่วงเช้าของวันที่ 20 ..กำลังพันธมิตรฯ สามารถผ่านแนวรับของตำรวจอย่างง่ายดาย และไหลเข้าไปในทำเนียบ<br />ทั้งด้านสะพานมัฆวานฯ และด้านสะพานชมัยมรุเชฐ (ที่มีรั้วเหล็กกั้นหลวมๆเพียงสองชั้น ซึ่งผิดปกติอย่างมาก)</strong><br /><br />ไม่มีใครทราบถึงเบื้องหลังแน่นอนของปรากฏการณ์นี้ แม้จะมีคำร่ำลือว่า เป็นการสมรู้ร่วมคิดของตำรวจระดับสูง<br />ที่ฝักใฝ่ฝ่ายอำมาตย์ ซึ่งได้รับคำสั่งมาจากผู้บงการกลุ่มพันธมิตรฯ - จะอย่างไรก็ตาม กลุ่มพันธมิตรฯ ก็สามารถยึด<br />ทำเนียบรัฐบาลไว้ได้ตามที่ประกาศ และยึดอยู่เกือบครึ่งปี จนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลังประชาชน ใน<br />เดือนธันวาคม<br /><br /><span style="font-weight: bold;">24 มิถุนายน 2551</span><br />นปช. จัดงานรำลึกการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ที่ท้องสนามหลวง<br />และไม่มีท่าทีเคลื่อนไหวใดๆ ดูเหมือนว่า นปช.ต้องการให้รัฐบาลจัดการปัญหาต่างๆด้วยตนเองมากกว่า<br /><br />ขณะเดียวกัน วันที่ 27 มิถุนายน 2551 พรรคประชาธิปัตย์ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล<br />ผลออกมาปรากฏว่า นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ยังคงได้รับการไว้วางใจด้วยคะแนน 280 เสียง<br />ซึ่งการออกเสียง ประธานสภาฯ รองประธานรวมทั้งรัฐมนตรีทั้งคณะต่างไม่ร่วมลงคะแนน เพื่อแสดงความเป็นกลาง<br />และเป็นมารยาท (ส่วนนายกฯ - รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่มีสิทธิ์ออกเสียงอยู่แล้วตามกฎหมาย) รัฐมนตรีที่เหลือ<br />ทั้งหมดได้คะแนนลดหลั่นเพียงแค่หนึ่งเสียง คือระหว่าง 278 – 279 เป็นสัญญาณว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังคงมั่นคงดี<br /><br />อย่างไรก็ตาม แม้นผู้คนส่วนใหญ่คิดว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญล่าช้านั้น เป็นเพราะกระแสต่อต้านจากกลุ่มพันธมิตรฯ<br />แต่เริ่มมีคำถามในหมู่ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยว่า เป็นไปได้หรือไม่..ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่เกิดขึ้น เพราะ<br />การเตะถ่วงของ "คนในพรรคพลังประชาชน" เพราะเริ่มมีข่าวลือว่า บางกลุ่มในพรรคพลังประชาชน กำลังเจรจาผล<br />ประโยชน์กับฝ่ายอำมาตย์ - แต่ที่สุดก็กลายเป็นคำถามแผ่วเบา เพราะไม่มีใครสามารถระบุได้ว่า ใครเจรจากับใคร..<br />จนกระทั่งเรื่องมาเปิดเผยในเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน เมื่อปรากฏว่ากลุ่มของ เนวิน ชิดชอบ ย้ายข้างไปสนับสนุน<br />พรรคประชาธิปัตย์ และ ชนชั้นอำมาตย์<br /><br /><br /><span style="color: rgb(153, 0, 0);font-size:130%;" ><span>06</span><br /><span>การรุกแตกหักของชนชั้นอำมาตย์ กลับสร้างแนวร่วมให้ นปช.</span></span><br /><br />ชนชั้นอำมาตย์คาดหวังให้กลุ่มพันธมิตรฯ นำมวลชนออกมาเป็นหัวหอกในการโค่นล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช<br />เหมือนกับที่เคยกระทำต่อรัฐบาลดร.ทักษิณ ชินวัตร - แต่กลุ่มพันธมิตรฯในปี 2549 ก็ไม่เคยทำสำเร็จ และมวลชน<br />พันธมิตรฯก็ลดน้อยลงทุกวัน ทั้งที่ทุ่มทุนโฆษณาผ่านสื่อมวลชนกระแสหลักทุกแขนง ในที่สุด ชนชั้นอำมาตย์ก็ต้อง<br />ใช้กองทัพไทยออกมาก่อรัฐประหาร -<br /><br /><span style="font-weight: bold;">ในความพยายามโค่นรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชก็เช่นกัน</span> ..<br />ทั้งที่ชนชั้นอำมาตย์สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯในทุกด้าน ทุกรูปแบบ แต่กลุ่มพันธมิตรฯก็ยังไม่สามารถสร้างผลกระทบ<br />แก่รัฐบาลได้เท่าใด - เริ่มต้น ก็ไปติดอยู่ที่เชิงสะพานมัฆวานฯอยู่เกือบหนึ่งเดือน จนกระทั่งชนชั้นอำมาตย์ต้องเป็นฝ่าย<br />ใช้อำนาจพิเศษ ในการเปิดทางให้เข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาล อยู่ในทำเนียบรัฐบาลหลายเดือน ก็ยังไม่เกิดผลคืบหน้าใดๆ<br /><strong>ความพยายามปลุกกระแส ให้เกิดเป็นการปฏิวัติประชาชน..ก็ไม่เคยทำได้</strong><br />ทั้งที่สื่อมวลชนกระแสหลักทุกแขนง ต่างช่วยโฆษณาชวนเชื่ออย่างสุดความสามารถ ว่าพันธมิตรฯมีคนมาร่วมเป็นแสน<br />เป็นล้าน เป็นร้อยล้าน..มากกว่าจำนวนประชาชนในประเทศไทย - แต่จากการประเมินของตำรวจ โดยประเมินจากพื้นที่<br />ที่ใช้ในการชุมนุม กลุ่มพันธมิตรฯ ตั้งแต่ปี 2549 มาจนถึงปี 2551 ไม่เคยมีครั้งไหนที่มีคนมากกว่า "สามหมื่นคน"<br /><br />ในขณะที่มวลชนสามหมื่นคน..เป็นจำนวนปกติของมวลชนสนามหลวง ในวันชุมนุมธรรมดาๆ<br /><br />แน่นอนว่า จำนวนผู้คนที่ออกมาร่วมชุมนุมบนถนน..มิได้มีผลชี้แพ้ชี้ชนะ บางวันมามาก บางวันมาน้อย..เป็นเรื่องปกติ<br />แต่การชุมนุมที่มคนมาร่วม ในจำนวนสม่ำเสมอ บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มมวลชน การชุมนุมที่มีคนมาร่วมสม่ำเสมอ<br />แล้วเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันเมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งบ่งบอกถึงแนวร่วมที่ขยายขึ้น และมุ่งมั่นมากขึ้น มีอารมณ์ร่วมมากขึ้น<br />ซึ่งมวลชนประเภทนี้ ผ่านไประยะหนึ่งก็จะมีพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนคำปราศรัยของแกนนำไม่มีความหมายมากไปกว่าการ<br />นัดแนะ ว่าจะทำอะไรกันต่อไป เพราะเมื่อถึงขั้นนั้น มวลชนจะรู้ดีว่าตนเองกำลังทำอะไร เพื่อจุดประสงค์ใด<br /><br /><strong>นี่คือสิ่งที่ทุกฝ่ายคาดหวัง..ในการชุมนุมทางการเมือง<br />กลุ่มพันธมิตรฯก็คาดหวังให้มวลชนของตนเป็นเช่นนี้ .. นปช. ก็คาดหวังเช่นเดียวกัน</strong><br /><br />สำหรับกลุ่มพันธมิตรฯ ค่อนข้างมีปัญหา มวลชนของพวกเขามีมากมาย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมนุม<br />แต่ทว่ามวลชนของพันธมิตรฯ ก็เลือกที่จะนอนดูโทรทัศน์อยู่กับบ้านมากกว่า ..และเมื่อเกิดการต่อต้าน "เสื้อเหลือง"<br />(เพราะกลุ่มพันธมิตรฯใช้สีเหลือง - เสื้อเหลืองเป็นสัญลักษณ์) กลุ่มมวลชนพันธมิตรฯจำนวนไม่น้อย ก็พยายามปฏิเสธ<br />ว่าตนเอง "ไม่ใช่พวกเสื้อเหลือง" บางคนก็อ้างว่าเป็นกลางบ้าง เป็นเสื้อขาวบ้าง - นี่คือวิถีของพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง<br />คือเมื่อไม่สะดวกก็จะหลบหลีก เมื่อไม่เท่ ก็จะปฏิเสธว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน เมื่อถึงเวลาต้องฆ่าฟันกัน ก็จะทิ้งเพื่อนทันที<br /><br />นี่เป็นเหตุหนึ่ง ที่ไม่ควรนำพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางมาร่วมขบวนการในระยะยาว<br /><br />อีกประการหนึ่ง ประเทศไทยเป็นบ้านเมืองที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ครอบงำด้วยระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นวัฒนธรรม<br />แห่งการยอมจำนน ดังนั้น การที่กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นมวลชนอำมาตย์..ปลุกระดมมวลชนเพื่อให้ลุกขึ้นมาปกป้องวิถี<br />อำมาตยาธิปไตย รักษาแนวคิดอนุรักษ์นิยมและการยอมจำนนต่ออำมาตย์ จึงค่อนข้างเป็นเรื่องที่ "ปลุกได้ยาก" เพราะ<br />ไม่ว่าจะออกมาสู้เพื่อพันธมิตรฯหรือนอนเฉยๆอยู่บ้าน ไม่ว่าจะออกมาสู้เพื่ออำมาตย์หรือไม่ก็ตาม ทุกคนก็รู้ดีว่าบ้านเมือง<br />จะยังคงเป็นเช่นเดิม คืออย่างไรคนก็คิดว่าอำมาตย์ชนะอยู่แล้ว ..และชนะแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง - เหตุเหล่านี้<br />ทำให้การปลุกมวลชนพันธมิตรฯ ให้ออกมาเป็นแสนเป็นล้าน เพื่อสร้างกระแสปฏิวัติประชาชน ..จึงไม่สามารถเกิดขึ้น<br /><br />การปลุกระดมของชนชั้นอำมาตย์ จึงทำได้แค่ "ปลุกอารมณ์คลั่งชาติ" "สร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชนด้วยกันเอง"<br />แต่อารมณ์เหล่านี้ก็เป็นแค่ของชั่วคราว ไม่ใช่อุดมการณ์การเมืองที่จะต่อสู้สืบทอดกันได้นาน<br /><br />นอกจากนั้น ยังมีผลสะท้อนกลับอีกด้วย<br />การปลุกมวลชน "สร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชนด้วยกันเอง" ย่อมหมายถึงว่า ต้องมีคนที่ถูกเกลียด<br />และคนที่ถูกตราให้เป็น เป้าหมายความเกลียดชัง ก็ย่อมต้องลุกขึ้นมาสู้..เพื่อปกป้องตนเอง -<br /><br />ดังนั้น การปลุกให้คนกลุ่มหนึ่งเกลียดคนอีกกลุ่มหนึ่ง ก็เท่ากับเป็นการสร้างมวลชนให้แก่คนอีกกลุ่มหนึ่งมากขึ้นเช่นกัน<br />โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ"คนที่ถูกตราให้เป็นเป้าหมายความเกลียดชัง"นั้น มีมากกว่า..และเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ..<br /><br />และนี่เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ชนชั้นศักดินา มาถึงชนชั้นอำมาตย์ในอดีต ไม่เคยคิดเปิดแนวรบกับประชาชน<br /><br />ด้วยเหตุต่างๆข้างต้น กลุ่มพันธมิตรฯจึงมิได้สร้างประโยชน์ให้ชนชั้นอำมาตย์ หรือระบอบอำมาตยาธิปไตยแม้แต่น้อย<br />ถ้อยคำปราศรัยของแกนนำพันธมิตรฯ อาจสร้างกำลังใจให้แก่มวลชนของตนเอง เมื่อรู้ว่าพวกตนเป็นชนชั้นที่มีอภิสิทธิ์<br />แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดโปงระบอบอำมาตยาธิปไตย และประเพณีหลายๆอย่างที่ชนชั้นอำมาตย์เก็บเงียบมานาน<br />ในการปกครองที่แนบเนียน ..แต่อาวุธลับเหล่านี้ ก็ถูกเปิดออกมาจนหมด..โดยแกนนำพันธมิตรฯ ที่อำมาตย์สร้างขึ้นมา<br /><br />ความหวังที่จะให้เกิดรัฐประหาร ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในปี 2551<br />แม้กองกำลังติดอาวุธเบาของพันธมิตรฯ จะช่วยให้เกิดเหตุจลาจลขึ้นหลายครั้ง<br />เช่นตอนเช้าของวันที่ 26 สิงหาคม (พ.ศ. 2551) กองกำลังติดอาวุธพันธมิตรฯ บุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย<br />และสถานที่ราชการอีกหลายแห่ง แต่ในที่สุดก็ต้องล่าถอยไปหมด ..เพราะไม่มีกองทัพไทยออกมาช่วยก่อรัฐประหาร<br />ในกองทัพไทย มีความแตกแยกเป็นหลายฝ่าย จึงเป็นไปได้ว่า..กลุ่มที่ลงมือทำรัฐประหารก่อน อาจถูกอีกกลุ่มออกมา<br />ปราบ หรือตลบหลัง..ทำรัฐประหารซ้ำ ทำให้ไม่มีใครเสี่ยงออกมาเป็นกลุ่มแรก<br /><br />การรุกแตกหักของชนชั้นอำมาตย์ ดูเหมือนรุนแรงและได้เปรียบในทุกด้าน ..แต่กลับผิดพลาดไปทุกด้านเช่นกัน<br />ตรงกันข้ามกับฝ่าย นปช. ที่ในช่วงนั้นลดบทบาทตนเองลง และตั้งเป็นฝ่ายรับเท่านั้น แต่ นปช. กลับมีมวลชนเพิ่มมาก<br />ขึ้นทุกวัน โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แค่รอผลสะท้อนกลับจากการกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ<br /><br /><span style="font-size:130%;">อย่างไรก็ตาม ชนชั้นอำมาตย์ในยุคนี้ มีมุมมองที่เหนือสามัญสำนึกอย่างเหลือเชื่อ<br />และยังคงออกอาวุธ รุกคืบต่อไปอย่างไม่สนใจความเสียหายต่อชนชั้นของตนเอง</span><br /><br /><span style="color: rgb(153, 0, 0);font-size:130%;" >07<br />ตุลาการรัฐประหาร ก่อให้เกิด "คนเสื้อแดง"</span><br /><br />การยัดคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้กับจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ / แกนนำ นปช.<br />การตัดสินคดีทุจริตเลือกตั้งของยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานรัฐสภา / สส.พรรคพลังประชาชน<br />การใช้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญปลด สมัคร สุนทรเวช จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ..<br />และมาจนถึงศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลังประชาชน - เหล่านี้ มิได้แตกต่างไปจากคดียุบพรรคไทยรักไทย<br /><br />ในความเห็นของแนวร่วมชนชั้นอำมาตย์ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องน่ายินดีและสะใจ<br />แต่ในมุมมองของประชาชนอีกจำนวนมาก เห็นต่างออกไป..และเห็นว่าเป็นการใช้อำนาจเพื่อกลั่นแกล้ง อยุติธรรม<br /><br />คำบรรยายเชิงวิชาการของนายจักรภพ เพ็ญแข ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ..เมื่อปี 2550 ไม่มีถ้อยคำใดที่กล่าว<br />หมิ่นสถาบันกษัตริย์ แต่ฝ่ายอำมาตย์ยกเอาคำว่า "ระบบอุปถัมภ์" ว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (?) ทั้งที่คำว่า<br />patronage ในภาษาอังกฤษ หรือ แปลว่า "ระบบอุปถัมภ์" ในภาษาไทย ล้วนเป็นคำที่ใช้กันทั่วไป และในเนื้อหาก็<br />มิได้กล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ด้วยซ้ำ - อย่างไรก็ตาม วิธีการกำจัดศัตรูทางการเมืองของชนชั้นอำมาตย์ คือยัดข้อหา<br />ในทำนองนี้ โดยมี "สื่อมวลชนกระแสหลัก" เป็นผู้รับใช้ขยายความ<br /><br />ในคดีทุจริตเลือกตั้ง ข้อกล่าวหาคือนายยงยุทธ ติยะไพรัช แจกเงินให้หัวคะแนนในจังหวัดเชียงราย<br />แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากปากคำของพยายโจทก์เอง กลายเป็นว่าพวกเขาพบกับนายยงยุทธ ติยะไพรัช ก่อนจะมี<br />การเลือกตั้ง และยังไม่มีการประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ..การพบปะกันนั้น นายยงยุทธมิได้เป็นคนนัดหมาย และยัง<br />ไม่ได้ต้องการจะพบคนเหล่านี้ด้วยซ้ำ .. จากนั้น พยานโจทก์เกือบทุกคนยืนยันว่าจำเลยคือนายยงยุทธ ติยะไพรัช<br />ไม่เคยแจกเงินให้พวกตน มีพยานโจทก์เพียงคนเดียวที่ยืนยันตามคำฟ้อง ..<br /><br />ทุกฝ่ายยอมรับว่า การพบปะระหว่างนายยงยุทธ ติยะไพรัช และบุคคลเหล่านี้เกิดขึ้นก่อน พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง<br />นั่นหมายถึงว่า <strong>เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง</strong> ไม่ว่าจะพบหรือไม่พบ จะให้เงินหรือไม่ให้เงิน<br /><br />อย่างไรก็ตาม ศาลการเมือง บอกว่าผิด ..และนำคดีเดียวกันไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชนอีกด้วย<br /><br /><strong>วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551</strong><br />นายชัช ชลวร ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมคณะ ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยในกรณีที่ประธานวุฒิสภา<br />ส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภาและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความสิ้นสุดการ<br />เป็นนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 267 ประกอบมาตรา 182 (7) เนื่องจากรับเป็น<br />"พิธีกรกิตติมศักดิ์" ของรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยง 6 โมงเช้า” ซึ่งคณะตุลาการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0<br />เสียง เห็นว่านายสมัครกระทำต้องห้ามขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 267 เรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี<br /><br />จึงทำให้นายสมัครสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีลง แต่ให้คณะรัฐมนตรีรักษาการไปจนกว่าจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่<br /><br /><span style="font-size:130%;">ตรงนี้เป็นจุดพลิกผันสำคัญ..อีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์<br />นปช. มีแนวร่วมประชาชนเพิ่มขึ้นอีก เป็นเท่าทวีคูณเพียงชั่วข้ามคืน</span><br />สิ่งที่ นปช. กล่าวถึงชนชั้นอำมาตย์ อำนาจอันไม่ชอบธรรม ความอยุติธรรมของระบอบอำมาตยาธิปไตย ..สิ่งเหล่านี้<br />ชนชั้นอำมาตย์ ได้ช่วยพิสูจน์ตนเองด้วยการกระทำ..ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าทุกอย่างที่ นปช. พูดถึงนั้นได้เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น<br /><br /><strong>วันที่ 7 ตุลาคม 2550</strong><br />กลุ่มพันธมิตรฯ และกองกำลังติดอาวุธเบา พยายามยับยั้งการแถลงนโยบายของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี<br />คนใหม่จากพรรคพลังประชาชน ..กลุ่มพันธมิตรฯพยายามบุกเข้าไปในรัฐสภา และปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดทั้งวัน<br />มีผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บจำนวนมาก คนของกลุ่มพันธมิตรฯเสียชีวิตสองคน..จากระเบิดของกลุ่มพันธมิตรฯ<br />ด้วยกันเอง อย่างไรก็ตาม มวลชนพันธมิตรฯมีความเชื่อตรงกันข้าม และสื่อมวลชนกระแสหลัก ก็โหมข่าวเข้าข้างกลุ่ม<br />พันธมิตรฯอย่างเต็มที่ - อย่างไรก็ตาม การระดมสรรพกำลังมากมายทุกแขนง ชนชั้นอำมาตย์ก็ยังไม่สามารถทำลายฝ่าย<br />ตรงข้ามทางการเมืองของตนลงไปได้ ชนชั้นอำมาตย์ไม่ได้เพิ่มมวลชนของฝ่ายตน (ดูจากการออกมาร่วมชุมนุม) และ<br />ไม่ได้ลดมวลชนของฝ่ายตรงข้าม -<br /><br /><span style="font-size:130%;">ปรากฏการณ์นี้ แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งได้ร้าวลึก<br />จนกลายเป็นสองขั้วชัดเจน..และยากจะคุยกันได้อีกต่อไป</span><br /><br />แน่นอนว่า ในจำนวนนี้ย่อมมีคนที่อ้างว่า "เป็นกลาง" หรือ "ไม่ฝักใฝ่ใด" หรือสารพัดข้ออ้าง..ที่จะไม่ต้องร่วมรับผิดชอบ<br />ต่อความเปลี่ยนแปลงในสังคม คนเหล่านี้..นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ เรียกว่า "พวกชิงหมาเกิด" และใน<br />ความเป็นจริง คนเหล่านี้ก็คือบางส่วนของ พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง ที่สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯมาแต่ต้นนั่นเอง แต่เมื่อ<br />เหตุการณ์ไม่ราบรื่น ก็เป็นธรรมชาติของคนประเภทนี้..ที่จะหนีเอาตัวรอด โดยอ้าง วาทกรรมความเป็นกลาง - นี่เป็น<br />ปัญหาใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯมาตั้งแต่ต้น ที่นำพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางเข้ามาร่วมขบวนการ<br /><br />ขณะเดียวกัน - มวลชนของ นปช. ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นไปอีก<br />คราวนี้มีมวลชนตำรวจชั้นผู้น้อย..เข้ามาร่วมกับ นปช. อีกเป็นจำนวนมาก เพราะ<br />ตำรวจชั้นผู้น้อยมองว่าตนเองก็กลายเป็น "เหยื่อความอยุติธรรมของอำมาตยาธิปไตย" เช่นกัน<br /><br /><strong>วันที่ 11 ตุลาคม 2551 ผู้จัดรายการ"ความจริงวันนี้" และแกนนำ นปช. ได้นัดพบประชาชนที่เมืองทองธานี<br />โดยนัดแนะกันใส่เสื้อแดงเป็นสัญลักษณ์ นับเป็นการปรากฏตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรก..ในฐานะ "คนเสื้อแดง"</strong><br />แน่นอนว่า เสื้อแดง หรือการใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ มีมาตั้งแต่การรณรงค์คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ 2550 และการ<br />ชุมนุมที่ม้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2550 ถือเป็นการชุมนุมครั้งแรกที่มีคนใส่เสื้อแดงมารวมกันมากมาย<br /><br />อย่างไรก็ตาม หากกล่าวถึง "ความเป็นคนเสื้อแดง" จุดเริ่มต้นเป็นทางการคือ 11 ตุลาคม 2551<br /><br /><strong>วันที่ 1 พฤศจิกายน 2551</strong><br />รายการ"ความจริงวันนี้"นัดพบประชาชนอีกครั้ง ที่ราชมังคลากีฬาสถานแห่งชาติ ซึ่งมีประชาชนเสื้อแดงมาร่วมประมาณ<br />หนึ่งแสนคน โดยคำนวณจากที่นั่งในสนามกีฬา พื้นที่บนสนาม พื้นที่บริเวณใกล้เคียงทั้งหมด<br /><br /><span style="font-size:130%;">วันที่ 26 พฤศจิกายน 2551<br />กลุ่มพันธมิตรฯขยายขอบเขตความรุนแรงมากขึ้น<br />โดยยกกำลังเข้ายึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ สนามบินนานาชาติดอนเมือง<br />และยังมีการบุกเข้ายึดหอบังคับการบินที่สนามบินสุวรรณภูมิอีกด้วย<br />ทำให้เครื่องบินทั้งหมดไม่สามารถขึ้นลงได้สักลำเดียว มีสินค้าและผู้โดยสารตกค้าง..<br />ติดอยู่ในสนามบินอีกเป็นจำนวนมาก</span><span style="font-weight: bold;font-size:130%;" > </span><br /><br />อย่างไรก็ตาม การรัฐประหารที่ก็ยังไม่เกิดขึ้น<br />ส่วนการปราบปรามผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯที่ยึดสนามบินอยู่..ก็ไม่มีเช่นกัน<br />กล่าวกันว่ากองทัพไทย โดยเฉพาะพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เลือกที่จะขัดคำสั่งรัฐบาล (ถึงสองครั้ง) ในการไม่ปราบ<br />กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ว่าเมื่อยึดทำเนียบรัฐบาล หรือยึดสนามบิน ขณะเดียวกัน พลเอกอนุพงษ์ ก็ขัดคำสั่งชนชั้นอำมาตย์<br />โดยไม่นำกำลังทหารออกมาก่อรัฐประหาร (ครั้งแรก 26 สิงหาคม 2551 เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯมายึดสถานีโทรทัศน์แห่ง<br />ประเทศไทย NBT เปิดทางไว้ให้ แต่ทหารก็ไม่กล้าออกมาสานต่อผลงาน)<br /><br /><span style="font-size:130%;">เมื่อเป็นเช่นนี้ ชนชั้นอำมาตย์ก็ต้องลงมือเองอีกครั้ง<br />วันที่ 2 ธันวาคม 2551 ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลังประชาชน..<br />อย่างรวดเร็ว และลัดขั้นตอนทุกอย่าง เป็นการปิดฉากรัฐบาลพรรคพลังประชาชน -<br />เท่านั้นยังไม่พอ ชนชั้นอำมาตย์ยังใช้พลังพิเศษในการบังคับให้พรรคร่วมรัฐบาลหันมา<br />ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์..ในการตั้งรัฐบาลใหม่ แล้วดึงกลุ่ม สส. ทรยศจากพรรค<br />พลังประชาชนมาร่วมอีกสามสิบกว่าคน (ส่วนมากเป็นกลุ่ม เนวิน ชิดชอบ)</span><br /><br />ในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งบังคับยุบพรรพลังประชาชน กองทัพไทยได้นำกำลังทหาร พร้อมอาวุธสงคราม<br />ออกมาแสดงอาการข่มขู่ประชาชนผู้สนับสนุนพรรคพลังประชาชน ที่ชุมนุมกันอยู่ใกล้สถานที่ตัดสินคดี<br />และในวินาทีเดียวกันนั้น กลุ่มพันธมิตรฯยังคงยึดสนามบินนานาชาิติสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง ทำเนียบรัฐบาล<br />รวมทั้งทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวที่สนามบินดอนเมือง (ซึ่งอยู่ติดกับกองทัพอากาศ) ..โดยที่กองทัพไทยไม่เคยแสดง<br />อาการเดือดร้อนใดๆ ไม่เคยแตะต้องกลุ่มพันธมิตรฯ ซ้ำยังส่งกำลังไปคุ้มครองป้องกันเสียด้วย..<br /><br /><span style="font-size:130%;"><br /><span>นี่คือการก่อรัฐประหารในรูปแบบใหม่..</span></span><br /><br />และนี่กลายเป็นจุดแตกหัก..ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย<br />ที่ประเทศแบ่งออกเป็นสองขั้ว เกลียดชังกันอย่างชัดเจน เป็นครั้งแรกที่ชนชั้นอำมาตย์เปิดสงครามกับประชาชน<br />เป็นครั้งแรกที่แนวร่วมประชาชนนับล้าน ประกาศเป็นศัตรูกับชนชั้นอำมาตยาธิปไตย<br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-86079968359140588742009-11-19T06:39:00.001-08:002009-11-19T18:33:01.536-08:00มติชนเขียนข่าวโกหก !! Matichon News Lies !!<img src="http://farm4.static.flickr.com/3061/2475539307_1e2114f574.jpg" /><br /><br /><br />โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์ : 19 พฤศจิกายน 2552<br /><br /><span style="font-size:130%;">สื่อไทยชั่วสุดขีด ล่าสุดมติชนโกหกว่า"จักรภพ"แถลงข่าวส่งอาวุธเขมรเข้าไทย</span><br /><br />ยังมีพฤติการณ์ที่ตกต่ำหาความเชื่อถือไม่ได้ ไร้การตรวจสอบข่าว เอาแต่จะจ้องทำลายดิสเครดิตฝ่าย<br />ประชาธิปไตยเป็นสมุนช่วงใช้เผด็จการเข้าทุกวันสำหรับสื่อกระแสหลัก <strong>หลังจากอาทิตย์ที่แล้ว เครือผู้จัดการ<br />และสื่อกระแสหลักโหมชวนเชื่อว่าทักษิณให สัมภาษณ์TIMES ONLINEหมิ่นเบื้องสูง ทั้งที่ทักษิณให้<br />สัมภาษณ์จงรักภักดี และเมื่อวานยังออกข่าวมั่วอีกใส่ไคล้ว่านักท่องอินเตอร์เน็ตที่เป็นนาง พยาบาลกับ<br />ดีเจจัดรายการผ่านแคมฟร็อกเป็นคนคุมการยิงระเบิดM79ใส่เวทีพันธมิตร</strong><br />(ดูลิ้งค์ข่าว <a href="http://thaienews.blogspot.com/2009/11/djm79.html">ฮาลั่นเวบเสธ.แดง พธม.แหลใส่นางพยาบาลเล่นเน็ตกับDJแคมฟร็อกเป็นมือบึ้มM79ถล่มพันธมิตร </a>)<br /><br />ล่าสุดมาถึงคิว"สื่อคุณภาพของประเทศ"อย่างมติชนออนไลน์กันบ้างที่พาดหัวข่าวว่า<br /><a href="http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1258541251&grpid=00&catid=">บก.เรดนิวส์ยัน"จักรภพ"แถลงข่าวส่งอาวุธเขมรเข้าไทย19พ.ย.</a> โดยเนื้อหาข่าวมีดังนี้<br /><br /><blockquote>ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเย็นวันที่ 18 พฤศจิกายนได้รับแจ้งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือ<br />ระบุข้อความนัดหมายสื่อมวลชนว่า นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำคนเสื้อแดงที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดี<br /><strong>จะแถลงข่าวส่งอาวุธเขมรเข้าไทย </strong> วันที่ 19 พฤศจิกายน.เวลา 14.30 น. ที่ชั้น 5 ห้อง<br />เรดช็อป อิมพีเรียล ลาดพร้าว อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่อไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็น<br />ผู้แจ้งกำหนด การดังกล่าวแต่ปรากฏว่าได้ปิดเครื่องไม่สามารถติดต่อได้<br /><br />ขณะที่นาย จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทยและแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ<br />แห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า ตนไม่ทราบความเคลื่อนไหวของนายจักรภพว่าได้เข้ามาประเทศไทยแล้วหรือยัง<br />เพราะหลังจากที่นายจักรภพประกาศแยกทางไปตั้งกลุ่มแดงสยามก็ไม่ได้ติดต่อ ประสานงานกันอีกเลย ส่วน<br />การแถลงข่าวของนายจักรภพในวันที่ 19 พ.ย. ก็เป็นเรื่องของนายจักรภพ ส่วนพวกตนก็คือ นปช. โดยหลังจาก<br />การประชุมในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ แกนนำ นปช.จะแถลงข่าวในเวลา 13.00 น.ที่อิมพีเรียลลาดพร้าวเช่นเดียวกัน<br /><br />ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวมติชน ได้โทรศัพท์สอบถามไปยังนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำ นปช.และ<br /><strong>บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Red News ของคนเสื้อแดง ได้กล่าวยืนยันว่า<br />นายจักรภพจะเปิดแถลงข่าวจริง</strong>ใน เวลา 14.30 น. วันที่ 19 พ.ย. นี้ ที่ ร้าน Red Shop ชั้น 5 อิมพีเรียล<br />ลาดพร้าว ขณะที่ แกนนำ นปช. 3 เกลอนั้นจะแถลงข่าวที่ ชั้น 6 สถานที่เดียวกัน<br /><br /><br />สำหรับนายจักรภพ นั้น เป็นต้องหาในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112<br />กรณีกล่าวบรรยายพิเศษเป็นภาษาอังกฤษโดยมีถ้อยคำเข้าข่ายดูหมิ่นสถาบัน ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ<br />แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ก่อนที่จะหลบหนีหมายศาลและเดินทางไปต่างประเทศ โดยที่<br />ไม่กลับเข้าประเทศไทยมาตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน 2552 ภายหลังจากการชุมนุมใหญ่และก่อจลาจลโดยกลุ่ม<br />เสื้อแดง แต่ก็ยังคงมีความเคลื่อนไหวทางด้านการเมืองอยู่เรื่อยๆ </blockquote><br /><br /><span style="font-size:130%;">ทีมงานจักรภพโต้ไม่เคยแจ้งเลยว่าเป็นเรื่องแถลงข่าวขนอาวุธเขมรเข้าไทย</span><br /><br />ทีม งานนายจักรภพ เพ็ญแข เปิดเผยว่า ได้แต่งุนงงกับข่าวที่มติชนนำเสนอเรื่องแถลงข่าวจะขนอาวุธจากเขมร<br />เข้าไทยเพราะไม่เคยแจ้งไปเช่นนั้นเลย แต่ได้แจ้งไปยังสื่อมวลชนจริงๆด้วยข้อความว่า<br /><br />"เรียนพี่น้อง สื่อมวลชนที่รัก ในวันพฤหัสบดีที่ 19 พ.ย. 52 “คุณจักรภพ เพ็ญแข”<br />จะจัดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เป็นครั้งแรก หลังจากที่ได้เดินทางออกนอกประเทศ เพราะเห็นว่าระยะนี้<br />มีข่าวเกี่ยวกับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านออกมามาก มาย ซึ่งถูกบ้างผิดบ้าง จึงอยากจะเปิดใจให้<br />ทุกท่านได้รับทราบถึงข้อเท็จจริงจึงขอเชิญพี่น้องสื่อมวล ชน มาร่วมฟังการแถลงข่าวในครั้งนี้โดยพร้อมเพรียงกัน<br />ในวันพฤหัสบดีที่ 19 พ.ย. 52 เวลา 14.00 น. ณ ห้องเสวนา ชั้น 5 (The Red Shop) ห้างอิมพีเรียล เวิล์ด<br />ลาดพร้าว ติดต่อคุณนุช 081-6967603, คุณสุณี 089-0412131 กรุณาแจ้งบอกต่อให้ด้วยคะ"<br /><br />ทั้งนี้จากการสอบถามนาย จักรภพ ทีมงานของนายจักรภพกล่าวว่า<br />อาจมีการแถลงข่าวในประเด็นนี้หลังจากสื่อมวลชนนำเสนอข่าวคลาดเคลื่อน เหมือนการพยายามโยงว่าฝ่าย<br />ทักษิณไปติดต่อกับเขมรเพื่อขนอาวุธเข้ามาก่อเหตุในไทย ซึ่งเป็นความพยายามของสื่อกระแสหลักที่จะให้ร้าย<br />ความเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตย<br /><br />ทั้งนี้ที่มติชนออนไลน์อ้างว่ามีการแจ้งข้อความผ่าน โทรศัพท์มือถือแจ้งการแถลงข่าวนั้นมีการแจ้งไปจริง<br />ผ่าน SMSของสำนักข่าว TPnews โดยมีข้อความว่า<br />"บ่ายสอง19พ.ย.จักรภพแถลงข่าวประเด็นร้อนๆที่ชั้น5อิมพีเรียลลาดพร้าว"<br /><br />"คุณจักรภพอ่านข่าวแล้วก็ได้แต่ขำๆ มติชนนี่ว่าหนักแล้ว "ข่าวออนไลน์ของเนชั่นทันข่าว"ตลกกว่าอีกบอกว่า<br />จักรภพจะขนอาวุธมาที่ร้าน เรดช็อป อิมพีเรียลลาดพร้าวกันเลย คุณจักรภพก็ได้แต่ขำๆ และจะถือโอกาสชี้แจง<br />ความจริงซะเลยในวันนี้"เจ้าหน้าที่ทีมงานนายจักรภพกล่าว และเพิ่มเติมว่า ก่อนนี้มีสื่อบางฉบับนำเสนอข่าวพาดพิง<br />ว่าจักรภพจะขนอาวุธเข้าไทย เลยทำให้นายจักรภพออกมาชี้แจงแถลงข่าววันนี้ พอส่งหนังสือเชิญทางสื่อมวลชน<br />มาทำข่าว กลายเป็นเรื่อง"ไปไหนมาสามวาสองศอก"เพราะนำไปพาดหัวว่าจักรภพแถลงข่าวจะขนอาวุธจากเขมร<br />เข้าไทย<br /><br />ทั้งนี้จากการที่ทีมงานจักรภพสอบถามไปยังมติชนว่าทำไมเสนอข่าวอย่างนี้<br />ได้รับคำตอบว่าพอดีในส่วนของการนำเสนอข่าวออนไลน์นั้นเป็นแผนกเล็กๆควบคุม ดูแลไม่ทั่วถึง<br />และเป็นนักข่าวใหม่ที่ดูแลอยู่ 2คน แต่จนป่านนี้มติชนออนไลน์ก็ไม่ได้แก้ไขข่าวแต่อย่างใด<br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-70664905452693396852009-11-15T15:14:00.000-08:002009-11-15T15:32:25.807-08:00ทำไมอำมาตย์ต้องการสงครามที่ชายแดนกัมพูชาarticle : SIAM Freedom Fight<br /><br />อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะนโยบาย<br />กับต่างประเทศ - และเพียงลำพังพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ก็ไม่ใช่บุคคลเดียวที่บงการทุกอย่างในระบอบ<br />อำมาตยาธิปไตย ส่วนชนชั้นสูงในระบอบอำมาตยาธิปไตยนั้น แม้นมีนิสัยชอบดูถูกเหยียดหยามเพื่อนบ้าน<br />แม้นสร้างสมอำนาจด้วยการปลุก "ลัทธิคลั่งชาติ" ให้ประชาชนรู้สึกเป็นศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้านตลอดเวลา<br /><strong>แต่ทว่า ชนชั้นอำมาตยาธิปไตย ซึ่งมีการศึกษา และประกอบด้วยผู้คนหลากหลายอาชีพ ย่อมรู้ดีว่า</strong><br />สงครามกับประเทศเพื่อนบ้านในศตวรรษปัจจุบัน ไม่สามารถรบยืดเยื้อ หรือขยายขอบเขตสงครามออกไป<br />จนถึงขั้นรบไล่กันในตัวเมือง เพราะกลุ่มอาเซี่ยนย่อมเข้าแทรกแซง..เพื่อยุติสงคราม แล้วถ้าประเทศคู่สงคราม<br />ยังคงดื้อดึง ก็ยังมีองค์การสหประชาชาติ และนานาประเทศ ที่จะยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ย เข้ามาบังคับให้ยุติ<br />การสู้รบนั้นทันที ไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตาม<br /><br />ดังนั้น ชนชั้นอำมาตยาธิปไตย ย่อมรู้ดีว่าการปลุกกระแสคลั่งชาติอย่างรุนแรง เพื่อนำไปสู่สงครามกับประเทศ<br />กัมพูชา ปลุกให้ลุกลามถึงขั้นรบราฆ่าฟันกันนั้น ถึงแม้กองทัพไทยไม่อาจเอาชนะเด็ดขาดในสนามรบ แต่ศึก<br />สงครามก็จะไม่มีวันขยายวงเข้ามาถึงพื้นที่ในตัวเมือง อันเป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นกลาง หรือ "พวกปฏิกิริยา<br />ชนชั้นกลาง" อันเป็นแนวร่วมสำคัญของระบอบอำมาตยาธิปไตย - ที่แน่นอนที่สุดคือ สงครามนี้จะไม่มีทาง<br />ขยายวงเข้ามาถึงชานเมืองกรุงเทพฯ เพราะนานาประเทศจะต้องเข้ามาแทรกแซงก่อนที่สงครามจะบานปลาย<br /><br />สงครามนี้ก็จะอยู่แค่ชายแดนไทย - กัมพูชาเท่านั้น<br /><br /><span style="font-size:130%;"><span>แล้วใครคือ "ทหารที่ถูกกำหนดให้ตาย" ในสงครามที่ว่านี้ ??</span></span><br /><span style="font-size:130%;"><span style="font-weight: bold;"><br /></span><span>แน่นอนว่า ทหารที่ถูกกำหนดให้ตายในสงครามที่ว่านี้คือ<br />ทหารพราน ซึ่งส่วนมากเป็น "คนเสื้อแดง"</span></span><br />ถึงแม้เป็นพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 แต่ทหารพรานก็เป็นหน่วยแรก ที่ต้องรักษาพื้นที่แนวชายแดน<br />ไทย - กัมพูชาเอาไว้ เพราะเป็นหน้าที่ เป็นพื้นที่รับผิดชอบโดยตรง<br /><br />คนกรุงเทพปลุกกระแสสงคราม แต่ทหารจากกรุงเทพไม่ต้องออกไปรบ<br />พรรคการเมืองของภาคใต้สนับสนุนสงคราม แต่ทหารจากภาคใต้ก็ไม่ต้องออกไปรบ<br />แม้แต่ปัญหาในสามจังหวัดของภาคใต้เอง ก็ยังขนคนอีสาน คนเหนือไปรบแทนตัวเอง แล้วคนใต้อยู่ที่ไหน ??<br />อยู่ที่พิษณุโลก ?? ที่ไม่มีศึกสงคราม ?? หรือเปล่า ?? --<br /><br />มาถึงสงครามไทย - กัมพูชา ที่อำมาตย์ไทยต้องการให้เกิดขึ้นเสียเหลือเกินนั้น<br />ที่สุดแล้ว มันก็กำหนดไว้แต่ต้น..ว่าต้องให้ ทหารพราน..ซึ่งส่วนมากเป็นคนเสื้อแดงออกไปรบ<br />ที่สุดแล้ว มันก็กำหนดไว้แต่ต้น..ว่าต้องให้ ทหารพราน..ซึ่งส่วนมากเป็นคนเสื้อแดงออกไปตาย<br />ที่สุดแล้ว มันก็กำหนดไว้แต่ต้น..ว่าเมื่อทหารพราน..ซึ่งส่วนมากเป็นคนเสื้อแดงตายไปเยอะแล้ว<br />มันก็จะเรียกร้องให้นานาประเทศเข้าแทรกแซง เพื่อยุติสงคราม เพื่อทหารกรุงเทพ ทหารคนใต้ไม่ต้องออกรบ<br /><br />ระหว่างที่มันส่งทหารพราน ลูกหลานคนเสื้อแดงออกไปตายในสนามรบ (ที่มันจงใจให้แพ้มาแต่ต้น) พวกสื่อ<br />ในกรุงเทพ ก็จะประโคมข่าวให้ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงทุกวี่ทุกวัน ในขณะที่ทหารกรุงเทพ ทหารคนใต้อยู่อย่าง<br />มีความสุขความสบาย (อาจสะสมกำลังเตรียมรัฐประหาร หรือออกมาไล่ฆ่าคนเสื้อแดง หลังจากที่กำลังทหารพราน<br />ของเราตายไปแล้วในสนามรบ)<br /><br />พอจะคิดออกหรือยังว่า ทำไมอำมาตย์ต้องการสงครามที่ชายแดนกัมพูชา<br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-23584471812770341212009-10-01T17:43:00.000-07:002009-10-01T17:48:28.211-07:00เพลงชาติไทยคือเพลงของคนเสื้อแดง<br/><br /><br/><br />เพลงชาติไทยเหมาะกับการต่อสู้ของ "คนเสื้อแดง" อย่างมาก<br />ราวกับว่าเขียนเนื้อเพลงขึ้นมาให้คนเสื้อแดงโดยเฉพาะ ..ขนาดนั้น<br />คราวนี้ เราลองมาดูเนื้อเพลงกันที่ละท่อน..<br /><br /><b>ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย</b><br />ประโยคนี้ตรงไปตรงมา ไม่ต้องตีความ<br /><br /><b>เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน</b><br />ท่อนนี้สำคัญมากที่สุด .."เป็นประชารัฐ" คือเป็นรัฐของประชาชน<br />ย้ำอีกครั้ง..เป็นรัฐของประชาชน - และตามด้วย "ไผทของไทยทุกส่วน"<br />คือแผ่นดินทุกส่วนเป็นของคนไทย นั่นก็หมายความว่าประเทศนี้<br />เป็น รัฐของประชาชน ซึ่งแผ่นดินทุกตารางนิ้วก็เป็นของประชาชนคนไทย<br /><br /><b>อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี</b><br />ท่อนนี้ก็ตรงไปตรงมา ไม่ต้องขยายความ<br />และตามต่อด้วย..<br /><b>ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด</b><br />ก็คือ กูอยู่ของกูเฉยๆ อย่ามายุ่งกะกู (รักสงบ) แต่ถ้ามันมากเกินไป<br />ก็ต้องเป็นเรื่องกัน ..ซึ่งเนื้อความนี้ก็ตรงกับนิสัยคนไทยจริงๆ เวลา<br />หมดความอดทน ก็ต้องยกพวกมาลุยกันให้เละไปข้างหนึ่ง..(แต่ถึงรบไม่ขลาด)<br /><br /><b>เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่</b><br />ท่อนนี้ก็ตรงไปตรงมาอีกเช่นกัน แต่หากขยายความสักนิดหน่อย<br />"เอกราช" นี้คืออะไร ..ในสังคมศตวรรษที่ 21 ที่ไม่มีการล่าอาณานิคม<br />ในแบบยกทัพไปยึดครองประเทศ กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยอีกแล้ว<br />คำว่า เอกราช นั้นไม่ต้องอธิบาย เพราะเป็นคำพื้นฐานที่ทุกคนเข้าใจ<br />อย่างไรก็ตาม เมื่อเราโยงเข้าสู่เนื้อความก่อนหน้าในเพลงชาตินี้ คือ<br />"เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน" - เมื่อเป็นรัฐของประชาชน ที่<br />แผ่นดินทุกส่วนเป็นของประชาชน ..เอกราชของรัฐนี้ จึงต้องเป็นเรื่อง<br />สิทธิ เสรีภาพของประชาชน..ในฐานะเจ้าของแผ่นดินตัวจริง<br /><br />หากประชาชนไม่ใช่เจ้าของแผ่นดินตัวจริง ไม่มีอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง<br />และถูกครอบงำโดยอำนาจอื่น หรือหากประชาชนจำต้องใช้อำนาจอธิปไตย<br />นั้นในทางอ้อม หรือถูกริดรอน ถูกแย่งชิง (เช่นรัฐประหาร) ถูกจำกัด กดขี่<br />ด้วยกฏหมายที่ไม่เป็นธรรม..ไม่มีมาตรฐาน นั่นเท่ากับว่าในรัฐของประชาชน<br />ที่ว่านี้ไม่มีเอกราช คือถูกครอบครอง ยึดครอง <br /><br />ดังนั้น การที่ประชาชนลุกขึ้นสู้กับ "อำนาจ" ข้างต้น จึงเป็นไปตามเนื้อความ<br />ในเพลงชาติไทย ที่ว่า "เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่"<br /><br />ในท่อนสุดท้าย<br /><b>สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย</b><br />ตรงไปตรงมาอีกเช่นกัน ..เพื่อรักษาเอกราชของรัฐแห่งประชาชน<br /><br />จึงเป็นเรื่องน่าสนใจ ..หักมุมนิดๆ<br />ที่รัฐบาลหุ่นเชิดของอำมาตยาธิปไตย เชิญชวนให้ผู้คนร้องเพลงชาติไทยของ<br />คนเสื้อแดง ในขณะที่คนเสื้อแดงกำลังต่อสู้กับอำมาตยาธิปไตย เพื่อเป็นไป<br />ตามเนื้อความในเพลงชาติ .. ทำให้คิดต่อไปได้ว่า สาวกอำมาตย์เหล่านี้ ไม่เคย<br />ฟังเพลงชาติไทยอย่างจริงจังสักครั้งเลย..หรือไม่ ??<br /><br /><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2">ประวัติ ความเป็นมาของเพลงชาติไทย</a><br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-46447716495082942672009-09-20T07:42:00.000-07:002009-09-20T07:43:20.310-07:00ร่วมกันทำลายแนวคิด/ลัทธิของอำมาตย์article : Giles Ji Ungpakorn ใจ อึ๊งภากรณ์<br />date : September 19 , 2009 - 19 กันยายน 2552<br /><br />จักรภพ เพ็ญแข จบบทความของเขาเมื่อไม่นานมานี้ด้วยถ้อยคำสำคัญดังต่อไปนี้<br /><strong>“ประชาชน...อำมาตย์... สองเราต้องเท่ากัน”</strong><br />น่าคิดนะครับ!! <br /><br />ในความเห็นส่วนตัวของผม <br />(ซึ่งคุณจักรภพไม่ต้องรับผิดชอบกับบทความนี้เพราะไม่ได้คุยกันมาเจ็ดเดือน) <br />ประเด็นไม่ใช่ว่าฝ่ายอำมาตย์ “จะยอมหรือไม่” อย่างที่บางคนอาจนึกคิด<br /><br />แต่ประเด็นที่บทความของคุณจักรภพชวนให้ผมคิด และผมขอชวนให้ท่านคิดต่อ... <br />คือเรื่องลัทธิ “ความเสมอภาค” เพราะลัทธิหรือปรัชญา “ความเสมอภาค” เป็นอาวุธทาง<br />ความคิดที่สำคัญที่สุดในการทำลายลัทธิอภิสิทธิ์ชนของอำมาตย์<br /><br />คิดดูซิ อำมาตย์ทำรัฐประหารเพราะมองว่าพลเมืองส่วนใหญ่ “ต่ำและโง่เกินไป” <br />“ไม่ควรมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกรัฐบาล” อำมาตย์เกลียดชังการที่รัฐบาลไทยรักไทยนำ<br />ภาษีประชาชนมาบริการประชาชน เช่นในระบบสาธารณสุข เพราะอำมาตย์อยากเอาเงิน<br />ภาษีพลเมืองมาใส่กระเป๋าของตนเอง มาเชิดชูตนเอง หรือซื้อเครื่องบินราคาเป็นล้านให้<br />ตัวเองนั่ง อำมาตย์เกลียดระบบรัฐสวัสดิการและเคยพูดไว้เป็นหลักฐานด้วย <br /><strong>เขาชอบให้คนจนพอเพียงกับความจน ไม่อยากให้มีการกระจายรายได้</strong><br /><br />ดังนั้นเราต้องรณรงค์ให้มีรัฐสวัสดิการและการกระจายรายได้<br /><br />อำมาตย์อยากให้เราใช้ภาษาพิเศษกับเขา ชื่อเขาก็แปลกๆยาวๆ เพื่อไม่ให้ดูเท่าเทียมกับเรา <br />เวลาเราไปหาอำมาตย์ก็ต้องคลานเหมือนสัตว์ นิยายอำมาตย์อ้างว่า เขาเหนือมนุษย์ธรรมดา<br />เพราะเก่งทุกอย่าง<br /><br />เราจึงต้องรณรงค์ให้ทุกคนเท่าเทียมกัน<br /><br />ลัทธิ ความคิดเสมอภาคจะทำลายข้ออ้างและการสร้างความชอบธรรมของอำมาตย์ทั้งหมด <br />เพราะลัทธิความเสมอภาคในระบบประชาธิปไตยแท้ ยืนยันว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน <br />ไม่มีใครต่ำ ไม่มีใครสูง ไม่มีใครมีสิทธิพิเศษ ทุกคนถูกติชมได้ ทุกคนต้องทำงานถ้ามีโอกาส<br />หรือมีปัญญาพอ ทุกคนต้องเสียภาษี <br /><strong>และที่สำคัญลัทธิเสมอภาคและประชาธิปไตยแท้ เสนอว่าพลเมืองทุกคนมี<br />วุฒิภาวะที่จะปกครองตนเอง และเลือกผู้แทนของตนเองอย่างเสรี</strong><br /><br />ดังนั้นการทำรัฐประหาร การขัดขวางประชาธิปไตย และการมีคนถือตำแหน่งสาธารณะโดย<br />ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งอย่างเสรี ย่อมเป็นสิ่งที่ผิด การสืบทอดสายเลือดอาจทำให้เรามีหน้าตา<br />เหมือนพ่อแม่ปู่ย่าตายายเราได้ แต่มันไม่ใช่สาเหตุที่จะดำรงตำแหน่งพิเศษในสังคม<br /><br />ถ้าลัทธิเสมอภาคเป็นอาวุธอันแหลมคมที่ใช้ทำลายอำมาตย์ได้ เราควรใช้มันทุกวัน ในทุกเรื่อง <br />ในทุกโอกาส ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ดังนั้นทุกคนร่วมกันทำได้ ผมขอยกตัวอย่างอื่นๆ นอกจาก<br />ตัวอย่างที่เสนอไปแล้ว เช่น - เราควรเสนอว่ามนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเชื้อชาติอะไร ศาสนาอะไร หรือ<br />ใช้ภาษาอะไร เป็นคนเหมือนกันและเท่าเทียมกัน หยุดดูถูก ล้อเลียน หรือเอาเปรียบคนพม่า ลาว <br />เขมร หยุดการมีความคิดอคติกับคนมุสลิมภาคใต้ หยุดคิดว่าการเป็น “ไทย” ยอดเยี่ยมที่สุด และ<br />หยุดคิดว่า “เราเป็นคนไทยด้วยกัน ต้องสามัคคี” ตามแนว “ชาติ ศาสนา กษัตริย์” ของอำมาตย์<br /><br />อย่าลืมว่าอำมาตย์มองว่าคนส่วน ใหญ่ในประเทศเป็นพลเมืองชั้นสอง สิ่งเหล่านี้สำคัญ <br />เพราะทุกครั้งที่ท่านเสนอว่าทุกคนเท่าเทียมกัน คุณกำลังปฏิเสธแนวอำมาตย์ และเอาดาบทาง<br />ปัญญาฟันความคิดของเขา<br /><br />เราควรเสนอให้นักโทษในคุกไทยมี สิทธิ์สมกับการเป็นมนุษย์ อย่าดูถูกเขาว่าเป็น “คนเลว” <br />เพราะเพียงแต่อยู่ในคุก คนติดคุกที่เป็นคนดีมีมากมาย เช่นคุณดา คุณสุวิชา คนจนที่โชคร้าย<br />อีกหลายแสนคนติดคุก เพราะเขาเป็นเหยื่อสังคม คนเลวแท้ไม่ได้อยู่ในคุกแต่ปกครองประเทศ <br /><br />คนเสื้อแดงต้องรณรงค์ให้ปล่อยนักโทษส่วนใหญ่ และให้ปฏิรูปคุกซึ่งเป็นนรกของคนจน <br />เราต้องยกเลิกโทษประหาร คนที่ทำผิดยังมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิต และมีสิทธิ์ที่จะปรับตัว เราต้องเลิก<br />อคติที่เรามีกับนักโทษ เลิกใช้แรงงานนักโทษเพื่อเอาโคลนออกจากท่อระบายน้ำ<br /><br />เพราะทุกครั้งที่ท่านเสนอว่าทุกคนเท่าเทียมกัน <br />คุณกำลังปฏิเสธแนวอำมาตย์ -- และเอาดาบทางปัญญาฟันความคิดของเขา<br /><br />เรา ควรยืนยันว่ามนุษย์ต้องเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะมีรสนิยมทางเพศอย่างไร <br />อำมาตย์พยายามสร้างภาพเรื่องครอบครัว และความสำคัญของศีลธรรมอนุรักษ์นิยมเรื่องเพศ <br />แต่เขาเองก็ประพฤติไม่ได้ คนเสื้อแดงต้องเรียกร้องสิทธิเสรีภาพกับ หญิง ชาย เกย์ กะเทย <br />ทอม ดี้ ทุกคนควรได้รับความเคารพเท่าเทียมกัน ผู้หญิงไทยควรมีสิทธิที่จะเลือกทำแท้งอย่าง<br />ปลอดภัยถ้าต้องการ อย่าไปเชื่อจำลอง ศรีเมือง ในเรื่องนี้<br /><br />แล้วทุกครั้งที่ท่านเสนอว่าทุกคนเท่าเทียมกัน <br />คุณกำลังปฏิเสธแนวอำมาตย์ -- และเอาดาบทางปัญญาฟันความคิดของเขา<br /><br />เราควรคัดค้านการใช้อภิสิทธิ์ การปิดถนนเพื่อคนใหญ่คนโต เราต้องร่วมกันด่าร่วมกันวิจารณ์ <br />ทั้งลับหลังและต่อหน้า เราต้องเสนอว่ารถพยาบาลเท่านั้นที่ควรได้อภิสิทธิ์แบบนี้ เราต้องเลิกคิด<br />ว่าในสังคมเราต้องมี “ผู้ใหญ่ กับผู้น้อย” เราควรเลิกก้มหัวให้ผู้ที่อ้างตัวเป็นผู้ใหญ่ ผู้หญิงควรเลิก<br />เรียกตัวเองว่า “หนู” เราควรจะสุภาพกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เรียกทุกคนว่า “คุณ” หรือ “ท่าน” <br />อย่างเสมอภาค<br /><br />เพราะทุกครั้งที่ท่านเสนอว่าทุกคนเท่าเทียมกัน <br />คุณกำลังปฏิเสธแนวอำมาตย์ -- และเอาดาบทางปัญญาฟันความคิดของเขา<br /><br />เราควรรักเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กของใคร ควรรณรงค์ให้เด็กมีความสนุก มีโอกาสเรียนรู้อย่างเสรี <br />และมีสุขภาพที่ดี เด็กๆควรสุภาพ แต่ไม่ต้องมาเคารพผู้ใหญ่ในรูปแบบที่อำมาตย์เสนอ เพราะมัน<br />ไร้เหตุผลและสร้างความเหลื่อมล้ำ เด็กก็เป็นคน มีสิทธิ์มีเสียง และสมควรที่จะได้รับความเคารพ <br />ผู้หญิงสาวๆ หรือชายหนุ่มๆ ที่ทำงานในร้านอาหารหรือที่อื่น ไม่ใช่ “เด็ก” อย่าเรียกเขาอย่างนั้น <br />เรียกว่า “น้อง” หรือ “พี่” ก็ได้ เราต้องมีความเสมอภาคทางอายุ<br /><br />เพราะทุกครั้งที่ท่านเสนอว่าทุกคนเท่าเทียมกัน <br />คุณกำลังปฏิเสธแนวอำมาตย์ -- และเอาดาบทางปัญญาฟันความคิดของเขา<br /><br />ในสังคมปัจจุบัน การไหว้คนอื่นกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนชั้นสูง-คนชั้นต่ำ <br />ผู้น้อยต้องไหว้ผู้ใหญ่ก่อนและต้องก้มหัว ผู้ใหญ่ก็จะรับไหว้ เลิกเถิด!! อาจไม่ต้องไหว้กันเลยก็ได้ <br />โค้งนิดๆ ทั้งสองฝ่าย ยิ้มให้กันตามมารยาท จะเท่าเทียมกว่า<br /><br />อย่าลืมว่าทุกครั้งที่ท่านเสนอว่าทุกคนเท่าเทียมกัน <br />คุณกำลังปฏิเสธแนวอำมาตย์ -- และเอาดาบทางปัญญาฟันความคิดของเขา<br /><br />ในวันหยุดต่างๆ ไม่ต้องปักธงหรือเครื่องประดับของอำมาตย์ <br />ถ้าจะฉลองวันสำคัญเน้นไปที่วันของประชาชน เช่น 24 มิถุนายน หรือ 14 ตุลาคมแทนก็ได้<br /><br />พวกเราคงคิดถึงตัวอย่างอื่นๆ ได้อีกมากมายได้ <br />และเราทุกคนสามารถร่วมกันสร้างวัฒนธรรมความเท่าเทียม เพื่อค่อยๆ ทำลายความคิดของอำมาตย์<br />ในสังคมได้ อย่ายอม อย่าก้มหัว เราไม่ใช่ราษฎร เราไม่ใช่ไพร่ เราไม่ได้อยู่ใต้ฝุ่นเท้าใคร <br />เพราะเราเป็นพลเมืองของสังคมใหม่<br /><br />ลัทธิ / ปรัชญาความเท่าเทียม <br />ในความเห็นผม เป็นสิ่งเดียวกับ “สังคมนิยม” <br />ดังนั้นเราต้องนำความคิดสังคมนิยมมารบกับความคิดอำมาตย์ <br />แต่ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ตรงนี้ คนเสื้อแดงทุกคนสามารถใช้ลัทธิความเท่าเทียมได้<br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-88447231101621107552009-09-16T10:07:00.000-07:002009-09-16T10:11:00.540-07:00ปัญหาของแนวทางสันติวิธีarticle : Giles Ji Ungpakorn ใจ อึ๊งภากรณ์<br />date : September 14 , 2009 - 14 กันยายน 2552<br /><br />เวลาพิจารณาแนวทางการต่อสู้แบบสันติวิธี<br />เราจะต้องคำนึงถึงประเด็นปัญหา 3 อย่างคือ<br /><br /><u>1</u>. แนวทางสันติวิธีมีประสิทธิภาพในการสร้างประชาธิปไตย<br />และเสรีภาพแค่ไหน ? และหลีกเลี่ยงเหตุการนองเลือดได้จริงหรือ ?