interview Jakrapob Penkair : June 2009
ระหว่างบรรทัดความขัดแย้งและการต่อสู้ กับ จักรภพ เพ็ญแข
โดย : หนังสือพิมพ์ “แนวร่วม” รายสัปดาห์ (ฉบับอุ่นเครื่อง)
Q. ระหว่างบรรทัด ในการให้สัมภาษณ์ของคุณจักรภพกับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง
และระหว่างบรรทัดจากข้อเขียนของคุณในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น (Red News)
ก่อให้เกิดความสงสัยในคนเสื้อแดงหลายคนและถูกขยายความต่อจากฝ่ายตรงข้าม
ว่า เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกันในหมู่แกนนำเสื้อแดง โดยเฉพาะคุณจักรภพกับ
คุณจตุพร บอกได้หรือไม่ว่ามันเป็นเรื่องของอารมณ์หรือความแตกต่างกันทางความคิด
ใน ยุทธวิธีการต่อสู้
A. คนที่สวมเสื้อแดงที่หัวใจและจิตวิญญาณเขาไม่สนใจเรื่องตัวบุคคลหรอกครับ
เขาสนใจว่าขบวนการประชาธิปไตยของเรามีวุฒิภาวะแค่ไหน และจะเดินต่อไปสู่
เป้าหมายอย่างไรมากกว่า ขณะนี้เรากำลังสร้างแนวร่วมประชาธิปไตยให้เป็นเครือข่าย
ที่สำคัญและมีพลัง เราทิ้งใครหรือตั้งข้อรังเกียจใครไม่ได้ทั้งนั้น ทุกคนมีความหมายและ
ความสำคัญ เพราะระบอบอำมาตย์เขาจัดตั้งมานานและแน่นแฟ้น เหมือนต้นโพธิ์
กับกำแพงผุที่กอดกันอยู่ เราเห็นภูเขาตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแล้ว จะมานั่งเถียงกัน
ทำไมครับว่าจอบของใครขุดได้ดีกว่า เราต้องใช้จอบทุกอันที่มีนั่นแหละ
Q. หลายคนมองว่าโดยส่วนตัวของคุณนั้นต้องการให้ความรุนแรงในการต่อสู้
เป็นตัวตัดสิน โดยเฉพาะเหตุการณ์สงกรานต์เลือดที่ผ่านมา
A. นั่นเป็นเรื่องแต่งครับ เรามีอะไรในขบวนการเสื้อแดงที่จะไปก่อความรุนแรงเล่า?
อาวุธก็ไม่มี กำลังจากไหนๆ ก็ไม่มี ที่สำคัญคือเจตนาที่จะก่อความรุนแรงวุ่นวายก็ไม่มี
ผมเห็นแต่ฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นที่เขามีทั้งกำลังทหาร ตำรวจ สายลับ ข่าวกรอง และ
ขบวนการประชาชนจัดตั้งแบบติดอาวุธเตรียมก่อเรื่องแบบที่นางเลิ้ง ใครที่อยากเชื่อ
เรื่องแบบนี้ ควรย้อนไปดูเทปการชุมนุมของพวกเราตั้งแต่ยุค PTV เป็นต้นมาว่าเราเรียกร้อง
ให้ใช้ความรุนแรงบ้างหรือไม่ ผมอยู่กับขบวนการของเรามาตลอด และยึดอยู่กับหลักการ
แห่งความสงบ สันติ และปราศจากอาวุธเรื่อยมา
Q. คุณมองว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงและขบวนการผู้รักประชาธิปไตยมันเป็น "เกม"
ที่ต้องรู้แพ้-ชนะ กันในกรอบเวลาที่จำกัด หรือเป็นสงครามที่อาจพ่ายแพ้ในศึกหนึ่ง
แต่มิได้หมายความว่าจะเป็นการปิดฉาก
A. ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เกม ซึ่งแปลว่าการละเล่นเพื่อความเพลิดเพลินของใครสักคนหนึ่ง
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไม่ใช่เกม แต่เป็นวิถีชีวิตของคน 64 ล้านคนที่ต้องการคำตอบ
ว่าชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับอะไร ขึ้นอยู่กับอำนาจลึกลับที่คอยบงการชี้นำประเทศ ซึ่งเป็น
อำนาจที่ปราศจากความพร้อมรับผิดเพราะหาตัวคนสั่งไม่ได้ หรือขึ้นกับตัวแทนในระบอบ
ประชาธิปไตยที่ขึ้นมามีอำนาจชั่วคราว โดยประชาชนสามารถถ่วงดุลและตรวจสอบได้
เรื่องขนาดวิถีชีวิตนี่ กำหนดวันเวลาที่แน่นอนไม่ได้หรอกครับ ผมรู้แต่ว่าใครเอาจริงเอาจัง
กับเรื่องนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นภารกิจแห่งชีวิต และอุทิศตนเต็มที่ จะวางขั้นตอนชัดเจนแบบ
ทำธุรกิจคงจะไม่ได้
Q. คุณพูดถึงการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการประชาธิปไตย
อยากทราบถึงโมเดลกระบวนการทำงานของหน่วยงานนี้ว่าเป็นเช่นไร
A. หน่วยปฏิบัติการประชาธิปไตยมีขึ้นเพื่อตอบโจทย์ในอดีต
ว่าทำไมขบวนการประชาธิปไตย ของเราจึงได้พ่ายแพ้มาตลอด ประชาชนของเรามีความ
บริสุทธิ์ใจมาก แต่ฝ่ายตรงข้ามเขามีเล่ห์เหลี่ยมรอบตัวและโหดเหี้ยมอำมหิต สู้กันลำบาก
เราต้องการกิจกรรมประชาธิปไตยที่มีอุดมการณ์และวิธีคิดที่เป็นประชาธิปไตย แท้ แต่ต้อง
มีประสิทธิภาพและสร้างอำนาจต่อรองให้กับฝ่ายประชาชนได้ รูปธรรมคือสรรหาและพัฒนา
นักปฏิวัติประชาธิปไตยเต็มเวลามาทำงาน จะอยู่ที่ไหนในโลกก็ได้ ทำงานประสานกับคนใน
อย่างใกล้ชิด มุ่งหวังผลเลิศ แต่ไม่ได้มุ่งหมายผูกขาดการปฏิวัติประชาธิปไตยไว้เป็นของตน
รูปแบบเรียบง่าย ประกอบด้วยศูนย์กลาง แกน เครือข่าย และแนวร่วม ทำงานกับขบวนการ
ประชาธิปไตยสากล เพราะการโค่นล้มเผด็จการไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของประเทศหนึ่งประเทศใด
Q. แน่นอนว่าหน่วยงานนี้จะไม่ใช่กองกำลังติดอาวุธหรือการเล่นเกมใต้ดินที่มีบางกลุ่ม
พยายามยัดเยียดการต่อสู้ในแนวทางรุนแรงนี้ให้กับคุณ
A. จินตนาการไปเถิดไม่เป็นไร
แต่ระวังยัดเยียดจะอะไรแล้วเกิดเป็นประโยชน์กับผมขึ้นมาก็แล้วกัน
Q. ในความเป็นนักรัฐศาสตร์ของคุณๆ มองการต่อสู้และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ภายใต้แนวทางสังคมนิยมของหลาย ประเทศในยุโรปเป็นเช่นไร แบบอย่างไหนที่คุณคิด
ว่าใกล้เคียงกับประเทศไทยมากที่สุด
A. ยุโรปกลายเป็นประชาธิปไตยได้ก็เพราะผ่านเผด็จการสุดขั้วมานับร้อยปี
ทั้งเผด็จการราชาธิปไตย เผด็จการทหาร และเผด็จการจักรวรรดินิยม ประเทศไทยอาจจะกระโดด
พรวดเดียวไปถึงขนาดนั้นไม่ไหว ดูประเทศใกล้ตัวอย่างอิหร่านและญี่ปุ่นสิครับ ไปดูไกลนักทำไม
อิหร่าน ที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งประธานาธิบดีไปเมื่อวันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2552
เป็นการสู้รบกันระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีนิยมหรือฝ่ายก้าวหน้า แต่เมื่อฝุ่นการเมือง
หายตลบอบอวลแล้ว กลับพบว่าผู้ชนะตัวจริงไม่ใช่อาหมัดดิเนจัดหรือมูซาวี แต่กลับเป็น
อะยาตุลาห์โคเมเนอี ผู้เป็น “ผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณ” ซึ่งมีอำนาจกดปุ่มได้ทั้งนั้นและประเทศ
ก็จะหันเหไป ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะการเลือกตั้งก็ตาม นั่นแสดงว่าอิหร่านมีระบบ “รัฐซ้อนรัฐ”
นั่นคือรัฐบาลจากการเลือกตั้งก็ทำหน้าที่ไปในฉากหน้า รับความผิดรับความบกพร่องอะไร
ไปทั้งหมด รัฐบาลตัวจริงที่ไม่เคยได้เลือกตั้งก็คอยควบคุมอำนาจรัฐอันแท้จริงอยู่ข้าง หลัง
นั่นคือภาพเปรียบเทียบกับไทยในปัจจุบัน
ส่วนญี่ปุ่นเป็นระบอบ ประชาธิปไตยอันมีองค์พระจักรพรรดิเป็นประมุข รัฐบาลที่มีอำนาจจริง
มาจากการเลือกตั้ง ในขณะที่ราชสำนักเป็นสัญลักษณ์ที่ดีงามในทางวัฒนธรรม สูงส่งและไม่
แปดเปื้อนด้วยการแย่งชิงผลประโยชน์ ทำให้ชาวญี่ปุ่นแยกได้เด็ดขาดระหว่างปูชนียบุคคลกับ
ผู้มีอำนาจในทางการเมือง นั่นคือภาพของราชอาณาจักรที่มีความก้าวหน้า
เรามักนำตัวเองไป เปรียบเทียบกับโลกตะวันตก ในขณะที่โลกตะวันออกในครรลองใกล้เคียงกัน
มีอะไรให้เทียบเคียงได้มาก ทั้งในความเหมือนและความแตกต่าง
Q. คุณรู้สึกหรือไม่ว่าเมื่อใดที่ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยถูกทำ ถูกออกแบบให้ใกล้ชิด
กับลัทธิบูชาตัวบุคคลมากเท่าใด นั่นหมายถึงสัญญาณของความพ่ายแพ้ได้เดินทางใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ
A. เห็นด้วยครับ บุคคลมีความสำคัญในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์และเป็นผู้ปฏิบัติภารกิจบริหาร
ขบวนการประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้ควบคุมขบวนการนั้นๆ เราต้องยอมให้พลวัตร
ประชาธิปไตยเป็นตัวขับเคลื่อนขบวนการประชาธิปไตยอย่าง แท้จริง พูดให้ง่ายคือต้องเอาพลัง
ทั้งสังคมมาปฏิวัติประชาธิปไตยให้ได้ ใครรวบรวมพลังเหล่านี้ได้ก็เป็นผู้นำขบวนการประชาธิปไตยได้
ผู้นำ ขบวนการประชาธิปไตยต้องไม่ใช่คนที่นั่งนอนรอประนีประนอมกับเขา
ต้องไม่ใช่คนที่หวังยังชีพไปพร้อมกับงานประชาธิปไตย และต้องไม่ใช่ตลกหน้าม่านที่ออกมา
ผ่อนคลายความตึงเครียดของคนแค่ชั่วครู่ ชั่วยาม แต่เมื่อได้ตัวมาแล้วก็ต้องควบคุมอัตตวิสัยของตน
ไว้ให้ดี กำเริบเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็นเผด็จการตัวใหม่ทันที
Q. คุณคิดหรือไม่ว่าขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของบ้านเราในทุกวันนี้ เอาเข้าจริงแล้วมันก็
ยังลุ่มหลงอยู่ในมายาคติ มายาคติของการเทิดทูน บูชาความเป็นปัจเจกเสียมากกว่าที่จะดื่มด่ำหลงใหล
กับเนื้อหาอันแท้จริง
A. อย่าห่วงเลยครับ ประชาชนท่านแยกออก
Q. ที่คุณพูดว่าถึงเวลาสมควรพบก็ต้องพบกันนั้น หมายถึงอย่างไร
A. ท่านถามจากข้อเขียนของผมเมื่อสัปดาห์ก่อนในอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งต้องขอขอบคุณที่ได้อ่าน
ความหมายของผมตรงไปตรงมาไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกครับ การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของเรา
ต้องกำหนดทิศทางโดยฝ่ายประชาชน ไม่ใช่ให้ศัตรูของประชาชนมากำหนด โดยใช้คดีความต่างๆ
บ้าง การกล่าวหาผ่านสื่อบ้างอะไรบ้าง มาเป็นเครื่องมือ เราจะต้องวางแผนให้รอบคอบและ
เดินหน้าของเราไป ถึงเวลาเมื่อไหร่เราก็ลงมือทำ ไม่ต้องไปรอเงื่อนเวลาใดๆ ที่เขากำหนดขึ้นมา
ให้หรอกครับ
Q. ประชาธิปไตย สังคมเป็นธรรม ในความรู้สึกของคุณนั้นคืออย่างไร
A. ความเป็นธรรมคือการได้รับโอกาสทางสังคมอย่างเต็มที่ จะให้โดยรัฐบาลก็ได้ ประชาชน
ให้กันเองก็ได้ โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ มาสกัดกั้นขัดขวาง ผมรู้ว่าเราเลือกเกิดไม่ได้ และต้องมีคนที่
ได้รับโอกาสมากกว่าอีกคนหนึ่งเสมอในสังคม แต่สังคมจะต้องใส่ใจกับคนที่ไม่สามารถได้รับ
โอกาสนั้นได้ด้วยตนเอง และสร้างเครื่องมือช่วยเหลืออย่างชาญฉลาด โดยไม่เป็นการเอาเปรียบ
คนอื่นๆ ขึ้นมา ผมไม่ได้พูดถึงรัฐสวัสดิการอย่างเดียว แต่ยังพูดถึงการศึกษาและการพัฒนาต่อยอด
(education & re-training) ที่บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อมวลชนที่รับใช้สังคมอย่าง
เสมอภาค ระบบศาสนาที่ตอบโจทย์ทางใจและจิตวิญญาณโดยไม่ลากลงต่ำไปกว่าเดิม ทั้งหมดนี้
เป็นเพียงตัวอย่างนะครับ
Q. มองย้อนไปบนเส้นทางชีวิต คุณรู้สึกมั้ยว่าความเป็นจักรภพในวันที่เป็นนักเรียนสาธิต
นิสิตจุฬา พนักงานซี.พี. หรือเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความเป็น
จักรภพใน ฐานะคนหัวแถวของเสื้อแดง บางคนมองว่าการอธิบายหรือให้นิยามความเป็นคุณช่าง
เป็นเรื่องยาก เพราะแยกไม่ออกว่าสิ่งที่คุณเป็นนั้น มันคืออะไรกันแน่ อุดมการณ์ จิตสำนึก สันดาน
หรือจริตมายา
A. จะร้อนใจไปใย รอไว้จำกัดความในวันที่ผมตายแล้วก็ได้ เพราะผมยังต้องทำอะไรอื่นๆ อีกมาก
ยังไม่รู้ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลวในใจใคร วานซืนนี้ผมกินข้าวหมูแดงใส่กุนเชียง เมื่อวานกิน
ก๋วยเตี๋ยวแห้ง ตกเย็นได้กินอาหารญี่ปุ่นคือปลาดิบ และวันนี้เพิ่งจะเล่นข้าวราดแกงไปหมาดๆ จะ
สรุปนิสัยสันดานในการกินของผมอย่างไรดี ในความเป็นมาของชีวิต ผมยังเคยทำงานถวายสมเด็จ
พระเทพรัตนราชสุดาฯ ในโครงการหนังสือ “The Princess of All Peoples” เคยเป็นสื่อมวลชนอิสระ
ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัทผลิตสื่อ อาจารย์มหาวิทยาลัย วิทยากรในสถาบันของทหาร รวมทั้ง
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรยาวนานหลายปี เป็นลูกหลานทหาร แม่มาจากตระกูลที่รับใช้รั้ววังมา
พี่เป็นข้าราชการระดับสูง อ่านหนังสือสลับกันระหว่างภาษาไทยกับอังกฤษมานานกว่ายี่สิบปี
เป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ฯลฯ จะสรุปความเป็นคนของผมอย่างไร
ผมเป็นคนชนิดไหน ผลประโยชน์ร่วมกันและขัดแย้งกับกลุ่มใด
อย่าเสียเวลากับตัวผมมากนักเลยครับ มาคุยกันเรื่องความคิด อุดมการณ์ และแผนงานดีกว่า
Q. คุณยังได้พุดคุยกับสื่อมวลชนต่างประเทศอยู่บ่อยๆ เหมือนเดิมหรือเปล่า วันนี้ของสื่อมวลชน
ต่างประเทศมีทัศนคติและมองประเทศไทยอย่างไร ความเชื่อมั่นของพวกเขาที่มีต่อประเทศไทย
เป็นเช่นไร ยังเป็นขุมทองของการลงทุน และแดนสวรรค์ของการท่องเที่ยวอยู่อีกหรือไม่
A. ผมสังสรรค์เสวนากับคนไทยและชาวต่างประเทศอยู่ตลอดเวลาครับ
ชาวต่างประเทศนั้นก็ทั้งคนเป็นรัฐบาล นักการเมืองในระบบพรรค ตุลาการสากล สื่อมวลชน
