คำประกาศแดงสยาม
วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 โดย จักรภพ เพ็ญแข
แดงสยามกำเนิดขึ้นแล้วในเมืองไทย ตามสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของปวงชนชาวไทย
โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใด คนไทยทุกคนที่เคารพในตนเองและผู้อื่น ด้วยจิตใจอันเป็นประชาธิปไตย
อย่างแท้จริง คือสมาชิกโดยธรรมชาติของแดงสยาม
นานมาแล้วที่คนไทยถูกปฏิเสธสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยตกเป็นเครื่องมือของการ
โฆษณาชวนเชื่อด้วยอำนาจรัฐแบบเผด็จการ จนลุ่มหลงในทิศทางอันเป็นมิจฉาทิฐิ ระบบใดๆที่
ถูกสร้างขึ้นมาในระบอบอันฉ้อฉลย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมทั้งของสังคม และสมาชิกทุกผู้ทุกนาม
เราถูกทำให้เชื่อว่าคนไทยไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง
ทั้งๆที่ความเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับกฏเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์
และปรัชญาพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย
เราถูกทำให้เชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งเลวร้าย
พรรคการเมืองไม่ใช่ทางออก สู้ระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไม่ได้ -
เราถูกทำให้เชื่อว่า เศรษฐกิจอุปถัมภ์แบบอำมาตย์เป็นครรลองหลักของวิถีไทย
ทั้งๆที่ผู้ชี้นำดำรงสภาพอยู่ในทุนนิยมชนิดล้าหลัง
และกำปัจจัยที่บันดาลความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจไว้ทั้งหมด
เราถูกทำให้เชื่อว่าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยแล้ว ทั้งๆที่กองทัพ ตุลาการ พรรคการเมือง
ระบบราชการ ระบบการศึกษา สื่อมวลชน .. ล้วนสนับสนุนความเป็นเผด็จการแทบทุกมิติ
แดงสยามต้องการให้ปวงชนชาวไทยได้รับสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดบต่อสู้เพื่อให้
เกิดประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นในบ้านเมืองและจะต่อสู้โดยไม่หยุดยั้ง ถึงจะใช้เวลานานขนาดข้ามรุ่นข้ามสมัย
โดยประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นต้องมีปัจจัยชี้ขาดดังต่อไปนี้
1. อำนาจสูงสุดต้องเป็นของปวงชนชาวไทย
2. บุคคลต้องมีเสรีภาพอันบริบูรณ์
3. สังคมต้องเสมอภาค
4. กฏหมายต้องศักดิ์สิทธ์และเป็นธรรมด้วยมาตรฐานเดียวกัน
5. ผู้ถืออำนาจรัฐแทนประชาชนต้องมาจากการเลือกตั้ง
ขอเชิญปวงชนชาวไทย ได้ตื่นขึ้นรับความสว่างอันเกิดขึ้นจากระบอบประชาธิปไตย และเห็นความมืดมนของฝ่าย
เผด็จการที่ครอบงำสังคมไทยมาจนกระทั่งปัจจุบัน เพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นเพื่อตัวเราและปวงชน
ชาวไทยรุ่นต่อๆ ไป
นี่คือภารกิจ "แดงสยาม"
Thursday, February 25, 2010
Thursday, February 4, 2010
โค่น..สื่ออำมาตย์
article : SIAM Freedom Fight
สื่อมวลชนกระแสหลักของไทย คือส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตยาธิปไตย
เป็นส่วนสำคัญ เป็นกำลังหลัก ในการปกป้องและแพร่ขยายแนวคิด ภายใต้ระบอบอำมาตยาธิปไตยมานานกว่า