<br /><br /><u>2</u>. คนในสังคม นักวิชาการ สื่อกระแสหลัก และคนทั่วไป นิยามสันติวิธีอย่างไรบ้าง ?<br /><br /><u>3</u>. คนกลุ่มไหนในสังคมเป็นผู้ที่ใช้ความรุนแรงมาตลอดและอย่างเป็นระบบ ?<br /><br /><strong><u>ประสิทธิภาพของสันติวิธี</u></strong><br /><br />มหาตมะ คานธี ขึ้นชื่อว่าเป็นศาสดาแห่งสันติวิธี <br />เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาจริงใจที่จะใช้แนวทางนี้ และเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเขามีบทบาท<br />ในการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดียจากอังกฤษ <strong>อย่างไรก็ตามแนวทางของ <br />มหาตมะ คานธี ไม่ได้หลีกเลี่ยงเหตุการณ์นองเลือดแต่อย่างใดทั้งสิ้น</strong> <br />เพราะในการก่อตั้งประเทศอินเดียและปากีสถานเป็นประเทศอิสระจากอังกฤษ มีการ<br />ฆ่าฟันกันทั่วทวีประหว่างคนมุสลิมและคนฮินดู มีคนล้มตายหลายหลายแสน และมี<br />คนที่ต้องอพยพหนีความรุนแรงเป็นล้านๆ<br /><br /><strong>ปัญหาสำคัญของแนวทาง มหาตมะ คานธี <br />คือเขามักจะคัดค้านการต่อสู้ของมวลชน การนัดหยุดงาน <br />และการกบฏของทหารต่ออังกฤษ</strong><br />ดังนั้นเวลามีการต่อสู้ของมวลชน คานธี จะเรียกร้องให้มวลชนสงบนิ่งกลับบ้าน<br />เพื่อให้ตัวเขาเองเป็นสัญลักษณ์ของการ ต่อสู้ต่อไปด้วยการอดอาหาร -- <br /><br />การต่อสู้ของมวลชนในอินเดียก่อนที่จะได้รับเอกราชจากอังกฤษมักจะเป็นการต่อสู้ของ<br />คนชั้นล่างที่เรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมพร้อมๆ กับเสรีภาพ และที่สำคัญที่สุดมัน<br />เป็นการต่อสู้ที่จำเป็นต้องสามัคคีคนยากคนจนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือฮินดู<br />หรือศาสนาอื่น <strong>แต่เมื่อมวลชนถูกสลาย นิ่งเฉยอยู่บ้าน</strong> ฝ่ายนักการเมือง<br />ที่อยากจะปลุกระดมความเกลียดชังทางศาสนา ก็จะมีช่องทางเพื่อไปขยายความคิดที่นำ<br />ไปสู่ความแตกแยกได้ เพราะคนที่นั่งเฉยอยู่บ้านอาจจะยอมเชื่อว่าความเลวร้ายต่างๆใน<br />ชีวิตเขามาจาก การกระทำของคนที่มีความเชื่อทางศาสนาต่างจากตัวเอง<br /><br /><strong>แต่คนที่ร่วม สู้กับเพื่อนหลากหลายศาสนาจะไม่มีวันเชื่อการเป่าหูแบบนี้</strong> <br /><br />ความแตกแยกระหว่างคนฮินดูกับคนมุสลิม และการฆ่าฟันกัน เกิดขึ้นเป็นระยะๆจนถึง<br />ทุกวันนี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องธรรมชาติที่คนมุสลิม และคนฮินดูจะเกลียดชังกัน ในประวัติศาสตร์<br />มีช่วงที่อยู่ด้วยกันอย่างสันติมานาน ความแตกแยกที่เกิดขึ้นมาจากการปลุกระดมของนักการเมือง<br />แนวศาสนาเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง <br /><br />สิ่งที่ค้านแนวความคิดนี้ได้<br />เป็นแนวคิดที่สามัคคีคนจนเพื่อต่อสู้กับคนชั้นบนที่กดขี่ขูดรีดคนจนเสมอ<br /><br />แต่ มหาตมะ คานธี มีความใกล้ชิดกับนายทุนใหญ่และชนชั้นสูงในอินเดีย <br />เขาไม่อยากให้มีการต่อสู้ในเชิงชนชั้น มหาตมะ คานธี ไม่ได้ปลดแอกอินเดียคนเดียว <br />การปลดแอกอินเดียมาจากการต่อสู้ของคนจำนวนมากทั้งในและนอกพรรคคองเกรส การอ้างว่า <br />มหาตมะ คานธี สามารถปลดแอกอินเดียได้คนเดียวเป็นการพูดเกินเหตุ และไม่ได้เป็นการ<br />พิจารณาบริบทการเมืองระหว่างประเทศในยุคนั้นอีกด้วย<br /><br />ประเทศ ปากีสถานเป็นประเทศที่ก่อตั้งในยุคเดียวกับที่อินเดียได้รับเอกราชคือในปี 1947 <br />ประเทศนี้เป็นผลจากการปลุกระดมของนักการเมืองแนวศาสนา ปากีสถาน จึงประกาศตัวว่าเป็น <br />“ประเทศมุสลิมบริสุทธิ์” ซึ่งก่อให้เกิดปัญหามหาศาลกับครอบครัวชาวฮินดูจำนวนมากที่อาศัย<br />ในพื้นที่ ประเทศใหม่นี้ -- ปากีสถานเองเป็นประเทศที่ตกอยู่ภายใต้เผด็จการทหารมาอย่างต่อเนื่อง <br />และปัจจุบันอยู่ภายใต้อำนาจจักรวรรดินิยมอเมริกา ประชาชนปากีสถานอาจจะได้รับเอกราช<br />จากอังกฤษ แต่ไม่เคยได้รับสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย<br /><br /><strong>อีกคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าต่อสู้แบบสันติวิธีคือ นางอองซาน ซูจี </strong><br />และเขาได้ใช้วิธีคล้ายๆ มหาตมะ คานธี คือ เมื่อมวลชนออกมาสู้เป็นจำนวนมาก <br />เช่นในเหตุการณ์ 8-8-88 อองซาน ซูจี จะชักชวนให้ประชาชนกลับบ้านอย่างสงบ เพื่อให้ตัวเขา<br />คนเดียวเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่า และเพื่อให้ประชาชนตั้งความหวัง<br />กับการเลือกตั้ง และไว้ใจนายพลที่ปกครองประเทศอยู่ ทั้งๆที่นางอองซาน ซูจี เป็นคนที่กล้าหาญ<br />และจริงใจ แต่การต่อสู้ของเขายังไม่ประสบผลสำเร็จ และยังไม่สามารถทำให้มีการหลีกเลี่ยง<br />เหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ได้<br /><br /><strong>เราจะเห็นได้ว่าแนวทางสันติวิธีไม่สามารถหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นองเลือดได้ <br />ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และเป็นการต่อสู้ในรูปแบบที่เชิดชู<br />สัญลักษณ์ของบุคคลคนหนึ่งโดยหันหลังกับ บทบาทมวลชนจำนวนมาก ซึ่งไม่แตกต่าง<br />จากการหันหลังให้กับบทบาทมวลชน โดยพวกที่เน้นการสร้างกองกำลังติดอาวุธ</strong><br /><br /><strong><u>นิยามของสันติวิธี</u></strong><br /><br />การนิยามว่าอะไรเป็นการต่อสู้แบบ “สันติ” และการต่อสู้แบบ “รุนแรง” <br />มีการนิยามที่แตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับอคติและจุดยืน ตัวอย่างที่ดีคือ อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ <br />ที่ขึ้นชื่อว่าศึกษาและเลื่อมใสในแนวทางสันติวิธี หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยา นักวิชาการคนนี้<br />ได้ประกาศว่ารัฐประหารดังกล่าวอาจจะเรียกได้ว่า “เป็นสันติวิธี” !!<br /><br />เหมือนกับว่าการนำรถถังแ ละทหารติดปืนออกมาบนท้องถนนไม่ได้เป็นการข่มขู่ที่จะใช้<br />ความรุนแรงแต่อย่างใด คำพูดของ ชัยวัฒน์ ในกรณีนี้แสดงให้เห็นว่าบ่อยครั้งนักสันติวิธี<br />ใช้สองมาตรฐาน และแม้แต่นักสันติวิธีที่ซื่อสัตย์และจริงใจก็มักจะมีเส้นแบ่งว่าจะใช้สันติวิธี<br />ในกรณีใดและพร้อมจะใช้ความรุนแรงเมื่อไหร่ คนที่นับถือพุทธอาจไม่อยากฆ่าคน แต่อาจ<br />เห็นด้วยกับโทษประหาร เป็นต้น<br /><br />ถ้า เราพิจารณาสื่อกระแสหลัก เราจะเห็นว่าพวกนี้มักจะนิยมว่าคนที่เคลื่อนไหวต่อสู้<br />หรือแค่พูดในแนวที่ตรง ข้ามกับชนชั้นปกครอง จะถูกนิยามว่าเป็นพวก “หัวรุนแรง” <br />ทั้งๆที่เขาไม่ได้จับอาวุธหรือก่อให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงแต่อย่างใด<br /><br />ใน กรณี 3 จังหวัดภาคใต้ ที่มีการปะทะกันระหว่างฝ่ายที่กบฏต่อรัฐไทยกับทหาร <br />สื่อกระแสหลักมักจะมองว่าผู้ใช้ความรุนแรงมีฝ่ายเดียวคือฝ่ายกบฏ ดังนั้น เราจึงต้องพิจารณา<br />การนิยมสันติวิธีอย่างละเอียด<br /><br />เราทราบดีว่าพวกเสื้อเหลืองพันธมารฯ ก็มีการโกหกอ้างตัวว่าใช้วิธีแบบสันติ <br />ทั้งๆที่มีกองกำลัง มีการใช้ระเบิดและมีการทำร้ายร่างกายของฝ่ายตรงข้าม <br />จำลอง ศรีเมือง ผู้นำคนหนึ่งของพันธมารฯ ที่ประกาศตัวว่าใช้แนวสันติวิธีในการต่อสู้กับ<br />เผด็จการทหารในเหตุการพฤษภาคม 2535 อาจจะใช้แนวทางสันติในกรณีปี 2535 แต่ใน<br />ช่วงที่เข้าร่วมกับพันธมารฯ หลายคนคาดว่ามีส่วนในการฝึกกองกำลังของอันธพาลพวกนี้<br /><br />นอกจากนี้ จำลอง ศรีเมือง เป็นคนที่ก่อความรุนแรงต่อสตรีไทยในทางอ้อม <br />เพราะคัดค้านสิทธิที่จะเลือกทำแท้งของผู้หญิงไทย ซึ่งบังคับให้สตรีจำนวนมากต้องไปเสี่ยง<br />ทำแท้งในสถานที่ที่ไม่ปลอดภัย นี่คืออีกตัวอย่างของสองมาตรฐาน<br /><br /><strong><u>ใครใช้ความรุนแรงในสังคมอย่างเป็นระบบ ?</u></strong><br /><br />คำตอบสั้นๆคือ “ทหาร” <br />ทหารไม่ได้มีไว้เพื่อไถนา เพื่อเป็นนักสังคมสงเคราะห์ <br />หรือเพื่อสร้างสิ่งประดิษฐ์งดงามในบ้านเมืองของเรา <strong>ทหารมีไว้เพื่อฆ่าคน</strong> <br />และการฆ่าคนหรือการขู่ว่าจะฆ่าคนเป็นความรุนแรง หลายคนในสังคมต่างๆ อาจจะมองว่า<br />การฆ่าคนต่างชาติในสงครามเป็นความรุนแรงที่ยอมรับได้ แต่ทหารไทยมีประวัติศาสตร์อัน<br />ยาวนานในการฆ่าประชาชนคนไทยเพื่อที่จะปกครอง ประเทศด้วยระบบเผด็จการ<br /><br />ใน 3 จังหวัดภาคใต้ทหารเป็นผู้ที่ใช้ความรุนแรงมาตั้งแต่การยึดพื้นที่ของอาณาจักรปัตตานี<br />มาเป็นของกรุงเทพฯ -- ดังนั้นถ้าเราจะคัดค้านการใช้ความรุนแรงในสังคมอย่างจริงจังและ<br />ปราศจากสอง มาตรฐานเราจำเป็นต้องเริ่มด้วยการเรียกร้องให้ยกเลิกกองทัพ <br />ซึ่งคงจะมีประโยชน์ในเรื่องประชาธิปไตยอีกด้วย<br /><br />การใช้ความรุนแรงของ ทหารและอำมาตย์เป็นการใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้องผลประโยชน์อัน<br />ไม่ชอบธรรมของ คนกลุ่มน้อย มันเป็นการปกป้องระบบเผด็จการเพื่อไม่ให้เกิดประชาธิปไตย <br />ดังนั้นความรุนแรงของทหารมีเป้าหมายอันไม่ชอบธรรมที่ขัดกับประชาธิปไตยและ สิทธิเสรีภาพ <br />ในกรณีที่มีคนจับอาวุธสู้กับเผด็จการไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ ใน 3 จังหวัดภาคใต้ หรือใน<br />ประเทศต่างๆ ของตะวันออกกลาง ความรุนแรงดังกล่าวเป็นไปเพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย <br />เป้าหมายจึงมีความชอบธรรม <strong>แต่มันก็ยังเป็นความรุนแรงอยู่ดี</strong><br /><br /><strong>ใครที่ ชอบวิจารณ์ “ความรุนแรง” <br />ควรจะวิจารณ์ความรุนแรงของทหารและอำมาตย์เป็นหลัก <br />ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ถือว่าใช้สองมาตรฐาน</strong> <br /><br />และนอกจากนี้ควรจะตั้งคำถามและตอบคำถามว่า<br />เมื่อคนที่ถูกกดขี่ลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธ เขามีทางเลือกอื่นหรือไม่ ? <br />และเรามีส่วนในการช่วยให้เขามีทางเลือกอื่นหรือไม่ ?<br /><br />คนที่ถูกกดขี่ ขูดรีดด้วยกำลังทหารที่ใช้ความรุนแรงอย่างเป็นระบบ <br />ย่อมมี “สิทธิ์” ที่จะจับอาวุธลุกขึ้นสู้และกบฏ แต่แนวทางนั้นจะเป็นแนวทางที่ฉลาด<br />และนำไปสู่ประชาธิปไตยแท้จริงหรือไม่ -- <strong>นั่นคือประเด็นใหญ่</strong><br /><br />ในความเห็นผมแนวทางจับอาวุธสู้กับอำมาตย์ไม่ใช่แนวทางที่ฉลาดของเสื้อแดง <br />อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ในบทความอื่น <br />แนวทางปฏิวัติสังคมโดยมวลชน เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการจับอาวุธ<br />หรือการอ้างแบบลอยๆถึงแนวสันติวิธี<br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-20437204932618972502009-09-16T10:00:00.001-07:002009-09-16T10:00:51.120-07:00สองระบอบ-สองจัดตั้งarticle : จักรภพ เพ็ญแข<br />from : คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” <br />หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 15<br />date : September 2009<br /><br />ตั้งแต่เข้าร่วมกับพี่น้องประชาชนสู้รบกับระบอบอำมาตยาธิปไตยมาจนบัดนี้ <br />ผมเชื่อมั่นเสมอว่าฝ่ายประชาชนในวันนี้ คือฝ่ายก้าวหน้า -- พร้อม ปฏิเสธความล้าหลัง<br />ในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศที่ก่อขึ้นโดยฝ่ายอำมาตย์ ไม่นานก็จะ<br />บริบูรณ์เพียบพร้อมทั้งทางกายภาพ ความกล้าหาญทางจริยธรรม และจังหวะเวลาอัน<br />เหมาะสมในการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม<br /><br />ผมไม่เคยเห็นภาพของพี่น้องประชาชนที่เป็นเด็กไม่พร้อมรับความจริงของโลก ต้องให้<br />อำมาตย์ บริษัทบริวาร และซากเดนทั้งหลายมาตั้งตัวเป็นผู้ใหญ่เข้าปกครองและครอบงำ<br /><br /><strong>ประชาชนในประเทศนี้ปกครองตัวเองได้</strong><br />นี่ล่ะครับคือจุดตั้งต้นของผม<br /><br />ยอมรับว่าเมื่อก่อนนี้ผมก็ไม่แน่ใจนัก เพราะไม่ได้เข้ามาคลุกกับมวลชนจนกลายเป็น<br />ส่วนหนึ่งของท่านอย่างทุกวันนี้ ผมจึงเพิ่งมาซาบซึ้งกับคำกล่าวที่ว่า “ในมวลชนมีทุกสิ่ง” <br />และยอมรับว่าเป็นสัจธรรมโดยแท้ เพราะผมได้เรียนจากการร่วมต่อสู้กับพี่น้องประชาชน<br />มากกว่าทุกโรงเรียนและทุก มหาวิทยาลัยที่ผมได้เรียนและได้สอนมารวมกัน<br /><br />ผมได้เห็นว่าแม่ค้าจบ ประถม ๔ มีความก้าวหน้า ตระหนักในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของ<br />ตนเองสูงกว่าอธิการบดีจบปริญญาเอกที่ เป็นขี้ข้าของอำมาตย์<br /><br />ผมได้เห็นคนที่ประกอบอาชีพรับจ้าง อย่างพี่น้องแท็กซี่หรือวินมอเตอร์ไซด์ที่วิเคราะห์<br />การเมืองได้ดีกว่าคนที่ สังคมอุปโลกน์ให้เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตบางคน<br /><br />บวกกับบทเรียนและแบบฝึกหัดอีกมากมายหลายครั้ง<br /><br />ผม พบว่าฝ่ายประชาชนมีจุดอ่อนอย่างเดียวที่ยังสู้ฝ่ายอำมาตย์เขาไม่ได้ และทำให้ฝ่าย<br />อำมาตย์เขายังควบคุมสังคมได้แทบทุกอณู โดยเฉพาะอำมาตย์ไทยที่ใช้ประโยชน์เต็มที่จาก<br />วัฒนธรรมสมยอมของไทยและกดขี่ อย่างนุ่มนวล โยนเศษเนื้อให้ฝ่ายประชาชนกินเป็นระยะๆ <br />เพื่อให้รู้สึกว่าไม่อดตาย จงใจทำลายเงื่อนไขของการปฏิวัติสังคมที่มักเริ่มต้นด้วยความอดอยาก<br />ยากแค้นใน บ้านเมืองอื่น<br /><br />นั่นคือการจัดตั้งที่อ่อนกว่า ด้อยกว่า และไม่ต่อเนื่องของฝ่ายประชาชน<br /><br />ฝ่ายอำมาตย์เขาจัดตั้งมานานกว่า <br />ครอบคลุมกว่า และยังจัดตั้งอย่างต่อเนื่องแข็งขัน -- เท่านั้นเองครับ<br /><br />คำว่า <strong>การจัดตั้ง</strong> ซึ่งเป็นคำเก่าแก่ที่สุดคำหนึ่ง คือการทำความเข้าใจในแนวคิด <br />อุดมการณ์ ค่านิยม ให้ตรงกันในหมู่คณะ และอาจรวมถึงการทำความตกลงในวิธีการเพื่อ<br />ให้บรรลุผลนั้น นักจัดตั้งไม่เพียงแต่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อย่างที่เรียกว่า อัตวิสัย แต่ต้องฉลาด<br />วิเคราะห์จังหวะเวลาและสถานการณ์ เพื่อโยงเอามาใช้ประโยชน์อย่างที่เรียกว่า ภาววิสัย ด้วย<br /><br />นี่แหละครับคืองานของเรานับจากนี้ไปในฝ่ายประชาชน<br /><br />การพิสูจน์คลิปเสียง การไล่รัฐบาล การตะเพิดนายอภิสิทธิ์ การล้อมบ้านพลเอกเปรม ฯลฯ <br />ก็ทำไปเถิดครับ เพราะเป็นการทดสอบวิธีชุมนุมมวลชนในระบอบประชาธิปไตย เหมือนซ้อมใหญ่ <br />แต่จะให้สะเด็ดน้ำจนเราได้ประชาธิปไตยแท้ๆ ด้วยวิธีการชุมนุมแล้วชุมนุมเล่า แล้วเรียกนายหน้า<br />หรือตัวแทนเขามาเขกกบาลให้สะใจนั้นเห็นจะเป็นไปได้ยาก<br /><br />เมื่อฝ่ายอำมาตยาธิปไตยรักษาอำนาจของเขาได้อย่างมั่นคงและลุ่มลึก <br />ถึงขนาดแทบจะควบคุมความคิดคนได้หมดประเทศแล้วด้วยกลไกการจัดตั้ง <br />ฝ่ายประชาชนเองจะเพิกเฉยอยู่ไม่ได้<br /><br />ความจริงใจก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่ หรอกครับ แต่ถ้าต่างคนต่างจริงใจและแสดงออกความจริงใจอย่าง<br />กระจัดกระจายไม่เป็นลำแสง เดียวกัน ก็จะได้พลังประชาธิปไตยที่กว้างขวาง หลากหลาย <br />แต่ขาดความเข้มข้นและนำไปทดแทนลำแสงที่ดูเจิดจรัสของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยไม่ ได้<br /><br />การชุมนุมและคำปราศรัยก็เป็นเครื่องมือจัดตั้งอย่างหนึ่ง แต่ต้องแน่ใจว่าความคิดเบื้องหลัง<br />การแสดงออกเหล่านั้นมีเป้าหมายเพื่อ ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงซ่อนอยู่ หรือบางครั้งก็แสดงออก<br />เลยโดยไม่ต้องซ่อน ไม่ใช่เพียงเพื่อให้คนชอบคนรัก หรือหาเสียงใส่ตัวเพื่อแปลงเป็นคะแนนเสียง<br />เลือกตั้งหรือเป็นอำนาจต่อรองทาง การเมืองของตนและหมู่คณะ แต่ต้องเป็นการเตรียมให้มวลชน<br />เข้าใจเป้าหมายที่ใหญ่โต สำเร็จยาก แต่จำเป็นต้องฝ่าฟันไปเพื่อจัดระเบียบสังคมเสียใหม่<br /><br />ชุมนุมแต่ละครั้ง อย่าให้แต่ข้อมูลแต่เรื่องปลีกย่อย ต้องฝากความคิดทีละน้อยในเรื่องใหญ่เสมอ<br /><br />คิดอยู่ในใจว่าการชุมนุมแต่ละครั้งเป็นคือเตรียมมวลชนให้พร้อมต่อความเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง<br />คิดเชิงคุณภาพ คู่ไปกับความคิดเชิงปริมาณ เพราะจำนวนมวลชนก็มีความจำเป็นต่อชัยชนะอัน<br />แท้จริงในอนาคต -- ถ้า กำหนดจุดยืนชัดเจนอย่างนี้ การชุมนุมแต่ละครั้ง เว็บไซต์แต่ละเว็บไซต์ <br />สถานีวิทยุชุมชนแนวประชาธิปไตยแต่ละสถานี การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแต่ละครั้ง ฯลฯ จะมี<br />ทิศทางชัดเจน ไม่แกว่งไกวตามบุคลิกภาพหรือแนวคิดส่วนตัวของแกนนำหรือวิทยากรแต่ละคน<br /><br />มวล ชนในขณะนี้ก้าวหน้าแล้ว และพร้อมจะก้าวต่อไปอีก กุญแจสำคัญคือ<br />การนำขบวนที่ก้าวหน้า ไม่วกวน ไม่ตีฝีปาก และไม่ยอมรับสิ่งที่น้อยกว่าประชาธิปไตยอย่างแท้จริง<br /><br />ใครขาดความมั่นใจว่าประชาชนจะไปได้ถึง ก็ขอพักยกได้ โดยจะไม่มีใครลืมเลือนท่าน<br />และคุณประโยชน์ที่ท่านได้ทำมาก่อนหน้านั้นเลย<br /><br />ความก้าวหน้าและล้าหลังนั้นบังคับกันไม่ได้ <br />แต่จะปล่อยเป็นอุปสรรคต่อขบวนการใหญ่ก็ไม่ได้เช่นกัน นี่คือเรื่องบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว<br /><br />ภารกิจที่รออยู่ข้างหน้า และได้เริ่มไปแล้วมากนั้น <br />จึงคือการจัดตั้งระบอบประชาชนให้ทัดเทียมกับระบอบอำมาตย์<br />ซึ่ง ไม่ใช่ทั้งการนั่งกราบกำแพงอย่างไร้สติ หรือเอาหัวชนกำแพงจนหัวแตก <br />แต่ต้องรู้ว่ากำแพงคือกำแพงและหาเครื่องมือที่เหมาะสมต่อกำแพงนั้น<br /><br />ประชาชน...อำมาตย์... สองเราต้องเท่ากัน<br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-27473318246217468472009-09-11T19:40:00.000-07:002009-09-11T19:42:48.642-07:00กองกำลังติดอาวุธไม่ใช่ทางออกของคนเสื้อแดงarticle : Giles Ji Ungpakorn ใจ อึ๊งภากรณ์<br />date : September 12, 2009 - 12 กันยายน 2552<br /><br /><strong>แนวทาง “ปฏิวัติ” ที่จะนำไปสู่ประชาธิปไตยแท้ <br />ไม่ใช่การสร้างกองกำลังติดอาวุธ</strong> แต่เป็นการเน้นการจัดตั้งมวลชน<br />คนเสื้อแดงซึ่งมีจำนวนเป็นล้านๆ เพื่อการร่วมกันพัฒนาความคิดผ่านกลุ่มศึกษา<br />ทางการเมือง ร่วมกันสู้เพื่อทำลายความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้าม ผ่านการ<br />กระจายข่าว และความเห็น ร่วมกันประท้วงอำมาตย์ตามท้องถนนเมื่อโอกาสเหมาะ <br />ร่วมกันตั้งหน่ออ่อนของรัฐ และโครงสร้างบริหารของฝ่ายเราในชุมชน และตั้ง<br />องค์กรสงเคราะห์ต่างๆ แข่งกับฝ่ายรัฐอำมาตย์<br /><br />มันหมายถึงการ ไม่ร่วมมือกับอำมาตย์ <br />มันหมายถึงการนำทหารชั้นผู้น้อยและตำรวจมาเป็นพวก <br />รวมถึงการเข้าไปในสหภาพแรงงาน และกลุ่มนักศึกษาทั่วประเทศ<br /><br />มันหมาย ความว่าเราต้องการโค่นระบบปัจจุบันแบบถอนรากถอนโคน <br />และนำระบบใหม่มาใช้ มันหมายถึงการฝึกฝนการคัดค้านรถถังของฝ่ายทหาร <br />วิธียึดรถถัง วิธีสร้างทางกั้นทหารตามถนน โดยให้มวลชนออกมาสกัดกั้นพร้อมๆ กับ<br />การคุยกับทหารธรรมดา<br /><br />จุดสุดยอดคือ <br />การลุกฮือทั่วประเทศในอนาคต เมื่อเราพร้อม อย่างที่ผมได้เคยอธิบายไปแล้ว <br /><a href="http://thaienews.blogspot.com/2009/09/blog-post_08.html">(อ่านบทความเกี่ยวเนื่อง:ทำไมเราต้องปฏิวัติอำนาจอำมาตย์ )</a><br /><br />มีเพื่อนคนหนึ่งวาดภาพว่าเราชาวเสื้อแดงล้านๆ คน <br />ต้องเป็นฝูงผึ้งที่รุมต่อยอำมาตย์อย่างไม่หยุดยั้ง เขาใช้ปืนและรถถังกับฝูงผึ้งไม่ได้<br /><br /><strong>ข้อเสียของการสร้างกองกำลังติดอาวุธ <br />อย่างที่เคยทำสมัยพรรคคอมมิวนิสต์มีดังนี้</strong><br /><br /><u>1.