นักธุรกิจที่เขามองเมืองไทยอย่างใส่ใจและปรารถนาดี คนระดับหัวหน้ารัฐบาลก็ได้เข้าพบอยู่บ้าง
เมื่อได้พบแล้วเขาก็ถามคล้ายกันว่าเมืองไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป
นักธุรกิจส่วนมากก็ยังพอใจกับจริตแบบไทยๆ เห็นว่าเป็นความพิเศษกว่าชาติอื่นๆ อยู่
เขานั่งรอว่าเมื่อไหร่เมืองไทยจะกลับสู่สมดุลและจุดลงตัวของตน ก็จะกลับมาทุ่มทุนอีก ผมไม่ห่วง
เรื่องชื่อเสียงของประเทศในระยะยาว เพราะคนไทยร่วมกันทำชื่อเสียงที่ดีมามากพอ ส่วนการเมือง
ในระยะนี้เขาก็รู้กันดีว่าติดขัดที่ตรงไหน เขาก็รอให้ฝ่ายที่ขัดขวางระบอบประชาธิปไตยแพ้ภัยตัวเอง
ไปแล้วเขาก็คงเข้ามา
Q. คุณคิดยังไงกับความเห็นของหลายคนที่ว่ารัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณทำให้ทุนนิยมชายขอบ
ของไทยก้าวสู่ความเป็นทุนนิยมโลก และมันไม่วันหวนกลับคืนมาอีกแล้ว ดังนั้นที่ๆ จะยืนอยู่ของ
ไทยบนเวทีโลกอย่างไรเสียมันก็หนีไม่พ้นโลกของทุนนิยม
A. ตอบกันจริงๆ มันก็เป็นเรื่องของวิถีการผลิต เพราะมนุษย์ต้องกินต้องใช้ ต้องมีปัจจัยสี่
คำถามคือจะได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน ระบบการผลิตของโลกถูกครอบด้วยลัทธิทุนนิยม นั่นคือเอา
ระบบตลาดหรือหลายคนเรียกอย่างเจ็บใจว่า ระบบความโลภ มาเป็นแรงขับดันให้อยากผลิต
อยากเผยแพร่ ผู้บริโภคก็ได้ตัวเลือกหลากหลายในแต่ละสินค้าและบริการ
นับเป็นผลประโยชน์ร่วมกันอย่างหนึ่ง
แต่ทุนนิยมสุดขั้วและล้าหลัง มันก็โลภ มันก็ตักตวง มันทำลายผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม
และมันก็สร้างความขัดแย้งในสังคม คำตอบก็คือเราต้องใช้พลวัตรทางสังคมผลักให้เกิด
ระบบทุนนิยมก้าวหน้า และต้องให้แน่ใจว่าเป็น “ระบบทุนนิยมก้าวหน้า” ใน “ระบอบประชาธิปไตย”
ไม่ใช่ “ระบบทุนนิยมล้าหลัง” ใน “ระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย”
แนวคิดที่จะหนีจากระบบทุนนิยมและใช้แนวคิดอื่นมากำกับระบบการผลิตนั้น
ผมยังไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะคนที่สอนให้คนอื่นรังเกียจทุนนิยมและวิจารณ์นักทุนนิยมคนอื่นๆ
ว่าเลวว่าชั่วนั้น ตัวเองก็ทุนนิยมเสียจนรวยล้นฟ้า
Q. ทุนนิยมสามานย์กับไม่สามานย์นี่มันต่างกันตรงไหน ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ชี้วัด
ทุนนิยมในศักดินากับทุนนิยมในสามัญชนอย่างไหนน่ากลัวกว่ากัน
A. สำหรับผม ทุนนิยมสามานย์ หรือทุนที่เลว ต่ำ ชั่ว
คือทุนนิยมล้าหลังในระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย
ทุนนิยมที่พอยอมรับได้ แต่ต้องกดดันกันไว้ตลอด คือทุนนิยมก้าวหน้าในระบอบประชาธิปไตย
เกณฑ์ ชี้วัดโดยคร่าวคือ สิ่งที่ได้มาในเชิงมูลค่าเพิ่ม ต้องมากกว่าต้นทุนทางธุรกิจ
ทางสังคม และทางจิตวิญญาณ พูดง่ายๆ คือสังคมต้องไม่ขาดทุน และประชาชนส่วนใหญ่
ต้องได้กำไรในเชิงเศรษฐศาสตร์
Q. มั่นใจหรือไม่ว่า เร็วๆ นี้คุณจะได้กลับเมืองไทย ได้กลับมาโลดแล่นทางการเมืองบนแผ่นดินแม่
A. ผมไม่สนใจนักว่าจะได้กลับมา “โลดแล่นทางการเมือง” แบบที่ท่านถามหรือไม่
เพราะทำงานการเมืองในระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย คงไม่ต่างอะไรกับการมีเพศสัมพันธ์กับคนตาย
ไม่รู้สึกรู้สมและไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ผมสนใจใช้เวลาศึกษาปัญหาในโครงสร้างการเมืองของประเทศ
ไทยเพื่อการแก้ไขใน ระยะยาวมากกว่า ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ ผมจะทันเห็นหรือไม่ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผมเคยบอกกับน้องๆ ที่มาสัมภาษณ์เกี่ยวกับปรัชญาชีวิตว่า ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวของนักเขียนอเมริกัน
ที่ผมชื่นชอบมาก คือเรย์ แบรดบิวรี่ เขาบอกว่า “กระโดดลงเหวไปก่อน แล้วงอกปีกตามให้ทัน”
ผมเลือกที่จะมีชีวิตแบบนั้น.
Saturday, August 29, 2009
Thursday, August 27, 2009
ทักษิณกลับบ้าน ?
article : จักรภพ เพ็ญแข
from : หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ “แนวร่วม Red” ปีที่ 1 ฉบับที่ 7
date : August 25, 2009 -- 25 สิงหาคม 2552
หมู่นี้พูดกันบ่อยจริงเรื่องคุณทักษิณจะกลับบ้าน
อยากให้พี่น้องตื่นเต้นเร่งลงชื่อในฎีกา ก็บอกว่าเพื่อให้คุณทักษิณได้กลับบ้าน
จะเอาฎีกาไปยื่นที่สำนักพระราชวัง ก็เรียกคนมาชุมนุมกันที่สนามหลวงและบอก
เป็นนัยๆ ว่าเพื่อคุณทักษิณจะได้กลับบ้าน หรือกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเสียด้วยซ้ำ
แค่ชาวเสื้อแดงมากันให้มากเข้าไว้เป็นได้การ พูดย้ำซ้ำทวนกันจนชาวประชาธิปไตย
ที่นิยมคุณทักษิณค่อนประเทศเชื่อเอาจริงๆ ว่ากระบวนการขั้นตอนในการเอาชนะ
พวกปล้นประชาธิปไตย จะง่าย สั้น จบ อย่างสวยงามอย่างที่พูดกัน
ผมก็คนหนึ่งล่ะครับที่อยากเห็น พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน
อยากเห็นท่านเข้ามากอบกู้บ้านเมืองที่ถูกอำมาตย์มันปล้นทำลายไป แต่ผมก็อดสงสัย
ไม่ได้ว่า คนที่พร่ำพูดเช่นนั้นเอาเหตุผลอะไรมาอธิบายว่าความหวังของเราจะเป็นจริง
การให้กำลังใจกันนั้นก็เป็นเรื่องดีและควรทำครับ
แต่อย่าเตลิดไปจนสร้าง “ความฝัน” ขึ้นมาแทน “ความหวัง” จนกลายเป็นฝันสลายไป
ดร.ทักษิณฯ นำพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด ๒ ครั้ง
เป็นปรากฏการณ์แรกนับแต่ฝ่ายประชาธิปไตยโค่นเผด็จการแบบเก่าได้สำเร็จในปี
พ.ศ. 2475 และนำพรรคพลังประชาชนจนได้รับชัยชนะอีกครั้งในระหว่างที่บ้านเมือง
อยู่ในเงา รัฐประหารและรัฐบาลอำมาตย์ ในปี พ.ศ. 2550
สร้างฐานสมาชิกพรรคไทยรักไทยเป็นประวัติการณ์เกือบ 20 ล้านคน จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ราว 40 ล้านทั่วประเทศ และได้รับคะแนนนิยมสูงกว่านายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งทุกคน
วัดผลทีไรก็ไม่มีใครเถียงว่ามีผลงานจับใจประชาชนมากที่สุด จนทำให้ประชาธิปไตยที่
คุณทักษิณดูแลกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและกินได้
แต่แล้ว...
เขาก็หักดิบเอาตรงๆ เมื่อวันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
ในนาม คปค. / คมช. โดยไม่เกรงใจประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว
ถามจริงๆ เถิดครับ เสียงในฎีกา 6 ล้าน ซึ่งเป็นเสียงสวรรค์โดยแท้ไม่มีใครเถียงได้
จะไปคัดง้างอะไรกับคนชนิดนี้ ? -- ได้เคยคิดกันบ้างไหมครับ
เห็นขึ้นมารุมด่าพลเอกเปรม พลเอกพิจิตร นายอภิสิทธิ์ นายบวรศักดิ์ ฯลฯ เป็นหมูเป็นหมา
สนุกเสียไม่มี สะใจเป็นบ้า ในที่สุดก็บอกกับพี่น้องประชาชนว่า ด่าไอ้พวกเลวชาติแบบ
ไม่ต้องให้มันได้ผุดได้เกิดกันเลย เพื่อเราจะได้เกิดใหม่ทางการเมือง .. คนดูโห่ร้องกึกก้อง
เพราะนึกว่าเราจะได้รับชัยชนะแน่นอนแล้ว
ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ครับว่า
ระบอบอำมาตยาธิปไตยหมายถึงใครและอะไรบ้าง
เล่าเรียนกันมาทางไสยศาสตร์ขนาดไหน
ถึงประกาศกลางเมืองว่าจะแยกผีออกจากสางมิน่าเล่า...
ถึงได้ถูกหลอกจนหัวโกร๋นแล้วโกร๋นอีก
บางคนเคยถูกเขาหลอกมาครั้งหนึ่งตอนอายุสี่สิบเศษๆ
ดันยอมถูกหลอกอีกครั้งในวัยหลังหกสิบ แล้วมาลากเอาคนเป็นล้านๆ เข้าไปในป่าช้า
เพื่อจะถูกหลอกด้วย .. -- .. เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใย ?
บอกด้วยความรักและหวังดีต่อกันว่า การหาความเป็นธรรมจากคนหน้าด้าน
ที่ชำนาญเกมรักษาอำนาจ ยากกว่าการแงะเศษกระดูกออกจากปากสุนัขมากนัก
ชอบอ่านประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทำไมจงใจอ่านข้ามตอนนี้ไปเสียล่ะครับ?
พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ผู้นำสายทหารในการเปลี่ยนแปลง
การปกครอง พ.ศ. 2475 ถึงกับต้องทำรัฐประหารซ้ำสองในปีรุ่งขึ้นเพื่อปราบปราม
“ซากเดนศักดินา” ที่ผ่านร่างทรงเก่าๆ ของผีร้ายตัวเดิมเข้ามาทวงอำนาจคืน เช่น
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) ผู้ได้รับเชิญเป็นประธานกรรมการราษฎร
หรือนายกรัฐมนตรีคนแรกหลังการปฏิวัติ เป็นต้น
แล้วคนรักพระยาพหลฯ ในบ้านเมืองนี้
ทำไมถึงได้ยืนด่าซากเดนศักดินา โดยไม่ยอมบอกมวลชนที่รักและเชื่อถือตัวเองว่า
ซากเดนเหล่านั้นกระเด็นออกมาจากตรงไหน ?
หรือวันนี้เพลิดเพลินกับอำนาจใหม่ และการฟื้นคืนชีพทางการเมือง
จนฝันจะเป็นพระยามโนฯ ขึ้นมาเอง โดยลืมเกียรติยศของเจ้าคุณพหลฯ เสียแล้ว ?
เป็นอย่างนั้นไปแล้วหรือครับพระคุณท่าน ?
การถวายฎีกาในครั้งนี้ไม่ต่างอะไรจากกระบวนการขั้นตอนที่เคยมีมา
ไม่อาจลบประวัติศาสตร์ 14 ตุลาคมที่คนเดือนพฤษภาบางคนที่มีปมด้อยพยายามจะลบ
และอย่าเอาไปฝันเองว่าเป็นวีรกรรมใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าวีรกรรมทั้งหลาย
นี่คือการใช้ช่องทางการสื่อสารที่มีอยู่ เพื่อให้แน่ใจว่ายังอยู่กันได้เท่านั้นเองครับ
ใครจะหวังได้ดีอย่างไรจากงานนี้
โปรดอย่าลืมว่าประชาชนของเราเดือดร้อนกันมามากกว่าสี่ปีแล้ว
อย่าไปเล่นสนุกกับความฝันและความหวังของท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นอันขาด
บาปหนักและขบวนการประชาธิปไตยจะถูกทำลายเกลี้ยง
หยุดพูดเถอะครับว่า พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะกลับบ้านในเร็ววันนี้
เหตุการณ์บ้านเมืองจะพลิกไปอย่างไรก็ตามหลังฎีกา คนไทยที่รู้การเมืองไทยจะไม่ยอม
ให้คุณทักษิณกลับมาเป็นเป้าปืนของเขาเป็นอันขาด
ระเบิดเครื่องบินการบินไทย วางแผนลอบสังหาร 8 ครั้ง รวมทั้งกะฆ่าหมู่คนไทยที่บางพลัด
เมื่อรถของคุณทักษิณแล่นผ่าน .. ไม่พออีกหรือครับ ที่จะเรียนรู้ว่าฝ่ายนี้เขาเจตนาฆ่าคุณทักษิณ
โดยไม่มีความคิดที่จะเจรจาใดๆ ด้วยเลย
อยากให้คุณทักษิณกลับมาตายเมืองไทย หรือเตรียมเป็นนายกรัฐมนตรีในยามปลอดภัยและ
ช่วยชาติได้เต็มที่ เป็นทางเลือกที่คนไทยหลายคน และตัวผมเองไม่ยอมเลือกเป็นอันขาด
คนที่เรียกร้องให้คุณทักษิณกลับบ้านโดยอะไรต่างๆ มันไม่ได้ดีขึ้นเลยนั้น
เหมือนคนที่อยากเห็นคุณทักษิณกลับไปตายเหมือนวุฒิสมาชิกเบนิญโญ อาคิโนของฟิลิปปินส์
คุณทักษิณท่านไม่กลัวตายหรอกครับ
ผู้นำคนนี้กล้า ผมได้เห็นมาหลายครั้งแล้ว
แต่เราต่างหากที่เป็นฝ่ายกลัวคุณทักษิณจะเป็นอะไรไป
เพราะเรารู้ว่าบ้านเมืองจะสูญเสียอะไร
from : หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ “แนวร่วม Red” ปีที่ 1 ฉบับที่ 7
date : August 25, 2009 -- 25 สิงหาคม 2552
หมู่นี้พูดกันบ่อยจริงเรื่องคุณทักษิณจะกลับบ้าน
อยากให้พี่น้องตื่นเต้นเร่งลงชื่อในฎีกา ก็บอกว่าเพื่อให้คุณทักษิณได้กลับบ้าน
จะเอาฎีกาไปยื่นที่สำนักพระราชวัง ก็เรียกคนมาชุมนุมกันที่สนามหลวงและบอก
เป็นนัยๆ ว่าเพื่อคุณทักษิณจะได้กลับบ้าน หรือกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเสียด้วยซ้ำ
แค่ชาวเสื้อแดงมากันให้มากเข้าไว้เป็นได้การ พูดย้ำซ้ำทวนกันจนชาวประชาธิปไตย
ที่นิยมคุณทักษิณค่อนประเทศเชื่อเอาจริงๆ ว่ากระบวนการขั้นตอนในการเอาชนะ
พวกปล้นประชาธิปไตย จะง่าย สั้น จบ อย่างสวยงามอย่างที่พูดกัน
ผมก็คนหนึ่งล่ะครับที่อยากเห็น พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน
อยากเห็นท่านเข้ามากอบกู้บ้านเมืองที่ถูกอำมาตย์มันปล้นทำลายไป แต่ผมก็อดสงสัย
ไม่ได้ว่า คนที่พร่ำพูดเช่นนั้นเอาเหตุผลอะไรมาอธิบายว่าความหวังของเราจะเป็นจริง
การให้กำลังใจกันนั้นก็เป็นเรื่องดีและควรทำครับ
แต่อย่าเตลิดไปจนสร้าง “ความฝัน” ขึ้นมาแทน “ความหวัง” จนกลายเป็นฝันสลายไป
ดร.ทักษิณฯ นำพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด ๒ ครั้ง
เป็นปรากฏการณ์แรกนับแต่ฝ่ายประชาธิปไตยโค่นเผด็จการแบบเก่าได้สำเร็จในปี
พ.ศ. 2475 และนำพรรคพลังประชาชนจนได้รับชัยชนะอีกครั้งในระหว่างที่บ้านเมือง
อยู่ในเงา รัฐประหารและรัฐบาลอำมาตย์ ในปี พ.ศ. 2550
สร้างฐานสมาชิกพรรคไทยรักไทยเป็นประวัติการณ์เกือบ 20 ล้านคน จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ราว 40 ล้านทั่วประเทศ และได้รับคะแนนนิยมสูงกว่านายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งทุกคน
วัดผลทีไรก็ไม่มีใครเถียงว่ามีผลงานจับใจประชาชนมากที่สุด จนทำให้ประชาธิปไตยที่
คุณทักษิณดูแลกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและกินได้
แต่แล้ว...