ครึ่งศตวรรษ เป็นกำลังหลักในการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 เป็นกำลังหลักที่ใช้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ
ในการเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้างรัฐบาลที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ติดต่อกันถึงสามรัฐบาล เป็นกำลังหลัก
ที่ใช้โจมตีประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งในรูปข่าวบิดเบือน บทความ สัมภาษณ์ วรรณกรรม ละครโทรทัศน ฯลฯ
สื่อมวลชนกระแสหลักไทย ผูกขาดในมือกลุ่มธุรกิจไม่กี่กลุ่มและเมื่อย้อนถึงแหล่งทุน ที่มาของเงิน ก็อยู่ในมือคน
ไม่กี่คน นอกจากเป็นอาวุธหลักทางการเมืองของอำมาตยาธิปไตยแล้ว สื่อในระดับขี้ข้าก็ยังใช้ความเป็นอภิสิทธิ์ชน
หรือฐานันดรที่อุปโลกน์ขึ้นมาเอง ในการล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพ และ เหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
ไม่ว่าจะดารา นักแสดง หรือประชาชนทั่วไป มีผู้คนมากมายเท่าใด ที่ถูกตราหน้าเป็นฆาตกร เป็นคนบ้ากามโรคจิต
ขึ้นข่าวหน้าหนึ่งโดยปราศจากมูลความจริง และสื่อกระแสหลักเหล่านี้ก็ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆต่อการกระทำของตน
การกล่าวว่าสื่อมวลชนไทยมี"จรรยาบรรณ"และ"เป็นกลาง"ก็ไม่ต่างไปจาก
การที่บอกว่า สถานบริการ อาบ อบ นวด ในเมืองไทย..ไม่มีการค้าประเวณี
แม้แต่ในหมู่สื่อกระแสรอง หรือสื่อทางเลือกของฝ่ายที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในปัจจุบัน ก็ยังพยายามแก้ตัวให้แก่
สื่อมวลชนกระแสหลักอยู่เนืองๆ เช่น กล่าวว่าสื่อปัจจุบันถูกแทรกแซง ..?? แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ???
ในเมื่อสื่อกระแสหลักช่างมีเขี้ยวเล็บ เข้มแข็ง เป็นอภิสิทธิ์ชนที่ฟาดฟันรัฐบาลพรรคไทยรักไทย - จนมาถึงรัฐบาล
พรรคพลังประชาชน สื่อกระแสหลักโจมตีอย่างดุเดือด ไม่อ่อนข้อถอยหนี แล้วอยู่ดีๆ..จะมากลายเป็นลูกหมาพิกล
พิการ ที่ซบเลียรัฐบาล คมช. หรือ พรรคประชาธิปัตย์ ?? ย่อมเป็นไปไม่ได้.. เพราะสื่อมวลชนเหล่านี้เป็นมนุษย์ที่
มีการศึกษา พวกเขายืนยันว่าพวกเขามีจรรยาบรรณ ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว เป็นเหยี่ยวข่าว..ไม่ใช่แมงดา
ดังนั้น การที่สื่อกระแสหลักยืนอยู่ข้างอำมาตยาธิปไตย และประกาศสงครามกับฝ่ายประชาชน จึงมีคำอธิบายเพียง
อย่างเดียวว่า สื่อมวลชนกระหลักเต็มใจ..ที่จะยืนอยู่กับระบอบอำมาตยาธิปไตย และเป็นพวกเดียวกัน
เหตุการณ์สงกรานต์เลือด ปี พ.ศ. 2552 เป็นตัวอย่างที่ประชาชนไม่ควรลืมเลือน
ว่า..สื่อมวลชนกระแสหลัก ไดักระทำต่อประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยไว้อย่างไร
เรื่องราวชั่วร้าย และอาชญากรรมต่ออธิปไตยของประชาชน ที่สื่อกระแสหลักไทยร่วมกระทำนั้น มีผู้กล่าวถึงแล้ว
มากมายก่อนหน้า และจะไม่นำมากล่าวซ้ำในขณะนี้ เพราะมิใช่ประเด็น
ประเด็นคือ จะทำอย่างไรกับสื่อกระแสหลักพวกนี้
หลังจากการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง
แน่นอนว่า สื่อมวลชนอำมาตย์พวกนี้สมควรที่จะมีปากเสียง มีเสรีภาพในการ
แสดงออกซึ่งลัทธิความเชื่อของพวกเขา แม้มันจะเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยก็ตาม
แต่ทว่า..การผูกขาดทุกช่องทางของสื่ออำมาตย์จะต้องยุติลง
การผูกขาดช่องทางสื่อสาร..ของสื่อมวลชนกระแสหลักในปัจจุบัน จะต้องยุติลงทันที..ที่ประชาชนได้รับชัยชนะ
หลังสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้นในประเทศนี้ -
สมควรต้องมีการทบทวน และทวงคืนสัมปทานโทรทัศน์ - วิทยุทั้งหมด
และนายทุน ผู้บริหาร พนักงาน ที่มีส่วนร่วมสนับสนุนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร
จะต้องถูกนำมาขึ้นศาลประชาชน หรือกระบวนการยุติธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง - นายทุน ผู้บริหาร พนักงานที่มี
ส่วนร่วมในการให้ร้ายป้ายสีประชาชน..โดยเฉพาะการให้ร้ายประชาชนที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
อาชญากรสื่อเหล่านี้จะต้องถูกดำเนินคดีในศาลประชาชน หรือกระบวนการยุติธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งนี้รวม
ถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่จะต้องถูกพิจารณาลงโทษ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่เยาวชนในอนาคต
รายการข่าวอำมาตย์ที่ออกอากาศปัจจุบัน ก็ควรให้ทำรายการต่อไป แต่จะต้องมีรายการข่าวฝ่ายประชาธิปไตย
ประกบคู่ เช่น ข่าวอำมาตย์ 06.00 น. ต้องมีข่าวฝ่ายประชาธิปไตยเวลา 06.30 น. ประกบทันทีทุกคลื่น ทุกสถานี
แล้วให้ประชาชนเลือกตัดสินใจเอาเอง ว่าจะเชื่อใคร -
สังคมประชาธิปไตย ไม่ใช่สังคมที่ต้องยอมทนให้อีกฝ่ายหนึ่งตบตีโดยไม่ตอบโต้ ..
สังคมประชาธิปไตย ไม่ใช่สังคมที่จะยอมให้ตนเองถูกใส่ร้ายป้ายสีอยู่เพียงฝ่ายเดียว -
ไม่ใช่สังคมที่ทุกคนจะต้องคิดเหมือนกัน ชอบเหมือนกัน เป็นเหมือนกัน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่คิดต่างจะมากวนตีนได้ โดยไม่ถูกกวนตีนกลับ
สังคมประชาธิปไตย จะเป็นสังคมที่ต่างฝ่ายต่างไม่ล่วงละเมิดสิทธิซึ่งกันและกัน
แต่จะไปถึง..และรักษาสภาพนั้นไว้ได้ การกวนตีนแบบศรีธนนชัยของพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ จะ
ต้องถูกขจัดให้บรรเทาเบาบางลงให้ได้ สื่ออำมาตย์ และลูกจ้างสื่ออำมาตย์ทั้งหมด ต้องอยู่ในพื้นที่ของตนเอง
ในสัดส่วนที่ไม่เป็นภัยต่อสังคมอนาคต ไม่ใช่บริษัททำข่าวบริษัทเดียว ทำรายการข่าวคลุมไปทุกช่องโทรทัศน์
เมื่อกล่าวถึงการปฏิรูปสื่อ ก็คงมิใช่แค่การละเล่นเชิงวิชาการ ที่บรรดาขี้ข้าอำมาตย์มาเสวนากันเองเพื่ออวดภูมิรู้
และแถลงการณ์บ้าๆบอๆที่ไม่มีสาระ เพราะนักวิชาการในมหาวิทยาลัยไทยปัจจุบัน..จำนวนไม่น้อย ที่ไม่ต่างไป
จากขี้ข้าอำมาตย์สาขาอื่นๆ ไม่มีความรู้ ไม่มีสติปัญญาเพียงพอให้เชื่อถืออีกต่อไป ไม่มีองค์กรใดในระบบของ
อำมาตย์วันนี้ที่น่าเชื่อถือ สังคมต่อจากนี้ไปจึงอาจจำเป็นตั้งต้นกันใหม่ทั้งหมด เริ่มจากหัวขบวนคือกำจัดนายทุน
สื่อสารมวลชนปัจจุบัน บริษัทใดเป็นบริษัทมหาชนก็ดำเนินกิจการต่อไป แต่คนในองค์กรต้องเปลี่ยน และหมุน