</u> ขบวนการคนเสื้อแดงมีมวลชนหลายล้านคน ซึ่งเป็นประชาชนธรรมดา <br />เป็นลูกจ้าง เป็นนักศึกษา เป็นแม่บ้าน เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย เป็นพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย <br />เป็นเกษตรกร ฯลฯ <br /><br />เรา มีความชอบธรรมเพราะเราเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม ขบวนการคนเสื้อแดงมีลักษณะ<br />เด่นตรงที่คนตั้งกลุ่มกันเอง นำกันเอง จากรากหญ้า มันคือขบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริง<br /><br />ถ้าจัดกองกำลังติด อาวุธเมื่อไร ก็เท่ากับสร้างองค์กรลับของคนถืออาวุธไม่กี่คน <br />(ไม่เกินห้าหมื่นคนอย่างมากที่สุด) เป็นการหันหลังให้มวลชนเป็นล้านๆ เพื่อยกภาระในการ <br />“ปลดแอกเรา” ให้กับคนหยิบมือเดียว มวลชนเสื้อแดงส่วนใหญ่จับอาวุธแบบนั้นไม่ได้ และจะ<br />ไม่มีบทบาท หรือมีบทบาทรองจนหมดความสำคัญไป<br /><br /><u>2.</u> การปิดลับแปลว่าไม่สามารถสร้างเวทีสมัชชาเปิดของคนเสื้อแดงเพื่อร่วมกันถกเถียงแนวทาง<br />การต่อสู้ แนวทางจะถูกกำหนดโดยแกนนำลับ กลุ่มเล็กๆ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง <br />และไม่ถูกตรวจสอบโดยคนเสื้อแดง เป็นการสั่งจากบนลงล่าง มันเป็นเผด็จการของคนส่วนน้อย <br />เผด็จการของคนส่วนน้อยสร้างประชาธิปไตยแท้ไม่ได้<br /><br /><u>3.</u> บทเรียนจากประเทศจีนคือ เมื่อกองทัพพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มล้อมเมืองต่างๆ <br />จะไม่มีการปลุกระดมให้พลเมืองลุกขึ้นยึดเมือง แต่จะมีการสั่งให้ทุกคนสงบเงียบอยู่กับที่ และ<br />รอฟังคำสั่งจากกองทัพแดง นั้นเป็นแนวที่ตรงข้ามกับการปฏิวัติโดยมวลชนจำนวนมาก ที่เคยมี<br />ในรัสเซีย 1917, อิหร่าน 1979, โปแลนด์ 1980 และในเวเนสเวลาปัจจุบัน<br /><br />การ ปฏิวัติโดยมวลชนย่อมก่อให้เกิด “สภาคนงาน” และ “สภาชุมชน” <br />ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการนำของประชาชนเอง -- แต่วิธีที่เน้นกองกำลังติดอาวุธเป็นวิธีทหาร<br />ที่ไม่มีประชาธิปไตย หรือที่แค่ “เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมบ้าง” แต่พลังและความ<br />สร้างสรรค์ไม่ได้มาจากรากหญ้าเอง สภาดังกล่าวที่ผมพูดถึงเกิดขึ้นใน รัสเซีย อิหร่าน โปแลนด์ <br />และ เวนเนสเวลา ยังมีกรณี ชิลี 1973 อาเจนทีน่า ตอนประสบวิกฤตเศรษฐกิจ และในโบลิเวียอีกด้วย<br /><br /><u>4.</u> คนที่เสนอการตั้งกองกำลังติดอาวุธอาจจริงใจ แต่บ่อยครั้งเป็นการพูดเอามัน<br />เพื่อดูกล้าหาญเด็ดขาด ในที่สุดมันเบี่ยงเบนประเด็นจากภาระอันยิ่งใหญ่ในการจัดตั้งมวลชน<br />ทางการ เมือง เพื่อปฏิวัติมวลชน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายและจะต้องใช้เวลา<br /><br /><u>5.</u> กองกำลังติดอาวุธของฝ่ายเรา ไม่มีวันปะทะกับกองกำลังของอำมาตย์อย่างตรงไปตรงมาได้ <br />เขา มีอาวุธครบมือที่เหนือกว่าเราเสมอ อันนี้เป็นบทเรียนจาก ไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย <br />ในกรณีเนปาล สิ่งที่ชี้ขาดในที่สุดคือการลุกฮือในเมือง และพรรคคอมมิวนิสต์เนปาลไม่ต้องการ<br />เปลี่ยนสังคมอย่างถอนรากถอนโคนอีกด้วย เพราะต้องการเอาใจนายทุนใหญ่ ส่วนแนวทางปฏิวัติ<br />มวลชนต้องอาศัยพลัง และจำนวนของมวลชนเพื่อให้ทหารชั้นผู้น้อยเปลี่ยนข้าง<br /><br /><u>6.</u> ถ้าใช้กองกำลังติดอาวุธ เราขยายความคิดทางการเมืองยากขึ้น เพราะเราต้องปิดลับ และ <br />ที่สำคัญเมื่อเราเดินเข้าไปในชุมชนต่างๆ ชาวบ้านชาวเมืองจะกลัวเราพอๆ กับฝ่ายทหารอำมาตย์ <br />เพราะทั้งสองฝ่ายถือปืน นี่คือบทเรียนจากพรรคคอมมิวนิสต์ไทย และการต่อสู้กับรัฐไทยใน<br />สามจังหวัดภาคใต้<br /><br /><u>7.</u> ถ้าคนที่เสนอแนวทางติดอาวุธ ไม่อธิบายว่าเป้าหมายคืออะไรอย่างชัดเจน ไม่อธิบายว่า<br />ประชาธิปไตยแท้คืออะไร ถ้าเขาชนะ อาจเป็นแค่เปลี่ยนหัวชนชั้นปกครองโดยไม่มีการปฏิวัติก็ได้<br /><br /><u>8.</u> ในประเทศที่เน้นการสร้างกองกำลังปลดแอก และกองกำลังนั้นชนะ เช่น จีน เวียดนาม ลาว เขมร <br />ซิมบาบวี คิวบา ผลคือเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้<br /><br />ขอยืนยันว่าเราต้องเดินแนว “ปฏิวัติมวลชน โค่นอำมาตย์อย่างถอนรากถอนโคน”<br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-49864367052253144042009-09-04T06:01:00.001-07:002009-09-04T06:03:56.203-07:00จุดยืนและก้าวย่าง<br/><br />article : Jakrapob Penkair จักรภพ เพ็ญแข <br />from : คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” <br />หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 13<br />date : September 2009<br /><br /><strong>จุดยืนและก้าวย่าง</strong><br /><br />เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายในหมู่คนเสื้อแดงขณะนี้ เป็นคุณ<br />และมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการก้าวเดินของฝ่ายประชาธิปไตย <br />ในระยะที่มีอารมณ์ความรู้สึกมาก ก็ควรปล่อยให้ระบายบ้าง <br /><br />หลังจากนั้นคือเวลาใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง <br />กำหนดจุดยืนและย่างก้าวของทั้งขบวนการต่อไป -- ไม่มีอะไรน่าห่วงกังวลเลยครับ<br /> <br />ระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริง ซึ่งเป็นธงของพวกเรา จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียง<br />อย่างนี้อีกมากมายนัก ใครที่ไม่คุ้นเคยควรทำความคุ้นเคยไว้เสีย ระบอบการปกครองของ<br />ไทยที่จะทำให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่กระซิบกันอย่างไพร่ๆ ว่าให้เงียบเสียง <br />สังคมจะได้สงบสุขมั่นคง แต่จะระดมเอาความคิดเห็นที่หลากหลายมาสู่เวทีถกเถียงที่ชอบธรรม <br />ซึ่งแปลว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมก่อสร้างหรือส่งตัวแทนมาร่วมในเวทีนั้น และเมื่อ<br />ถกเถียงได้ที่แล้วก็ต้องรู้จักหยุดเป็นห้วงๆ เพื่อลงมือปฏิบัติ<br /><br />เราอยากได้รัฐสภาเช่นนั้นในอนาคต <br />รัฐสภาที่เป็นตัวแทนของของอำนาจอธิปไตยในมือคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีความยืดหยุ่น<br />มากน้อยขึ้นลงได้ตามประชามติ เป็นคณะกรรมการกำหนดนโยบายของประเทศที่ประคับประคอง<br />ระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สามารถหาจุดสมดุลระหว่างความเป็นชาติกับความเป็น<br />นานาชาติได้ แสวงหาผู้บริหารที่ดีที่สุดมาทำหน้าที่เดินงานบ้านเมือง และมีขีดความสามารถสูง<br />พอในการป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกทำลายโดยการรัฐประหารโดยตรงหรือการรัฐประหารโดยอ้อม <br />เช่น องค์กรอิสระ อำนาจตุลาการ นักวิชาการสายอำมาตย์ เป็นต้น <br /><br />ถ้าเราปรารถนาเช่นนั้น เราต้องทำขบวนการเสื้อแดงให้สะท้อนภาพนั้นเสียตั้งแต่บัดนี้<br /><br />มีผู้หวังดีถามกันมากว่า <br />จักรภพเป็นอะไร ทำไมถึงเกิดขัดแย้งกันเอง บางท่านหวังดีแต่มีอารมณ์ก็เลยไปถึงเรื่อง<br />ผลประโยชน์ขัดกันหรือความอิจฉาริษยาแกนนำไปโน่น<br /><br />คำตอบทั้งหมดอยู่ในช่วงต้นของบทความนี้ครับ -- ไม่น้อยกว่านี้ ไม่มากกว่านี้<br /><br />แต่รัฐสภาอันแท้จริงที่ไม่ใช่หุ่นกระบอกของฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ก็เป็นเพียงรูปธรรมอย่างหนึ่ง <br />คำตอบที่ละเอียดขึ้นคือเป้าหมายที่แน่ชัดว่ารัฐสภาต้องเอื้ออำนวยให้เกิดผลต่างๆ เหล่านี้ครบถ้วน<br /><br />๑. อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจการเมืองสูงสุดที่ไม่มีอะไรสูงกว่า เป็นของปวงชนชาวไทย<br />๒. บ้านเมืองปกครองด้วยหลักกฎหมาย และด้วยตัวบทกฎหมายที่ปวงชนชาวไทยร่วมกำหนด <br />ไม่ใช่ด้วยกระบวนการฝ่ายอำมาตย์ที่แอบควบคุมสังคมไทยอยู่โดยอ้างคำว่ากฎหมาย<br />๓. ประชาชนต้องมีเสรีภาพ<br />๔. สังคมต้องมุ่งความเสมอภาค<br />๕. รัฐบาลและผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทยในเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ เข้ามาได้<br />ก็ต้องออกไปได้ ต้องมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นวิถีการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ยังไม่มีอะไรดีกว่า<br /><br />สังคมเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยควรหยุดถกเถียงและใคร่ครวญเป็นระยะๆ ว่า <br />ทิศทางของเรานำไปสู่เป้าหมายใหญ่ทั้ง ๕ ข้อนี้หรือไม่<br /><br />ทั้งหมดนี้คือความละเอียดอ่อน <br />ขณะพูดต้องพูดตรง ไม่กำกวม ไม่ห่วงภาพลักษณ์ชื่อเสียงที่เป็นสิ่งไร้สาระ <br />แต่ในขณะลงมือทำต้องมีศิลปะประคองตัว เพราะเราไม่ได้หาเสียงเลือกตั้ง<br />เพื่อเป็นรัฐบาลให้เขาเชือดทิ้งเหมือนรัฐบาลภายใต้นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร <br />สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ <br /><strong>แต่เราต้องการตัวแทนประชาชนที่มีขีดความสามารถในการปกป้องตัวเองได้</strong><br /><br /><strong>ชนะเลือกตั้งอย่างงดงาม แล้วแพ้ในศึกชิงอำนาจรัฐ</strong> <br />ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลของราชอาณาจักรไทย<br />แต่ไม่ได้อำนาจรัฐในการบริหารงานในราชอาณาจักรนั้น <br /><strong>ถือว่าเปล่าประโยชน์</strong><br /><br />เราจึงตั้งคำถามว่า การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งของฝ่ายประชาธิปไตย <br />ซึ่งมวลชนเข้าร่วมอย่างน่าปลื้มใจทุกครั้ง เรามีข้อเรียกร้องที่ใหญ่พอและคุ้มค่าต่อความ<br />เหนื่อยกายและเหนื่อยใจของประชาชนหรือไม่<br /><br />เราเข้าใกล้เป้าหมายทั้ง ๕ ข้อนั้นมากขึ้นหรือไม่<br />ถ้าไม่ แสดงว่ายุทธวิธีของเราอาจไม่ได้เป็นไปตามยุทธศาสตร์<br /><br />หลายท่านบอกผมว่าเราต้องแกล้งทำ ต้องลับลวงพราง และต้องใจเย็น <br />ในใจของแต่ละท่านก็คือรอให้ธรรมชาติช่วยตัดสิน แล้วทุกอย่างจะพลิกผัน<br />มาเข้าทางเราโดยอัตโนมัติ -- ผมต้องขอประทานโทษ - ผมไม่เชื่อ<br /><br />สังคมไทยวันนี้ไม่ได้คลุมด้วยตาข่ายทางสังคมที่ประชาชนเป็นผู้ใหญ่และมีส่วนร่วม<br />ในการตัดสินชะตากรรมของตัวเอง แต่เป็นการครอบงำของสิ่งที่เรียกว่า “รัฐภายในรัฐ” <br />นั่นคือมีรัฐบาลตัวจริงที่คอยชี้นำทิศทางของประเทศอยู่ และชี้นำทุกอย่างไปสู่การรักษา<br />อำนาจอันล้นเหลือและความมั่งคั่งร่ำรวยที่อธิบายที่มาไม่ได้ของตัวเองและพวกเท่านั้น<br /><br />รัฐบาลที่ว่านี้ไม่เคยมาจากการเลือกตั้ง ไม่สนใจที่จะมาจากการเลือกตั้ง <br />แต่เป็นรัฐบาลที่คอยล้มการเลือกตั้งของฝ่ายประชาธิปไตยและทำให้แน่ใจอยู่ตลอดเวลา<br />ว่าประชาชนจะไม่ได้เป็นใหญ่ และเป็นรัฐบาลที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นต่อการเปลี่ยนแปลง<br />การปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ จนต้องทำทุกอย่างเพื่อหมุนเข็มนาฬิกาของประเทศกลับไปก่อนหน้านั้นให้จงได้<br /><br />รัฐบาลนี้เขามีพวกมาก แผ่ซ่านไปในทุกวงการ <br />ถ้าเป็นมะเร็งก็ระยะสุดท้าย ต้องหาทางเกิดใหม่อย่างเดียว <br />ภารกิจหลักของรัฐบาลนี้คือการทำลายโครงสร้างของระบอบประชาธิปไตย<br /><br />ถ้าเราขอความร่วมมือกับรัฐบาลที่ว่านี้ในการคืนประชาธิปไตยให้กับเรา <br />ถ้าเขาไม่ใจร้อนฆ่าเราเสียเลย เขาก็อาจแสร้งว่าเห็นใจและโยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ อาจจะ<br />เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีให้สักคน เพราะเรารุมกันประณามนายกรัฐมนตรีคนที่เขาเลือก อาจ<br />เปลี่ยนข้อความบางข้อในรัฐธรรมนูญให้เรารู้สึกหายใจโล่งขึ้น แต่ไม่ยอมแตะต้องส่วนสำคัญ<br />ที่ทำให้เราอยู่ในสภาพน้ำใต้ศอกอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ต้น<br /><br />แล้วเราก็จะไม่ได้แม้แต่ข้อแรก คืออำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทย<br /><br />ไม่ต้องหวังว่าจะได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีอำนาจรัฐจริง มาอำนวยเสรีภาพและความเสมอภาค<br />ทางสังคมให้กับประชาชน และไม่ต้องหวังว่ากระบวนทางกฎหมายจะเป็นไปเพื่อฝ่ายประชาชน<br /><br />เพราะถ้าไม่ได้ข้อแรก เราก็จะเสียหมดทุกข้อ<br /><br />เป้าหมายทั้งห้าข้อไม่ใช่ความรู้ใหม่ หมอเหล็ง ศรีจันทร์และคณะเปลี่ยนแปลงการปกครอง ร.ศ. ๑๓๐ <br />และปัญญาชนสยามสมัยนั้นท่านก็รู้อย่างนี้ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎร พ.ศ.๒๔๗๕ ท่าน<br />ก็เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ <br /><br />จนถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมา ก็เพราะมั่นใจอย่างนี้ <br /><br />ความใหม่ในวันนี้คือ ประชาชนท่านต้องการสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว <br />หมดสมัยของปัญญาชนคิดพิมพ์เขียวมานำเสนอให้ประชาชนเฮตามทั้งที่ไม่รู้ความหมายแล้ว<br /><br />ครับ วันนี้ปัญญาชนของฝ่ายประชาธิปไตยคือตัวประชาชนเอง <br />โดยมีอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่เป็นเลขานุการให้<br /><br /><strong>กว่าสามปีที่ต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยมา ประชาชนก้าวหน้า <br />แต่ปัญญาชนอุปถัมภ์ของอำมาตย์กลับถอยหลังลงคลอง <br />จนล้าหลังเป็นอย่างยิ่ง แล้วยังจะมาเรียกร้องขอเล่นบทบาทนำทางสังคมอีกล่ะหรือ</strong><br /><br />ที่สุดแล้วคืออะไร ?<br />จุดยืนของฝ่ายประชาธิปไตยคือสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ไม่ได้มีแต่คุณเปรมคนเดียว <br /><strong>สู้โดยสติปัญญาความสามารถ โดยไม่ใช่เอาเลือดเข้าแลก</strong><br /><br />ก้าวย่างคือเตรียมแผ่นดินให้พร้อม <br />เครือข่ายของอำมาตย์เขาก็เตรียมอยู่ต่อหลังฤดูผลัดใบเช่นกัน เพราะเขาคิดว่าเขาเป็น<br />เจ้าของสวนพฤกษชาติแห่งนี้ เตรียมเครื่องมืออย่างหลากหลายเพื่อกระทำภารกิจที่<br />แตกต่างกันในแต่ละห้วงแต่ละสถานการณ์ และจุดสำคัญคือเมื่อถึงเวลาเดินก็ต้องเดิน <br />ไม่ชวนวนอยู่กับที่เหมือนวัวพันหลัก<br /><br />ขอเรียนเสนอไว้ให้ฝ่ายประชาธิปไตยถกเถียงต่อไปด้วยใจเคารพ.<br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-71293125536944485982009-09-03T08:20:00.000-07:002009-09-03T08:25:34.515-07:00บทความ : ใจ อึ๊งภากรณ์article : Giles Ji Ungpakorn - ใจ อึ๊งภากรณ์<br />date : September 3, 2009 - 3 กันยายน 2552<br /><br />“ความขัดแย้ง” ในแกนนำเสื้อแดง <br />คือโอกาสในการร่วมกันคิดหาทางออกให้ชัดว่าจะสู้อย่างไร<br /><br /><strong>ผมเข้าใจความรู้สึกของคนเสื้อแดง<br />ที่ไม่สบายใจ เมื่อเห็นแกนนำเสื้อแดงเถียงและวิจารณ์กัน</strong><br /><br /><strong>แต่ความรู้สึกนั้นผิดพลาด</strong> <br />การที่แกนนำเสื้อแดงเถียงกันตอนนี้ มีรากฐานมาจากแนวความคิด<br />ทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว หรือความไร้น้ำยาของใคร<br /><br />มันสะท้อนวิกฤตในสังคมไทยที่เราต้องร่วม กันแก้ และมันสะท้อนความ<br />ยากลำบากในการแก้ ผมอยากชักชวนให้เราชาวเสื้อแดงมองว่าการถกเถียง<br />เรื่องแนวทางการต่อสู้เป็น เรื่องดี ไม่ใช่ข้อเสียแต่อย่างใด เพราะมันบังคับ<br />ให้พวกเราคิดตามประเด็นถกเถียง<br /><br />ผมอยากให้เสื้อแดง ทุกคนมีส่วนร่วมในการถกเถียงนี้ ขบวนการเสื้อแดง<br />เป็นขบวนการประชาธิปไตยของมวลชนชั้นล่างที่ถูกกดขี่มานาน ขบวนการ<br />ประชาธิปไตยในทุกยุคทุกสมัยทุกประเทศ ย่อมเต็มไปด้วยการถกเถียง <br />และนี่คือจุดแข็งจุดเด่น<br /><br />เราไม่เหมือนเสื้อเหลืองที่ขัดแย้งกัน เรื่องการกอบโกย หรือเรื่องอำนาจที่จะกอบโกย <br />ไม่ว่าจะเป็นทหารชั้นผู้ใหญ่ คนในแวดวงเบื้องสูง อภิสิทธิ์ เนวิน สุเทพ หรือ<br />ผู้นำพันธมิตรฯ พวกนี้เป็นเหลืองเพื่อปกป้องผลประโยชน์พิเศษของเขาแต่แรก <br />เขาเลยทะเลาะกันเรื่องผลประโยชน์เสมอ<br /><br />เสื้อแดงไม่ใช่เทวดา แต่ประเด็นผลประโยชน์ส่วนตัวไม่ใช่ประเด็นหลักในขณะนี้<br /><br />คนเสื้อแดงเข้าใจดีว่าปัจจุบันอำมาตย์ครองเมือง <br />ผมอยากให้มองว่า <strong>อำมาตย์ดังกล่าวไม่ใช่บุคคลหยิบมือเดียว</strong> <br />ไม่ใช่สถาบันเดียว แต่เป็นพวกทหารชั้นสูง ข้าราชการชั้นสูง องคมนตรีและขุนนาง <br />รวมถึงเศรษฐีนักการเมืองเหลือง<br /><br />อำนาจของพวกนี้ทั้งกลุ่มฝังลึกอยู่ ศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่ทหาร เพราะมีเครื่องมือ<br />ในการใช้ความรุนแรงเพื่อเผด็จการ แต่พวกนี้ใช้สถาบันเบื้องสูงเพื่อพยายามสร้าง<br />ความชอบธรรมด้วย<br /><br />อำมาตย์ ในทุกที่ทั่วโลกต้องมีอาวุธสองชนิดคือปืนกับการสร้างความชอบธรรม <br />เขาจะคุมทหาร ตำรวจ ศาล คุก และเขาจะคุมสื่อ โรงเรียน และปิดกั้นความคิด<br /><br />ขบวนการเสื้อแดงเติบโตจากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแท้ของคนจำนวนมาก<br />หลัง 19 กันยา ในช่วงแรกๆ เราไม่ต้องคิดอะไรหนักเพราะเรามองว่าเรามีมวลชน<br />และมีความชอบธรรม<br /><br />แต่ หลังเมษาเลือดเราเริ่มเห็นชัดว่าเราเผชิญหน้ากับอำนาจที่แข็งแกร่ง <br />แค่เดินขบวนและชุมนุมไม่พอ พันธมิตรฯมันเดินขบวนและมีผลเพราะมันใช้ความรุนแรง<br />และมีทหารและคนชั้นสูง หนุนหลัง มันไม่ได้ชนกับอำนาจอำมาตย์<br /><br />เราเรียนรู้ว่าแค่ชนะการ เลือกตั้งหลายรอบก็ไม่พออีกด้วย นี่คือที่มาของการถกเถียง<br />ในหมู่แกนนำเสื้อแดงปัจจุบัน และผมมั่นใจว่าในหมู่คนเสื้อแดงรากหญ้ามีการเถียงกัน<br />ในทำนองเดียวกัน การถกเถียงนี้จะช่วยให้เราชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับแนวทางต่อสู้ และ<br />ถ้าเราวิเคราะห์ออก เราจะชัดเจนว่าเราสามารถสามัคคีกันตรงไหนได้ และมองต่างมุมใน<br />ส่วนไหน โดยไม่ทำให้ขบวนการประชาธิปไตยอ่อนแอ<br /><br />ถ้าจะสรุปเหมารวม การถกเถียงครั้งนี้เป็นการถกเถียงระหว่างสองฝ่าย <br />ในแต่ละฝ่ายก็ไม่ใช่ว่าคนจะคิดเหมือนกันหมด แต่เราสามารถจัดเป็นสองกลุ่มได้คือ<br /><br />(1) กลุ่มแกนนำสามเกลอและทักษิณ เป็นกลุ่มที่อยากจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป พร้อมจะ<br />หาทางประนีประนอมเพื่อได้ประชาธิปไตยกลับมา โดยไม่ต้องปะทะมากเกินไป แนวนี้<br />คือแนวปฏิรูป <br /><br />ส่วนกลุ่มที่<br />(2) ประกอบไปด้วยจักรภพและสุรชัย ที่มองว่าประชาธิปไตยแท้จะไม่มีวันเกิดขึ้นถ้าไม่สู้<br />แบบปะทะอย่างตรงไปตรงมา นี่คือแนวปฏิวัติ<br /><br />ผมเองก็สนับสนุนแนวคิดกว้างๆ ของกลุ่มที่สองนี้ด้วย<br /><br />ผมไม่อยากจะเอาคำพูดไปยัดปากใคร หรือความคิดไปยัดใส่หัวใคร ทุกท่านต้องอ่านและฟัง<br />สิ่งที่เจ้าตัวพูดเอง ไม่ใช่ไปสรุปแทนหรือบิดเบือนอย่างที่มีคนทำกับผมบ่อยๆ<br /><br />แต่ถ้าจะ สรุปคร่าวๆ สองแนวนี้คือทางเลือกระหว่างการค่อยๆปฏิรูปและประนีประนอม กับ<br />การปฏิวัติเพื่อสร้างสังคมใหม่ ในขณะนี้ทั้งสองฝ่ายเชื่อว่าแนวทางของตนเองเป็นแนวที่ดีที่สุด<br />ที่จะนำสังคม ไปสู่ประชาธิปไตย ในอนาคตจะเป็นอย่างไรเดี๋ยวดูเอาเอง แต่จุดร่วมอันสำคัญคือ<br />ทั้งสองฝ่ายมองว่าจะต้องหาทางข้ามปัญหาอำนาจที่แข็ง แกร่งของอำมาตย์ให้ได้<br /><br />กลุ่มปฏิรูปประนีประนอมมีข้อดีตรงที่พยายามจะหาทางสันติที่ไม่ปะทะตรงๆ <br />ไม่เสียเลือดเนื้อมากเกินไป และไม่พยายามทำในสิ่งที่ดูใหญ่โตและยาก แต่ข้อเสียคือมันจะนำ<br />ไปสู่ประชาธิปไตยจริงได้หรือ ?