เขาก็หักดิบเอาตรงๆ เมื่อวันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
ในนาม คปค. / คมช. โดยไม่เกรงใจประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว
ถามจริงๆ เถิดครับ เสียงในฎีกา 6 ล้าน ซึ่งเป็นเสียงสวรรค์โดยแท้ไม่มีใครเถียงได้
จะไปคัดง้างอะไรกับคนชนิดนี้ ? -- ได้เคยคิดกันบ้างไหมครับ
เห็นขึ้นมารุมด่าพลเอกเปรม พลเอกพิจิตร นายอภิสิทธิ์ นายบวรศักดิ์ ฯลฯ เป็นหมูเป็นหมา
สนุกเสียไม่มี สะใจเป็นบ้า ในที่สุดก็บอกกับพี่น้องประชาชนว่า ด่าไอ้พวกเลวชาติแบบ
ไม่ต้องให้มันได้ผุดได้เกิดกันเลย เพื่อเราจะได้เกิดใหม่ทางการเมือง .. คนดูโห่ร้องกึกก้อง
เพราะนึกว่าเราจะได้รับชัยชนะแน่นอนแล้ว
ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ครับว่า
ระบอบอำมาตยาธิปไตยหมายถึงใครและอะไรบ้าง
เล่าเรียนกันมาทางไสยศาสตร์ขนาดไหน
ถึงประกาศกลางเมืองว่าจะแยกผีออกจากสางมิน่าเล่า...
ถึงได้ถูกหลอกจนหัวโกร๋นแล้วโกร๋นอีก
บางคนเคยถูกเขาหลอกมาครั้งหนึ่งตอนอายุสี่สิบเศษๆ
ดันยอมถูกหลอกอีกครั้งในวัยหลังหกสิบ แล้วมาลากเอาคนเป็นล้านๆ เข้าไปในป่าช้า
เพื่อจะถูกหลอกด้วย .. -- .. เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใย ?
บอกด้วยความรักและหวังดีต่อกันว่า การหาความเป็นธรรมจากคนหน้าด้าน
ที่ชำนาญเกมรักษาอำนาจ ยากกว่าการแงะเศษกระดูกออกจากปากสุนัขมากนัก
ชอบอ่านประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทำไมจงใจอ่านข้ามตอนนี้ไปเสียล่ะครับ?
พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ผู้นำสายทหารในการเปลี่ยนแปลง
การปกครอง พ.ศ. 2475 ถึงกับต้องทำรัฐประหารซ้ำสองในปีรุ่งขึ้นเพื่อปราบปราม
“ซากเดนศักดินา” ที่ผ่านร่างทรงเก่าๆ ของผีร้ายตัวเดิมเข้ามาทวงอำนาจคืน เช่น
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) ผู้ได้รับเชิญเป็นประธานกรรมการราษฎร
หรือนายกรัฐมนตรีคนแรกหลังการปฏิวัติ เป็นต้น
แล้วคนรักพระยาพหลฯ ในบ้านเมืองนี้
ทำไมถึงได้ยืนด่าซากเดนศักดินา โดยไม่ยอมบอกมวลชนที่รักและเชื่อถือตัวเองว่า
ซากเดนเหล่านั้นกระเด็นออกมาจากตรงไหน ?
หรือวันนี้เพลิดเพลินกับอำนาจใหม่ และการฟื้นคืนชีพทางการเมือง
จนฝันจะเป็นพระยามโนฯ ขึ้นมาเอง โดยลืมเกียรติยศของเจ้าคุณพหลฯ เสียแล้ว ?
เป็นอย่างนั้นไปแล้วหรือครับพระคุณท่าน ?
การถวายฎีกาในครั้งนี้ไม่ต่างอะไรจากกระบวนการขั้นตอนที่เคยมีมา
ไม่อาจลบประวัติศาสตร์ 14 ตุลาคมที่คนเดือนพฤษภาบางคนที่มีปมด้อยพยายามจะลบ
และอย่าเอาไปฝันเองว่าเป็นวีรกรรมใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าวีรกรรมทั้งหลาย
นี่คือการใช้ช่องทางการสื่อสารที่มีอยู่ เพื่อให้แน่ใจว่ายังอยู่กันได้เท่านั้นเองครับ
ใครจะหวังได้ดีอย่างไรจากงานนี้
โปรดอย่าลืมว่าประชาชนของเราเดือดร้อนกันมามากกว่าสี่ปีแล้ว
อย่าไปเล่นสนุกกับความฝันและความหวังของท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นอันขาด
บาปหนักและขบวนการประชาธิปไตยจะถูกทำลายเกลี้ยง
หยุดพูดเถอะครับว่า พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะกลับบ้านในเร็ววันนี้
เหตุการณ์บ้านเมืองจะพลิกไปอย่างไรก็ตามหลังฎีกา คนไทยที่รู้การเมืองไทยจะไม่ยอม
ให้คุณทักษิณกลับมาเป็นเป้าปืนของเขาเป็นอันขาด
ระเบิดเครื่องบินการบินไทย วางแผนลอบสังหาร 8 ครั้ง รวมทั้งกะฆ่าหมู่คนไทยที่บางพลัด
เมื่อรถของคุณทักษิณแล่นผ่าน .. ไม่พออีกหรือครับ ที่จะเรียนรู้ว่าฝ่ายนี้เขาเจตนาฆ่าคุณทักษิณ
โดยไม่มีความคิดที่จะเจรจาใดๆ ด้วยเลย
อยากให้คุณทักษิณกลับมาตายเมืองไทย หรือเตรียมเป็นนายกรัฐมนตรีในยามปลอดภัยและ
ช่วยชาติได้เต็มที่ เป็นทางเลือกที่คนไทยหลายคน และตัวผมเองไม่ยอมเลือกเป็นอันขาด
คนที่เรียกร้องให้คุณทักษิณกลับบ้านโดยอะไรต่างๆ มันไม่ได้ดีขึ้นเลยนั้น
เหมือนคนที่อยากเห็นคุณทักษิณกลับไปตายเหมือนวุฒิสมาชิกเบนิญโญ อาคิโนของฟิลิปปินส์
คุณทักษิณท่านไม่กลัวตายหรอกครับ
ผู้นำคนนี้กล้า ผมได้เห็นมาหลายครั้งแล้ว
แต่เราต่างหากที่เป็นฝ่ายกลัวคุณทักษิณจะเป็นอะไรไป
เพราะเรารู้ว่าบ้านเมืองจะสูญเสียอะไร
หากรัฐประหาร
article : จักรภพ เพ็ญแข
from : คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 12
date : August 22, 2009 -- 22 สิงหาคม 2552
แทบจะไม่มีใครนึกฝันว่า กระบวนการลงชื่อถวายฎีกากรณีคุณทักษิณ
ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เบาบางที่สุดแล้วในเส้นทางอันยาวไกล จะทำให้ระบอบอำมาตยาธิปไตย
เกิด “วินาศกาเล วิปริตพุทธิ” ขึ้นมาอย่างกะทันหันอย่างนี้
เห็นปัญญาแปรปรวนวิปลาสไป ทำให้ฉุกคิดว่าถึงคราววินาศเสียแล้วล่ะกระมัง
อำมาตย์ไม่รู้หรอกหรือว่า ชาวประชาธิปไตยที่เอาจริงเอาจังเขาไม่ได้เห็นด้วยกับฎีกาทุกคน
แต่เงียบสงบกันอยู่ตลอดมานี้ก็เพราะเห็นว่าสังคมไทยต้องเดินไปตามวงเวียนกรรมของ
ตนเองเสียก่อนที่จะเกิดความเข้าใจทะลุปรุโปร่งว่าทุกข์ทางการเมืองในขณะนี้เกิดจากอะไร
ผิดหวังอีกสักรอบหนึ่งอาจจะเป็นการศึกษาที่ดี
ว่าการต่อสู้ตามสิทธิ์ของความเป็นมนุษย์ กับการลดความเป็นมนุษย์ของตนเองลงเพื่อให้ได้มา
ในสิ่งที่เราต้องการนั้น มีความแตกต่างกันนักหนา .. การต่อสู้ย่อมเหนื่อยยาก ยาวนาน แต่ยั่งยืน
การขอร้องนั้นเร็วทันใจและดูเหมือนได้ผล แต่เขาจะเอากลับคืนไปอีกเมื่อไหร่ก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นข้อใดก็ตามในระบอบประชาธิปไตย ได้แก่ อำนาจสูงสุดที่เป็นของปวงชน
เสรีภาพส่วนบุคคล สังคมเสมอภาค หลักกฎหมาย และผู้ใช้อำนาจรัฐที่มาจากการเลือกตั้ง
แต่สังคมของเรามีคนมากมายและหลากหลาย กว่าจะเกิดแนวคิดที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
อย่างที่เรียกว่าฉันทามตินั้น บางครั้งต้องยอมให้เจ็บตัวบ้าง เหมือนเด็กเล็กที่ต้องหกล้ม
สักครั้งสองครั้งก่อนจะเรียนรู้ว่าพื้นคอนกรีตนั้นมันแข็งและไม่ควรปล่อยตัวให้หกล้ม
พลังประชาธิปไตยที่รอคอยอย่างเงียบสงบในกระบวนการถวายฎีกา รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นการ
ศึกษาของสังคม โอกาสที่จะได้มาซึ่งทางออกอย่างยั่งยืนและระบอบประชาธิปไตยแท้จริง
ด้วยวิธีการอย่างนี้แทบจะไม่เห็นทาง แต่ก็ต้องให้สาธุชนทั้งหลายรู้เองด้วยประสบการณ์ส่วนตัว
บอกล่วงหน้าไม่ได้
คนกำลังหลงใหลอะไร อย่าไปขัดคอขัดใจให้เกิดโกรธเคืองกันเลยครับ
ความหลงถูกทำลายได้ไม่ยากด้วยความจริง เราไม่ควรห่วงใยจนเกินเหตุนัก
ความจริงที่ว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่เป็นที่พึ่งที่หวังได้เลยสำหรับฝ่ายประชาธิปไตย
เพราะใช้เวลาตลอดชีวิตในการบดขยี้ทำลายล้างให้เป็นภัสมธุลี ด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต
เหลือที่จะกล่าวนั้น เป็นความจริงที่เจ็บปวด ฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อขาวอีกเป็นจำนวนมากยัง
ปลงใจเชื่อไม่ได้ และยังฝันว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยเป็นคำตอบที่จะทำให้ระบอบ
ประชาธิปไตยสถิตสถาพรได้
สมการง่ายๆ ว่าฝ่ายอำมาตย์คือผู้ทำลายประชาธิปไตย และประชาธิปไตยจะเกิดและอยู่ถาวร
ได้ในประเทศนี้ต่อเมื่อฝ่ายอำมาตย์ต้องพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด ยังไม่ใช่สมการที่ผู้คนส่วนใหญ่
หรือจำนวนมากพอเข้าใจและยอมรับ
เราจึงต้องใจเย็น
ผมถูกป้ายสีมาตั้งแต่ออกจากเมืองไทยว่า เป็นคนประเภทใช้กำลัง เพราะไปเอ่ยถึงเรื่องการจัดตั้ง
กองกำลังเพื่อเตรียมสู้รบกับฝ่ายอำมาตย์ในการให้สัมภาษณ์ ทั้งๆ ที่พูดสื่อความหมายในทาง
ตรงข้ามว่า ฝ่ายอำมาตย์ไม่ควรบีบบังคับฝ่ายประชาชนให้ถึงขั้นคิดใช้และจัดตั้งกองกำลังเลย
พูดเตือนสติกับสุนัขบ้าที่กำลังน้ำลายฟูมปาก มันก็กัดเข้าให้
ขณะนี้ได้นำบทเรียนนี้มาขบคิดใคร่ครวญและฉีดวัคซีนรอบสะดือไว้แล้วเรียบร้อยโรงเรียนไทย
แล้วครับ อย่าได้เป็นห่วง เชื่อเถิดว่า ความวุ่นวายในหมู่อำมาตย์จนชีวิตกลายเป็นจลาจลในขณะนี้
จะเป็นคุณอย่างมากต่อการยอมรับความจริงที่หลีกเลี่ยงมิได้ของฝ่ายประชาธิปไตย
ไม่เกินจริงเลยที่จะบอกว่าถวายฎีกาแล้วจะเกิดปฏิกิริยาอย่างหนักหน่วงจากฝ่ายอำมาตย์
ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 จำพวก
หนึ่ง-อำมาตย์ใหญ่และคนวงใน จะทำท่าเงียบเฉยจนดูเหมือนให้ความร่วมมือ
แต่รอเวลาที่จะตลบหลังเปลี่ยนฉากทำให้คนเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยกลายเป็นผู้ร้ายไป
สอง-อำมาตย์ระดับกลางและระดับปฏิบัติการจะวิ่งวุ่น แสดงออกโต้งๆ เลยว่าไม่สามารถ
อดทนต่อกระบวนการถวายฎีกาของคนเสื้อแดงได้ เพราะรู้ดีว่ากำลังเสี่ยงภัยมหาศาล
ถ้าอำมาตย์ใหญ่เกิดรับลูกฝ่ายประชาธิปไตยขึ้นมา จะจริงใจหรือไม่ก็ช่างเถิด ตัวเองอาจถูกจับ
บูชายัญแทนเจ้านายผู้เป็นอำมาตย์ใหญ่ที่หาทางลงไม่ได้ หรือถ้าอำมาตย์ใหญ่วางแผนตลบหลัง
คนเสื้อแดงเสียเอง ก็จะได้หน้าว่าออกมาช่วยอำมาตย์ใหญ่ตั้งแต่ต้น
เราจึงเห็นหน้าของคุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ คุณอานันท์ ปันยารชุน
คุณสุรพล นิติไกรพจน์ ฯลฯ ในบัดนี้ เพราะเป็นฤดูกาลหาเสียงของฝ่ายอำมาตย์เขา
ไม่มีทางเลยที่วิกฤติการเมืองครั้งนี้จะจบลงด้วยความยอมรับนับถือในทัศนะของประชาชน
เพราะหากมี DNA ประชาธิปไตยอยู่ในตัวบ้าง คงไม่จุดไฟเผาเมืองตัวเองจนเป็นจุลมหาจุล
อย่างนี้มาแต่ต้น
การปะทะระหว่างกลุ่มมวลชนเป็นไปได้ ตั้งแต่ปะทะใหญ่โตเป็น 14 ตุลาคม 2516
จนถึงปะทะน้อยๆ แต่สร้างภาพให้น่าสะพรึงกลัวในโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ และเว็ปของ
ฝ่ายอำมาตย์ จนประชาชนทั่วไปรู้สึกว่าสถานการณ์ไร้การควบคุม และยอมให้จัดตั้งรัฐบาลพิเศษ
ขึ้นมาปกครองในรูปแบบที่ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ เมื่อ พ.ศ.2516
คนเสื้อแดงถูกทำลายภาพลักษณ์จนกลายเป็นผู้ร้าย คิดโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์
ด้วยฎีกาที่ยกขบวนกันไปยื่น ทำลายชื่อเสียงกลางเมืองกันอย่างนั้นก็เป็นไปได้
และจนถึงใช้วิธีรัฐประหาร ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
เพราะกองทัพเป็นเครื่องมือชิ้นเดียวที่ยังไม่ออกมาแสดงท่าทีในเรื่องฎีกา
อาจจะรอทำผลงานทีเดียวหลังจากที่กลไกอื่นๆ ทำลายภาพลักษณ์ของฝ่ายประชาธิปไตย
จนย่อยยับแล้ว เหมือนใช้วิทยุยานเกราะ หนังสือพิมพ์อย่างดาวสยามและบางกอกโพสต์
ก่อนเหตุการณ์โหดเหี้ยม 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 จนนักศึกษาในที่ชุมนุมกลายเป็นญวนเป็นแกว
และคิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเมืองไทยด้วยกำลังอาวุธ
ละครแบบนี้เล่นมาหลายรอบแล้ว และเขาก็เชื่อมั่นว่ายังได้ผล
เมื่อเขายังเชื่อมั่นอย่างนั้น เราก็ต้องระมัดระวัง
บทความที่เขียนอยู่นี้ยังไม่รู้ว่าจะได้ลงพิมพ์ทันเวลาหรือไม่
แต่บอกไว้ตรงนี้ว่าอะไรที่พลาดมาจาก 19 กันยายน พ.ศ. 2549
เราจะนำมาเป็นบทเรียนและทำเสียให้แตกต่างในครั้งนี้
เลิกเอาไข่ใส่ในตะกร้าเดียวกันเหมือนที่มั่นใจว่ามีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรเหลือเฟือ
และลืมสร้างกลไกอื่นๆ นอกสภาเอาไว้สู้ .. กลับมาสนับสนุนขบวนการและกลุ่มประชาธิปไตย
เสื้อแดงและเสื้อขาวที่กระจายกำลังกันอยู่แล้วทั่วประเทศและทั่วโลกอย่างเต็มที่ เพราะเขาคือ
พระเอกนางเอกตัวจริง
คนที่เป็น ส.ส. และคนที่อยากเป็น ก็เข้าช่วยเขาในเขตนั้นๆ ด้วยกำลังปัญญา กำลังทรัพย์
และกำลังใจ โดยใช้ความสามารถในการสร้างและพัฒนาเครือข่ายเข้าไปสมทบ
อารยะขัดขืน เอามาใช้ให้เต็มที่ และรัฐบาลพลัดถิ่น ต้องตั้งขึ้นมาสวนควันปืนทันที
เรื่องอื่นๆ ขอเก็บไว้หน่อย ปล่อยให้ (อำมาตย์) งง.