เวียนมารับโทษทัณฑ์ที่ก่อไว้ในอดีต ..ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แนวคิดเช่นนี้ มิใช่การจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ..แต่ตรงกันข้าม
สังคมประชาธิปไตยในอนาคต สื่อมวลชนจะต้องมีสิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่
ตราบที่ไม่ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น ซึ่งแน่นอนว่า สิทธิเสรีภาพของมนุษย์
มาพร้อมกับความรับผิดชอบ สื่อเสรีประชาธิปไตยในอนาคต จึงต้องมีความ
รับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่ตนกระทำ ต่างจากสื่ออำมาตย์แบบทุกวันนี้
และแน่นอนอีกเช่นกันว่า สื่อสารมวลชนในโลกเสรีประชาธิปไตย และการแข่งขันในระบบเสรีทุนนิยม คงเกิด
ขึ้นไม่ได้ หากสื่ออำมาตย์ผูกขาด..ในยุคทุนนิยมสามานย์ ยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่บนแผ่นดินนี้ ไม่ต้องเสีย
เวลาเสวนา สัมนาปฏิรูปสื่อให้เปลืองน้ำชากาแฟ -
ถึงวันนั้น โค่นอำมาตย์ลงได้ แต่โค่นสื่ออำมาตย์ไม่ลง
อีกไม่เกินห้าปี อำมาตยาธิปไตยจะกลับมายึดครองแผ่นดินอีกครั้ง
สื่อมวลชนกระแสหลักของไทย คือส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตยาธิปไตย
เป็นส่วนสำคัญ เป็นกำลังหลัก ในการปกป้องและแพร่ขยายแนวคิด ภายใต้ระบอบอำมาตยาธิปไตยมานานกว่า
ครึ่งศตวรรษ เป็นกำลังหลักในการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 เป็นกำลังหลักที่ใช้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ
ในการเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้างรัฐบาลที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ติดต่อกันถึงสามรัฐบาล เป็นกำลังหลัก
ที่ใช้โจมตีประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งในรูปข่าวบิดเบือน บทความ สัมภาษณ์ วรรณกรรม ละครโทรทัศน ฯลฯ
สื่อมวลชนกระแสหลักไทย ผูกขาดในมือกลุ่มธุรกิจไม่กี่กลุ่มและเมื่อย้อนถึงแหล่งทุน ที่มาของเงิน ก็อยู่ในมือคน
ไม่กี่คน นอกจากเป็นอาวุธหลักทางการเมืองของอำมาตยาธิปไตยแล้ว สื่อในระดับขี้ข้าก็ยังใช้ความเป็นอภิสิทธิ์ชน
หรือฐานันดรที่อุปโลกน์ขึ้นมาเอง ในการล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพ และ เหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
ไม่ว่าจะดารา นักแสดง หรือประชาชนทั่วไป มีผู้คนมากมายเท่าใด ที่ถูกตราหน้าเป็นฆาตกร เป็นคนบ้ากามโรคจิต
ขึ้นข่าวหน้าหนึ่งโดยปราศจากมูลความจริง และสื่อกระแสหลักเหล่านี้ก็ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆต่อการกระทำของตน
การกล่าวว่าสื่อมวลชนไทยมี"จรรยาบรรณ"และ"เป็นกลาง"ก็ไม่ต่างไปจาก
การที่บอกว่า สถานบริการ อาบ อบ นวด ในเมืองไทย..ไม่มีการค้าประเวณี
แม้แต่ในหมู่สื่อกระแสรอง หรือสื่อทางเลือกของฝ่ายที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในปัจจุบัน ก็ยังพยายามแก้ตัวให้แก่
สื่อมวลชนกระแสหลักอยู่เนืองๆ เช่น กล่าวว่าสื่อปัจจุบันถูกแทรกแซง ..?? แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ???