<br /><br />หรือจะ นำไปสู่การยอมจำนนในที่สุด ? <br /><br />การถวายฎีกามีข้อเสียตรงที่ไปมอบอำนาจให้กับประมุขในลักษณะเหนือรัฐธรรมนูญ <br />ซึ่งจะส่งเสริมอำนาจอำมาตย์ ในด้านความคิดการถวายฎีกาอาจช่วยเปิดโปงความจริงบางอย่าง <br />แต่ในมุมกลับอาจไม่เปิดโปงอะไรใหม่และอาจนำพาคนไปจงรักภักดีกับอำมาตย์ก็ได้<br /><br />กลุ่ม ปฏิวัติ ไม่ใช่กลุ่มปฏิวัติทุนนิยมเพื่อสังคมนิยม แต่เป็นกลุ่มที่อยากสู้อย่างถึงที่สุดกับ<br />อำนาจเผด็จการ และมองว่าการต่อสู้ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเล่น กลุ่มนี้มองว่าการประนีประนอม<br />กับอำมาตย์จะไม่กำจัดอำนาจเผด็จการซึ่งจะรื้อฟื้นตัวเองขึ้นมาได้ตลอด<br /><br />ผม ไม่อยากพูดแทนคนอื่น และคนอื่นคงมองต่างมุมกับผม <br />ดังนั้นผมจะให้ข้อสังเกตของตนเองเท่านั้นคือ ผมเชื่อว่าเราสร้างประชาธิปไตยแบบที่มีประมุข<br />ในรูปแบบอังกฤษหรือญี่ปุ่นคงทำ ไม่ได้แล้วในไทย เพราะพวกทหารและกลุ่มอื่นจะดึงประมุข<br />มาเป็นข้ออ้างในการทำลายประชาธิปไตย เสมอ การเขียนรัฐธรรมนูญก็ไม่ช่วยเพราะทหารฉีกและ<br />ละเมิดรัฐธรรมนูญเป็นสันดาน<br /><br />ดัง นั้นเราต้องเปลี่ยนสังคมแบบถอนรากถอนโคน<br /><strong>ต้องลดอำนาจและงบประมาณกองทัพ ต้องปฏิรูปศาลให้หมด ต้องมีระบบลูกขุนประชาชน <br />ต้องปฏิรูปตำรวจ ต้องสร้างสื่อมวลชนของประชาชนแทนสื่อปัจจุบัน และต้องเปลี่ยนระบบการศึกษา <br />ทุกตำแหน่งสาธารณะต้องมาจากการเลือกตั้ง และต้องแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ<br />ทางเศรษฐกิจ เพราะการแก้นิดๆหน่อยๆ จุดเดียวจะไม่ประสบความสำเร็จ</strong><br /><br />ท่ามกลางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแท้ที่เราต้องการนี้ <br />ผมเองหวังอย่างยิ่งว่าประชาชนจำนวนมากจะเริ่มเข้าใจว่าแค่ประชาธิปไตยรัฐสภา ไม่พอ <br />เราต้องมีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจด้วย ประชาชนต้องมีอำนาจในการกำหนดทิศทางการผลิต<br />และการลงทุน ซึ่งแปลว่าต้องยกเลิกทุนนิยมและนำระบบสังคมนิยมมาใช้ (ซึ่งจะแตกต่างโดย<br />สิ้นเชิงกับระบบเผด็จการคอมมิวนิสต์ที่มีในลาว เกาหลีเหนือ คิวบา หรือจีน) ในย่อหน้านี้ผม<br />อาจมองต่างมุมหรือมองเหมือนกับคนอื่นในกลุ่มปฏิวัติก็ได้ ผมไม่ทราบ ต้องรอให้เขาอธิบายเอง<br /><br />ผมต้องยอมรับว่าสิ่งที่เราในกลุ่มปฏิวัติกำลังเสนอ เป็นเรื่องใหญ่ ต้องใช้เวลา <br />และที่สำคัญที่สุดคือต้องใช้พลังมวลชน บทสรุปสำคัญจาก 14 ตุลา และพฤษภา 35 <br />คือการเปลี่ยนสังคมต้องมาจากกระแสมวลชน ไม่ใช่จากคนกลุ่มเล็กๆ ไม่ว่าคนกลุ่มนั้นจะ<br />ติดอาวุธหรือไม่ แต่ถ้าคิดดูให้ดี สภาพสังคมไทยตอนนี้น่าจะสอนให้เราทราบว่าการต่อสู้<br />เพื่อประชาธิปไตยเป็น เรื่องใหญ่อยู่แล้ว <br /><br />ผมไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านพอใจกับประชาธิปไตยครึ่งใบหรือไม่ แต่ผมไม่พอใจ<br /><br />แนว ปฏิวัติเสี่ยงกับการถูกปราบ และคนที่เสี่ยงที่สุดคือคนในประเทศ(ไม่ใช่ผม) <br />แต่แนวปฏิรูปเสี่ยงกับการยอมจำนนต่ออำมาตย์ เลือกเอาเองครับเพื่อนเสื้อแดงทั้งหลาย<br /><br />พวกเราถึงทางแยกสำคัญที่บังคับให้เราต้องคิดหนัก เราไม่ควรเงียบ หรือเอาหัวไปมุดดิน <br />เราควรจะพูดและคิด ควรจะถกเถียงอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด<br /><br /><strong>แต่อย่าลืมขยันสร้างความสามัคคีด้วยในเรื่องที่ทำได้ อย่าลืมว่าศัตรูหลักคือพวกอำมาตย์</strong><br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-17808088206378688332009-08-29T18:50:00.000-07:002009-08-29T19:04:04.708-07:00ล้วงลึกตัวตน พวกพ้อง การต่อสู้และความขัดแย้งinterview Jakrapob Penkair : June 2009<br />ระหว่างบรรทัดความขัดแย้งและการต่อสู้ กับ จักรภพ เพ็ญแข<br />โดย : หนังสือพิมพ์ “แนวร่วม” รายสัปดาห์ (ฉบับอุ่นเครื่อง) <br /><br />Q. ระหว่างบรรทัด ในการให้สัมภาษณ์ของคุณจักรภพกับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง <br />และระหว่างบรรทัดจากข้อเขียนของคุณในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น (Red News) <br />ก่อให้เกิดความสงสัยในคนเสื้อแดงหลายคนและถูกขยายความต่อจากฝ่ายตรงข้าม<br />ว่า เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกันในหมู่แกนนำเสื้อแดง โดยเฉพาะคุณจักรภพกับ<br />คุณจตุพร บอกได้หรือไม่ว่ามันเป็นเรื่องของอารมณ์หรือความแตกต่างกันทางความคิด<br />ใน ยุทธวิธีการต่อสู้<br /><br />A. คนที่สวมเสื้อแดงที่หัวใจและจิตวิญญาณเขาไม่สนใจเรื่องตัวบุคคลหรอกครับ <br />เขาสนใจว่าขบวนการประชาธิปไตยของเรามีวุฒิภาวะแค่ไหน และจะเดินต่อไปสู่<br />เป้าหมายอย่างไรมากกว่า ขณะนี้เรากำลังสร้างแนวร่วมประชาธิปไตยให้เป็นเครือข่าย<br />ที่สำคัญและมีพลัง เราทิ้งใครหรือตั้งข้อรังเกียจใครไม่ได้ทั้งนั้น ทุกคนมีความหมายและ<br />ความสำคัญ เพราะระบอบอำมาตย์เขาจัดตั้งมานานและแน่นแฟ้น เหมือนต้นโพธิ์<br />กับกำแพงผุที่กอดกันอยู่ เราเห็นภูเขาตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแล้ว จะมานั่งเถียงกัน<br />ทำไมครับว่าจอบของใครขุดได้ดีกว่า เราต้องใช้จอบทุกอันที่มีนั่นแหละ<br /><br />Q. หลายคนมองว่าโดยส่วนตัวของคุณนั้นต้องการให้ความรุนแรงในการต่อสู้<br />เป็นตัวตัดสิน โดยเฉพาะเหตุการณ์สงกรานต์เลือดที่ผ่านมา<br /><br />A. นั่นเป็นเรื่องแต่งครับ เรามีอะไรในขบวนการเสื้อแดงที่จะไปก่อความรุนแรงเล่า? <br />อาวุธก็ไม่มี กำลังจากไหนๆ ก็ไม่มี ที่สำคัญคือเจตนาที่จะก่อความรุนแรงวุ่นวายก็ไม่มี <br />ผมเห็นแต่ฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นที่เขามีทั้งกำลังทหาร ตำรวจ สายลับ ข่าวกรอง และ<br />ขบวนการประชาชนจัดตั้งแบบติดอาวุธเตรียมก่อเรื่องแบบที่นางเลิ้ง ใครที่อยากเชื่อ<br />เรื่องแบบนี้ ควรย้อนไปดูเทปการชุมนุมของพวกเราตั้งแต่ยุค PTV เป็นต้นมาว่าเราเรียกร้อง<br />ให้ใช้ความรุนแรงบ้างหรือไม่ ผมอยู่กับขบวนการของเรามาตลอด และยึดอยู่กับหลักการ<br />แห่งความสงบ สันติ และปราศจากอาวุธเรื่อยมา<br /><br />Q. คุณมองว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงและขบวนการผู้รักประชาธิปไตยมันเป็น "เกม" <br />ที่ต้องรู้แพ้-ชนะ กันในกรอบเวลาที่จำกัด หรือเป็นสงครามที่อาจพ่ายแพ้ในศึกหนึ่ง <br />แต่มิได้หมายความว่าจะเป็นการปิดฉาก<br /><br />A. ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เกม ซึ่งแปลว่าการละเล่นเพื่อความเพลิดเพลินของใครสักคนหนึ่ง <br />การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไม่ใช่เกม แต่เป็นวิถีชีวิตของคน 64 ล้านคนที่ต้องการคำตอบ<br />ว่าชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับอะไร ขึ้นอยู่กับอำนาจลึกลับที่คอยบงการชี้นำประเทศ ซึ่งเป็น<br />อำนาจที่ปราศจากความพร้อมรับผิดเพราะหาตัวคนสั่งไม่ได้ หรือขึ้นกับตัวแทนในระบอบ<br />ประชาธิปไตยที่ขึ้นมามีอำนาจชั่วคราว โดยประชาชนสามารถถ่วงดุลและตรวจสอบได้ <br />เรื่องขนาดวิถีชีวิตนี่ กำหนดวันเวลาที่แน่นอนไม่ได้หรอกครับ ผมรู้แต่ว่าใครเอาจริงเอาจัง<br />กับเรื่องนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นภารกิจแห่งชีวิต และอุทิศตนเต็มที่ จะวางขั้นตอนชัดเจนแบบ<br />ทำธุรกิจคงจะไม่ได้<br /><br />Q. คุณพูดถึงการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการประชาธิปไตย <br />อยากทราบถึงโมเดลกระบวนการทำงานของหน่วยงานนี้ว่าเป็นเช่นไร<br /><br />A. หน่วยปฏิบัติการประชาธิปไตยมีขึ้นเพื่อตอบโจทย์ในอดีต<br />ว่าทำไมขบวนการประชาธิปไตย ของเราจึงได้พ่ายแพ้มาตลอด ประชาชนของเรามีความ<br />บริสุทธิ์ใจมาก แต่ฝ่ายตรงข้ามเขามีเล่ห์เหลี่ยมรอบตัวและโหดเหี้ยมอำมหิต สู้กันลำบาก <br />เราต้องการกิจกรรมประชาธิปไตยที่มีอุดมการณ์และวิธีคิดที่เป็นประชาธิปไตย แท้ แต่ต้อง<br />มีประสิทธิภาพและสร้างอำนาจต่อรองให้กับฝ่ายประชาชนได้ รูปธรรมคือสรรหาและพัฒนา<br />นักปฏิวัติประชาธิปไตยเต็มเวลามาทำงาน จะอยู่ที่ไหนในโลกก็ได้ ทำงานประสานกับคนใน<br />อย่างใกล้ชิด มุ่งหวังผลเลิศ แต่ไม่ได้มุ่งหมายผูกขาดการปฏิวัติประชาธิปไตยไว้เป็นของตน <br />รูปแบบเรียบง่าย ประกอบด้วยศูนย์กลาง แกน เครือข่าย และแนวร่วม ทำงานกับขบวนการ<br />ประชาธิปไตยสากล เพราะการโค่นล้มเผด็จการไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของประเทศหนึ่งประเทศใด <br /><br />Q. แน่นอนว่าหน่วยงานนี้จะไม่ใช่กองกำลังติดอาวุธหรือการเล่นเกมใต้ดินที่มีบางกลุ่ม<br />พยายามยัดเยียดการต่อสู้ในแนวทางรุนแรงนี้ให้กับคุณ<br /><br />A. จินตนาการไปเถิดไม่เป็นไร <br />แต่ระวังยัดเยียดจะอะไรแล้วเกิดเป็นประโยชน์กับผมขึ้นมาก็แล้วกัน<br /><br />Q. ในความเป็นนักรัฐศาสตร์ของคุณๆ มองการต่อสู้และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง<br />ภายใต้แนวทางสังคมนิยมของหลาย ประเทศในยุโรปเป็นเช่นไร แบบอย่างไหนที่คุณคิด<br />ว่าใกล้เคียงกับประเทศไทยมากที่สุด<br /><br />A. ยุโรปกลายเป็นประชาธิปไตยได้ก็เพราะผ่านเผด็จการสุดขั้วมานับร้อยปี <br />ทั้งเผด็จการราชาธิปไตย เผด็จการทหาร และเผด็จการจักรวรรดินิยม ประเทศไทยอาจจะกระโดด<br />พรวดเดียวไปถึงขนาดนั้นไม่ไหว ดูประเทศใกล้ตัวอย่างอิหร่านและญี่ปุ่นสิครับ ไปดูไกลนักทำไม<br /><br />อิหร่าน ที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งประธานาธิบดีไปเมื่อวันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2552 <br />เป็นการสู้รบกันระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีนิยมหรือฝ่ายก้าวหน้า แต่เมื่อฝุ่นการเมือง<br />หายตลบอบอวลแล้ว กลับพบว่าผู้ชนะตัวจริงไม่ใช่อาหมัดดิเนจัดหรือมูซาวี แต่กลับเป็น<br />อะยาตุลาห์โคเมเนอี ผู้เป็น “ผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณ” ซึ่งมีอำนาจกดปุ่มได้ทั้งนั้นและประเทศ<br />ก็จะหันเหไป ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะการเลือกตั้งก็ตาม นั่นแสดงว่าอิหร่านมีระบบ “รัฐซ้อนรัฐ” <br />นั่นคือรัฐบาลจากการเลือกตั้งก็ทำหน้าที่ไปในฉากหน้า รับความผิดรับความบกพร่องอะไร<br />ไปทั้งหมด รัฐบาลตัวจริงที่ไม่เคยได้เลือกตั้งก็คอยควบคุมอำนาจรัฐอันแท้จริงอยู่ข้าง หลัง <br />นั่นคือภาพเปรียบเทียบกับไทยในปัจจุบัน<br /><br />ส่วนญี่ปุ่นเป็นระบอบ ประชาธิปไตยอันมีองค์พระจักรพรรดิเป็นประมุข รัฐบาลที่มีอำนาจจริง<br />มาจากการเลือกตั้ง ในขณะที่ราชสำนักเป็นสัญลักษณ์ที่ดีงามในทางวัฒนธรรม สูงส่งและไม่<br />แปดเปื้อนด้วยการแย่งชิงผลประโยชน์ ทำให้ชาวญี่ปุ่นแยกได้เด็ดขาดระหว่างปูชนียบุคคลกับ<br />ผู้มีอำนาจในทางการเมือง นั่นคือภาพของราชอาณาจักรที่มีความก้าวหน้า<br /><br />เรามักนำตัวเองไป เปรียบเทียบกับโลกตะวันตก ในขณะที่โลกตะวันออกในครรลองใกล้เคียงกัน<br />มีอะไรให้เทียบเคียงได้มาก ทั้งในความเหมือนและความแตกต่าง<br /><br />Q. คุณรู้สึกหรือไม่ว่าเมื่อใดที่ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยถูกทำ ถูกออกแบบให้ใกล้ชิด<br />กับลัทธิบูชาตัวบุคคลมากเท่าใด นั่นหมายถึงสัญญาณของความพ่ายแพ้ได้เดินทางใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ<br /><br />A. เห็นด้วยครับ บุคคลมีความสำคัญในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์และเป็นผู้ปฏิบัติภารกิจบริหาร<br />ขบวนการประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้ควบคุมขบวนการนั้นๆ เราต้องยอมให้พลวัตร<br />ประชาธิปไตยเป็นตัวขับเคลื่อนขบวนการประชาธิปไตยอย่าง แท้จริง พูดให้ง่ายคือต้องเอาพลัง<br />ทั้งสังคมมาปฏิวัติประชาธิปไตยให้ได้ ใครรวบรวมพลังเหล่านี้ได้ก็เป็นผู้นำขบวนการประชาธิปไตยได้<br /><br />ผู้นำ ขบวนการประชาธิปไตยต้องไม่ใช่คนที่นั่งนอนรอประนีประนอมกับเขา <br />ต้องไม่ใช่คนที่หวังยังชีพไปพร้อมกับงานประชาธิปไตย และต้องไม่ใช่ตลกหน้าม่านที่ออกมา<br />ผ่อนคลายความตึงเครียดของคนแค่ชั่วครู่ ชั่วยาม แต่เมื่อได้ตัวมาแล้วก็ต้องควบคุมอัตตวิสัยของตน<br />ไว้ให้ดี กำเริบเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็นเผด็จการตัวใหม่ทันที<br /><br />Q. คุณคิดหรือไม่ว่าขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของบ้านเราในทุกวันนี้ เอาเข้าจริงแล้วมันก็<br />ยังลุ่มหลงอยู่ในมายาคติ มายาคติของการเทิดทูน บูชาความเป็นปัจเจกเสียมากกว่าที่จะดื่มด่ำหลงใหล<br />กับเนื้อหาอันแท้จริง<br /><br />A. อย่าห่วงเลยครับ ประชาชนท่านแยกออก<br /><br />Q. ที่คุณพูดว่าถึงเวลาสมควรพบก็ต้องพบกันนั้น หมายถึงอย่างไร<br /><br />A. ท่านถามจากข้อเขียนของผมเมื่อสัปดาห์ก่อนในอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งต้องขอขอบคุณที่ได้อ่าน <br />ความหมายของผมตรงไปตรงมาไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกครับ การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของเรา<br />ต้องกำหนดทิศทางโดยฝ่ายประชาชน ไม่ใช่ให้ศัตรูของประชาชนมากำหนด โดยใช้คดีความต่างๆ <br />บ้าง การกล่าวหาผ่านสื่อบ้างอะไรบ้าง มาเป็นเครื่องมือ เราจะต้องวางแผนให้รอบคอบและ<br />เดินหน้าของเราไป ถึงเวลาเมื่อไหร่เราก็ลงมือทำ ไม่ต้องไปรอเงื่อนเวลาใดๆ ที่เขากำหนดขึ้นมา<br />ให้หรอกครับ<br /><br />Q. ประชาธิปไตย สังคมเป็นธรรม ในความรู้สึกของคุณนั้นคืออย่างไร<br /><br />A. ความเป็นธรรมคือการได้รับโอกาสทางสังคมอย่างเต็มที่ จะให้โดยรัฐบาลก็ได้ ประชาชน<br />ให้กันเองก็ได้ โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ มาสกัดกั้นขัดขวาง ผมรู้ว่าเราเลือกเกิดไม่ได้ และต้องมีคนที่<br />ได้รับโอกาสมากกว่าอีกคนหนึ่งเสมอในสังคม แต่สังคมจะต้องใส่ใจกับคนที่ไม่สามารถได้รับ<br />โอกาสนั้นได้ด้วยตนเอง และสร้างเครื่องมือช่วยเหลืออย่างชาญฉลาด โดยไม่เป็นการเอาเปรียบ<br />คนอื่นๆ ขึ้นมา ผมไม่ได้พูดถึงรัฐสวัสดิการอย่างเดียว แต่ยังพูดถึงการศึกษาและการพัฒนาต่อยอด <br />(education & re-training) ที่บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อมวลชนที่รับใช้สังคมอย่าง<br />เสมอภาค ระบบศาสนาที่ตอบโจทย์ทางใจและจิตวิญญาณโดยไม่ลากลงต่ำไปกว่าเดิม ทั้งหมดนี้<br />เป็นเพียงตัวอย่างนะครับ<br /><br />Q. มองย้อนไปบนเส้นทางชีวิต คุณรู้สึกมั้ยว่าความเป็นจักรภพในวันที่เป็นนักเรียนสาธิต <br />นิสิตจุฬา พนักงานซี.พี. หรือเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความเป็น<br />จักรภพใน ฐานะคนหัวแถวของเสื้อแดง บางคนมองว่าการอธิบายหรือให้นิยามความเป็นคุณช่าง<br />เป็นเรื่องยาก เพราะแยกไม่ออกว่าสิ่งที่คุณเป็นนั้น มันคืออะไรกันแน่ อุดมการณ์ จิตสำนึก สันดาน <br />หรือจริตมายา<br /><br />A. จะร้อนใจไปใย รอไว้จำกัดความในวันที่ผมตายแล้วก็ได้ เพราะผมยังต้องทำอะไรอื่นๆ อีกมาก <br />ยังไม่รู้ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลวในใจใคร วานซืนนี้ผมกินข้าวหมูแดงใส่กุนเชียง เมื่อวานกิน<br />ก๋วยเตี๋ยวแห้ง ตกเย็นได้กินอาหารญี่ปุ่นคือปลาดิบ และวันนี้เพิ่งจะเล่นข้าวราดแกงไปหมาดๆ จะ<br />สรุปนิสัยสันดานในการกินของผมอย่างไรดี ในความเป็นมาของชีวิต ผมยังเคยทำงานถวายสมเด็จ<br />พระเทพรัตนราชสุดาฯ ในโครงการหนังสือ “The Princess of All Peoples” เคยเป็นสื่อมวลชนอิสระ <br />ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัทผลิตสื่อ อาจารย์มหาวิทยาลัย วิทยากรในสถาบันของทหาร รวมทั้ง<br />วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรยาวนานหลายปี เป็นลูกหลานทหาร แม่มาจากตระกูลที่รับใช้รั้ววังมา <br />พี่เป็นข้าราชการระดับสูง อ่านหนังสือสลับกันระหว่างภาษาไทยกับอังกฤษมานานกว่ายี่สิบปี <br />เป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ฯลฯ จะสรุปความเป็นคนของผมอย่างไร <br />ผมเป็นคนชนิดไหน ผลประโยชน์ร่วมกันและขัดแย้งกับกลุ่มใด<br /><br />อย่าเสียเวลากับตัวผมมากนักเลยครับ มาคุยกันเรื่องความคิด อุดมการณ์ และแผนงานดีกว่า <br /><br />Q. คุณยังได้พุดคุยกับสื่อมวลชนต่างประเทศอยู่บ่อยๆ เหมือนเดิมหรือเปล่า วันนี้ของสื่อมวลชน<br />ต่างประเทศมีทัศนคติและมองประเทศไทยอย่างไร ความเชื่อมั่นของพวกเขาที่มีต่อประเทศไทย<br />เป็นเช่นไร ยังเป็นขุมทองของการลงทุน และแดนสวรรค์ของการท่องเที่ยวอยู่อีกหรือไม่<br /><br />A. ผมสังสรรค์เสวนากับคนไทยและชาวต่างประเทศอยู่ตลอดเวลาครับ <br />ชาวต่างประเทศนั้นก็ทั้งคนเป็นรัฐบาล นักการเมืองในระบบพรรค ตุลาการสากล สื่อมวลชน <br />นักธุรกิจที่เขามองเมืองไทยอย่างใส่ใจและปรารถนาดี คนระดับหัวหน้ารัฐบาลก็ได้เข้าพบอยู่บ้าง <br />เมื่อได้พบแล้วเขาก็ถามคล้ายกันว่าเมืองไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป<br /><br />นักธุรกิจส่วนมากก็ยังพอใจกับจริตแบบไทยๆ เห็นว่าเป็นความพิเศษกว่าชาติอื่นๆ อยู่ <br />เขานั่งรอว่าเมื่อไหร่เมืองไทยจะกลับสู่สมดุลและจุดลงตัวของตน ก็จะกลับมาทุ่มทุนอีก ผมไม่ห่วง<br />เรื่องชื่อเสียงของประเทศในระยะยาว เพราะคนไทยร่วมกันทำชื่อเสียงที่ดีมามากพอ ส่วนการเมือง<br />ในระยะนี้เขาก็รู้กันดีว่าติดขัดที่ตรงไหน เขาก็รอให้ฝ่ายที่ขัดขวางระบอบประชาธิปไตยแพ้ภัยตัวเอง<br />ไปแล้วเขาก็คงเข้ามา<br /><br />Q. คุณคิดยังไงกับความเห็นของหลายคนที่ว่ารัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณทำให้ทุนนิยมชายขอบ<br />ของไทยก้าวสู่ความเป็นทุนนิยมโลก และมันไม่วันหวนกลับคืนมาอีกแล้ว ดังนั้นที่ๆ จะยืนอยู่ของ<br />ไทยบนเวทีโลกอย่างไรเสียมันก็หนีไม่พ้นโลกของทุนนิยม<br /><br />A. ตอบกันจริงๆ มันก็เป็นเรื่องของวิถีการผลิต เพราะมนุษย์ต้องกินต้องใช้ ต้องมีปัจจัยสี่ <br />คำถามคือจะได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน ระบบการผลิตของโลกถูกครอบด้วยลัทธิทุนนิยม นั่นคือเอา<br />ระบบตลาดหรือหลายคนเรียกอย่างเจ็บใจว่า ระบบความโลภ มาเป็นแรงขับดันให้อยากผลิต <br />อยากเผยแพร่ ผู้บริโภคก็ได้ตัวเลือกหลากหลายในแต่ละสินค้าและบริการ <br />นับเป็นผลประโยชน์ร่วมกันอย่างหนึ่ง<br /><br />แต่ทุนนิยมสุดขั้วและล้าหลัง มันก็โลภ มันก็ตักตวง มันทำลายผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม <br />และมันก็สร้างความขัดแย้งในสังคม คำตอบก็คือเราต้องใช้พลวัตรทางสังคมผลักให้เกิด<br />ระบบทุนนิยมก้าวหน้า และต้องให้แน่ใจว่าเป็น “ระบบทุนนิยมก้าวหน้า” ใน “ระบอบประชาธิปไตย” <br />ไม่ใช่ “ระบบทุนนิยมล้าหลัง” ใน “ระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย” <br /><br />แนวคิดที่จะหนีจากระบบทุนนิยมและใช้แนวคิดอื่นมากำกับระบบการผลิตนั้น <br />ผมยังไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะคนที่สอนให้คนอื่นรังเกียจทุนนิยมและวิจารณ์นักทุนนิยมคนอื่นๆ <br />ว่าเลวว่าชั่วนั้น ตัวเองก็ทุนนิยมเสียจนรวยล้นฟ้า<br /><br />Q. ทุนนิยมสามานย์กับไม่สามานย์นี่มันต่างกันตรงไหน ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ชี้วัด <br />ทุนนิยมในศักดินากับทุนนิยมในสามัญชนอย่างไหนน่ากลัวกว่ากัน<br /><br />A. สำหรับผม <strong>ทุนนิยมสามานย์ หรือทุนที่เลว ต่ำ ชั่ว <br />คือทุนนิยมล้าหลังในระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย</strong> <br />ทุนนิยมที่พอยอมรับได้ แต่ต้องกดดันกันไว้ตลอด คือทุนนิยมก้าวหน้าในระบอบประชาธิปไตย<br /><br />เกณฑ์ ชี้วัดโดยคร่าวคือ สิ่งที่ได้มาในเชิงมูลค่าเพิ่ม ต้องมากกว่าต้นทุนทางธุรกิจ <br />ทางสังคม และทางจิตวิญญาณ พูดง่ายๆ คือสังคมต้องไม่ขาดทุน และประชาชนส่วนใหญ่<br />ต้องได้กำไรในเชิงเศรษฐศาสตร์<br /><br />Q. มั่นใจหรือไม่ว่า เร็วๆ นี้คุณจะได้กลับเมืองไทย ได้กลับมาโลดแล่นทางการเมืองบนแผ่นดินแม่<br /><br />A. ผมไม่สนใจนักว่าจะได้กลับมา “โลดแล่นทางการเมือง” แบบที่ท่านถามหรือไม่ <br />เพราะทำงานการเมืองในระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย คงไม่ต่างอะไรกับการมีเพศสัมพันธ์กับคนตาย <br />ไม่รู้สึกรู้สมและไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ผมสนใจใช้เวลาศึกษาปัญหาในโครงสร้างการเมืองของประเทศ<br />ไทยเพื่อการแก้ไขใน ระยะยาวมากกว่า ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ ผมจะทันเห็นหรือไม่ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง<br /><br />ผมเคยบอกกับน้องๆ ที่มาสัมภาษณ์เกี่ยวกับปรัชญาชีวิตว่า ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวของนักเขียนอเมริกัน<br />ที่ผมชื่นชอบมาก คือเรย์ แบรดบิวรี่ เขาบอกว่า “กระโดดลงเหวไปก่อน แล้วงอกปีกตามให้ทัน” <br />ผมเลือกที่จะมีชีวิตแบบนั้น.<br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-46114253049542090502009-08-27T19:10:00.000-07:002009-08-27T19:12:04.128-07:00ทักษิณกลับบ้าน ?article : จักรภพ เพ็ญแข<br />from : หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ “แนวร่วม Red” ปีที่ 1 ฉบับที่ 7<br />date : August 25, 2009 -- 25 สิงหาคม 2552 <br /><br />หมู่นี้พูดกันบ่อยจริงเรื่องคุณทักษิณจะกลับบ้าน<br /><br />อยากให้พี่น้องตื่นเต้นเร่งลงชื่อในฎีกา ก็บอกว่าเพื่อให้คุณทักษิณได้กลับบ้าน <br />จะเอาฎีกาไปยื่นที่สำนักพระราชวัง ก็เรียกคนมาชุมนุมกันที่สนามหลวงและบอก<br />เป็นนัยๆ ว่าเพื่อคุณทักษิณจะได้กลับบ้าน หรือกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเสียด้วยซ้ำ <br />แค่ชาวเสื้อแดงมากันให้มากเข้าไว้เป็นได้การ พูดย้ำซ้ำทวนกันจนชาวประชาธิปไตย<br />ที่นิยมคุณทักษิณค่อนประเทศเชื่อเอาจริงๆ ว่ากระบวนการขั้นตอนในการเอาชนะ<br />พวกปล้นประชาธิปไตย จะง่าย สั้น จบ อย่างสวยงามอย่างที่พูดกัน<br /><br />ผมก็คนหนึ่งล่ะครับที่อยากเห็น พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน <br />อยากเห็นท่านเข้ามากอบกู้บ้านเมืองที่ถูกอำมาตย์มันปล้นทำลายไป แต่ผมก็อดสงสัย<br />ไม่ได้ว่า คนที่พร่ำพูดเช่นนั้นเอาเหตุผลอะไรมาอธิบายว่าความหวังของเราจะเป็นจริง<br /><br />การให้กำลังใจกันนั้นก็เป็นเรื่องดีและควรทำครับ <br />แต่อย่าเตลิดไปจนสร้าง “ความฝัน” ขึ้นมาแทน “ความหวัง” จนกลายเป็นฝันสลายไป<br /><br />ดร.ทักษิณฯ นำพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด ๒ ครั้ง <br />เป็นปรากฏการณ์แรกนับแต่ฝ่ายประชาธิปไตยโค่นเผด็จการแบบเก่าได้สำเร็จในปี <br />พ.ศ. 2475 และนำพรรคพลังประชาชนจนได้รับชัยชนะอีกครั้งในระหว่างที่บ้านเมือง<br />อยู่ในเงา รัฐประหารและรัฐบาลอำมาตย์ ในปี พ.ศ. 2550<br /><br />สร้างฐานสมาชิกพรรคไทยรักไทยเป็นประวัติการณ์เกือบ 20 ล้านคน จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง<br />ราว 40 ล้านทั่วประเทศ และได้รับคะแนนนิยมสูงกว่านายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งทุกคน<br />วัดผลทีไรก็ไม่มีใครเถียงว่ามีผลงานจับใจประชาชนมากที่สุด จนทำให้ประชาธิปไตยที่<br />คุณทักษิณดูแลกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและกินได้ <br /><br />แต่แล้ว...<br />เขาก็หักดิบเอาตรงๆ เมื่อวันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549<br />ในนาม คปค. / คมช. โดยไม่เกรงใจประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว<br /><br />ถามจริงๆ เถิดครับ เสียงในฎีกา 6 ล้าน ซึ่งเป็นเสียงสวรรค์โดยแท้ไม่มีใครเถียงได้ <br />จะไปคัดง้างอะไรกับคนชนิดนี้ ? -- ได้เคยคิดกันบ้างไหมครับ <br /><br />เห็นขึ้นมารุมด่าพลเอกเปรม พลเอกพิจิตร นายอภิสิทธิ์ นายบวรศักดิ์ ฯลฯ เป็นหมูเป็นหมา <br />สนุกเสียไม่มี สะใจเป็นบ้า ในที่สุดก็บอกกับพี่น้องประชาชนว่า ด่าไอ้พวกเลวชาติแบบ<br />ไม่ต้องให้มันได้ผุดได้เกิดกันเลย เพื่อเราจะได้เกิดใหม่ทางการเมือง .. คนดูโห่ร้องกึกก้อง<br />เพราะนึกว่าเราจะได้รับชัยชนะแน่นอนแล้ว <br /><br /><strong>ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ครับว่า <br />ระบอบอำมาตยาธิปไตยหมายถึงใครและอะไรบ้าง </strong><br /><br />เล่าเรียนกันมาทางไสยศาสตร์ขนาดไหน <br />ถึงประกาศกลางเมืองว่าจะแยกผีออกจากสางมิน่าเล่า...