Wednesday, August 5, 2009
การล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา
article : SIAM Freedom Fight
ในฐานะนักเรียนไทย เราถูกสอนแบบกว้างๆว่า..พม่าข้าศึกยกทัพมาเผาเมือง
คนไทยไม่สามัคคีกัน จึงพ่ายแพ้หมดรูป ..ก็เท่านั้น
แต่ในฐานะประชาชนไทย.. เกิดคําถามตามมาอีกว่า
แล้วอะไรทําให้คนไทยยุคนั้น"ต้องไม่สามัคคีกัน" ??
ประเด็นนี้ขออ้างอิงงานเขียนของอาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์
ซึ่งบุคคลผู้นี้ได้ศึกษาประวัติศาสตร์มาเป็นเวลานาน มีงานเขียนสําคัญตีพิมพ์มากมาย
หลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวการเมืองในสมัยพระนารายณ์มหาราช การเมืองในสมัย
พระเจ้ากรุงธนบุรี และอื่นๆอีกมาก ล้วนแต่เชื่อมโยงเป็นประเด็นเดียวกันทั้งสิ้น สามารถหา
ซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป เพื่อวิเคราะห์ด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตาม มีหลายเรื่องหลายประเด็นน่าสนใจ เมื่อเทียบเคียงกับสถานการณ์
บ้านเมืองปัจจุบัน นับแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงวิกฤติเศรษฐกิจและ
โรคระบาด ไปจนถึงศึกสงครามคุกรุ่นตามแนวชายแดนในปี 2552
คือกรุงศรีอยุธยาของเรามีการปรับปรุงระบบราชการมาหลายครั้งหลายหน ตามสถานการณ์
ในแต่ละยุคสมัย แต่ปัญหาหลักปัญหาใหญ่เรื้อรังมาแต่ต้นอาณาจักรคือ"อํานาจของหัวเมือง"
รัฐบาลกลางยามอ่อนแอมีปัญหา จะปราศจากอํานาจควบคุมหัวเมืองสําคัญไว้ได้ จึงจําต้องมี
ระบบรวมศูนย์อํานาจไว้ที่เมืองหลวง และต้องเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ได้ต่อเนื่อง ไม่ว่าใครจะ
ขึ้นมาเป็นพระมหากษัตริย์ ระบบที่ว่านี้เริ่มลงตัวในสมัยของพระเอกาทศรถ ซึ่งสืบเนื่องมาจาก
การวางระบบในสมัยพระนเรศวรมหาราช
ล่วงเลยถึงราชวงศ์บ้านพลูหลวง ระบบปฏิบัติการนี้เริ่มส่งผลข้างเคียง และบังเอิญว่าไม่มีการ
ยกเครื่องให้เข้ากับสถานการณ์โลก(ในยุคนั้น) ความเข้มแข็งของ"ศูนย์กลาง" คืออยุธยา
ตามระบบเดิมนั้น กลับสร้างความอ่อนแอให้กับหัวเมืองอย่างที่สุด และผลข้างเคียง
ในระยะยาว คือความไม่ใยดีของประชาชน
เมื่อส่วนกลางเริ่มเกิดอาการอ่อนแอ หัวเมืองที่อ่อนแออยู่แล้วก็ยิ่งแย่ลงไปอีก
แม้แง่ดีคือไม่ฉวยโอกาสแข็งข้อกับส่วนกลาง เพราะไม่อยู่ในสภาพจะแข็งข้อได้
แต่ก็มิได้เป็นประโยชน์อันใดต่ออาณาจักร..
ระบบนี้แก้ปัญหาเรื่องหัวเมืองเกเร แต่ตลอดเวลาไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องรัฐประหารในเมืองหลวง
การรัฐประหารในเมืองหลวงจะใช้กําลังทหารไม่มาก เป็นการยึดอํานาจกันภายใน ด้วยกําลังเพียง
หยิบมือ (ยกเว้นการยึดอํานาจของพระเพทราชาที่แตกต่างออกไป) คือในสมัยอยุธยา
ไม่มีกองทหารประจําการมืออาชีพจริงๆ เป็นลักษณะของกองทัพประชาชน หรือทัพไพร่ ..
ผู้คนในแผ่นดิน หรือในเขตอิทธิพลของรัฐ จะต้องมีการสังกัดไพร่
จะเป็นไพร่หลวง (ไพร่ของส่วนกลาง) หรือไพร่สม (ไพร่ของขุนนาง)
ผู้คนส่วนมากนิยมเป็นไพร่สม เพราะไพร่หลวงนั้นงานหนักและไม่มีเจ้านายคอยคุ้มกะลาหัว
ไพร่สมอยู่กับขุนนาง งานหนักบ้างเบาบ้างก็ยังมีเจ้านายคอยดูแลจริงๆ อีกทางเลือกหนึ่งคือ
ไปเป็น"ทาส" บางคนชอบเป็นทาสมากกว่าเพราะสบาย ทาสอยู่ติดเจ้านายตลอดชีวิต
เป็นทาสกันจนถึงลูกหลาน ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานนอกระบบ เพราะทาสคือ
ทรัพย์สินของนาย แต่ไพร่ยังมีฐานะเป็นผู้คนทั่วไป ชีวิตเหลือจากการถูกเกณฑ์แรงงาน ก็ต้อง
ดิ้นรนต่อสู้เอาเอง
คราวนี้ ขุนนางมีศักดินา..ก็มีไพร่ในสังกัดกันทั้งนั้น เรียกว่ามีตําแหน่งก็จะได้มีไพร่พลเข้ามา
ด้วย เป็นกองทัพน้อยๆของตนเอง ..เวลายึดอํานาจ-รัฐประหารก็จะซ่องสุมไพร่พลของตน
มาเป็นกําลัง ปัญหาคือไพร่ไม่ใช่ทหารประจําการ ใช้งานที่ต้องเรียกเกณฑ์ ระดมพลกว่าจะได้
พร้อมหน้าพร้อมตาก็ฟาดเข้าไปสองสามเดือน จากจุดอ่อนของระบบตรงนี้ พระมหากษัตริย์
แต่ละพระองค์จึงต้องมีกองทหารรับจ้าง ส่วนมากเป็นคนต่างชาติ เป็นฝรั่ง ญี่ปุ่น แขก จีน..
ตามแต่รสนิยมของแต่ละพระองค์ กองทหารรับจ้างประจําการอยู่ทุกวัน ไม่อยู่ในระบบไพร่
ใครจ่ายเงินให้คนนั้นก็เป็นนายจ้าง(ชั่วคราว) จึงปลอดภัยที่จะใช้งานมากกว่าคนไทยด้วยกัน
(ซึ่งไม่มีทางรู้ว่าใครแอบปันใจไปให้ขุนนางคนไหนบ้าง)
ขณะที่หัวเมืองอ่อนแอลงไปเรื่อยๆตามกาลเวลา ระบบส่วนกลางก็เริ่มเสื่อมสลายตามไปด้วย
จนท้ายที่สุด ปลายราชวงศ์บ้านพลูหลวง เกิดปัจจัยภายนอก..เข้ามาสะกิดระบบที่เสื่อมสลาย
ให้กลายเป็น"การล่มสลายที่สมบูรณ์" นั่นคือมหาอํานาจจากทิศตะวันตก..คือ พม่า
พม่าเพิ่งฟื้นฟูอาณาจักรขึ้นมาใหม่ และตัดสินใจทําลาย"ปัจจัย"ที่มีส่วนสนับสนุนให้พม่าต้อง
ล่มสลายไปเมื่อครั้งก่อน ปัจจัยที่ทําให้พม่าต้องรบพุ่งกับมอญ ไทยใหญ่อยู่นานนับศตวรรษ..
ปัจจัยหลักที่ว่าคือ..กรุงศรีอยุธยา ว่าแล้วจึงพากันยกพวกมาเผาเมืองอยุธยาให้สูญสิ้นไปเสีย
หากในภาวะปกติ คงรบกันยืดเยื้อยาวนาน จนพม่าอาจอ่อนแรงจนต้องถอยทัพกลับไปเอง
เพราะการเมืองระหว่างประเทศของไทยยุคนั้นมีความเชี่ยวชาญในการยุยงให้เพื่อนบ้านตีกัน
เอง จนไม่มีเรียวแรงมายุ่งกับเรา ..แต่ในสภาพเสื่อมสลายของระบบภายใน จึงไม่มีการออก
อาวุธลับทางการเมือง ..ในสภาพหัวเมืองอ่อนแอ ทัพพม่าสามารถตีไล่มาเรื่อย รวดเร็ว
จนถึงกําแพงถึงกําแพงกรุงศรีฯ ..ตรงนี้แหละที่เป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงความเสื่อมของระบบ
ไม่ใช่ว่าหัวเมืองไม่สู้ แต่ไม่มีอะไรจะเอาไปสู้กับข้าศึก ด้วยกําลังน้อยนิด จึงคิดปกป้องเมือง
ของตนเอง มากกว่าที่จะละทิ้งพื้นที่..เพื่อมาปกป้องอยุธยา ทางเลือกของเจ้าเมืองต่างๆมีไม่
มากนัก คือยอมแพ้พม่า..แล้วไปเป็นพวกเดียวกับมัน หรือรักษากําลังไพร่พลตนเองไว้ แล้ว
วางตัวเป็นกลาง..ตั้งตนเป็นรัฐอิสระไปเลย (เป็นที่มาของชุมนุมต่างๆ) หรือท้ายสุดสําหรับ
ขุนนางที่ไม่มีกําลังไพร่พลมากนัก ถึงไปเข้ากับพม่าก็ไม่มีทางรุ่งเรือง (เพราะไม่มีกําลังพล
มากเพียงพอที่จะทําผลงานอะไรได้) จะรักษาเมืองตัวเองไว้ก็ยาก เพราะยังไงก็แพ้แน่ๆ
ทางเลือกของกลุ่มสุดท้ายนี้คือต้องลงมาช่วยอยุธยารบกับพม่า แล้วค่อยคิดอ่านกันต่อไป..
เป็นการรักษากําลังพลที่ดีที่สุดของกลุ่มสุดท้าย ..
การตัดสินใจเหล่านี้สําหรับคนในอดีต ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
เพราะยุคนั้นไม่มีคําว่า"ชาติ"
คําว่า"ชาติ"เป็นแนวคิดใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19ในโลกตะวันตก
ในยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรม(และทุนนิยม) คนไทยเพิ่งรู้จักคําว่าชาติก็หลังจากที่
ฝรั่งคิดขึ้นมาได้ไม่นาน คือช่วงรัชกาลที่ 5 ที่ 6 เรานี่เอง ดังนั้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย
เป็นเรื่องของอาณาจักร เรื่องของความผูกพันกับส่วนกลาง ..เมื่อความผูกพันทางการเมือง
ทางการทูต ทางอํานาจและเศรษฐกิจไม่มีเหลือ ..ก็ทางใครทางมัน
ปรากฏการณ์บ่งชี้ความเสื่อมสลายของระบบอีกหนึ่งคือ การต่อสู้ของชาวบางระจัน
ชาวบ้านชุมนุมบางระจัน..คือผู้คนอิสระที่รวบรวมกันต่อสู้กับพม่า
เพื่อรักษาถิ่นฐานของตน และต่อสู้อย่างกล้าหาญจนเป็นตํานานเล่าขาน ..
คําถามทางประวัติศาสตร์คือ พวกเขามาจากที่ไหนกันบ้าง ..
ก็มาจากพื้นที่ใกล้เคียงในภาคกลางปัจจุบันนี้เอง คําถามต่อไปคือพื้นที่เหล่านั้น
อยู่ห่างกรุงศรีอยุธยาเพียงนิดเดียว แล้ว"คนอิสระ"เหล่านี้ ..เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ??
นอกเสียจากเป็นผู้คนที่ไม่ยอมเข้าระบบไพร่มาตั้งแต่ต้น
เพราะถ้ามีสังกัด..ก็ต้องมีนาย แล้วถ้ามีเจ้านาย พวกเขาก็ต้องอยู่กับเจ้านายต้นสังกัด
ผู้คนที่ป้วนเปี้ยนไม่ไกลจากกรุงศรีฯ ไม่มีสังกัด แล้วยังรวมกันจนรบชนะพม่าหลายครั้ง !!..
นี่เท่ากับว่าระบบเกณฑ์ไพร่ของอยุธยาตอนปลายคงจะล่มสลายไปได้พักใหญ่ๆแล้ว
ก่อนที่พม่าจะเข้ามาด้วยซํ้า ระบบไพร่ซึ่งเป็นหัวใจสําคัญของระบบกลไกทั้งมวลในอาณาจักร
แล้วทําไมขุนนางหรือส่วนกลางไม่สามารถจัดการกับ"คนอิสระ" ที่ไม่มีสังกัดเหล่านี้ได้
ทั้งที่มีโทษถึงตายทีเดียว ..
ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า-- รัฐไม่มีอํานาจพอที่จะไปบังคับใครได้..พักใหญ่ๆแล้วด้วย
พูดง่ายๆคือคนไม่เชื่อ ไม่ฟัง ไม่กลัว ไม่ใยดีกับส่วนกลาง
ระบบใดนั้น..ย่อมอยู่ด้วยความเชื่อถือศรัทธาและความรัก
ไม่มีความรู้สึกเหล่านี้หลงเหลือ ระบบนั้นย่อมล่มสลายไปเอง
พระยาตาก..หรือพระเจ้าตากสินมหาราช
วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของประชาชนไทย ยกกองทัพทหารจีนไม่กี่ร้อยคน มาตั้งค่าย
ป้องกันกรุงศรีฯอยู่นอกกําแพงเมือง อยู่ได้ไม่นาน ท่านก็ตัดสินใจทิ้งกรุงศรีอยุธยา พาไพร่พล
ไปทางตะวันออก ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์..