ในเมื่อสื่อกระแสหลักช่างมีเขี้ยวเล็บ เข้มแข็ง เป็นอภิสิทธิ์ชนที่ฟาดฟันรัฐบาลพรรคไทยรักไทย - จนมาถึงรัฐบาล
พรรคพลังประชาชน สื่อกระแสหลักโจมตีอย่างดุเดือด ไม่อ่อนข้อถอยหนี แล้วอยู่ดีๆ..จะมากลายเป็นลูกหมาพิกล
พิการ ที่ซบเลียรัฐบาล คมช. หรือ พรรคประชาธิปัตย์ ?? ย่อมเป็นไปไม่ได้.. เพราะสื่อมวลชนเหล่านี้เป็นมนุษย์ที่
มีการศึกษา พวกเขายืนยันว่าพวกเขามีจรรยาบรรณ ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว เป็นเหยี่ยวข่าว..ไม่ใช่แมงดา
ดังนั้น การที่สื่อกระแสหลักยืนอยู่ข้างอำมาตยาธิปไตย และประกาศสงครามกับฝ่ายประชาชน จึงมีคำอธิบายเพียง
อย่างเดียวว่า สื่อมวลชนกระหลักเต็มใจ..ที่จะยืนอยู่กับระบอบอำมาตยาธิปไตย และเป็นพวกเดียวกัน
เหตุการณ์สงกรานต์เลือด ปี พ.ศ. 2552 เป็นตัวอย่างที่ประชาชนไม่ควรลืมเลือน
ว่า..สื่อมวลชนกระแสหลัก ไดักระทำต่อประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยไว้อย่างไร
เรื่องราวชั่วร้าย และอาชญากรรมต่ออธิปไตยของประชาชน ที่สื่อกระแสหลักไทยร่วมกระทำนั้น มีผู้กล่าวถึงแล้ว
มากมายก่อนหน้า และจะไม่นำมากล่าวซ้ำในขณะนี้ เพราะมิใช่ประเด็น
ประเด็นคือ จะทำอย่างไรกับสื่อกระแสหลักพวกนี้
หลังจากการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง
แน่นอนว่า สื่อมวลชนอำมาตย์พวกนี้สมควรที่จะมีปากเสียง มีเสรีภาพในการ
แสดงออกซึ่งลัทธิความเชื่อของพวกเขา แม้มันจะเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยก็ตาม
แต่ทว่า..การผูกขาดทุกช่องทางของสื่ออำมาตย์จะต้องยุติลง
การผูกขาดช่องทางสื่อสาร..ของสื่อมวลชนกระแสหลักในปัจจุบัน จะต้องยุติลงทันที..ที่ประชาชนได้รับชัยชนะ
หลังสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้นในประเทศนี้ -
สมควรต้องมีการทบทวน และทวงคืนสัมปทานโทรทัศน์ - วิทยุทั้งหมด
และนายทุน ผู้บริหาร พนักงาน ที่มีส่วนร่วมสนับสนุนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร
จะต้องถูกนำมาขึ้นศาลประชาชน หรือกระบวนการยุติธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง - นายทุน ผู้บริหาร พนักงานที่มี
ส่วนร่วมในการให้ร้ายป้ายสีประชาชน..โดยเฉพาะการให้ร้ายประชาชนที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
อาชญากรสื่อเหล่านี้จะต้องถูกดำเนินคดีในศาลประชาชน หรือกระบวนการยุติธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งนี้รวม
ถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่จะต้องถูกพิจารณาลงโทษ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่เยาวชนในอนาคต
รายการข่าวอำมาตย์ที่ออกอากาศปัจจุบัน ก็ควรให้ทำรายการต่อไป แต่จะต้องมีรายการข่าวฝ่ายประชาธิปไตย
ประกบคู่ เช่น ข่าวอำมาตย์ 06.00 น. ต้องมีข่าวฝ่ายประชาธิปไตยเวลา 06.30 น. ประกบทันทีทุกคลื่น ทุกสถานี
แล้วให้ประชาชนเลือกตัดสินใจเอาเอง ว่าจะเชื่อใคร -
สังคมประชาธิปไตย ไม่ใช่สังคมที่ต้องยอมทนให้อีกฝ่ายหนึ่งตบตีโดยไม่ตอบโต้ ..