<br />ถึงได้ถูกหลอกจนหัวโกร๋นแล้วโกร๋นอีก <br /><br />บางคนเคยถูกเขาหลอกมาครั้งหนึ่งตอนอายุสี่สิบเศษๆ <br />ดันยอมถูกหลอกอีกครั้งในวัยหลังหกสิบ แล้วมาลากเอาคนเป็นล้านๆ เข้าไปในป่าช้า<br />เพื่อจะถูกหลอกด้วย .. -- .. เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใย ? <br /><br />บอกด้วยความรักและหวังดีต่อกันว่า การหาความเป็นธรรมจากคนหน้าด้าน<br />ที่ชำนาญเกมรักษาอำนาจ ยากกว่าการแงะเศษกระดูกออกจากปากสุนัขมากนัก <br /><br />ชอบอ่านประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทำไมจงใจอ่านข้ามตอนนี้ไปเสียล่ะครับ?<br /><br />พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ผู้นำสายทหารในการเปลี่ยนแปลง<br />การปกครอง พ.ศ. 2475 ถึงกับต้องทำรัฐประหารซ้ำสองในปีรุ่งขึ้นเพื่อปราบปราม <br />“ซากเดนศักดินา” ที่ผ่านร่างทรงเก่าๆ ของผีร้ายตัวเดิมเข้ามาทวงอำนาจคืน เช่น <br />พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) ผู้ได้รับเชิญเป็นประธานกรรมการราษฎร <br />หรือนายกรัฐมนตรีคนแรกหลังการปฏิวัติ เป็นต้น<br /><br />แล้วคนรักพระยาพหลฯ ในบ้านเมืองนี้ <br />ทำไมถึงได้ยืนด่าซากเดนศักดินา โดยไม่ยอมบอกมวลชนที่รักและเชื่อถือตัวเองว่า <br />ซากเดนเหล่านั้นกระเด็นออกมาจากตรงไหน ?<br /><br />หรือวันนี้เพลิดเพลินกับอำนาจใหม่ และการฟื้นคืนชีพทางการเมือง <br />จนฝันจะเป็นพระยามโนฯ ขึ้นมาเอง โดยลืมเกียรติยศของเจ้าคุณพหลฯ เสียแล้ว ?<br /><br />เป็นอย่างนั้นไปแล้วหรือครับพระคุณท่าน ?<br /><br />การถวายฎีกาในครั้งนี้ไม่ต่างอะไรจากกระบวนการขั้นตอนที่เคยมีมา <br />ไม่อาจลบประวัติศาสตร์ 14 ตุลาคมที่คนเดือนพฤษภาบางคนที่มีปมด้อยพยายามจะลบ <br />และอย่าเอาไปฝันเองว่าเป็นวีรกรรมใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าวีรกรรมทั้งหลาย<br /><br />นี่คือการใช้ช่องทางการสื่อสารที่มีอยู่ เพื่อให้แน่ใจว่ายังอยู่กันได้เท่านั้นเองครับ <br /><br />ใครจะหวังได้ดีอย่างไรจากงานนี้ <br />โปรดอย่าลืมว่าประชาชนของเราเดือดร้อนกันมามากกว่าสี่ปีแล้ว <br />อย่าไปเล่นสนุกกับความฝันและความหวังของท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นอันขาด<br /><br />บาปหนักและขบวนการประชาธิปไตยจะถูกทำลายเกลี้ยง <br /><br />หยุดพูดเถอะครับว่า พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะกลับบ้านในเร็ววันนี้ <br />เหตุการณ์บ้านเมืองจะพลิกไปอย่างไรก็ตามหลังฎีกา คนไทยที่รู้การเมืองไทยจะไม่ยอม<br />ให้คุณทักษิณกลับมาเป็นเป้าปืนของเขาเป็นอันขาด<br /><br />ระเบิดเครื่องบินการบินไทย วางแผนลอบสังหาร 8 ครั้ง รวมทั้งกะฆ่าหมู่คนไทยที่บางพลัด<br />เมื่อรถของคุณทักษิณแล่นผ่าน .. ไม่พออีกหรือครับ ที่จะเรียนรู้ว่าฝ่ายนี้เขาเจตนาฆ่าคุณทักษิณ<br />โดยไม่มีความคิดที่จะเจรจาใดๆ ด้วยเลย<br /><br />อยากให้คุณทักษิณกลับมาตายเมืองไทย หรือเตรียมเป็นนายกรัฐมนตรีในยามปลอดภัยและ<br />ช่วยชาติได้เต็มที่ เป็นทางเลือกที่คนไทยหลายคน และตัวผมเองไม่ยอมเลือกเป็นอันขาด<br /><br />คนที่เรียกร้องให้คุณทักษิณกลับบ้านโดยอะไรต่างๆ มันไม่ได้ดีขึ้นเลยนั้น <br />เหมือนคนที่อยากเห็นคุณทักษิณกลับไปตายเหมือนวุฒิสมาชิกเบนิญโญ อาคิโนของฟิลิปปินส์<br /><br />คุณทักษิณท่านไม่กลัวตายหรอกครับ <br />ผู้นำคนนี้กล้า ผมได้เห็นมาหลายครั้งแล้ว <br />แต่เราต่างหากที่เป็นฝ่ายกลัวคุณทักษิณจะเป็นอะไรไป<br /><br />เพราะเรารู้ว่าบ้านเมืองจะสูญเสียอะไร<br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-61958017262866927302009-08-27T13:26:00.000-07:002009-08-27T13:39:52.208-07:00หากรัฐประหาร<br/><br />article : จักรภพ เพ็ญแข<br />from : คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” <br />หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 12<br />date : August 22, 2009 -- 22 สิงหาคม 2552<br /><br />แทบจะไม่มีใครนึกฝันว่า กระบวนการลงชื่อถวายฎีกากรณีคุณทักษิณ <br />ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เบาบางที่สุดแล้วในเส้นทางอันยาวไกล จะทำให้ระบอบอำมาตยาธิปไตย<br />เกิด “วินาศกาเล วิปริตพุทธิ” ขึ้นมาอย่างกะทันหันอย่างนี้<br /><br />เห็นปัญญาแปรปรวนวิปลาสไป ทำให้ฉุกคิดว่าถึงคราววินาศเสียแล้วล่ะกระมัง<br /><br />อำมาตย์ไม่รู้หรอกหรือว่า ชาวประชาธิปไตยที่เอาจริงเอาจังเขาไม่ได้เห็นด้วยกับฎีกาทุกคน <br />แต่เงียบสงบกันอยู่ตลอดมานี้ก็เพราะเห็นว่าสังคมไทยต้องเดินไปตามวงเวียนกรรมของ<br />ตนเองเสียก่อนที่จะเกิดความเข้าใจทะลุปรุโปร่งว่าทุกข์ทางการเมืองในขณะนี้เกิดจากอะไร <br /><br />ผิดหวังอีกสักรอบหนึ่งอาจจะเป็นการศึกษาที่ดี<br />ว่าการต่อสู้ตามสิทธิ์ของความเป็นมนุษย์ กับการลดความเป็นมนุษย์ของตนเองลงเพื่อให้ได้มา<br />ในสิ่งที่เราต้องการนั้น มีความแตกต่างกันนักหนา .. การต่อสู้ย่อมเหนื่อยยาก ยาวนาน แต่ยั่งยืน <br /><br />การขอร้องนั้นเร็วทันใจและดูเหมือนได้ผล แต่เขาจะเอากลับคืนไปอีกเมื่อไหร่ก็ได้ <br />ไม่ว่าจะเป็นข้อใดก็ตามในระบอบประชาธิปไตย ได้แก่ อำนาจสูงสุดที่เป็นของปวงชน <br />เสรีภาพส่วนบุคคล สังคมเสมอภาค หลักกฎหมาย และผู้ใช้อำนาจรัฐที่มาจากการเลือกตั้ง <br /><br />แต่สังคมของเรามีคนมากมายและหลากหลาย กว่าจะเกิดแนวคิดที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน<br />อย่างที่เรียกว่าฉันทามตินั้น บางครั้งต้องยอมให้เจ็บตัวบ้าง เหมือนเด็กเล็กที่ต้องหกล้ม<br />สักครั้งสองครั้งก่อนจะเรียนรู้ว่าพื้นคอนกรีตนั้นมันแข็งและไม่ควรปล่อยตัวให้หกล้ม <br /><br />พลังประชาธิปไตยที่รอคอยอย่างเงียบสงบในกระบวนการถวายฎีกา รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นการ<br />ศึกษาของสังคม โอกาสที่จะได้มาซึ่งทางออกอย่างยั่งยืนและระบอบประชาธิปไตยแท้จริง<br />ด้วยวิธีการอย่างนี้แทบจะไม่เห็นทาง แต่ก็ต้องให้สาธุชนทั้งหลายรู้เองด้วยประสบการณ์ส่วนตัว <br />บอกล่วงหน้าไม่ได้ <br /><br />คนกำลังหลงใหลอะไร อย่าไปขัดคอขัดใจให้เกิดโกรธเคืองกันเลยครับ <br />ความหลงถูกทำลายได้ไม่ยากด้วยความจริง เราไม่ควรห่วงใยจนเกินเหตุนัก <br /><br />ความจริงที่ว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่เป็นที่พึ่งที่หวังได้เลยสำหรับฝ่ายประชาธิปไตย <br />เพราะใช้เวลาตลอดชีวิตในการบดขยี้ทำลายล้างให้เป็นภัสมธุลี ด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต<br />เหลือที่จะกล่าวนั้น เป็นความจริงที่เจ็บปวด ฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อขาวอีกเป็นจำนวนมากยัง<br />ปลงใจเชื่อไม่ได้ และยังฝันว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยเป็นคำตอบที่จะทำให้ระบอบ<br />ประชาธิปไตยสถิตสถาพรได้ <br /><br />สมการง่ายๆ ว่าฝ่ายอำมาตย์คือผู้ทำลายประชาธิปไตย และประชาธิปไตยจะเกิดและอยู่ถาวร<br />ได้ในประเทศนี้ต่อเมื่อฝ่ายอำมาตย์ต้องพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด ยังไม่ใช่สมการที่ผู้คนส่วนใหญ่<br />หรือจำนวนมากพอเข้าใจและยอมรับ <br /><br />เราจึงต้องใจเย็น <br /><br />ผมถูกป้ายสีมาตั้งแต่ออกจากเมืองไทยว่า เป็นคนประเภทใช้กำลัง เพราะไปเอ่ยถึงเรื่องการจัดตั้ง<br />กองกำลังเพื่อเตรียมสู้รบกับฝ่ายอำมาตย์ในการให้สัมภาษณ์ ทั้งๆ ที่พูดสื่อความหมายในทาง<br />ตรงข้ามว่า ฝ่ายอำมาตย์ไม่ควรบีบบังคับฝ่ายประชาชนให้ถึงขั้นคิดใช้และจัดตั้งกองกำลังเลย <br /><br />พูดเตือนสติกับสุนัขบ้าที่กำลังน้ำลายฟูมปาก มันก็กัดเข้าให้ <br /><br />ขณะนี้ได้นำบทเรียนนี้มาขบคิดใคร่ครวญและฉีดวัคซีนรอบสะดือไว้แล้วเรียบร้อยโรงเรียนไทย<br />แล้วครับ อย่าได้เป็นห่วง เชื่อเถิดว่า ความวุ่นวายในหมู่อำมาตย์จนชีวิตกลายเป็นจลาจลในขณะนี้ <br />จะเป็นคุณอย่างมากต่อการยอมรับความจริงที่หลีกเลี่ยงมิได้ของฝ่ายประชาธิปไตย <br /><br />ไม่เกินจริงเลยที่จะบอกว่าถวายฎีกาแล้วจะเกิดปฏิกิริยาอย่างหนักหน่วงจากฝ่ายอำมาตย์ <br />ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 จำพวก <br /><br />หนึ่ง-อำมาตย์ใหญ่และคนวงใน จะทำท่าเงียบเฉยจนดูเหมือนให้ความร่วมมือ <br />แต่รอเวลาที่จะตลบหลังเปลี่ยนฉากทำให้คนเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยกลายเป็นผู้ร้ายไป <br /><br />สอง-อำมาตย์ระดับกลางและระดับปฏิบัติการจะวิ่งวุ่น แสดงออกโต้งๆ เลยว่าไม่สามารถ<br />อดทนต่อกระบวนการถวายฎีกาของคนเสื้อแดงได้ เพราะรู้ดีว่ากำลังเสี่ยงภัยมหาศาล <br />ถ้าอำมาตย์ใหญ่เกิดรับลูกฝ่ายประชาธิปไตยขึ้นมา จะจริงใจหรือไม่ก็ช่างเถิด ตัวเองอาจถูกจับ<br />บูชายัญแทนเจ้านายผู้เป็นอำมาตย์ใหญ่ที่หาทางลงไม่ได้ หรือถ้าอำมาตย์ใหญ่วางแผนตลบหลัง<br />คนเสื้อแดงเสียเอง ก็จะได้หน้าว่าออกมาช่วยอำมาตย์ใหญ่ตั้งแต่ต้น<br /><br />เราจึงเห็นหน้าของคุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ คุณอานันท์ ปันยารชุน <br />คุณสุรพล นิติไกรพจน์ ฯลฯ ในบัดนี้ เพราะเป็นฤดูกาลหาเสียงของฝ่ายอำมาตย์เขา <br /><br />ไม่มีทางเลยที่วิกฤติการเมืองครั้งนี้จะจบลงด้วยความยอมรับนับถือในทัศนะของประชาชน <br />เพราะหากมี DNA ประชาธิปไตยอยู่ในตัวบ้าง คงไม่จุดไฟเผาเมืองตัวเองจนเป็นจุลมหาจุล<br />อย่างนี้มาแต่ต้น<br /><br />การปะทะระหว่างกลุ่มมวลชนเป็นไปได้ ตั้งแต่ปะทะใหญ่โตเป็น 14 ตุลาคม 2516<br />จนถึงปะทะน้อยๆ แต่สร้างภาพให้น่าสะพรึงกลัวในโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ และเว็ปของ<br />ฝ่ายอำมาตย์ จนประชาชนทั่วไปรู้สึกว่าสถานการณ์ไร้การควบคุม และยอมให้จัดตั้งรัฐบาลพิเศษ<br />ขึ้นมาปกครองในรูปแบบที่ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ เมื่อ พ.ศ.2516<br /><br />คนเสื้อแดงถูกทำลายภาพลักษณ์จนกลายเป็นผู้ร้าย คิดโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์<br />ด้วยฎีกาที่ยกขบวนกันไปยื่น ทำลายชื่อเสียงกลางเมืองกันอย่างนั้นก็เป็นไปได้ <br /><br />และจนถึงใช้วิธีรัฐประหาร ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน <br />เพราะกองทัพเป็นเครื่องมือชิ้นเดียวที่ยังไม่ออกมาแสดงท่าทีในเรื่องฎีกา <br />อาจจะรอทำผลงานทีเดียวหลังจากที่กลไกอื่นๆ ทำลายภาพลักษณ์ของฝ่ายประชาธิปไตย<br />จนย่อยยับแล้ว เหมือนใช้วิทยุยานเกราะ หนังสือพิมพ์อย่างดาวสยามและบางกอกโพสต์<br />ก่อนเหตุการณ์โหดเหี้ยม 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 จนนักศึกษาในที่ชุมนุมกลายเป็นญวนเป็นแกว <br />และคิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเมืองไทยด้วยกำลังอาวุธ <br /><br />ละครแบบนี้เล่นมาหลายรอบแล้ว และเขาก็เชื่อมั่นว่ายังได้ผล <br />เมื่อเขายังเชื่อมั่นอย่างนั้น เราก็ต้องระมัดระวัง <br /><br />บทความที่เขียนอยู่นี้ยังไม่รู้ว่าจะได้ลงพิมพ์ทันเวลาหรือไม่ <br /><br />แต่บอกไว้ตรงนี้ว่าอะไรที่พลาดมาจาก 19 กันยายน พ.ศ. 2549<br />เราจะนำมาเป็นบทเรียนและทำเสียให้แตกต่างในครั้งนี้ <br />เลิกเอาไข่ใส่ในตะกร้าเดียวกันเหมือนที่มั่นใจว่ามีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรเหลือเฟือ <br />และลืมสร้างกลไกอื่นๆ นอกสภาเอาไว้สู้ .. กลับมาสนับสนุนขบวนการและกลุ่มประชาธิปไตย<br />เสื้อแดงและเสื้อขาวที่กระจายกำลังกันอยู่แล้วทั่วประเทศและทั่วโลกอย่างเต็มที่ เพราะเขาคือ<br />พระเอกนางเอกตัวจริง <br /><br />คนที่เป็น ส.ส. และคนที่อยากเป็น ก็เข้าช่วยเขาในเขตนั้นๆ ด้วยกำลังปัญญา กำลังทรัพย์ <br />และกำลังใจ โดยใช้ความสามารถในการสร้างและพัฒนาเครือข่ายเข้าไปสมทบ <br /><br />อารยะขัดขืน เอามาใช้ให้เต็มที่ และรัฐบาลพลัดถิ่น ต้องตั้งขึ้นมาสวนควันปืนทันที <br /><br />เรื่องอื่นๆ ขอเก็บไว้หน่อย ปล่อยให้ (อำมาตย์) งง.<br /><br/><br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-49176757295797449352009-08-05T06:52:00.000-07:002009-08-27T13:22:53.218-07:00การล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา<br/><br /><span style="color:#666600;">article :</span> <span style="color:#660000;">SIAM Freedom Fight</span><br /><br />ในฐานะนักเรียนไทย เราถูกสอนแบบกว้างๆว่า..พม่าข้าศึกยกทัพมาเผาเมือง<br />คนไทยไม่สามัคคีกัน จึงพ่ายแพ้หมดรูป ..ก็เท่านั้น<br /><br /><strong>แต่ในฐานะประชาชนไทย.. เกิดคําถามตามมาอีกว่า <br />แล้วอะไรทําให้คนไทยยุคนั้น"ต้องไม่สามัคคีกัน" ??</strong><br /><br />ประเด็นนี้ขออ้างอิงงานเขียนของอาจารย์ <strong>นิธิ เอียวศรีวงศ์</strong><br />ซึ่งบุคคลผู้นี้ได้ศึกษาประวัติศาสตร์มาเป็นเวลานาน มีงานเขียนสําคัญตีพิมพ์มากมาย<br />หลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวการเมืองในสมัยพระนารายณ์มหาราช การเมืองในสมัย<br />พระเจ้ากรุงธนบุรี และอื่นๆอีกมาก ล้วนแต่เชื่อมโยงเป็นประเด็นเดียวกันทั้งสิ้น สามารถหา<br />ซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป เพื่อวิเคราะห์ด้วยตนเอง<br /><br />อย่างไรก็ตาม มีหลายเรื่องหลายประเด็นน่าสนใจ เมื่อเทียบเคียงกับสถานการณ์<br />บ้านเมืองปัจจุบัน นับแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงวิกฤติเศรษฐกิจและ<br />โรคระบาด ไปจนถึงศึกสงครามคุกรุ่นตามแนวชายแดนในปี 2552<br /><br />คือกรุงศรีอยุธยาของเรามีการปรับปรุงระบบราชการมาหลายครั้งหลายหน ตามสถานการณ์<br />ในแต่ละยุคสมัย แต่ปัญหาหลักปัญหาใหญ่เรื้อรังมาแต่ต้นอาณาจักรคือ"<u>อํานาจของหัวเมือง</u>"<br />รัฐบาลกลางยามอ่อนแอมีปัญหา จะปราศจากอํานาจควบคุมหัวเมืองสําคัญไว้ได้ จึงจําต้องมี<br />ระบบรวมศูนย์อํานาจไว้ที่เมืองหลวง และต้องเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ได้ต่อเนื่อง ไม่ว่าใครจะ<br />ขึ้นมาเป็นพระมหากษัตริย์ ระบบที่ว่านี้เริ่มลงตัวในสมัยของพระเอกาทศรถ ซึ่งสืบเนื่องมาจาก<br />การวางระบบในสมัยพระนเรศวรมหาราช<br /><br />ล่วงเลยถึงราชวงศ์บ้านพลูหลวง ระบบปฏิบัติการนี้เริ่มส่งผลข้างเคียง และบังเอิญว่าไม่มีการ<br />ยกเครื่องให้เข้ากับสถานการณ์โลก(ในยุคนั้น) <strong>ความเข้มแข็งของ"ศูนย์กลาง" คืออยุธยา<br />ตามระบบเดิมนั้น กลับสร้างความอ่อนแอให้กับหัวเมืองอย่างที่สุด</strong> และผลข้างเคียง<br />ในระยะยาว คือความไม่ใยดีของประชาชน <br /><br />เมื่อส่วนกลางเริ่มเกิดอาการอ่อนแอ หัวเมืองที่อ่อนแออยู่แล้วก็ยิ่งแย่ลงไปอีก <br /><strong>แม้แง่ดีคือไม่ฉวยโอกาสแข็งข้อกับส่วนกลาง เพราะไม่อยู่ในสภาพจะแข็งข้อได้ </strong><br />แต่ก็มิได้เป็นประโยชน์อันใดต่ออาณาจักร..<br /><br />ระบบนี้แก้ปัญหาเรื่องหัวเมืองเกเร แต่ตลอดเวลาไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องรัฐประหารในเมืองหลวง <br />การรัฐประหารในเมืองหลวงจะใช้กําลังทหารไม่มาก เป็นการยึดอํานาจกันภายใน ด้วยกําลังเพียง<br />หยิบมือ (ยกเว้นการยึดอํานาจของพระเพทราชาที่แตกต่างออกไป) <strong>คือในสมัยอยุธยา<br />ไม่มีกองทหารประจําการมืออาชีพจริงๆ เป็นลักษณะของกองทัพประชาชน หรือทัพไพร่ </strong>..<br />ผู้คนในแผ่นดิน หรือในเขตอิทธิพลของรัฐ จะต้องมีการสังกัดไพร่ <br /><br />จะเป็นไพร่หลวง (ไพร่ของส่วนกลาง) หรือไพร่สม (ไพร่ของขุนนาง)<br /><br />ผู้คนส่วนมากนิยมเป็นไพร่สม เพราะไพร่หลวงนั้นงานหนักและไม่มีเจ้านายคอยคุ้มกะลาหัว<br />ไพร่สมอยู่กับขุนนาง งานหนักบ้างเบาบ้างก็ยังมีเจ้านายคอยดูแลจริงๆ อีกทางเลือกหนึ่งคือ<br />ไปเป็น<strong>"ทาส"</strong> บางคนชอบเป็นทาสมากกว่าเพราะสบาย ทาสอยู่ติดเจ้านายตลอดชีวิต <br />เป็นทาสกันจนถึงลูกหลาน ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานนอกระบบ เพราะทาสคือ<br />ทรัพย์สินของนาย แต่ไพร่ยังมีฐานะเป็นผู้คนทั่วไป ชีวิตเหลือจากการถูกเกณฑ์แรงงาน ก็ต้อง<br />ดิ้นรนต่อสู้เอาเอง<br /><br />คราวนี้ ขุนนางมีศักดินา..ก็มีไพร่ในสังกัดกันทั้งนั้น เรียกว่ามีตําแหน่งก็จะได้มีไพร่พลเข้ามา<br />ด้วย เป็นกองทัพน้อยๆของตนเอง ..เวลายึดอํานาจ-รัฐประหารก็จะซ่องสุมไพร่พลของตน<br />มาเป็นกําลัง ปัญหาคือไพร่ไม่ใช่ทหารประจําการ ใช้งานที่ต้องเรียกเกณฑ์ ระดมพลกว่าจะได้<br />พร้อมหน้าพร้อมตาก็ฟาดเข้าไปสองสามเดือน จากจุดอ่อนของระบบตรงนี้ พระมหากษัตริย์<br />แต่ละพระองค์จึงต้องมีกองทหารรับจ้าง ส่วนมากเป็นคนต่างชาติ เป็นฝรั่ง ญี่ปุ่น แขก จีน..<br />ตามแต่รสนิยมของแต่ละพระองค์ กองทหารรับจ้างประจําการอยู่ทุกวัน ไม่อยู่ในระบบไพร่<br />ใครจ่ายเงินให้คนนั้นก็เป็นนายจ้าง(ชั่วคราว) จึงปลอดภัยที่จะใช้งานมากกว่าคนไทยด้วยกัน<br />(ซึ่งไม่มีทางรู้ว่าใครแอบปันใจไปให้ขุนนางคนไหนบ้าง)<br /><br />ขณะที่หัวเมืองอ่อนแอลงไปเรื่อยๆตามกาลเวลา ระบบส่วนกลางก็เริ่มเสื่อมสลายตามไปด้วย<br />จนท้ายที่สุด ปลายราชวงศ์บ้านพลูหลวง เกิดปัจจัยภายนอก..เข้ามาสะกิดระบบที่เสื่อมสลาย<br />ให้กลายเป็น"การล่มสลายที่สมบูรณ์" นั่นคือมหาอํานาจจากทิศตะวันตก..คือ <strong>พม่า</strong><br /><br />พม่าเพิ่งฟื้นฟูอาณาจักรขึ้นมาใหม่ และตัดสินใจทําลาย"ปัจจัย"ที่มีส่วนสนับสนุนให้พม่าต้อง<br />ล่มสลายไปเมื่อครั้งก่อน ปัจจัยที่ทําให้พม่าต้องรบพุ่งกับมอญ ไทยใหญ่อยู่นานนับศตวรรษ..<br />ปัจจัยหลักที่ว่าคือ..กรุงศรีอยุธยา ว่าแล้วจึงพากันยกพวกมาเผาเมืองอยุธยาให้สูญสิ้นไปเสีย<br /><br />หากในภาวะปกติ คงรบกันยืดเยื้อยาวนาน จนพม่าอาจอ่อนแรงจนต้องถอยทัพกลับไปเอง<br />เพราะการเมืองระหว่างประเทศของไทยยุคนั้นมีความเชี่ยวชาญในการยุยงให้เพื่อนบ้านตีกัน<br />เอง จนไม่มีเรียวแรงมายุ่งกับเรา ..แต่ในสภาพเสื่อมสลายของระบบภายใน จึงไม่มีการออก<br />อาวุธลับทางการเมือง ..ในสภาพหัวเมืองอ่อนแอ ทัพพม่าสามารถตีไล่มาเรื่อย รวดเร็ว<br />จนถึงกําแพงถึงกําแพงกรุงศรีฯ ..ตรงนี้แหละที่เป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงความเสื่อมของระบบ<br /><br />ไม่ใช่ว่าหัวเมืองไม่สู้ แต่ไม่มีอะไรจะเอาไปสู้กับข้าศึก ด้วยกําลังน้อยนิด จึงคิดปกป้องเมือง<br />ของตนเอง มากกว่าที่จะละทิ้งพื้นที่..เพื่อมาปกป้องอยุธยา ทางเลือกของเจ้าเมืองต่างๆมีไม่<br />มากนัก คือยอมแพ้พม่า..แล้วไปเป็นพวกเดียวกับมัน หรือรักษากําลังไพร่พลตนเองไว้ แล้ว<br />วางตัวเป็นกลาง..ตั้งตนเป็นรัฐอิสระไปเลย (เป็นที่มาของชุมนุมต่างๆ) หรือท้ายสุดสําหรับ<br />ขุนนางที่ไม่มีกําลังไพร่พลมากนัก ถึงไปเข้ากับพม่าก็ไม่มีทางรุ่งเรือง (เพราะไม่มีกําลังพล<br />มากเพียงพอที่จะทําผลงานอะไรได้) จะรักษาเมืองตัวเองไว้ก็ยาก เพราะยังไงก็แพ้แน่ๆ<br />ทางเลือกของกลุ่มสุดท้ายนี้คือต้องลงมาช่วยอยุธยารบกับพม่า แล้วค่อยคิดอ่านกันต่อไป..<br />เป็นการรักษากําลังพลที่ดีที่สุดของกลุ่มสุดท้าย ..<br /><br />การตัดสินใจเหล่านี้สําหรับคนในอดีต ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร<br /><strong>เพราะยุคนั้นไม่มีคําว่า"ชาติ" <br />คําว่า"ชาติ"เป็นแนวคิดใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19</strong>ในโลกตะวันตก <br /><br />ในยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรม(และทุนนิยม) คนไทยเพิ่งรู้จักคําว่าชาติก็หลังจากที่<br />ฝรั่งคิดขึ้นมาได้ไม่นาน คือช่วงรัชกาลที่ 5 ที่ 6 เรานี่เอง ดังนั้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย <br />เป็นเรื่องของอาณาจักร เรื่องของความผูกพันกับส่วนกลาง ..เมื่อความผูกพันทางการเมือง <br />ทางการทูต ทางอํานาจและเศรษฐกิจไม่มีเหลือ ..ก็ทางใครทางมัน<br /><br />ปรากฏการณ์บ่งชี้ความเสื่อมสลายของระบบอีกหนึ่งคือ การต่อสู้ของชาวบางระจัน<br /><strong>ชาวบ้านชุมนุมบางระจัน..คือผู้คนอิสระที่รวบรวมกันต่อสู้กับพม่า</strong> <br />เพื่อรักษาถิ่นฐานของตน และต่อสู้อย่างกล้าหาญจนเป็นตํานานเล่าขาน ..<br /><br />คําถามทางประวัติศาสตร์คือ พวกเขามาจากที่ไหนกันบ้าง ..<br />ก็มาจากพื้นที่ใกล้เคียงในภาคกลางปัจจุบันนี้เอง คําถามต่อไปคือพื้นที่เหล่านั้น<br />อยู่ห่างกรุงศรีอยุธยาเพียงนิดเดียว แล้ว"คนอิสระ"เหล่านี้ ..<strong>เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ??</strong><br /><br />นอกเสียจากเป็นผู้คนที่ไม่ยอมเข้าระบบไพร่มาตั้งแต่ต้น <br />เพราะถ้ามีสังกัด..ก็ต้องมีนาย แล้วถ้ามีเจ้านาย พวกเขาก็ต้องอยู่กับเจ้านายต้นสังกัด <br />ผู้คนที่ป้วนเปี้ยนไม่ไกลจากกรุงศรีฯ ไม่มีสังกัด แล้วยังรวมกันจนรบชนะพม่าหลายครั้ง !!..<br /><br />นี่เท่ากับว่าระบบเกณฑ์ไพร่ของอยุธยาตอนปลายคงจะล่มสลายไปได้พักใหญ่ๆแล้ว <br />ก่อนที่พม่าจะเข้ามาด้วยซํ้า ระบบไพร่ซึ่งเป็นหัวใจสําคัญของระบบกลไกทั้งมวลในอาณาจักร <br />แล้วทําไมขุนนางหรือส่วนกลางไม่สามารถจัดการกับ"คนอิสระ" ที่ไม่มีสังกัดเหล่านี้ได้ <br /><br />ทั้งที่มีโทษถึงตายทีเดียว ..<br /><br />ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า-- รัฐไม่มีอํานาจพอที่จะไปบังคับใครได้..พักใหญ่ๆแล้วด้วย <br />พูดง่ายๆคือคนไม่เชื่อ ไม่ฟัง ไม่กลัว ไม่ใยดีกับส่วนกลาง<br /><br /><strong>ระบบใดนั้น..ย่อมอยู่ด้วยความเชื่อถือศรัทธาและความรัก<br />ไม่มีความรู้สึกเหล่านี้หลงเหลือ ระบบนั้นย่อมล่มสลายไปเอง</strong><br /><br />พระยาตาก..หรือ<strong>พระเจ้าตากสินมหาราช</strong> <br />วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของประชาชนไทย ยกกองทัพทหารจีนไม่กี่ร้อยคน มาตั้งค่าย<br />ป้องกันกรุงศรีฯอยู่นอกกําแพงเมือง อยู่ได้ไม่นาน ท่านก็ตัดสินใจทิ้งกรุงศรีอยุธยา พาไพร่พล<br />ไปทางตะวันออก ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์..<br /><br />แม้ตอนนั้นอยุธยายังไม่แตก แต่ก็ไม่มีอนาคตหลงเหลืออีกแล้ว เรียกว่าระบบล่มสลายอย่าง<br />สมบูรณ์ <strong>ทุกคนจึงมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะรักษาชีวิตประชาชนของตนเอง</strong> ขณะเดียวกันทาง<br />ฝั่งตะวันออก ชลบุรี ศรีราชาแถบๆนั้น เขาก็แยกตัวเป็นรัฐอิสระกันไปนานแล้วเช่นกัน เมื่อ<br />พระเจ้าตากยกทัพไปถึง..