แม้ตอนนั้นอยุธยายังไม่แตก แต่ก็ไม่มีอนาคตหลงเหลืออีกแล้ว เรียกว่าระบบล่มสลายอย่าง
สมบูรณ์ ทุกคนจึงมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะรักษาชีวิตประชาชนของตนเอง ขณะเดียวกันทาง
ฝั่งตะวันออก ชลบุรี ศรีราชาแถบๆนั้น เขาก็แยกตัวเป็นรัฐอิสระกันไปนานแล้วเช่นกัน เมื่อ
พระเจ้าตากยกทัพไปถึง..จึงต้องเจรจากับผู้นําท้องถิ่น เพื่อไม่ต้องฆ่ากันให้ตาย
ทั้งหมดนี้ ไม่เกี่ยวกับคนไทยไม่สามัคคี ไม่ใช่ว่าคนไทยไม่กล้าหาญ
เพราะคนที่เขาทิ้งกรุงศรีอยุธยาและราชวงศ์บ้านพลูหลวงอย่างปราศจากเยื่อใย
คนเหล่านั้นกลับยอมสู้ตายถวายชีวิต..เพื่อพระเจ้าตากสิน
พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆก็คือ ผู้คนเขาเกลียดคนหนึ่งแต่รักอีกคนหนึ่ง
พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆก็คือ ผู้คนเขาไร้เยื่อใยไร้ศรัทธากับคนหนึ่ง แต่มีหัวใจให้อีกคนหนึ่ง
คนหนึ่ง..คือผู้ครองอาณาจักรแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง อีกคนแค่ข้าราชการธรรมดา เป็นแค่
พ่อค้ากองเกวียนเชื้อสายจีน ..คนหนึ่ง..ผู้คนด่าสาบแช่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2310 จนถึง 2552
อีกคนหนึ่ง มีประชาชนยอมตายถวายชีวิตให้ ยังเป็นวีรบุรุษในใจประชาชนมาถึงปัจจุบัน
ว่าง่ายๆก็คือ คนไทยรักใคร่สามัคคี และกล้าหาญเป็นปกติ
เขาแค่ไม่ยอมเปลืองตัวให้กับคนที่เขาไม่รักเท่านั้น ..กรุงศรีอยุธยาล่มสลายเพราะคนไม่รัก
ก็เป็นบทเรียนกับคนไทยปัจจุบัน และเหล่าอมาตยาธิปไตยทั้งหลาย ระบบใดนั้น..ย่อมอยู่ด้วย
ความเชื่อถือศรัทธาและความรัก ไม่มีความรู้สึกเหล่านี้หลงเหลือ ระบบนั้นย่อมล่มสลายไปเอง
"กรุงศรีอยุธยาล่มสลายเพราะคนไม่รัก"
ก็อย่าให้มีคนเกลียดชังไปมากกว่านี้ อย่าดูถูกประชาชนมากไปกว่านี้
ระหว่างความเป็นทาสกับความเป็นไท
originally article written / posted August 18, 2008 : by SIAM Freedom Fight
ระหว่างชาติพันธุ์ที่เกิดมาเป็นทาส กับชาติพันธุ์ที่เกิดมาเป็นไท แตกต่างกันที่กระบวนคิด
01
ในสมัยรัชกาลที่ 5 รัฐบาลประกาศเลิกทาส รวมทั้งยกเลิกระบบไพร่ทั้งหมดในราชอาณาจักร
การศึกษาไทยมักจะสอน และเปรียบเทียบปรากฏการณ์นี้กับการประกาศเลิกทาสในประเทศ
สหรัฐอเมริกา และพยายามบอกว่าเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน
ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว..แต่เป็นแค่ความจริงเพียงครึ่งเดียว
การเลิกทาสอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกานั้น
ประกาศเมื่อสงครามกลางเมืองดำเนินไปได้สักระยะหนึ่ง ถึงแม้ประเด็นการมีหรือไม่มีทาสจะเป็นหนึ่งในสาเหตุ
ของความขัดแย้งที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองสหรัฐ แต่ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด และไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่สุดด้วยซํ้า
แต่สาเหตุหลักที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา
คือความขัดแย้งเกี่ยวกับอธิปไตยของมลรัฐและอำนาจของรัฐบาลกลาง
เมื่อตกลงกันไม่ได้ พูดกันไม่รู้เรื่องสักที..ก็ต้องรบกัน
แม้ฝ่ายเหนือ..หรือรัฐบาลกลางสหรัฐจะชนะสงคราม
แต่ฝ่ายใต้ก็ชนะในเรื่องหลักการ เพราะรัฐบาลกลางให้การยอมรับในอธิปไตยของมลรัฐ และ/หรืออธิปไตยของ
ปวงชน ว่าคืออำนาจสูงสุดของประเทศ – ส่วนการที่รัฐบาลกลางประกาศเลิกทาสในระหว่างสงครามกลางเมือง
ก็เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่สงคราม และเป็นการสกัดกั้น..มิให้อังกฤษเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายใต้
สงครามกลางเมืองเป็นโศกนาฏกรรมของอเมริกา สร้างความหายนะทางเศรษฐกิจและชีวิตผู้คนมากมายมหาศาล
แต่สิ่งที่ได้คือประเทศชาติสามารถรวมกันเป็นหนึ่ง อธิปไตยเป็นของปวงชนอย่างสมบูรณ์.. หรืออย่างน้อยก็เป็น
ของปวงชนมากกว่าชาติอื่นในโลก แถมวัฒนธรรมการเลี้ยงทาสยังถูกกำจัดไปจากแผ่นดิน
ในสยามประเทศ การเลิกทาสเกิดขึ้นเพื่อล้มระบอบศักดินา
ไม่ใช่เพื่ออธิปไตยของปวงชน แต่เป็นการสร้างความมั่นคงแก่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
การเลิกระบบไพร่ คือการตัดกำลังไพร่พลของขุนนาง ซึ่งกำลังไพร่ในสังกัดขุนนางนี้เคยใช้ในการรัฐประหาร
ครั้งแล้ว ครั้งเล่า..นับแต่กรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา
(แนะนำให้อ่านหนังสือ "การเมืองเรื่องสถาปนาพระจอมเกล้าฯ" โดยเทอดพงศ์ คงจันทร์ สำนักพิมพ์มติชน -
ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งกล่าวถึงอำนาจของขุนนาง ที่มีบทบาทอิทธิพลต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างสูง -
สื่ออำมาตยาธิปไตยจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีในการศึกษาระบอบศักดินา)
ซึ่งแน่นอนว่า การเลิกทาสในประเทศสยามปราศจากการนองเลือด
เพราะไม่รู้จะไปนองเลือดกับใคร ในเมื่ออำนาจขุนนางเวลานั้นก็ไม่ได้มากมายเหมือนในสมัยรัชกาลก่อน
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวหักมุมแบบไทยๆ ที่เรามักได้ยินกันเสมอ คือ ทาสที่ปล่อยแล้วไม่ยอมไป
กลายเป็นว่าคนที่ไม่ยินดีกับการเลิกทาส ก็คือพวกทาสนั่นเอง
ศูนย์อำนาจของราชอาณาจักรอยู่ที่ภาคกลางและเมืองหลวงคือกรุงเทพฯ
จำนวนทาส..และลูกหลานทาสส่วนใหญ่จึงอาศัยในแถบภาคกลาง
ในขณะที่ภาคอีสานสมัยก่อนเป็นดินแดนห่างไกลจากศูนย์อำนาจ แทบจะเป็นดินแดนอิสระในชีวิตประจำวัน
ส่วนภาคเหนือนั้นก็เป็น "อีกอาณาจักรหนึ่ง" มาตลอด ถึงจะอิงอำนาจการเมืองของกรุงศรีอยุธยาบ้าง พม่าบ้าง
หรือกรุงเทพฯบ้าง แต่ในวิถีชีวิตปกติก็เป็นอิสระในตนเอง เป็นอาณาจักรล้านนา - และเพิ่งจะมารวมกับกรุงเทพฯ
ในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้เอง (ยังมีเบื้องหลังการรวมอาณาจักรที่ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้)
ส่วนประเด็นที่ว่าประชากรลูกหลานทาสที่อาศัยอยู่ในภาคกลางซึ่งเป็นศูนย์อำนาจนี้
ก็ขออนุญาต - จะยังไม่ขยายความในที่นี้
02
"สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" กลายเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ที่จะใช้กดหัวประชาชน
และเปิดโอกาสให้ชนชั้นปฏิกิริยาสามารถทำตัวเป็น "กาฝาก" ได้อย่างชอบธรรม
ในวัยเยาว์ เราเรียนรู้จากระบบการศึกษา ถึงคำว่าสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ ล้วนเป็นคำที่มีความหมายดีงาม
เป็นวัตถุประสงค์หลักในชีวิตและระบอบการบริหารบ้านเมือง แม้การศึกษาในวัยเยาว์นั้นจะเป็นการศึกษาภายใต้
ระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นแนวคิดฝังหัวที่เกิดจากการรัฐประหาร 2490 และ 2500 แต่จะอย่างไรก็ตาม คำว่า
"สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์"ก็ยังเป็นความหมายที่งดงาม ไม่ว่าในระบอบใด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราเห็นโลกมาหลายต่อหลายทศวรรษ
และยามบ้านเมืองวิกฤติจึงเรียนรู้ว่า "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" ก็เหมือน "เปลือกของความดีงาม"
อีกหลายต่อหลายอย่างในสังคมนี้ คือเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ที่จะไม่ทำอะไร หรือทำให้น้อยที่สุด
เป็นข้ออ้างเพื่อยอมก้มหัวอยู่ใต้ฝ่าตีนผู้มีอำนาจให้มากที่สุด
และไม่เสียความรู้สึกของตนเอง ..คือเป็นทาสที่ยังกร่างได้
แล้วรู้ทั้งรู้ว่า การรัฐประหารนั้นคือการเป็นโจรกบฏ
มีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 113 มีโทษถึงประหารชีวิต
แล้วคนในบ้านเมืองนี้ทำอะไร..เมื่อโจรปล้นเมือง
คนในบ้านเมืองนี้ก็ยังท่องคาถา "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" กับโจร
ขอความเมตตาจากโจร หวังความยุติธรรมจากโจร
ยอมรับกฎหมายโจรไปก่อน..แล้วหวังว่าโจรท่านคงยอมให้แก้ไขทีหลัง หวังให้โจรยึดมั่นในกติกาที่โจรเขียนขึ้นมา
หวังให้กรรมการที่โจรตั้งขึ้นจะมีความยุติธรรมต่อคนที่ถูกโจรปล้น ยอมก้มหน้าก้มตาปฏิบัติตามกระบวนการโจร -
แล้วบอกว่าเรายังอยู่ในระบอบประชาธิปไตย เมื่อโจรไม่เมตตา..ก็หันมาปลอบใจกันเองว่า "เอาเถอะ โจรมันแก่แล้ว
วันหนึ่งมันก็ต้องตาย" ก็หวังไว้ว่าลูกหลานโจร เมียโจรมันจะไม่เป็นโจรเหมือนพ่อแม่มัน ??? ก็เอาเถอะ
หากคำว่า "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ สันติภาพ"
คือการยอมให้สัตว์นรกกดขี่กดหัว รุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นทาสที่ดีและมีชีวิต
แล้วหลอกตัวเองว่าบ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตย
แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่การยอมก้มหัวใต้ฝ่าตีนชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่การยอมก้มหัวใต้ฝ่าตีนใครทั้งนั้น ประชาธิปไตยคืออธิปไตยเป็นของปวงชน
โดยยึดเอาเสียงส่วนใหญ่เป็นสำคัญ.. ขณะที่ไม่กดขี่ประชากรกลุ่มน้อย
ประชาธิปไตยต้องอยู่บนพื้นฐานความเสมอภาค เสรีภาพ ภาดรภาพ
นั่นคือ คนจน หรือ คนรวย .. คนทีการศึกษา หรือ ไม่มีการศึกษา ย่ิอมมีสิทธิทางการเมืองที่เท่าเทียมกัน
เมื่อไม่มีความเสมอภาค ย่อมไม่มีเสรีภาพ เมื่อไม่มีเสรีภาพ ย่อมไม่มีภาดรภาพ - ไม่มีสันติภาพ
ทุกคนอยากนอนอยู่บ้านสบายๆทั้งนั้น ไม่มีใครอยากเดือดร้อน แต่บางครั้ง ชีวิตก็ไม่ปล่อยทางเลือกแสนสุขให้
กับเราสักเท่าใด - ในปี พ.ศ. 2310 สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ประชากรสมัยนั้นก็มีทางเลือกว่าจะหลบอยู่ใน
กำแพงเมืองกับพระเจ้าเอกทัศ หรือจะออกไปเสี่ยงชะตากรรมกับพระยาตาก ..มุดหัวอยู่ภายในกำแพงเมือง
กรุงศรีอยุธยาก็ดูเหมือนจะปลอดภัย นอนเฉยๆ ไม่ต้องสู้รบกับใคร สงบ สันติ และเป็นกลาง ยามเมื่อพม่าพังกำแพง
เมืองเข้ามา คนเหล่านี้ก็ไปเป็นทาสพม่า ถูกกวาดต้อนไปอยู่พม่าจนทุกวันนี้ ก็เป็นทาสที่สุขสบายดี - แต่ถ้าเลือกที่
จะร่วมทางกับกองทัพพระยาตาก โอกาสตายก็มีสูง .. แต่จะอยู่อย่างทาส หรือจะตายอย่างเสรีชน
คำตอบในหัวใจ สุดแต่ใครเกิดมาเพื่อเป็นทาส
หรือใครเกิดมาเพื่อเป็นไท ..อย่างที่บอก มันต่างกันที่กระบวนคิด
ระหว่างชาติพันธุ์ที่เกิดมาเป็นทาส กับชาติพันธุ์ที่เกิดมาเป็นไท แตกต่างกันที่กระบวนคิด
01
ในสมัยรัชกาลที่ 5 รัฐบาลประกาศเลิกทาส รวมทั้งยกเลิกระบบไพร่ทั้งหมดในราชอาณาจักร
การศึกษาไทยมักจะสอน และเปรียบเทียบปรากฏการณ์นี้กับการประกาศเลิกทาสในประเทศ
สหรัฐอเมริกา และพยายามบอกว่าเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน
ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว..แต่เป็นแค่ความจริงเพียงครึ่งเดียว
การเลิกทาสอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกานั้น
ประกาศเมื่อสงครามกลางเมืองดำเนินไปได้สักระยะหนึ่ง ถึงแม้ประเด็นการมีหรือไม่มีทาสจะเป็นหนึ่งในสาเหตุ
ของความขัดแย้งที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองสหรัฐ แต่ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด และไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่สุดด้วยซํ้า
แต่สาเหตุหลักที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา
คือความขัดแย้งเกี่ยวกับอธิปไตยของมลรัฐและอำนาจของรัฐบาลกลาง
เมื่อตกลงกันไม่ได้ พูดกันไม่รู้เรื่องสักที..ก็ต้องรบกัน
แม้ฝ่ายเหนือ..หรือรัฐบาลกลางสหรัฐจะชนะสงคราม
แต่ฝ่ายใต้ก็ชนะในเรื่องหลักการ เพราะรัฐบาลกลางให้การยอมรับในอธิปไตยของมลรัฐ และ/หรืออธิปไตยของ
ปวงชน ว่าคืออำนาจสูงสุดของประเทศ – ส่วนการที่รัฐบาลกลางประกาศเลิกทาสในระหว่างสงครามกลางเมือง
ก็เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่สงคราม และเป็นการสกัดกั้น..มิให้อังกฤษเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายใต้
สงครามกลางเมืองเป็นโศกนาฏกรรมของอเมริกา สร้างความหายนะทางเศรษฐกิจและชีวิตผู้คนมากมายมหาศาล
แต่สิ่งที่ได้คือประเทศชาติสามารถรวมกันเป็นหนึ่ง อธิปไตยเป็นของปวงชนอย่างสมบูรณ์.. หรืออย่างน้อยก็เป็น
ของปวงชนมากกว่าชาติอื่นในโลก แถมวัฒนธรรมการเลี้ยงทาสยังถูกกำจัดไปจากแผ่นดิน
ในสยามประเทศ การเลิกทาสเกิดขึ้นเพื่อล้มระบอบศักดินา
ไม่ใช่เพื่ออธิปไตยของปวงชน แต่เป็นการสร้างความมั่นคงแก่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
การเลิกระบบไพร่ คือการตัดกำลังไพร่พลของขุนนาง ซึ่งกำลังไพร่ในสังกัดขุนนางนี้เคยใช้ในการรัฐประหาร