สังคมประชาธิปไตย ไม่ใช่สังคมที่จะยอมให้ตนเองถูกใส่ร้ายป้ายสีอยู่เพียงฝ่ายเดียว -
ไม่ใช่สังคมที่ทุกคนจะต้องคิดเหมือนกัน ชอบเหมือนกัน เป็นเหมือนกัน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่คิดต่างจะมากวนตีนได้ โดยไม่ถูกกวนตีนกลับ
สังคมประชาธิปไตย จะเป็นสังคมที่ต่างฝ่ายต่างไม่ล่วงละเมิดสิทธิซึ่งกันและกัน
แต่จะไปถึง..และรักษาสภาพนั้นไว้ได้ การกวนตีนแบบศรีธนนชัยของพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ จะ
ต้องถูกขจัดให้บรรเทาเบาบางลงให้ได้ สื่ออำมาตย์ และลูกจ้างสื่ออำมาตย์ทั้งหมด ต้องอยู่ในพื้นที่ของตนเอง
ในสัดส่วนที่ไม่เป็นภัยต่อสังคมอนาคต ไม่ใช่บริษัททำข่าวบริษัทเดียว ทำรายการข่าวคลุมไปทุกช่องโทรทัศน์
เมื่อกล่าวถึงการปฏิรูปสื่อ ก็คงมิใช่แค่การละเล่นเชิงวิชาการ ที่บรรดาขี้ข้าอำมาตย์มาเสวนากันเองเพื่ออวดภูมิรู้
และแถลงการณ์บ้าๆบอๆที่ไม่มีสาระ เพราะนักวิชาการในมหาวิทยาลัยไทยปัจจุบัน..จำนวนไม่น้อย ที่ไม่ต่างไป
จากขี้ข้าอำมาตย์สาขาอื่นๆ ไม่มีความรู้ ไม่มีสติปัญญาเพียงพอให้เชื่อถืออีกต่อไป ไม่มีองค์กรใดในระบบของ
อำมาตย์วันนี้ที่น่าเชื่อถือ สังคมต่อจากนี้ไปจึงอาจจำเป็นตั้งต้นกันใหม่ทั้งหมด เริ่มจากหัวขบวนคือกำจัดนายทุน
สื่อสารมวลชนปัจจุบัน บริษัทใดเป็นบริษัทมหาชนก็ดำเนินกิจการต่อไป แต่คนในองค์กรต้องเปลี่ยน และหมุน
เวียนมารับโทษทัณฑ์ที่ก่อไว้ในอดีต ..ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แนวคิดเช่นนี้ มิใช่การจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ..แต่ตรงกันข้าม
สังคมประชาธิปไตยในอนาคต สื่อมวลชนจะต้องมีสิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่
ตราบที่ไม่ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น ซึ่งแน่นอนว่า สิทธิเสรีภาพของมนุษย์
มาพร้อมกับความรับผิดชอบ สื่อเสรีประชาธิปไตยในอนาคต จึงต้องมีความ
รับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่ตนกระทำ ต่างจากสื่ออำมาตย์แบบทุกวันนี้
และแน่นอนอีกเช่นกันว่า สื่อสารมวลชนในโลกเสรีประชาธิปไตย และการแข่งขันในระบบเสรีทุนนิยม คงเกิด
ขึ้นไม่ได้ หากสื่ออำมาตย์ผูกขาด..ในยุคทุนนิยมสามานย์ ยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่บนแผ่นดินนี้ ไม่ต้องเสีย
เวลาเสวนา สัมนาปฏิรูปสื่อให้เปลืองน้ำชากาแฟ -
ถึงวันนั้น โค่นอำมาตย์ลงได้ แต่โค่นสื่ออำมาตย์ไม่ลง
อีกไม่เกินห้าปี อำมาตยาธิปไตยจะกลับมายึดครองแผ่นดินอีกครั้ง
Subscribe to:
Posts (Atom)