จึงต้องเจรจากับผู้นําท้องถิ่น เพื่อไม่ต้องฆ่ากันให้ตาย<br /><br />ทั้งหมดนี้ ไม่เกี่ยวกับคนไทยไม่สามัคคี ไม่ใช่ว่าคนไทยไม่กล้าหาญ<br /><strong>เพราะคนที่เขาทิ้งกรุงศรีอยุธยาและราชวงศ์บ้านพลูหลวงอย่างปราศจากเยื่อใย <br />คนเหล่านั้นกลับยอมสู้ตายถวายชีวิต..เพื่อพระเจ้าตากสิน</strong><br /><br />พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆก็คือ ผู้คนเขาเกลียดคนหนึ่งแต่รักอีกคนหนึ่ง<br />พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆก็คือ ผู้คนเขาไร้เยื่อใยไร้ศรัทธากับคนหนึ่ง แต่มีหัวใจให้อีกคนหนึ่ง<br />คนหนึ่ง..คือผู้ครองอาณาจักรแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง อีกคนแค่ข้าราชการธรรมดา เป็นแค่<br />พ่อค้ากองเกวียนเชื้อสายจีน ..คนหนึ่ง..ผู้คนด่าสาบแช่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2310 จนถึง 2552<br />อีกคนหนึ่ง มีประชาชนยอมตายถวายชีวิตให้ ยังเป็นวีรบุรุษในใจประชาชนมาถึงปัจจุบัน<br /><br />ว่าง่ายๆก็คือ คนไทยรักใคร่สามัคคี และกล้าหาญเป็นปกติ<br />เขาแค่ไม่ยอมเปลืองตัวให้กับคนที่เขาไม่รักเท่านั้น ..กรุงศรีอยุธยาล่มสลายเพราะคนไม่รัก<br />ก็เป็นบทเรียนกับคนไทยปัจจุบัน และเหล่าอมาตยาธิปไตยทั้งหลาย ระบบใดนั้น..ย่อมอยู่ด้วย<br />ความเชื่อถือศรัทธาและความรัก ไม่มีความรู้สึกเหล่านี้หลงเหลือ ระบบนั้นย่อมล่มสลายไปเอง<br /><br /><strong>"กรุงศรีอยุธยาล่มสลายเพราะคนไม่รัก"</strong> <br />ก็อย่าให้มีคนเกลียดชังไปมากกว่านี้ อย่าดูถูกประชาชนมากไปกว่านี้<br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-76498317372707230192009-08-05T04:00:00.000-07:002010-01-31T08:42:05.901-08:00ระหว่างความเป็นทาสกับความเป็นไทoriginally article written / posted August 18, 2008 : by SIAM Freedom Fight<br />ระหว่างชาติพันธุ์ที่เกิดมาเป็นทาส กับชาติพันธุ์ที่เกิดมาเป็นไท แตกต่างกันที่กระบวนคิด<br /><br /><span style="font-size:130%;"><u>01</u><br /><br />ในสมัยรัชกาลที่ 5 รัฐบาลประกาศเลิกทาส รวมทั้งยกเลิกระบบไพร่ทั้งหมดในราชอาณาจักร<br />การศึกษาไทยมักจะสอน และเปรียบเทียบปรากฏการณ์นี้กับการประกาศเลิกทาสในประเทศ<br />สหรัฐอเมริกา และพยายามบอกว่าเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน<br /><br />ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว..แต่เป็นแค่ความจริงเพียงครึ่งเดียว</span><br /><br /><strong>การเลิกทาสอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกานั้น</strong><br />ประกาศเมื่อสงครามกลางเมืองดำเนินไปได้สักระยะหนึ่ง ถึงแม้ประเด็นการมีหรือไม่มีทาสจะเป็นหนึ่งในสาเหตุ<br />ของความขัดแย้งที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองสหรัฐ แต่ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด และไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่สุดด้วยซํ้า<br /><strong>แต่สาเหตุหลักที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา<br />คือความขัดแย้งเกี่ยวกับอธิปไตยของมลรัฐและอำนาจของรัฐบาลกลาง</strong><br /><br />เมื่อตกลงกันไม่ได้ พูดกันไม่รู้เรื่องสักที..ก็ต้องรบกัน<br /><br />แม้ฝ่ายเหนือ..หรือรัฐบาลกลางสหรัฐจะชนะสงคราม<br />แต่ฝ่ายใต้ก็ชนะในเรื่องหลักการ เพราะรัฐบาลกลางให้การยอมรับในอธิปไตยของมลรัฐ และ/หรืออธิปไตยของ<br />ปวงชน ว่าคืออำนาจสูงสุดของประเทศ – ส่วนการที่รัฐบาลกลางประกาศเลิกทาสในระหว่างสงครามกลางเมือง<br />ก็เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่สงคราม และเป็นการสกัดกั้น..มิให้อังกฤษเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายใต้<br /><br />สงครามกลางเมืองเป็นโศกนาฏกรรมของอเมริกา สร้างความหายนะทางเศรษฐกิจและชีวิตผู้คนมากมายมหาศาล<br />แต่สิ่งที่ได้คือประเทศชาติสามารถรวมกันเป็นหนึ่ง อธิปไตยเป็นของปวงชนอย่างสมบูรณ์.. หรืออย่างน้อยก็เป็น<br />ของปวงชนมากกว่าชาติอื่นในโลก แถมวัฒนธรรมการเลี้ยงทาสยังถูกกำจัดไปจากแผ่นดิน<br /><br /><span style="font-size:130%;">ในสยามประเทศ การเลิกทาสเกิดขึ้นเพื่อล้มระบอบศักดินา<br />ไม่ใช่เพื่ออธิปไตยของปวงชน แต่เป็นการสร้างความมั่นคงแก่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์</span><br /><br />การเลิกระบบไพร่ คือการตัดกำลังไพร่พลของขุนนาง ซึ่งกำลังไพร่ในสังกัดขุนนางนี้เคยใช้ในการรัฐประหาร<br />ครั้งแล้ว ครั้งเล่า..นับแต่กรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา<br />(แนะนำให้อ่านหนังสือ "การเมืองเรื่องสถาปนาพระจอมเกล้าฯ" โดยเทอดพงศ์ คงจันทร์ สำนักพิมพ์มติชน -<br />ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งกล่าวถึงอำนาจของขุนนาง ที่มีบทบาทอิทธิพลต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างสูง -<br />สื่ออำมาตยาธิปไตยจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีในการศึกษาระบอบศักดินา)<br /><br />ซึ่งแน่นอนว่า การเลิกทาสในประเทศสยามปราศจากการนองเลือด<br />เพราะไม่รู้จะไปนองเลือดกับใคร ในเมื่ออำนาจขุนนางเวลานั้นก็ไม่ได้มากมายเหมือนในสมัยรัชกาลก่อน<br />อย่างไรก็ตาม เรื่องราวหักมุมแบบไทยๆ ที่เรามักได้ยินกันเสมอ คือ <b>ทาสที่ปล่อยแล้วไม่ยอมไป</b><br /><br /><span style="font-size:130%;">กลายเป็นว่าคนที่ไม่ยินดีกับการเลิกทาส ก็คือพวกทาสนั่นเอง</span><br /><br /><b>ศูนย์อำนาจของราชอาณาจักรอยู่ที่ภาคกลางและเมืองหลวงคือกรุงเทพฯ<br />จำนวนทาส..และลูกหลานทาสส่วนใหญ่จึงอาศัยในแถบภาคกลาง</b><br /><br />ในขณะที่ภาคอีสานสมัยก่อนเป็นดินแดนห่างไกลจากศูนย์อำนาจ แทบจะเป็นดินแดนอิสระในชีวิตประจำวัน<br />ส่วนภาคเหนือนั้นก็เป็น "อีกอาณาจักรหนึ่ง" มาตลอด ถึงจะอิงอำนาจการเมืองของกรุงศรีอยุธยาบ้าง พม่าบ้าง<br />หรือกรุงเทพฯบ้าง แต่ในวิถีชีวิตปกติก็เป็นอิสระในตนเอง เป็นอาณาจักรล้านนา - และเพิ่งจะมารวมกับกรุงเทพฯ<br />ในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้เอง (ยังมีเบื้องหลังการรวมอาณาจักรที่ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้)<br /><br />ส่วนประเด็นที่ว่าประชากร<strong>ลูกหลานทาส</strong>ที่อาศัยอยู่ในภาคกลางซึ่งเป็นศูนย์อำนาจนี้<br />ก็ขออนุญาต - จะยังไม่ขยายความในที่นี้<br /><br /><span style="font-size:130%;"><u>02</u><br /><br />"สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" กลายเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ที่จะใช้กดหัวประชาชน<br />และเปิดโอกาสให้ชนชั้นปฏิกิริยาสามารถทำตัวเป็น "กาฝาก" ได้อย่างชอบธรรม</span><br /><br />ในวัยเยาว์ เราเรียนรู้จากระบบการศึกษา ถึงคำว่าสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ ล้วนเป็นคำที่มีความหมายดีงาม<br />เป็นวัตถุประสงค์หลักในชีวิตและระบอบการบริหารบ้านเมือง แม้การศึกษาในวัยเยาว์นั้นจะเป็นการศึกษาภายใต้<br />ระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นแนวคิดฝังหัวที่เกิดจากการรัฐประหาร 2490 และ 2500 แต่จะอย่างไรก็ตาม คำว่า<br />"สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์"ก็ยังเป็นความหมายที่งดงาม ไม่ว่าในระบอบใด<br /><br />แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราเห็นโลกมาหลายต่อหลายทศวรรษ<br />และยามบ้านเมืองวิกฤติจึงเรียนรู้ว่า "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" ก็เหมือน "เปลือกของความดีงาม"<br />อีกหลายต่อหลายอย่างในสังคมนี้ คือเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ที่จะไม่ทำอะไร หรือทำให้น้อยที่สุด<br /><br /><span style="font-size:130%;">เป็นข้ออ้างเพื่อยอมก้มหัวอยู่ใต้ฝ่าตีนผู้มีอำนาจให้มากที่สุด<br />และไม่เสียความรู้สึกของตนเอง ..คือเป็นทาสที่ยังกร่างได้</span><br /><br />แล้วรู้ทั้งรู้ว่า <strong>การรัฐประหารนั้นคือการเป็นโจรกบฏ</strong><br />มีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 113 มีโทษถึงประหารชีวิต<br /><br />แล้วคนในบ้านเมืองนี้ทำอะไร..เมื่อโจรปล้นเมือง<br />คนในบ้านเมืองนี้ก็ยังท่องคาถา "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" กับโจร<br /><br /><strong>ขอความเมตตาจากโจร หวังความยุติธรรมจากโจร</strong><br />ยอมรับกฎหมายโจรไปก่อน..แล้วหวังว่าโจรท่านคงยอมให้แก้ไขทีหลัง หวังให้โจรยึดมั่นในกติกาที่โจรเขียนขึ้นมา<br />หวังให้กรรมการที่โจรตั้งขึ้นจะมีความยุติธรรมต่อคนที่ถูกโจรปล้น ยอมก้มหน้าก้มตาปฏิบัติตามกระบวนการโจร -<br />แล้วบอกว่าเรายังอยู่ในระบอบประชาธิปไตย เมื่อโจรไม่เมตตา..ก็หันมาปลอบใจกันเองว่า "เอาเถอะ โจรมันแก่แล้ว<br />วันหนึ่งมันก็ต้องตาย" ก็หวังไว้ว่าลูกหลานโจร เมียโจรมันจะไม่เป็นโจรเหมือนพ่อแม่มัน ??? ก็เอาเถอะ<br /><br />หากคำว่า "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ สันติภาพ"<br />คือการยอมให้สัตว์นรกกดขี่กดหัว รุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นทาสที่ดีและมีชีวิต<br /><strong>แล้วหลอกตัวเองว่าบ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตย</strong><br /><br /><span style="font-size:130%;">แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่การยอมก้มหัวใต้ฝ่าตีนชนกลุ่มน้อย<br />ไม่ใช่การยอมก้มหัวใต้ฝ่าตีนใครทั้งนั้น ประชาธิปไตยคืออธิปไตยเป็นของปวงชน<br />โดยยึดเอาเสียงส่วนใหญ่เป็นสำคัญ.. ขณะที่ไม่กดขี่ประชากรกลุ่มน้อย</span><br /><br />ประชาธิปไตยต้องอยู่บนพื้นฐานความเสมอภาค เสรีภาพ ภาดรภาพ<br />นั่นคือ คนจน หรือ คนรวย .. คนทีการศึกษา หรือ ไม่มีการศึกษา ย่ิอมมีสิทธิทางการเมืองที่เท่าเทียมกัน<br />เมื่อไม่มีความเสมอภาค ย่อมไม่มีเสรีภาพ เมื่อไม่มีเสรีภาพ ย่อมไม่มีภาดรภาพ - ไม่มีสันติภาพ<br /><br />ทุกคนอยากนอนอยู่บ้านสบายๆทั้งนั้น ไม่มีใครอยากเดือดร้อน แต่บางครั้ง ชีวิตก็ไม่ปล่อยทางเลือกแสนสุขให้<br />กับเราสักเท่าใด - ในปี พ.ศ. 2310 สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ประชากรสมัยนั้นก็มีทางเลือกว่าจะหลบอยู่ใน<br />กำแพงเมืองกับพระเจ้าเอกทัศ <b>หรือจะออกไปเสี่ยงชะตากรรมกับพระยาตาก</b> ..มุดหัวอยู่ภายในกำแพงเมือง<br />กรุงศรีอยุธยาก็ดูเหมือนจะปลอดภัย นอนเฉยๆ ไม่ต้องสู้รบกับใคร สงบ สันติ และเป็นกลาง ยามเมื่อพม่าพังกำแพง<br />เมืองเข้ามา คนเหล่านี้ก็ไปเป็นทาสพม่า ถูกกวาดต้อนไปอยู่พม่าจนทุกวันนี้ ก็เป็นทาสที่สุขสบายดี - แต่ถ้าเลือกที่<br />จะร่วมทางกับกองทัพพระยาตาก โอกาสตายก็มีสูง .. แต่จะอยู่อย่างทาส หรือจะตายอย่างเสรีชน<br /><br />คำตอบในหัวใจ สุดแต่ใครเกิดมาเพื่อเป็นทาส<br />หรือใครเกิดมาเพื่อเป็นไท ..อย่างที่บอก <strong>มันต่างกันที่กระบวนคิด</strong><br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-55653680268140391052009-08-05T02:55:00.000-07:002009-08-05T03:22:54.650-07:00จักรพรรดิฮิโรฮิโต..ผู้ไม่เคยทรยศประชาชน<br/><br /><span style="color:#666600;">article :</span> <span style="color:#660000;">SIAM Freedom Fight / secretMAI</span><br />originally posted on May 4, 2008 : moved to this blog August 2009<br /><br /><strong>องค์มหาจักรพรรดิฮิโรฮิโต..แห่งประเทศญี่ปุ่น</strong><br /><strong>สมมุติเทพผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ</strong><br />ความยิ่งใหญ่ของพระองค์นั้น มิใช่การนำกองทัพอันเกรียงไกร มิใช่การมีผู้คนกราบไหว้บูชา<br />อย่างปราศจากความหมาย แต่ความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิฮิโรฮิโต..คือความเสียสละตนเอง<br />ในยามที่บ้านเมืองต้องการมากที่สุด การยอมเสี่ยงชีวิตตนเอง ..ยอมเสียสละแม้แต่สถาบัน<br />สมมุติเทพที่สืบเนื่องยาวนานหลายศตวรรษ เพื่อรักษาชีวิตประชาชน..<br /><br /><strong>นี่คือสมมุติเทพ..ผู้ไม่เคยทรยศประชาชน</strong><br /><br />เราลองย้อนดูประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นกันสักเล็กน้อย<br />นับแต่โบราณกาล ตำแหน่งจักรพรรดิญี่ปุ่นนั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง<br />อาจมีช่วงสั้นๆในสมัยเมจิ ที่องค์จักรพรรดิมีบทบาทในการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ..<br />แต่หลังจากนั้นก็กลับสู่สภาพเดิม และอาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซํ้า -- เพราะหลังจากสมัยเมจิ<br />กลุ่มอมาตยาธิปไตยญี่ปุ่น--โดยเผด็จการทหาร มักจะแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเพื่อผลประโยชน์<br />ทางการเมืองของตน<br /><br />ใช้เป็นข้ออ้างก่อรัฐประหาร..ครั้งแล้วครั้งเล่า<br />ใช้กำจัดคู่แข่ง - ศัตรูทางการเมือง ..ใช้กดขี่ข่มเหงประชาชน<br />และท้ายที่สุดก็แอบอ้างสถาบันเพื่อก่อสงครามครั้งใหญ่กับสหรัฐอเมริกา<br /><br />นั่นคือช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง<br /><br />และเมื่อสงครามที่ทหารญี่ปุ่นเริ่มก่อไว้นั้น เดินมาถึงจุดหายนะ<br />ความพ่ายแพ้ปรากฏทุกแนวรบ ทางฝ่ายสัมพันธมิตร..คืออังกฤษ อเมริกา ต่างก็มีธงไว้ล่วงหน้า<br />ฝ่ายสัมพันธมิตรตั้งธงไว้ว่า--จะต้องแขวนคอจักรพรรดิฮิโรฮิโตและนายพลโตโจ<br /><br />เมื่อใกล้สูญเสียเกาะโอกินาว่า กองทัพญี่ปุ่นเตรียมสู้รบบนแผ่นดินตนเอง<br />มีการเตรียมกองทัพชาวบ้าน เด็กผู้หญิง คนชราล้วนฝึกอาวุธเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด<br />พวกฮาร์ดคอร์ในกองทัพเตรียมสู้จนกว่า..ประชาชนทุกคนจะตายหมดทั้งประเทศ<br /><br />แต่พวกที่ยังมีสติ..คือรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี <strong>คันตาโร ซูซูกิ</strong><br />มองว่านี่เป็นความตายที่เปล่าประโยชน์ และพยายามติดต่อขอสงบศึกกับสหรัฐอเมริกาหลายครั้ง<br />แต่มีเงื่อนไขว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะต้องไม่นำองค์จักรพรรดิขึ้นศาลอาชญากรสงคราม –<br /><strong>กระทรวงต่างประเทศสหรัฐปฏิเสธเงื่อนไขญี่ปุ่น และยืนยันว่าญี่ปุ่นต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข<br />เท่านั้น</strong><br /><br />มาถึงตรงนี้..การศึกษาในระบบของไทยมักทำให้พวกเราเข้าใจไขว้เขวไป<br />ว่าญี่ปุ่นยอมแพ้เพราะถูกระเบิดนิวเคลียร์ และมองข้ามเหตุการณ์สำคัญอีกมากมาย<br /><u>ระเบิดนิวเคลียร์..ในเวลานั้นมีผลน้อยมาก ทั้งทางจิตวิทยาและทางยุทธศาสตร์</u><br /><br />ประการแรกคือ..ไม่มีใครในตอนนั้นเข้าใจผลข้างเคียงอันร้ายแรงของกัมมันตภาพรังสีที่ตกค้าง –<br />ญี่ปุ่นไม่รู้ ทหารอเมริกันก็ไม่รู้.. ฝ่ายอเมริกันยังวางแผนยกพลขึ้นบกในบริเวณที่ตัวเองทิ้งระเบิด<br />นิวเคลียร์ด้วยซํ้า (ก็เพราะไม่รู้ว่ามันอันตรายแค่ไหน) ส่วนญี่ปุ่นนั้น ก็เพียงรับรู้ว่ามีระเบิดแบบ<br />ใหม่ แต่ไม่มีผลทางใจอย่างใด เพราะในตอนนั้น โตเกียวถูกระเบิดนาปาล์มของอเมริกันทุกวี่ทุกวัน<br />นับจำนวนคนตาย เทียบความเสียหายแล้ว..ระเบิดนาปาล์มน่ากลัวกว่าหลายเท่าในความทรงจำ<br />ของชาวญี่ปุ่นยุคนั้น<br /><br />ดังนั้น แค่นิวเคลียร์สองลูก..ญี่ปุ่นไม่กลัว<br />แต่ที่รัฐบาลญี่ปุ่นกังวลคือ กองทัพรัสเซีย..ที่เพิ่งเสร็จศึกกับเยอรมัน<br />และกำลังหันปืนมาทางญี่ปุ่น รัสเซียเคลื่อนพลเข้าสู่แมนจูเรีย..และใกล้ญี่ปุ่น<br />เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาทุกวัน<br /><br />ยุทธศาสตร์ของการใช้เด็กผู้หญิงและคนชราเข้าฟาดฟันทหารอเมริกัน<br />ก็ใช้ได้กับทหารอเมริกันเท่านั้น เพราะภาพเหล่านี้จะสร้างความสยดสยองแก่คนอเมริกัน<br />ซึ่งอาจเปลี่ยนใจประชาชนอเมริกันให้หันมาเรียกร้องการยุติสงครามก็เป็นได้<br />ญี่ปุ่นหวังให้เกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ ..<br /><br />แต่อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น -- วิธีการแบบนี้ใช้ได้กับคนอเมริกันเท่านั้น<br />และไม่มีทางใช้ได้กับรัสเซีย ซึ่งเป็นกองทัพมีชื่อเสียงเรื่องความโหดอำมหิต<br />ขืนส่งเด็กผู้หญิงและคนชราไปสู้กับรัสเซีย มีหวังถูกฆ่าทิ้งอย่างสนุกสนาน<br /><br />รัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีทางเลือก นอกจากต้องรีบยอมแพ้กับอเมริกัน..ก่อนที่รัสเซียจะมาถึง<br /><br />วันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945<br />นายกรัฐมนตรีคันตาโร ซูซูกิ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้าร่วมประชุมปรึกษากับองค์จักรพรรดิ<br />เห็นร่วมกันว่า..ญี่ปุ่นจะขอยอมแพ้โดยปราศจากเงื่อนไข<br /><br />และนี่คือความกล้าหาญ ความเสียสละอันยิ่งใหญ่ขององค์จักรพรรดิ<br /><br /><strong>พระองค์ทรงทราบดีว่า</strong> -- ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องการแขวนคอพระองค์<br />ทรงทราบดีว่า -- นี่อาจเป็นจุดจบของระบอบสมมุติเทพในญี่ปุ่น<br />ทรงทราบดีว่า – พวกกลุ่มทหารหัวรุนแรงในกองทัพ ที่ชอบแอบอ้างสถาบันอยู่เสมอนั้น<br />ย่อมไม่พอใจอย่างรุนแรง..และอาจนำสู่การรัฐประหารในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า..<br />ทรงทราบดีว่า -- อย่างไร..ในวินาทีนี้ชีวิตของพระองค์และครอบครัวอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง<br />ทั้งจากฝ่ายสัมพันธมิตร และจากทหารของพระองค์เอง –<br />แต่องค์จักรพรรดิเลือกตัดสินใจยอมแพ้ เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนในประเทศ<br /><br />ซึ่งจะว่าไปแล้ว สงครามนี้ก็เริ่มจากพวกเผด็จการทหารญี่ปุ่น<br />ไม่ได้เกี่ยวกับองค์จักรพรรดิเลยสักนิด แต่เมื่อทหารมักแอบอ้างสถาบันอยู่เสมอ<br />องค์จักรพรรดิจึงต้องออกมารับผิดชอบด้วยตนเอง ไม่อาจปัดความรับผิดชอบให้ผู้อื่น<br /><br />คืนวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945<br />องค์จักรพรรดิบันทึกเสียงการประกาศยุติสู้รบ และยอมแพ้สงครามอย่างไม่มีเงื่อนไข<br />เทปบันทึกเสียงทำไว้สองชุด เพื่อเตรียมออกอากาศในตอนเที่ยงของวันที่ 15<br /><br /><strong>เวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945</strong><br />หน่วยทหารรักษาพระองค์ นำโดยพันตรี <strong>เคนจิ ฮาทานากะ</strong> พร้อมกำลังพลกว่า1000 นาย<br />ก่อการรัฐประหาร..เข้าปิดล้อมพระราชวัง สังหารนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมร่วมมือด้วย ..<br />พลโท ทาเคชิ โมริ หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ปฏิเสธที่จะร่วมมือกับคณะรัฐประหาร<br />และยอมสละชีวิตตนเอง -- พลโทโมริถูกฮาทานากะยิงทิ้งในห้องทำงาน<br /><br />เป้าประสงค์ของพันตรีฮาทานากะคือ <strong>ค้นหา - ทำลายเทปบันทึกเสียงขององค์จักรพรรดิ</strong><br />แต่โชคดีที่ทหารของฮาทานากะไม่สามารถหาเทปนั้นเจอ<br />(ข้าราชการสำนักพระราชวัง โยชิฮิโร โตกูกาว่า เป็นผู้ซ่อนเทปไว้) ..<br /><br />เมื่อหาเทปไม่เจอ พรรคพวกฮาทานากะจึงเขียนคำประกาศขึ้นมาเอง เรียกร้องให้คนญี่ปุ่นทุกคน<br />สู้กับศัตรูจนตัวตาย พวกเขาสั่งให้เจ้าหน้าที่สถานี NHK อ่านคำประกาศนั้น แต่เจ้าหน้าที่สังหรณ์<br />ใจว่าคำประกาศดังกล่าวไม่น่าจะใช่ขององค์จักรพรรดิ จึงพยายามหาเหตุอ้างโน่นอ้างนี่ บอกว่า<br />ไฟฟ้าดับ..ต้องรออีกหลายชั่วโมงกว่าจะออกอากาศได้<br /><br />การก่อรัฐประหารล้มเหลวเมื่อรุ่งสาง<br />กองทัพภาคตะวันออกไม่ยอมเข้าร่วมขบวนการ และบังคับให้ฮาทานากะยอมแพ้<br />ท้ายที่สุด..เทปบันทึกเสียงองค์จักรพรรดิ<br />ก็ได้ออกอากาศในตอนเที่ยงวันที่ 15 สิงหาคม เป็นอันยุติสงครามอันยาวนาน<br /><br />เมื่อกองทัพอเมริกันเข้ายึดครองญี่ปุ่น<br />มีเสียงเรียกร้องจากคนอเมริกัน..ให้นำองค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตขึ้นศาลอาชญากรสงคราม<br />นายพล<strong>ดักลาส แมคอาเธอร์</strong>..แม่ทัพภาคแปซิฟิค ปฏิเสธชนิดหัวชนฝา และประกาศว่า<br />หากคิดนำจักรพรรดิญี่ปุ่นขึ้นศาล อเมริกาจะต้องส่งกำลังทหารเข้ามาเพิ่ม..อีกหนึ่งล้านคน<br />เมื่อแม่ทัพอเมริกันพูดแบบนี้ ฝ่ายการเมืองในสหรัฐก็ต้องยอมรับฟังเหมือนกัน<br /><br />ไม่มีใครแตะต้องจักรพรรดิฮิโรฮิโต..<br /><br />บรรดาแม่ทัพนายกองระดับสูงของอเมริกัน ก็ให้ความเคารพยกย่ององค์จักรพรรดิญี่ปุ่น<br />เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคนที่เคยสู้รบกับญี่ปุ่นมาอย่างโชกโชน พวกนี้จะเกิดอาการปลื้มญี่ปุ่น<br />เอามากๆในช่วงหลังสงคราม และเป็นตัวตั้งตัวตีในการฟื้นฟูกองทัพญี่ปุ่น (จนปัจจุบันญี่ปุ่นมี<br />ศักยภาพทางทหารเหนือกว่าสมัยสงครามโลกครั้งสองหลายต่อหลายเท่า)<br /><br />องค์จักรพรรดิฮิโรฮิโต ตัดสินใจยอมแพ้ฝ่ายสัมพันธมิตรในห้วงเวลาที่ไม่มีหลักประกันใดต่อ<br />ความปลอดภัยของพระองค์เอง อาจถูกจับแขวนคอโดยสัมพันธมิตร อาจถูกสังหารด้วยนํ้ามือ<br />ทหารรักษาพระองค์ ราชวงศ์อาจล่มสลายในพริบตา ..ไม่มีหลักประกันอะไรเลยสำหรับองค์<br />จักรพรรดิฮิโรฮิโต ข้างฝ่ายข้าศึกก็ประกาศปาวๆทุกวี่ทุกวันว่าต้องประหารองค์จักรพรรดิ ..<br /><br /><strong>แต่หลักประกันเดียว—ที่สำคัญที่สุด</strong><br />คือหลักประกันว่า การยอมแพ้ของพระองค์ จะรักษา<strong>ชีวิตประชาชน</strong>ญี่ปุ่นจำนวนมากมาย<br />และนี่คือความเสียสละอันแท้จริงของสมมุติเทพ<br /><br/><br /><strong>สมมุติเทพต้องยอมตายเพื่อประชาชน มิใช่ให้ประชาชนมาตายแทน</strong><br />องค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตคือจักรพรรดิผู้มิเคยทรยศประชาชน<br /><br />นี่คือสิ่งที่ชาวโลกผู้เจริญแล้วให้ความเคารพยกย่อง องค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตมิเคยลงมาวุ่นวายกับ<br />การเมือง สมมุติเทพเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็กลับไปอยู่ยังที่ของตนเอง และนี่คือสิ่งที่ทำให้สมมุติเทพ<br />ในญี่ปุ่นสามารถยืนยงอย่างมีเกียรติ์ในประชาคมโลกเสมอมา แม้แต่คนที่เคยเป็นคู่สงครามก็ยัง<br />หันมายกย่องนับถือ ..