ครั้งแล้ว ครั้งเล่า..นับแต่กรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา
(แนะนำให้อ่านหนังสือ "การเมืองเรื่องสถาปนาพระจอมเกล้าฯ" โดยเทอดพงศ์ คงจันทร์ สำนักพิมพ์มติชน -
ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งกล่าวถึงอำนาจของขุนนาง ที่มีบทบาทอิทธิพลต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างสูง -
สื่ออำมาตยาธิปไตยจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีในการศึกษาระบอบศักดินา)
ซึ่งแน่นอนว่า การเลิกทาสในประเทศสยามปราศจากการนองเลือด
เพราะไม่รู้จะไปนองเลือดกับใคร ในเมื่ออำนาจขุนนางเวลานั้นก็ไม่ได้มากมายเหมือนในสมัยรัชกาลก่อน
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวหักมุมแบบไทยๆ ที่เรามักได้ยินกันเสมอ คือ ทาสที่ปล่อยแล้วไม่ยอมไป
กลายเป็นว่าคนที่ไม่ยินดีกับการเลิกทาส ก็คือพวกทาสนั่นเอง
ศูนย์อำนาจของราชอาณาจักรอยู่ที่ภาคกลางและเมืองหลวงคือกรุงเทพฯ
จำนวนทาส..และลูกหลานทาสส่วนใหญ่จึงอาศัยในแถบภาคกลาง
ในขณะที่ภาคอีสานสมัยก่อนเป็นดินแดนห่างไกลจากศูนย์อำนาจ แทบจะเป็นดินแดนอิสระในชีวิตประจำวัน
ส่วนภาคเหนือนั้นก็เป็น "อีกอาณาจักรหนึ่ง" มาตลอด ถึงจะอิงอำนาจการเมืองของกรุงศรีอยุธยาบ้าง พม่าบ้าง
หรือกรุงเทพฯบ้าง แต่ในวิถีชีวิตปกติก็เป็นอิสระในตนเอง เป็นอาณาจักรล้านนา - และเพิ่งจะมารวมกับกรุงเทพฯ
ในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้เอง (ยังมีเบื้องหลังการรวมอาณาจักรที่ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้)
ส่วนประเด็นที่ว่าประชากรลูกหลานทาสที่อาศัยอยู่ในภาคกลางซึ่งเป็นศูนย์อำนาจนี้
ก็ขออนุญาต - จะยังไม่ขยายความในที่นี้
02
"สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" กลายเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ที่จะใช้กดหัวประชาชน
และเปิดโอกาสให้ชนชั้นปฏิกิริยาสามารถทำตัวเป็น "กาฝาก" ได้อย่างชอบธรรม
ในวัยเยาว์ เราเรียนรู้จากระบบการศึกษา ถึงคำว่าสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ ล้วนเป็นคำที่มีความหมายดีงาม
เป็นวัตถุประสงค์หลักในชีวิตและระบอบการบริหารบ้านเมือง แม้การศึกษาในวัยเยาว์นั้นจะเป็นการศึกษาภายใต้
ระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นแนวคิดฝังหัวที่เกิดจากการรัฐประหาร 2490 และ 2500 แต่จะอย่างไรก็ตาม คำว่า
"สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์"ก็ยังเป็นความหมายที่งดงาม ไม่ว่าในระบอบใด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราเห็นโลกมาหลายต่อหลายทศวรรษ
และยามบ้านเมืองวิกฤติจึงเรียนรู้ว่า "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" ก็เหมือน "เปลือกของความดีงาม"
อีกหลายต่อหลายอย่างในสังคมนี้ คือเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ที่จะไม่ทำอะไร หรือทำให้น้อยที่สุด
เป็นข้ออ้างเพื่อยอมก้มหัวอยู่ใต้ฝ่าตีนผู้มีอำนาจให้มากที่สุด
และไม่เสียความรู้สึกของตนเอง ..คือเป็นทาสที่ยังกร่างได้
แล้วรู้ทั้งรู้ว่า การรัฐประหารนั้นคือการเป็นโจรกบฏ
มีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 113 มีโทษถึงประหารชีวิต
แล้วคนในบ้านเมืองนี้ทำอะไร..เมื่อโจรปล้นเมือง
คนในบ้านเมืองนี้ก็ยังท่องคาถา "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" กับโจร
ขอความเมตตาจากโจร หวังความยุติธรรมจากโจร
ยอมรับกฎหมายโจรไปก่อน..แล้วหวังว่าโจรท่านคงยอมให้แก้ไขทีหลัง หวังให้โจรยึดมั่นในกติกาที่โจรเขียนขึ้นมา
หวังให้กรรมการที่โจรตั้งขึ้นจะมีความยุติธรรมต่อคนที่ถูกโจรปล้น ยอมก้มหน้าก้มตาปฏิบัติตามกระบวนการโจร -
แล้วบอกว่าเรายังอยู่ในระบอบประชาธิปไตย เมื่อโจรไม่เมตตา..ก็หันมาปลอบใจกันเองว่า "เอาเถอะ โจรมันแก่แล้ว
วันหนึ่งมันก็ต้องตาย" ก็หวังไว้ว่าลูกหลานโจร เมียโจรมันจะไม่เป็นโจรเหมือนพ่อแม่มัน ??? ก็เอาเถอะ
หากคำว่า "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ สันติภาพ"
คือการยอมให้สัตว์นรกกดขี่กดหัว รุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นทาสที่ดีและมีชีวิต
แล้วหลอกตัวเองว่าบ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตย
แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่การยอมก้มหัวใต้ฝ่าตีนชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่การยอมก้มหัวใต้ฝ่าตีนใครทั้งนั้น ประชาธิปไตยคืออธิปไตยเป็นของปวงชน
โดยยึดเอาเสียงส่วนใหญ่เป็นสำคัญ.. ขณะที่ไม่กดขี่ประชากรกลุ่มน้อย
ประชาธิปไตยต้องอยู่บนพื้นฐานความเสมอภาค เสรีภาพ ภาดรภาพ
นั่นคือ คนจน หรือ คนรวย .. คนทีการศึกษา หรือ ไม่มีการศึกษา ย่ิอมมีสิทธิทางการเมืองที่เท่าเทียมกัน
เมื่อไม่มีความเสมอภาค ย่อมไม่มีเสรีภาพ เมื่อไม่มีเสรีภาพ ย่อมไม่มีภาดรภาพ - ไม่มีสันติภาพ
ทุกคนอยากนอนอยู่บ้านสบายๆทั้งนั้น ไม่มีใครอยากเดือดร้อน แต่บางครั้ง ชีวิตก็ไม่ปล่อยทางเลือกแสนสุขให้
กับเราสักเท่าใด - ในปี พ.ศ. 2310 สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ประชากรสมัยนั้นก็มีทางเลือกว่าจะหลบอยู่ใน
กำแพงเมืองกับพระเจ้าเอกทัศ หรือจะออกไปเสี่ยงชะตากรรมกับพระยาตาก ..มุดหัวอยู่ภายในกำแพงเมือง
กรุงศรีอยุธยาก็ดูเหมือนจะปลอดภัย นอนเฉยๆ ไม่ต้องสู้รบกับใคร สงบ สันติ และเป็นกลาง ยามเมื่อพม่าพังกำแพง
เมืองเข้ามา คนเหล่านี้ก็ไปเป็นทาสพม่า ถูกกวาดต้อนไปอยู่พม่าจนทุกวันนี้ ก็เป็นทาสที่สุขสบายดี - แต่ถ้าเลือกที่
จะร่วมทางกับกองทัพพระยาตาก โอกาสตายก็มีสูง .. แต่จะอยู่อย่างทาส หรือจะตายอย่างเสรีชน
คำตอบในหัวใจ สุดแต่ใครเกิดมาเพื่อเป็นทาส
หรือใครเกิดมาเพื่อเป็นไท ..อย่างที่บอก มันต่างกันที่กระบวนคิด
จักรพรรดิฮิโรฮิโต..ผู้ไม่เคยทรยศประชาชน
article : SIAM Freedom Fight / secretMAI
originally posted on May 4, 2008 : moved to this blog August 2009
องค์มหาจักรพรรดิฮิโรฮิโต..แห่งประเทศญี่ปุ่น
สมมุติเทพผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ความยิ่งใหญ่ของพระองค์นั้น มิใช่การนำกองทัพอันเกรียงไกร มิใช่การมีผู้คนกราบไหว้บูชา
อย่างปราศจากความหมาย แต่ความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิฮิโรฮิโต..คือความเสียสละตนเอง
ในยามที่บ้านเมืองต้องการมากที่สุด การยอมเสี่ยงชีวิตตนเอง ..ยอมเสียสละแม้แต่สถาบัน
สมมุติเทพที่สืบเนื่องยาวนานหลายศตวรรษ เพื่อรักษาชีวิตประชาชน..
นี่คือสมมุติเทพ..ผู้ไม่เคยทรยศประชาชน
เราลองย้อนดูประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นกันสักเล็กน้อย
นับแต่โบราณกาล ตำแหน่งจักรพรรดิญี่ปุ่นนั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง
อาจมีช่วงสั้นๆในสมัยเมจิ ที่องค์จักรพรรดิมีบทบาทในการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ..
แต่หลังจากนั้นก็กลับสู่สภาพเดิม และอาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซํ้า -- เพราะหลังจากสมัยเมจิ
กลุ่มอมาตยาธิปไตยญี่ปุ่น--โดยเผด็จการทหาร มักจะแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเพื่อผลประโยชน์
ทางการเมืองของตน
ใช้เป็นข้ออ้างก่อรัฐประหาร..ครั้งแล้วครั้งเล่า
ใช้กำจัดคู่แข่ง - ศัตรูทางการเมือง ..ใช้กดขี่ข่มเหงประชาชน
และท้ายที่สุดก็แอบอ้างสถาบันเพื่อก่อสงครามครั้งใหญ่กับสหรัฐอเมริกา
นั่นคือช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
และเมื่อสงครามที่ทหารญี่ปุ่นเริ่มก่อไว้นั้น เดินมาถึงจุดหายนะ
ความพ่ายแพ้ปรากฏทุกแนวรบ ทางฝ่ายสัมพันธมิตร..คืออังกฤษ อเมริกา ต่างก็มีธงไว้ล่วงหน้า
ฝ่ายสัมพันธมิตรตั้งธงไว้ว่า--จะต้องแขวนคอจักรพรรดิฮิโรฮิโตและนายพลโตโจ
เมื่อใกล้สูญเสียเกาะโอกินาว่า กองทัพญี่ปุ่นเตรียมสู้รบบนแผ่นดินตนเอง
มีการเตรียมกองทัพชาวบ้าน เด็กผู้หญิง คนชราล้วนฝึกอาวุธเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด
พวกฮาร์ดคอร์ในกองทัพเตรียมสู้จนกว่า..ประชาชนทุกคนจะตายหมดทั้งประเทศ
แต่พวกที่ยังมีสติ..คือรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี คันตาโร ซูซูกิ
มองว่านี่เป็นความตายที่เปล่าประโยชน์ และพยายามติดต่อขอสงบศึกกับสหรัฐอเมริกาหลายครั้ง
แต่มีเงื่อนไขว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะต้องไม่นำองค์จักรพรรดิขึ้นศาลอาชญากรสงคราม –
กระทรวงต่างประเทศสหรัฐปฏิเสธเงื่อนไขญี่ปุ่น และยืนยันว่าญี่ปุ่นต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข
เท่านั้น
มาถึงตรงนี้..การศึกษาในระบบของไทยมักทำให้พวกเราเข้าใจไขว้เขวไป
ว่าญี่ปุ่นยอมแพ้เพราะถูกระเบิดนิวเคลียร์ และมองข้ามเหตุการณ์สำคัญอีกมากมาย
ระเบิดนิวเคลียร์..ในเวลานั้นมีผลน้อยมาก ทั้งทางจิตวิทยาและทางยุทธศาสตร์
ประการแรกคือ..ไม่มีใครในตอนนั้นเข้าใจผลข้างเคียงอันร้ายแรงของกัมมันตภาพรังสีที่ตกค้าง –
ญี่ปุ่นไม่รู้ ทหารอเมริกันก็ไม่รู้.. ฝ่ายอเมริกันยังวางแผนยกพลขึ้นบกในบริเวณที่ตัวเองทิ้งระเบิด
นิวเคลียร์ด้วยซํ้า (ก็เพราะไม่รู้ว่ามันอันตรายแค่ไหน) ส่วนญี่ปุ่นนั้น ก็เพียงรับรู้ว่ามีระเบิดแบบ
ใหม่ แต่ไม่มีผลทางใจอย่างใด เพราะในตอนนั้น โตเกียวถูกระเบิดนาปาล์มของอเมริกันทุกวี่ทุกวัน
นับจำนวนคนตาย เทียบความเสียหายแล้ว..ระเบิดนาปาล์มน่ากลัวกว่าหลายเท่าในความทรงจำ
ของชาวญี่ปุ่นยุคนั้น
ดังนั้น แค่นิวเคลียร์สองลูก..ญี่ปุ่นไม่กลัว
แต่ที่รัฐบาลญี่ปุ่นกังวลคือ กองทัพรัสเซีย..ที่เพิ่งเสร็จศึกกับเยอรมัน
และกำลังหันปืนมาทางญี่ปุ่น รัสเซียเคลื่อนพลเข้าสู่แมนจูเรีย..และใกล้ญี่ปุ่น
เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาทุกวัน
ยุทธศาสตร์ของการใช้เด็กผู้หญิงและคนชราเข้าฟาดฟันทหารอเมริกัน
ก็ใช้ได้กับทหารอเมริกันเท่านั้น เพราะภาพเหล่านี้จะสร้างความสยดสยองแก่คนอเมริกัน
ซึ่งอาจเปลี่ยนใจประชาชนอเมริกันให้หันมาเรียกร้องการยุติสงครามก็เป็นได้
ญี่ปุ่นหวังให้เกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ ..
แต่อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น -- วิธีการแบบนี้ใช้ได้กับคนอเมริกันเท่านั้น
และไม่มีทางใช้ได้กับรัสเซีย ซึ่งเป็นกองทัพมีชื่อเสียงเรื่องความโหดอำมหิต
ขืนส่งเด็กผู้หญิงและคนชราไปสู้กับรัสเซีย มีหวังถูกฆ่าทิ้งอย่างสนุกสนาน
รัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีทางเลือก นอกจากต้องรีบยอมแพ้กับอเมริกัน..ก่อนที่รัสเซียจะมาถึง
วันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945
นายกรัฐมนตรีคันตาโร ซูซูกิ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้าร่วมประชุมปรึกษากับองค์จักรพรรดิ
เห็นร่วมกันว่า..ญี่ปุ่นจะขอยอมแพ้โดยปราศจากเงื่อนไข
และนี่คือความกล้าหาญ ความเสียสละอันยิ่งใหญ่ขององค์จักรพรรดิ
พระองค์ทรงทราบดีว่า -- ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องการแขวนคอพระองค์
ทรงทราบดีว่า -- นี่อาจเป็นจุดจบของระบอบสมมุติเทพในญี่ปุ่น
ทรงทราบดีว่า – พวกกลุ่มทหารหัวรุนแรงในกองทัพ ที่ชอบแอบอ้างสถาบันอยู่เสมอนั้น
ย่อมไม่พอใจอย่างรุนแรง..และอาจนำสู่การรัฐประหารในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า..
ทรงทราบดีว่า -- อย่างไร..ในวินาทีนี้ชีวิตของพระองค์และครอบครัวอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง
ทั้งจากฝ่ายสัมพันธมิตร และจากทหารของพระองค์เอง –
แต่องค์จักรพรรดิเลือกตัดสินใจยอมแพ้ เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนในประเทศ
ซึ่งจะว่าไปแล้ว สงครามนี้ก็เริ่มจากพวกเผด็จการทหารญี่ปุ่น
ไม่ได้เกี่ยวกับองค์จักรพรรดิเลยสักนิด แต่เมื่อทหารมักแอบอ้างสถาบันอยู่เสมอ
องค์จักรพรรดิจึงต้องออกมารับผิดชอบด้วยตนเอง ไม่อาจปัดความรับผิดชอบให้ผู้อื่น
คืนวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945
องค์จักรพรรดิบันทึกเสียงการประกาศยุติสู้รบ และยอมแพ้สงครามอย่างไม่มีเงื่อนไข
เทปบันทึกเสียงทำไว้สองชุด เพื่อเตรียมออกอากาศในตอนเที่ยงของวันที่ 15
เวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945
หน่วยทหารรักษาพระองค์ นำโดยพันตรี เคนจิ ฮาทานากะ พร้อมกำลังพลกว่า1000 นาย
ก่อการรัฐประหาร..เข้าปิดล้อมพระราชวัง สังหารนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมร่วมมือด้วย ..
พลโท ทาเคชิ โมริ หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ปฏิเสธที่จะร่วมมือกับคณะรัฐประหาร
และยอมสละชีวิตตนเอง -- พลโทโมริถูกฮาทานากะยิงทิ้งในห้องทำงาน
เป้าประสงค์ของพันตรีฮาทานากะคือ ค้นหา - ทำลายเทปบันทึกเสียงขององค์จักรพรรดิ
แต่โชคดีที่ทหารของฮาทานากะไม่สามารถหาเทปนั้นเจอ
(ข้าราชการสำนักพระราชวัง โยชิฮิโร โตกูกาว่า เป็นผู้ซ่อนเทปไว้) ..
เมื่อหาเทปไม่เจอ พรรคพวกฮาทานากะจึงเขียนคำประกาศขึ้นมาเอง เรียกร้องให้คนญี่ปุ่นทุกคน
สู้กับศัตรูจนตัวตาย พวกเขาสั่งให้เจ้าหน้าที่สถานี NHK อ่านคำประกาศนั้น แต่เจ้าหน้าที่สังหรณ์
ใจว่าคำประกาศดังกล่าวไม่น่าจะใช่ขององค์จักรพรรดิ จึงพยายามหาเหตุอ้างโน่นอ้างนี่ บอกว่า
ไฟฟ้าดับ..ต้องรออีกหลายชั่วโมงกว่าจะออกอากาศได้
การก่อรัฐประหารล้มเหลวเมื่อรุ่งสาง
กองทัพภาคตะวันออกไม่ยอมเข้าร่วมขบวนการ และบังคับให้ฮาทานากะยอมแพ้
ท้ายที่สุด..เทปบันทึกเสียงองค์จักรพรรดิ
ก็ได้ออกอากาศในตอนเที่ยงวันที่ 15 สิงหาคม เป็นอันยุติสงครามอันยาวนาน
เมื่อกองทัพอเมริกันเข้ายึดครองญี่ปุ่น
มีเสียงเรียกร้องจากคนอเมริกัน..ให้นำองค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตขึ้นศาลอาชญากรสงคราม
นายพลดักลาส แมคอาเธอร์..แม่ทัพภาคแปซิฟิค ปฏิเสธชนิดหัวชนฝา และประกาศว่า
หากคิดนำจักรพรรดิญี่ปุ่นขึ้นศาล อเมริกาจะต้องส่งกำลังทหารเข้ามาเพิ่ม..อีกหนึ่งล้านคน
เมื่อแม่ทัพอเมริกันพูดแบบนี้ ฝ่ายการเมืองในสหรัฐก็ต้องยอมรับฟังเหมือนกัน
ไม่มีใครแตะต้องจักรพรรดิฮิโรฮิโต..
บรรดาแม่ทัพนายกองระดับสูงของอเมริกัน ก็ให้ความเคารพยกย่ององค์จักรพรรดิญี่ปุ่น
เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคนที่เคยสู้รบกับญี่ปุ่นมาอย่างโชกโชน พวกนี้จะเกิดอาการปลื้มญี่ปุ่น
เอามากๆในช่วงหลังสงคราม และเป็นตัวตั้งตัวตีในการฟื้นฟูกองทัพญี่ปุ่น (จนปัจจุบันญี่ปุ่นมี
ศักยภาพทางทหารเหนือกว่าสมัยสงครามโลกครั้งสองหลายต่อหลายเท่า)
องค์จักรพรรดิฮิโรฮิโต ตัดสินใจยอมแพ้ฝ่ายสัมพันธมิตรในห้วงเวลาที่ไม่มีหลักประกันใดต่อ
ความปลอดภัยของพระองค์เอง อาจถูกจับแขวนคอโดยสัมพันธมิตร อาจถูกสังหารด้วยนํ้ามือ
ทหารรักษาพระองค์ ราชวงศ์อาจล่มสลายในพริบตา ..ไม่มีหลักประกันอะไรเลยสำหรับองค์
จักรพรรดิฮิโรฮิโต ข้างฝ่ายข้าศึกก็ประกาศปาวๆทุกวี่ทุกวันว่าต้องประหารองค์จักรพรรดิ ..
แต่หลักประกันเดียว—ที่สำคัญที่สุด
คือหลักประกันว่า การยอมแพ้ของพระองค์ จะรักษาชีวิตประชาชนญี่ปุ่นจำนวนมากมาย
และนี่คือความเสียสละอันแท้จริงของสมมุติเทพ
สมมุติเทพต้องยอมตายเพื่อประชาชน มิใช่ให้ประชาชนมาตายแทน
องค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตคือจักรพรรดิผู้มิเคยทรยศประชาชน
นี่คือสิ่งที่ชาวโลกผู้เจริญแล้วให้ความเคารพยกย่อง องค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตมิเคยลงมาวุ่นวายกับ
การเมือง สมมุติเทพเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็กลับไปอยู่ยังที่ของตนเอง และนี่คือสิ่งที่ทำให้สมมุติเทพ
ในญี่ปุ่นสามารถยืนยงอย่างมีเกียรติ์ในประชาคมโลกเสมอมา แม้แต่คนที่เคยเป็นคู่สงครามก็ยัง
หันมายกย่องนับถือ ..สมมุติเทพอยู่ได้ด้วยความรักจากประชาชน และสูญสลายเมื่อความรักนั้น
มลายหายไป ..สมมุติเทพที่คิดทรยศประชาชน..ก็มีเนปาลเป็นตัวอย่างให้เห็น
ประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 ในหมู่นักวิชาการตะวันตกจำนวนไม่น้อย
มิได้มองว่าองค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตเป็นสมมุติเทพผู้แพ้สงคราม แต่กลับมองว่าพระองค์คือผู้เสียสละ
เพื่อยุติสงคราม เพื่อประชาชนของพระองค์
องค์จักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต..แห่งญี่ปุ่น
สมมุติเทพผู้ยอมตายแทนประชาชน ..ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว
Saturday, August 1, 2009
Fake photo with False Caption Awarded by Thai Press
Fake Photograph with False Description
received award for best photo journalism of 2009 by Thai Press
A photograph published in ThaiRat Newspaper on April 13, 2009 events
during violent crash between The Royal Thai Army and The Red (UDD)
protesters, received an award for the best photojournalism of the year
(2009) by the Thai Press.
However, the photo wrapped around controversy
from day one it was published - for the reason of manipulation to
distort the truth - or intend to cover up some information from the
public. Also its news description / caption was totally misleading or
just a straight lie.
The photograph was retouched, eliminated a black bag on the man body -
also his camera was removed from the image. However, there were many
cameras at the scene, including many video clips by other journalists and
photographers.
As seen in this screen shots from news clips -
the man in photograph
(aka. Mr. Kriengkrai Chockpattanakasemsuk นายกวีไกร โชคพัฒนเกษมสุข)
was dragging a woman ( Red / UDD protester) by her hair, into a soldiers' line behind him
What missing from "award winning best photojournalism of
Thailand 2009" were a black bag on the man's body and his camera.
And why would anyone want to delete such things from a news photograph ??
To cover up some important information ??
or Simply want to make the photograph to go along with a false description ??
in news description / caption as published on front page of Thairat Newspaper,
see large picture here
it said a resident of Din Dang Housing got angry when the Red (UDD) parked a
gas truck near apartment complexes - putting everyone life in danger, so decided
to come out and forcefully get rid of the red in the area..
Dramatic story but far from the truth
The man in photograph
(aka. Mr. Kriengkrai Chockpattanakasemsuk นายกวีไกร โชคพัฒนเกษมสุข)
is not a Din Dang Housing resident. In fact, he is a PAD (ultra conservative political
movement / aka. the yellow head - in which the organization show strong support for
current government / in good relation with the army) And the incident did not take place
at Din Dang !!! .. As shown on map below, this incident took place at Rajparop 12 which
is far from Din Dang Housing.
And here's some photographic evident
see the shop sign in red circle, and see closer street sign in the right picture that
says Rajparop 12 (a bit larger image here
.. and see two women in red shirts on the left picture.
Also see a man in black tee (green arrow) and the Thai flag..
And here's another view from behind soldiers' lines
see the two women in red shirts with Thai flag.
Now, see the whole sequence
and from CH3 news clips
Both the woman and Mr. Mr. Kriengkrai - face to face
and here comes the dramatic scene
and below is another view from THE NATION newspaper
We see the man dragging red shirt woman to soldiers' lines as they did
nothing to prevent it - just looking still.
Actually, this (The NATION 's photo above) is a much better photo
that tell all story, all drama, all about what happened at that moment of time,
and tell story without having to criticize nor taking any sides.
Then again, the Thai Press decided to go for a fake picture with false description. Is it because
photograph above tells too much of the truth ?? Is it because the photograph
above tells that the military and ultra conservative groups are in it together ??
First thing we learn as photographers / journalists is that we DO NOT
manipulate documentary / news photographs - it's the most important work ethics.
And we do not give a false statement (of - how / when / where/ who) in our
caption.
What kind of journalism they are practicing in Thailand ??
Do they know anything ?? or Would they call it just Thai Style Journalism ??
.
องค์กรอิสลามตำหนิการนำศาสนามาเกี่ยวการเมือง
http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic2.php?id=796854
โพสต์โดย : **โจรสลัด**
3 องค์กรอิสลามตำหนิ นาย สมัย เจริญช่าง
สำนักข่าวไทย รายงานว่า.-
คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สภาองค์การมุสลิมแห่งประเทศไทย
และสมาคมสื่อมวลชนมุสลิม ปฏิเสธร่วมทำหนังสือถึงเจ้าผู้ครองรัฐดูไบให้ขับ พ.ต.ท.
ทักษิณ ชินวัตร ออกจากดูไบ ตำหนิ “สมัย เจริญช่าง” ทำไม่ถูกต้อง อ้างชื่อโดยไม่ชอบธรรม
นายสามารถ ทรัพย์พจน์
นายสามารถ ทรัพย์พจน์ ในนามของคณะผู้บริหารองค์กร สำนักงานเลขาธิการคณะ
กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สภาองค์การมุสลิมแห่งประเทศไทย และสมาคม
สื่อมวลชนมุสลิม ทำหนังสือชี้แจงกรณีที่นายสมัย เจริญช่าง ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์
ระบุว่า องค์กรสถาบันมุสลิมในประเทศไทยยื่นหนังสือถึงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับ
เอมิเรตส์ เพื่อให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ เจ้าผู้ครองรัฐดูไบ ให้ใช้พระราชอำนาจขับไล่ พ.ต.ท.
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้พ้นจากการพำนักอาศัยในราชอาณาจักรสหรัฐ
อาหรับเอมิเรตส์
หนังสือดังกล่าวระบุว่า คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สภาองค์การมุสลิม
แห่งประเทศไทย และสมาคมสื่อมวลชนมุสลิม ซึ่งมีชื่ออยู่ในองค์กรสถาบันมุสลิมในประเทศ
ไทยที่นายสมัยอ้างถึง ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการยื่นหนังสือดังกล่าว และไม่ได้มีมติให้
ความเห็นชอบในการร่วมร้องเรียนเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะไม่ต้องการให้องค์กรเข้าไปยุ่ง
เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง
“องค์กรทั้ง 3 มีเป้าประสงค์ในการสร้างความเข้าใจเรื่องศาสนา สังคม การสงเคราะห์ผู้ยากไร้
และส่งเสริมวิถีชีวิตมุสลิม การที่นายสมัยเอาชื่อของทั้ง 3 องค์กร เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
จึงไม่ถูกต้อง เป็นการอ้างชื่อโดยไม่ชอบธรรม และการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการสร้าง
ความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในองค์กร และสังคมมุสลิมอีกส่วนหนึ่งด้วย”
หนังสือดังกล่าวระบุด้วยว่า การที่มีกลุ่มคนยิงปืนเข้ามัสยิดดารุ้ลอะมาน ซ.เพชรบุรี 7
ถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เพราะมัสยิดเป็นศาสนสถานที่สำคัญของชาวไทยมุสลิม แต่
เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ดังนั้น ขอให้ทุกคนปฏิบัติ
หน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อความถูกต้องและผลประโยชน์สูงสุดของบ้านเมือง โดยไม่สร้าง
ความขัดแย้งในองค์กร อันเป็นพื้นฐานแรกของการสร้างความสามัคคี
“ผู้บริหารทั้ง 3 องค์กร ยังเชื่อมั่นว่าสันติภาพบนพื้นฐานแห่งความถูกต้อง
และความเข้าใจที่ดีต่อกันของทุกฝ่าย ยังพร้อมที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดินไทย
และนั่นคือความต้องการของพี่น้องคนไทยทุกคน” .- สำนักข่าวมุสลิมไทย
--------
ดร.บูฆอรี ยีหมะ
ประธานคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
กล่าวกับสำนักข่าวมุสลิมไทยว่า...
“ผมไม่อยากให้นักการเมือง นำเอาศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ ไปเชื่อมโยงกับการ
ต่อสู้ทางการเมือง ศาสนานี่ควรจะเป็นเครื่องมือสร้างความสมานฉันท์ให้กับคนในสังคม
โดยเฉพาะในพื้นที่แถวมัสยิดพญาไทนั้น หลายคนที่เคยอยู่บริเวณนั้นก็คงจะรู้ว่า
พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ของนางนาตยา เบญจศิริวรรณ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์
ญาติๆ ของคุณนาตยาก็อยู่แถวนั้น เพราะฉะนั้น ผมจึงเห็นว่าการเอามวลชนของ
ตนเองมาใช้ทำลายฝ่ายตรงข้าม โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือนี่เป็นเรื่องที่ไม่สมควร
เป็นอย่างยิ่ง ” และว่า
“ถ้าใครได้ติดตามสถานการณ์ หรือข่าวก่อนหน้านี้ก็จะเห็นว่ากลุ่มเสื้อแดงนี่
ก็มีมุสลิมมาร่วมชุมนุมจำนวนไม่น้อย ขนาดที่ว่ามีการหุ้งข้าวมีการทำโรงอาหารฮาลาล
แยกต่างหาก แยกครัวที่ชัดเจนเพื่อรองรับพี่น้องมุสลิมที่มาร่วมชุมนุม และบางครั้งมุสลิม
หลายคนก็ได้มาอาศัยมัสยิดดังกล่าว(ดารุ้ลอามาน) เป็นที่ละหมาด ในเวลาที่พวกเขาออกมา
จากที่ชุมนุมฯ แต่บังเอิญพี่น้องมุสลิมที่มาจากต่างจังหวัด ไม่รู้ว่ามัสยิดและกิ่งเพชรแห่งนี้
เป็นอิทธิพลของพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรฯ หรือกลุ่มเสื้อเหลือง
จึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา”
ดร.บูฆอรี กล่าวต่อว่า...
“ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ในช่วงก่อนสงกรานต์นี่ ก็มีมุสลิมที่เป็นเสื้อแดงหลายคน
ไปละหมาดที่นั่น แต่มีมุสลิมเสื้อแดงคนหนึ่งหลังจากออกมาจากมัสยิด ก็ถูกตีหัวและโดน
ทุบที่แขนหลังจากออกมาจากมัสยิด เราจะสังเกตเห็นได้ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ ก็ไม่เห็นมี
อิหม่ามหรือคนในชุมชน จะเป็นทุกข์เป็นร้อนที่มุสลิมคนหนึ่งโดนตีหัวเมื่อเขาออกมาจาก
มัสยิด หรือว่าเป็นเพราะเขาสวมเสื้อแดง เป็นพวกที่เห็นด้วยกับการชุมนุมของ นปช.
เขาจึงต้องถูกตีหัวฟรี หลังจากที่เขาได้ไปกราบไหว้พระผู้เป็นเจ้าในบ้านของพระองค์ เมื่อเขา
ออกมาเข้าก็ถูกทำร้าย แค่เพียงเขามีแนวคิดทางการเมืองที่ไม่เหมือนกับคนในซอย ทำให้
เขาถูกทำร้าย ทำไมมุสลิมจึงปฏิบัติต่อกันอย่างสองมาตรฐานเช่นนี้” ดร.บูฆอรี กล่าว
ดร.บูฆอรี กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า...