สมมุติเทพอยู่ได้ด้วยความรักจากประชาชน และสูญสลายเมื่อความรักนั้น<br />มลายหายไป ..สมมุติเทพที่คิดทรยศประชาชน..ก็มีเนปาลเป็นตัวอย่างให้เห็น<br /><br />ประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 ในหมู่นักวิชาการตะวันตกจำนวนไม่น้อย<br />มิได้มองว่าองค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตเป็นสมมุติเทพผู้แพ้สงคราม แต่กลับมองว่าพระองค์คือผู้เสียสละ<br />เพื่อยุติสงคราม เพื่อประชาชนของพระองค์<br /><br />องค์จักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต..แห่งญี่ปุ่น<br />สมมุติเทพผู้ยอมตายแทนประชาชน ..ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว<br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-9751148006967997722009-08-01T16:39:00.001-07:002009-08-01T16:43:30.399-07:00Fake photo with False Caption Awarded by Thai Press<br/><br /><br/><br /><strong>Fake Photograph with False Description <br />received award for best photo journalism of 2009 by Thai Press</strong><br /><br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3320/3632154848_df6e0c9116.jpg" /><br /><br />A photograph published in ThaiRat Newspaper on April 13, 2009 events<br />during violent crash between The Royal Thai Army and The Red (UDD)<br />protesters, received an award for the best photojournalism of the year<br />(2009) by the Thai Press. <br />However, the photo wrapped around controversy<br />from day one it was published - for the reason of manipulation to<br />distort the truth - or intend to cover up some information from the<br />public. Also its news description / caption was totally misleading or<br />just a straight lie. <br /><br />The photograph was retouched, eliminated a black bag on the man body -<br />also his camera was removed from the image. However, there were many<br />cameras at the scene, including many video clips by other journalists and<br />photographers. <br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3321/3632148842_29008ac8ac.jpg" /><br />As seen in this screen shots from news clips - <br />the man in photograph <br />(aka. Mr. Kriengkrai Chockpattanakasemsuk นายกวีไกร โชคพัฒนเกษมสุข)<br />was dragging a woman ( Red / UDD protester) by her hair, into a soldiers' line behind him<br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3403/3632149000_9af62e6380.jpg" /><br /><br />What missing from "award winning best photojournalism of<br />Thailand 2009" were a black bag on the man's body and his camera.<br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3349/3632149450_10b2d77746_o.jpg" /><br /><br /><strong>And why would anyone want to delete such things from a news photograph ??</strong><br /><br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3343/3632150200_7cc2c3d66b.jpg" /><br /><br />To cover up some important information ?? <br />or Simply want to make the photograph to go along with a false description ??<br /><br />in news description / caption as published on front page of Thairat Newspaper,<br /><a href="http://farm4.static.flickr.com/3320/3632154848_4a26cebb2f_o.jpg" rel="nofollow">see large picture here</a><br />it said a resident of Din Dang Housing got angry when the Red (UDD) parked a<br />gas truck near apartment complexes - putting everyone life in danger, so decided<br />to come out and forcefully get rid of the red in the area.. <br /><strong>Dramatic story but far from the truth</strong><br /><br />The man in photograph <br />(aka. Mr. Kriengkrai Chockpattanakasemsuk นายกวีไกร โชคพัฒนเกษมสุข)<br />is not a Din Dang Housing resident. In fact, he is a PAD (ultra conservative political<br />movement / aka. the yellow head - in which the organization show strong support for<br />current government / in good relation with the army) And the incident did not take place<br />at Din Dang !!! .. As shown on map below, this incident took place at Rajparop 12 which<br />is far from Din Dang Housing.<br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3617/3631335273_7783ea6ffa.jpg" /><br /><br />And here's some photographic evident<br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3635/3632149676_0c86b9a246.jpg" /><br />see the shop sign in red circle, and see closer street sign in the right picture that<br />says Rajparop 12 <a href="http://farm4.static.flickr.com/3635/3632149676_cd0954d05e_o.jpg" rel="nofollow">(a bit larger image here</a><br /><br /> .. and see two women in red shirts on the left picture.<br /><img src="http://farm3.static.flickr.com/2435/3632149828_80c4a1ff41.jpg" /><br />Also see a man in black tee (green arrow) and the Thai flag..<br />And here's another view from behind soldiers' lines<br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3388/3632149986_aec274d6d9.jpg" /><br />see the two women in red shirts with Thai flag.<br /><br />Now, see the whole sequence<br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3387/3631336193_6b0ffcf1c6_b.jpg" /><br /><br />and from CH3 news clips<br /><img src="http://farm3.static.flickr.com/2423/3632149178_2080b6a959.jpg" /><br />Both the woman and Mr. Mr. Kriengkrai - face to face<br /><br />and here comes the dramatic scene<br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3321/3632148842_29008ac8ac.jpg" /><br /><br />and below is another view from THE NATION newspaper<br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3396/3632148526_c4c2cd4c72_o.jpg" /><br />We see the man dragging red shirt woman to soldiers' lines as they did<br />nothing to prevent it - just looking still. <br /><br />Actually, this (The NATION 's photo above) is a much better photo<br />that tell all story, all drama, all about what happened at that moment of time,<br />and tell story without having to criticize nor taking any sides. <br /><br />Then again, the Thai Press decided to go for a fake picture with false description. Is it because<br />photograph above tells too much of the truth ?? Is it because the photograph<br />above tells that the military and ultra conservative groups are in it together ??<br /><br />First thing we learn as photographers / journalists is that we DO NOT<br />manipulate documentary / news photographs - it's the most important work ethics.<br />And we do not give a false statement (of - how / when / where/ who) in our<br />caption. <br /><br /><strong>What kind of journalism they are practicing in Thailand ??<br />Do they know anything ?? or Would they call it just Thai Style Journalism ??</strong><br />.<br /><br /><img src="http://farm4.static.flickr.com/3639/3515751710_056326422f.jpg"/><br/><br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2397678411090373945.post-40363395413930130542009-08-01T16:03:00.000-07:002009-08-01T16:04:15.198-07:00องค์กรอิสลามตำหนิการนำศาสนามาเกี่ยวการเมือง<br/><br /><a href="http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic2.php?id=796854">http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic2.php?id=796854</a><br />โพสต์โดย : **โจรสลัด** <br /><br /><strong>3 องค์กรอิสลามตำหนิ นาย สมัย เจริญช่าง</strong><br /><br /><u>สำนักข่าวไทย รายงานว่า.-</u><br />คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สภาองค์การมุสลิมแห่งประเทศไทย <br />และสมาคมสื่อมวลชนมุสลิม ปฏิเสธร่วมทำหนังสือถึงเจ้าผู้ครองรัฐดูไบให้ขับ พ.ต.ท.<br />ทักษิณ ชินวัตร ออกจากดูไบ ตำหนิ “สมัย เจริญช่าง” ทำไม่ถูกต้อง อ้างชื่อโดยไม่ชอบธรรม<br /><br /><strong>นายสามารถ ทรัพย์พจน์</strong> <br /><br />นายสามารถ ทรัพย์พจน์ ในนามของคณะผู้บริหารองค์กร สำนักงานเลขาธิการคณะ<br />กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สภาองค์การมุสลิมแห่งประเทศไทย และสมาคม<br />สื่อมวลชนมุสลิม ทำหนังสือชี้แจงกรณีที่นายสมัย เจริญช่าง ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ <br />ระบุว่า องค์กรสถาบันมุสลิมในประเทศไทยยื่นหนังสือถึงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับ<br />เอมิเรตส์ เพื่อให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ เจ้าผู้ครองรัฐดูไบ ให้ใช้พระราชอำนาจขับไล่ พ.ต.ท.<br />ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้พ้นจากการพำนักอาศัยในราชอาณาจักรสหรัฐ<br />อาหรับเอมิเรตส์<br /><br />หนังสือดังกล่าวระบุว่า คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สภาองค์การมุสลิม<br />แห่งประเทศไทย และสมาคมสื่อมวลชนมุสลิม ซึ่งมีชื่ออยู่ในองค์กรสถาบันมุสลิมในประเทศ<br />ไทยที่นายสมัยอ้างถึง <u>ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการยื่นหนังสือดังกล่าว และไม่ได้มีมติให้<br />ความเห็นชอบในการร่วมร้องเรียนเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะไม่ต้องการให้องค์กรเข้าไปยุ่ง<br />เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง</u><br /><br />“องค์กรทั้ง 3 มีเป้าประสงค์ในการสร้างความเข้าใจเรื่องศาสนา สังคม การสงเคราะห์ผู้ยากไร้ <br />และส่งเสริมวิถีชีวิตมุสลิม การที่นายสมัยเอาชื่อของทั้ง 3 องค์กร เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้<br />จึงไม่ถูกต้อง เป็นการอ้างชื่อโดยไม่ชอบธรรม และการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการสร้าง<br />ความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในองค์กร และสังคมมุสลิมอีกส่วนหนึ่งด้วย” <br /><br />หนังสือดังกล่าวระบุด้วยว่า การที่มีกลุ่มคนยิงปืนเข้ามัสยิดดารุ้ลอะมาน ซ.เพชรบุรี 7 <br />ถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เพราะมัสยิดเป็นศาสนสถานที่สำคัญของชาวไทยมุสลิม แต่<br />เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ดังนั้น ขอให้ทุกคนปฏิบัติ<br />หน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อความถูกต้องและผลประโยชน์สูงสุดของบ้านเมือง โดยไม่สร้าง<br />ความขัดแย้งในองค์กร อันเป็นพื้นฐานแรกของการสร้างความสามัคคี<br /><br />“ผู้บริหารทั้ง 3 องค์กร ยังเชื่อมั่นว่าสันติภาพบนพื้นฐานแห่งความถูกต้อง <br />และความเข้าใจที่ดีต่อกันของทุกฝ่าย ยังพร้อมที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดินไทย <br />และนั่นคือความต้องการของพี่น้องคนไทยทุกคน” .- สำนักข่าวมุสลิมไทย <br />--------<br /><strong>ดร.บูฆอรี ยีหมะ <br />ประธานคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา</strong> <br />กล่าวกับสำนักข่าวมุสลิมไทยว่า... <br />“ผมไม่อยากให้นักการเมือง นำเอาศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ ไปเชื่อมโยงกับการ<br />ต่อสู้ทางการเมือง ศาสนานี่ควรจะเป็นเครื่องมือสร้างความสมานฉันท์ให้กับคนในสังคม <br /><br />โดยเฉพาะในพื้นที่แถวมัสยิดพญาไทนั้น หลายคนที่เคยอยู่บริเวณนั้นก็คงจะรู้ว่า <br /><u>พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ของนางนาตยา เบญจศิริวรรณ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์</u><br /> ญาติๆ ของคุณนาตยาก็อยู่แถวนั้น เพราะฉะนั้น ผมจึงเห็นว่าการเอามวลชนของ<br />ตนเองมาใช้ทำลายฝ่ายตรงข้าม โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือนี่เป็นเรื่องที่ไม่สมควร<br />เป็นอย่างยิ่ง ” และว่า<br /><br />“ถ้าใครได้ติดตามสถานการณ์ หรือข่าวก่อนหน้านี้ก็จะเห็นว่ากลุ่มเสื้อแดงนี่ <br />ก็มีมุสลิมมาร่วมชุมนุมจำนวนไม่น้อย ขนาดที่ว่ามีการหุ้งข้าวมีการทำโรงอาหารฮาลาล<br />แยกต่างหาก แยกครัวที่ชัดเจนเพื่อรองรับพี่น้องมุสลิมที่มาร่วมชุมนุม และบางครั้งมุสลิม<br />หลายคนก็ได้มาอาศัยมัสยิดดังกล่าว(ดารุ้ลอามาน) เป็นที่ละหมาด ในเวลาที่พวกเขาออกมา<br />จากที่ชุมนุมฯ แต่บังเอิญพี่น้องมุสลิมที่มาจากต่างจังหวัด ไม่รู้ว่ามัสยิดและกิ่งเพชรแห่งนี้<br />เป็นอิทธิพลของพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรฯ หรือกลุ่มเสื้อเหลือง <br />จึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา”<br /><br />ดร.บูฆอรี กล่าวต่อว่า... <br />“ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ในช่วงก่อนสงกรานต์นี่ ก็มีมุสลิมที่เป็นเสื้อแดงหลายคน<br />ไปละหมาดที่นั่น แต่มีมุสลิมเสื้อแดงคนหนึ่งหลังจากออกมาจากมัสยิด ก็ถูกตีหัวและโดน<br />ทุบที่แขนหลังจากออกมาจากมัสยิด เราจะสังเกตเห็นได้ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ ก็ไม่เห็นมี<br />อิหม่ามหรือคนในชุมชน จะเป็นทุกข์เป็นร้อนที่มุสลิมคนหนึ่งโดนตีหัวเมื่อเขาออกมาจาก<br />มัสยิด หรือว่าเป็นเพราะเขาสวมเสื้อแดง เป็นพวกที่เห็นด้วยกับการชุมนุมของ นปช.<br />เขาจึงต้องถูกตีหัวฟรี หลังจากที่เขาได้ไปกราบไหว้พระผู้เป็นเจ้าในบ้านของพระองค์ เมื่อเขา<br />ออกมาเข้าก็ถูกทำร้าย แค่เพียงเขามีแนวคิดทางการเมืองที่ไม่เหมือนกับคนในซอย ทำให้<br />เขาถูกทำร้าย ทำไมมุสลิมจึงปฏิบัติต่อกันอย่างสองมาตรฐานเช่นนี้” ดร.บูฆอรี กล่าว<br /><br />ดร.บูฆอรี กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า... <br />“ในสถานการณ์ที่มีผู้คนในสังคมแบ่งแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่ายนี่ <br />การนำเอาศาสนามาเชื่อมโยงกับการเมืองนี่ ผมเห็นว่าเป็นผลลบต่อศาสนามากกว่าที่จะเป็น<br />ผลบวก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี่ มันจะทำให้คนมุสลิมที่เป็นเสื้อแดงนี่และคนทั่วไปจะเกิดความ<br />เข้าใจผิดต่ออิสลาม อีกอย่างหนึ่งผมอยากจะเรียกร้องให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมมุสลิมนี่ ช่วย<br />ออกมาพิสูจน์ความจริงให้กระจ่างว่า ต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดมันมีที่มาอย่างไร <br /><br /><u>เป็นไปไม่ได้ที่อยู่ๆ กลุ่มมุสลิมสีแดงจะไปยิงมัสยิดหรือทำลายป้ายมัสยิด</u> <br />เพราะการปล่อยให้เหตุการณ์บานปลายเช่นนี้ เพราะมุสลิมไม่ได้มีอยู่แค่ในกรุงเทพฯ หรือใน <br />3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น ที่เชียงใหม่ เชียงราย ที่อุบล อุดร หนองคาย ขอนแก่น สุรินทร์ <br />ศรีสะเกษก็มีมุสลิม เพราะฉะนั้นเราไม่ควรสร้างสถานการณ์ที่จะนำมาซึ่งความแตกแยกใน<br />สังคมโดยใช้อิสลามมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อรับใช้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือ<br />พรรคการเมืองใดพรรคการเมือง” - ดร.บูฆอรี กล่าวทิ้งท้าย<br /><br />----<br /><br /><strong>นายมุข สุไลมาน <br />กรรมาธิการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐสภา</strong> <br />สมาชิกพรรคมาตุภูมิ (ราษฎร์) อดีต ส.ส.ปัตตานี หลายสมัย <br />ได้เปิดเผยกับสำนักข่าวมุสลิมไทยว่า... <br />“ผมว่าเรื่องนี้มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง <br />เพราะเท่าที่รู้มาก็คือมุสลิมที่ใส่เสื้อสีแดงโดนตีหัวก่อน แล้วก็ไปเอาพวกมา <br />มันก็เลยเกิดการรุมสะกรัมกัน แล้วมาลากให้เป็นเรื่องของศาสนา <br /><br />ผมว่าในระยะยาว มุสลิมเรานี่แหละจะเดือดร้อน ถ้าต่อไปเกิดมือที่สาม<br />ไปสร้างสถานการณ์อย่างนี้กับวัดที่ไหนสักแห่ง แล้วเกิดเป็นกรณีระหว่างพุทธกับมุสลิม <br />ถามว่าใครจะเดือดร้อน มุสลิมเรานี่แหละจะเดือดร้อน เราเป็นชนกลุ่มน้อยเราจะ<br />ทำกันยังไง วันนี้ยังต้องหลบๆ หลีกๆ เพราะคนที่ไม่ใช่มุสลิมเขาก็มองมุสลิมไม่ดีอยู่แล้ว<br />กับเหตุการณ์ในจังหวัดชายแดนปักษ์ใต้ เพราะฉะนั้นเมื่อมุสลิมกรุงเทพฯไปลากเอา<br />สถานการณ์ทางการเมืองมาเชื่อมโยงกับศาสนาเพิ่มไปอีกนี่ ในที่สุดเรามุสลิมเองนี่แหละ<br />จะเดือดร้อน ผมไม่สบายใจเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้” - และว่า<br /><br />“แล้วก็ ที่ว่าคุณสมัย เจริญช่างก็ดี <br />คุณนาตยาก็ดี ฝ่ายประชาธิปัตย์ไปนั่งประชุมกันทำหนังสือไปถึง<br />สถานทูตอาหรับเอมิเรตต์ทำนองนี้ แล้วไปกล่าวหาอย่างนั้น <br /><br />ผมว่ามันน่าจะเป็นลักษณะที่ว่า สร้างเงื่อนไขอะไร <br />เพื่อที่จะให้โลกอาหรับอื่นต่อต้านทักษิณนี่ ผมดูแล้วมันไม่เข้าท่า <br />ถ้าจริงก็ว่ากันไป ถ้าไม่จริงนี่เป็นฟิตนะห์หรือว่าใส่ร้ายนี่ ในความเป็นมุสลิมนี่ <br />ผมว่ามันไม่ควรทำอย่างนั้น ก็เพราะทำอย่างนี้สิ สังคมมันถึงได้มีปัญหา เพราะคนเราชอบ<br />ใส่ร้ายใส่ความกัน ซึ่งมันไม่ถูกต้อง โดยส่วนตัวผมไม่ชอบไอ้การกระทำอย่างนี้ <br />พอผมรู้ตื้นลึกหนาบางในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่ผมรู้สึกไม่พอใจ ไม่สบายใจในเหตุการณ์ที่<br />เกิดขึ้นนี้มาก” นายมุขกล่าว<br /><br />นายมุข ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า... <br />“เรื่องนี้ผมจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เพราะได้มีการลากเอาศาสนามาเชื่อมโยงกับการเมือง <br />ผมไปกรุงเทพฯก็ต้องไปชี้แจงกับสถานทูตมุสลิมต่างๆ ไม่รู้ว่าท่านวันนอร์จะเห็นด้วยหรือไม่ <br />แต่ผมคิดว่าผมต้องทำครับ ขณะนี้ผมกำลังกำลังเดินทางไปปัตตานี กลับไปกรุงเทพฯเมื่อไหร่คง<br />ต้องไปดำเนินการเรื่องนี้ครับ ปล่อยไว้ไม่ได้ ขืนปล่อยไว้สังคมมุสลิมต้องแตกแยกแน่ครับ” <br />นายมุขกล่าว<br />----<br /><br /><strong>นายศิริศักดิ์ บินตรี สัปบุรุษ <br />มัสยิดบ้านครัวเหนือ กรุงเทพฯ</strong> <br />ได้แสดงความเห็นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า... <br /><br />“คุณสมัย เจริญช่าง และคุณนาตยา เบญจศิริกุล ตลอดจนคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพฯ <br />ด่วนสรุปเกินไปไหม...กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์เกิดขึ้นแค่เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็สามารถ<br />ร่างคำแถลงการณ์เป็นภาษาอาหรับ แปลเป็นภาษาไทย และมีการจัดแจกการแถลงข่าว <br />กล่าวหา...พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่เบื้องหลัง ประณามว่าเป็นหัวหน้าขบวนการก่อการร้าย และทำลา<br />ยศาสนาอิสลาม ไม่ทราบว่าในการกระทำนี้มีวาระอะไรซ่อนเร้นบ้างหรือเปล่า <br /><br />ตอนนี้มีคนหลายคนกำลังท้าทายนายสมัย ว่ากล้าเอาอัล-กุรอ่านมาสาบานไหม<br />ว่าทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้หวังผลทางการเมือง” และว่า<br /><br />“ผมไม่สบายใจเลยหลังจากที่มีการแถลงข่าวลากเอาศาสนามาเชื่อมโยงกับการเมือง <br />ตอนนี้สังคมมุสลิมกำลังแตกแยกกันแล้วเพราะมีการกล่าวหาว่ากลุ่มเสื้อแดงไปทำลายบ้าน<br />ของพระผู้เป็นเจ้า ทั้งที่เรื่องจริง ซอยกิ่งเพชรนี่ เราที่ทำงานชุมชน เราก็รู้ดีว่าเป็นซอยของ<br />กลุ่มเสื้อเหลืองกลุ่มพันธมิตร เป็นเขตอิทธิพลของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ <br />ของนางนาตยา เบญจศิริวรรณ <br /><br />ทีนี้พอเสื้อแดงไปละหมาดที่นั่นก็โดนพวกเสื้อเหลืองในซอยตีหัว <br />มันเป็นเรื่องของการทะเลาะระหว่างสี ระหว่างกลุ่มมุสลิมสีแดง กับกลุ่มมุสลิมสีเหลือง <br />แล้วทำไมต้องเอาศาสนามาเกี่ยวข้องด้วย การที่พวกคุณตีหัวพี่น้องมุสลิมสีแดงที่ไป<br />ละหมาดที่สุเหร่า ทำไมคุณไม่พูดถึง อิสลามนี่มันมี 2 มาตรฐานด้วยหรือ” นายศิริศักดิ์ กล่าว<br /><br />นายศิริศักดิ์ กล่าวต่อ...<br />“อยากจะถามนายสมัย เจริญช่าง ว่าคุณรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไร <br />คุณกำลังสร้างความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน คุณได้สร้างการเผชิญหน้าระหว่างมุสลิมกับมุสลิม <br />คุณกล้าสาบานโดยยกเอาอัล-กุรอานมาทูนขึ้นบนหัวเปล่า ว่าสิ่งที่คุณทำนี่ <br />มันทำขึ้นมาโดยความบริสุทธิ์ใจ <br /><br />คุณจะเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ชอบประชาธิปัตย์ หลงใหลพรรคประชาธิปัตย์ <br />มันก็เป็นสิทธิของคุณ แต่ขอเพียงอย่างเดียวอย่าได้ลากเอามวลมุสลิมและศาสนาอิสลาม<br />ไปเป็นเครื่องมือของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมันจะสร้างความแตกแยกให้กับสังคมมุสลิม <br />ตอนนี้สังคมมุสลิมกำลังแตกแยกแบ่งเป็นสองฝ่ายแล้ว คุณจะรับผิดชอบอย่างไร ในสิ่งที่คุณ<br />กระทำลงไป นายศิริศักดิ์ กล่าว - สำนักข่าวมุสลิมไทย<br /><br/><br /><br/>secretMAIhttp://www.blogger.com/profile/11151173166871594941noreply@blogger.com