“ในสถานการณ์ที่มีผู้คนในสังคมแบ่งแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่ายนี่
การนำเอาศาสนามาเชื่อมโยงกับการเมืองนี่ ผมเห็นว่าเป็นผลลบต่อศาสนามากกว่าที่จะเป็น
ผลบวก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี่ มันจะทำให้คนมุสลิมที่เป็นเสื้อแดงนี่และคนทั่วไปจะเกิดความ
เข้าใจผิดต่ออิสลาม อีกอย่างหนึ่งผมอยากจะเรียกร้องให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมมุสลิมนี่ ช่วย
ออกมาพิสูจน์ความจริงให้กระจ่างว่า ต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดมันมีที่มาอย่างไร
เป็นไปไม่ได้ที่อยู่ๆ กลุ่มมุสลิมสีแดงจะไปยิงมัสยิดหรือทำลายป้ายมัสยิด
เพราะการปล่อยให้เหตุการณ์บานปลายเช่นนี้ เพราะมุสลิมไม่ได้มีอยู่แค่ในกรุงเทพฯ หรือใน
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น ที่เชียงใหม่ เชียงราย ที่อุบล อุดร หนองคาย ขอนแก่น สุรินทร์
ศรีสะเกษก็มีมุสลิม เพราะฉะนั้นเราไม่ควรสร้างสถานการณ์ที่จะนำมาซึ่งความแตกแยกใน
สังคมโดยใช้อิสลามมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อรับใช้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือ
พรรคการเมืองใดพรรคการเมือง” - ดร.บูฆอรี กล่าวทิ้งท้าย
----
นายมุข สุไลมาน
กรรมาธิการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐสภา
สมาชิกพรรคมาตุภูมิ (ราษฎร์) อดีต ส.ส.ปัตตานี หลายสมัย
ได้เปิดเผยกับสำนักข่าวมุสลิมไทยว่า...
“ผมว่าเรื่องนี้มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง
เพราะเท่าที่รู้มาก็คือมุสลิมที่ใส่เสื้อสีแดงโดนตีหัวก่อน แล้วก็ไปเอาพวกมา
มันก็เลยเกิดการรุมสะกรัมกัน แล้วมาลากให้เป็นเรื่องของศาสนา
ผมว่าในระยะยาว มุสลิมเรานี่แหละจะเดือดร้อน ถ้าต่อไปเกิดมือที่สาม
ไปสร้างสถานการณ์อย่างนี้กับวัดที่ไหนสักแห่ง แล้วเกิดเป็นกรณีระหว่างพุทธกับมุสลิม
ถามว่าใครจะเดือดร้อน มุสลิมเรานี่แหละจะเดือดร้อน เราเป็นชนกลุ่มน้อยเราจะ
ทำกันยังไง วันนี้ยังต้องหลบๆ หลีกๆ เพราะคนที่ไม่ใช่มุสลิมเขาก็มองมุสลิมไม่ดีอยู่แล้ว
กับเหตุการณ์ในจังหวัดชายแดนปักษ์ใต้ เพราะฉะนั้นเมื่อมุสลิมกรุงเทพฯไปลากเอา
สถานการณ์ทางการเมืองมาเชื่อมโยงกับศาสนาเพิ่มไปอีกนี่ ในที่สุดเรามุสลิมเองนี่แหละ
จะเดือดร้อน ผมไม่สบายใจเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้” - และว่า
“แล้วก็ ที่ว่าคุณสมัย เจริญช่างก็ดี
คุณนาตยาก็ดี ฝ่ายประชาธิปัตย์ไปนั่งประชุมกันทำหนังสือไปถึง
สถานทูตอาหรับเอมิเรตต์ทำนองนี้ แล้วไปกล่าวหาอย่างนั้น
ผมว่ามันน่าจะเป็นลักษณะที่ว่า สร้างเงื่อนไขอะไร
เพื่อที่จะให้โลกอาหรับอื่นต่อต้านทักษิณนี่ ผมดูแล้วมันไม่เข้าท่า
ถ้าจริงก็ว่ากันไป ถ้าไม่จริงนี่เป็นฟิตนะห์หรือว่าใส่ร้ายนี่ ในความเป็นมุสลิมนี่
ผมว่ามันไม่ควรทำอย่างนั้น ก็เพราะทำอย่างนี้สิ สังคมมันถึงได้มีปัญหา เพราะคนเราชอบ
ใส่ร้ายใส่ความกัน ซึ่งมันไม่ถูกต้อง โดยส่วนตัวผมไม่ชอบไอ้การกระทำอย่างนี้
พอผมรู้ตื้นลึกหนาบางในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่ผมรู้สึกไม่พอใจ ไม่สบายใจในเหตุการณ์ที่
เกิดขึ้นนี้มาก” นายมุขกล่าว
นายมุข ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า...
“เรื่องนี้ผมจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เพราะได้มีการลากเอาศาสนามาเชื่อมโยงกับการเมือง
ผมไปกรุงเทพฯก็ต้องไปชี้แจงกับสถานทูตมุสลิมต่างๆ ไม่รู้ว่าท่านวันนอร์จะเห็นด้วยหรือไม่
แต่ผมคิดว่าผมต้องทำครับ ขณะนี้ผมกำลังกำลังเดินทางไปปัตตานี กลับไปกรุงเทพฯเมื่อไหร่คง
ต้องไปดำเนินการเรื่องนี้ครับ ปล่อยไว้ไม่ได้ ขืนปล่อยไว้สังคมมุสลิมต้องแตกแยกแน่ครับ”
นายมุขกล่าว
----
นายศิริศักดิ์ บินตรี สัปบุรุษ
มัสยิดบ้านครัวเหนือ กรุงเทพฯ
ได้แสดงความเห็นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า...
“คุณสมัย เจริญช่าง และคุณนาตยา เบญจศิริกุล ตลอดจนคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพฯ
ด่วนสรุปเกินไปไหม...กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์เกิดขึ้นแค่เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็สามารถ
ร่างคำแถลงการณ์เป็นภาษาอาหรับ แปลเป็นภาษาไทย และมีการจัดแจกการแถลงข่าว
กล่าวหา...พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่เบื้องหลัง ประณามว่าเป็นหัวหน้าขบวนการก่อการร้าย และทำลา
ยศาสนาอิสลาม ไม่ทราบว่าในการกระทำนี้มีวาระอะไรซ่อนเร้นบ้างหรือเปล่า
ตอนนี้มีคนหลายคนกำลังท้าทายนายสมัย ว่ากล้าเอาอัล-กุรอ่านมาสาบานไหม
ว่าทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้หวังผลทางการเมือง” และว่า
“ผมไม่สบายใจเลยหลังจากที่มีการแถลงข่าวลากเอาศาสนามาเชื่อมโยงกับการเมือง
ตอนนี้สังคมมุสลิมกำลังแตกแยกกันแล้วเพราะมีการกล่าวหาว่ากลุ่มเสื้อแดงไปทำลายบ้าน
ของพระผู้เป็นเจ้า ทั้งที่เรื่องจริง ซอยกิ่งเพชรนี่ เราที่ทำงานชุมชน เราก็รู้ดีว่าเป็นซอยของ
กลุ่มเสื้อเหลืองกลุ่มพันธมิตร เป็นเขตอิทธิพลของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
ของนางนาตยา เบญจศิริวรรณ
ทีนี้พอเสื้อแดงไปละหมาดที่นั่นก็โดนพวกเสื้อเหลืองในซอยตีหัว
มันเป็นเรื่องของการทะเลาะระหว่างสี ระหว่างกลุ่มมุสลิมสีแดง กับกลุ่มมุสลิมสีเหลือง
แล้วทำไมต้องเอาศาสนามาเกี่ยวข้องด้วย การที่พวกคุณตีหัวพี่น้องมุสลิมสีแดงที่ไป
ละหมาดที่สุเหร่า ทำไมคุณไม่พูดถึง อิสลามนี่มันมี 2 มาตรฐานด้วยหรือ” นายศิริศักดิ์ กล่าว
นายศิริศักดิ์ กล่าวต่อ...
“อยากจะถามนายสมัย เจริญช่าง ว่าคุณรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไร
คุณกำลังสร้างความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน คุณได้สร้างการเผชิญหน้าระหว่างมุสลิมกับมุสลิม
คุณกล้าสาบานโดยยกเอาอัล-กุรอานมาทูนขึ้นบนหัวเปล่า ว่าสิ่งที่คุณทำนี่
มันทำขึ้นมาโดยความบริสุทธิ์ใจ
คุณจะเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ชอบประชาธิปัตย์ หลงใหลพรรคประชาธิปัตย์
มันก็เป็นสิทธิของคุณ แต่ขอเพียงอย่างเดียวอย่าได้ลากเอามวลมุสลิมและศาสนาอิสลาม
ไปเป็นเครื่องมือของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมันจะสร้างความแตกแยกให้กับสังคมมุสลิม
ตอนนี้สังคมมุสลิมกำลังแตกแยกแบ่งเป็นสองฝ่ายแล้ว คุณจะรับผิดชอบอย่างไร ในสิ่งที่คุณ
กระทำลงไป นายศิริศักดิ์ กล่าว - สำนักข่าวมุสลิมไทย
คำของอาจารย์มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ
คอลัมน์เลือกคบไม่เลือกข้าง จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2347 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 7 สิงหาคม 2551
บทความโดย กาหลิบ
ฝรั่งเขามีวิธีเขียนหนังสือที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง เมื่อพูดถึงคำหรือวลีใดๆ
ที่คนพูดไม่เห็นด้วยว่าเป็นเช่นนั้น หรือมีคนเป็นจำนวนมากไม่เห็นด้วย
ว่าเป็นเช่นนั้น หรือแม้แต่ไปยกคำพูดของผู้อื่นมาพูด เขาจะใส่เครื่องหมาย
อัญประกาศ หรือที่ชอบเรียกว่ากันว่าเครื่องหมายคำพูดไว้ที่คำหรือวลี
นั้น คนอ่านจะรู้ทันทีว่าคนพูดเขาไม่ใช่คนต้นคิด
ไม่ต้องยกตัวอย่างหรอกครับ เอาคำจริงๆที่ผมอยากจะใช้วิธีการนี้ทุก
ครั้งที่พูดถึงกันเลยดีกว่าคำว่า “กฎหมาย” นั่นอย่างไร
เสียดายที่ไวยากรณ์ไทยไม่มีกลไกนี้ (มีเครื่องหมายเหมือนเขาแต่ไม่ได้
ใช้งานอย่างเดียวกัน) ไม่อย่างนั้นผมจะใส่เครื่องหมายอัญประกาศไว้
ทุกครั้งที่เอ่ยคำนี้ขึ้นมา
ใครว่า “กฎหมาย” เป็นกฎหมายชนิดที่ไม่ต้องใส่เครื่องหมายอัญประกาศ
ก็แปลว่าเขาเห็นว่าในบ้านขณะนี้มีกฎหมายจริง
ผมอยากจะใส่เครื่องหมาย “......” เพราะเห็นว่ากฎหมายในเมืองไทย
ขณะนี้มีการปลอมปนอยู่มาก รวมทั้งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ ด้วย
ซึ่งเป็นความเห็นเดียวกับคนระดับอาจารย์มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ซึ่ง
เคยเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และอธิบดีผู้พิพากษาศาล
อาญา ผู้ยอมรับหน้าที่ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ
จนต้องติดคุกติดตะรางนั่นล่ะครับ
อาจารย์มานิตย์ยืนยันตั้งแต่แรกเริ่มมาแล้วว่า การรัฐประหารไม่ใช่สิ่ง
ที่จะยอมรับหรือนำมาต่อรองอะไรกันได้ เพราะเป็นการกบฏ
ใครยอมรับว่าการรัฐประหารถูกต้อง หรือไปช่วยให้การรัฐประหาร
กลายเป็นความถูกต้องก็อยู่ในฐานความผิดที่เป็นกบฏทั้งนั้น
“กฎหมาย” ของคณะผู้ยึดอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นประกาศฉบับใหญ่น้อย
หรือกฎหมายแม่บทขนาดรัฐธรรมนูญก็ตาม ถ้ามาจากการใช้อำนาจเถื่อน
มาบังคับและฉีกรัฐธรรมนูญของประชาชนทิ้งแล้วล่ะก็ โลกสากลเขา
ถือว่าไม่แตกต่างจากกระดาษชำระที่ใช้งานแล้ว
ถามว่าแล้วทำไมมาพูดกันอีกครั้งในขณะนี้
เพราะกำลังจะโดนลงโทษตาม “กฎหมาย” แล้วหรือมิใช่?
เกิดเคราะห์หามยามร้าย จึงดวงตาเห็นธรรมใช่ไหม? คำตอบคือไม่ใช่
เหตุที่ไม่รุกรานถึงสันดานเดิมของคนที่สั่งการหรือลงมือกระทำรัฐประหาร
ไม่ไล่เบี้ยกันเสียตั้งแต่ตอนนั้นว่าเอา “กฎหมาย” หรือกฎหมายโจรมาบังคับ
ใช้อย่างกฎหมายจริงได้อย่างไร ก็เพราะเชื่อแบบไทยเดิมว่าวิกฤตใดๆ
ในเมืองไทยควรจะหาทางออกกันโดยประนีประนอม
ขนาดเอาโจรมานั่งเมือง และใช้กฎหมายโจรมาวางระเบียบบ้านเมือง
ยังอดทนยอมรับกันว่าไม่เป็นไร เราตกลงกันได้ เขาบ้าง เราบ้าง จะได้
อยู่ร่วมกันต่อไปได้ ซึ่งเป็นการคิดผิดอย่างมาก และนำมาสู่ความ
ขัดแย้งในระดับประวัติศาสตร์ครั้งนี้ เพราะในขณะที่เราคิดเรื่องการ
ประนีประนอม หรือใช้คำของเขาก็ยังได้นั่นคือ “สมานฉันท์” เขากลับ
คิดว่าหลอกล่อเราให้เข้าสู่เป้าปืนของเขาได้สำเร็จ
หลอกกันสองครั้งสองรอบ รอบแรกคือหลอกว่าจะไม่มีรัฐประหาร
รอบที่สองคือหลอกว่าทุกอย่างจะลงตัว และไม่มีที่น่าวิตกกังวล
หลอกว่าบ้านเมืองจะกลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตย แต่ก็สร้าง
รัฐธรรมนูญที่พาประเทศชาติลงเหวไปอีกทาง
หลอกว่าจะเลิกแทรกแซงกระบวนการทางรัฐสภา แล้วก็สร้างกลุ่มพันธมิตรฯ
ขึ้นมาเป็นสภาตอบสนองความสะใจของตนเองอย่างต่อเนื่องทั้งที่ผิดทุกประตู
หลอกว่า “กฎหมาย” ว่าเป็นกฎหมายจริง ทั้งที่เป็นกฎหมายโจรตั้งแต่
หัวจรดเท้า พูดได้คำเดียวในขณะนี้ว่า อาจารย์มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ
ที่ใครว่าแรงเกิน ไม่ประนีประนอมเสียเลยนั้น ท่านถูกของท่านมาตลอดทางครับ.
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2347 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 7 สิงหาคม 2551
บทความโดย กาหลิบ
ฝรั่งเขามีวิธีเขียนหนังสือที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง เมื่อพูดถึงคำหรือวลีใดๆ
ที่คนพูดไม่เห็นด้วยว่าเป็นเช่นนั้น หรือมีคนเป็นจำนวนมากไม่เห็นด้วย
ว่าเป็นเช่นนั้น หรือแม้แต่ไปยกคำพูดของผู้อื่นมาพูด เขาจะใส่เครื่องหมาย
อัญประกาศ หรือที่ชอบเรียกว่ากันว่าเครื่องหมายคำพูดไว้ที่คำหรือวลี
นั้น คนอ่านจะรู้ทันทีว่าคนพูดเขาไม่ใช่คนต้นคิด
ไม่ต้องยกตัวอย่างหรอกครับ เอาคำจริงๆที่ผมอยากจะใช้วิธีการนี้ทุก
ครั้งที่พูดถึงกันเลยดีกว่าคำว่า “กฎหมาย” นั่นอย่างไร
เสียดายที่ไวยากรณ์ไทยไม่มีกลไกนี้ (มีเครื่องหมายเหมือนเขาแต่ไม่ได้
ใช้งานอย่างเดียวกัน) ไม่อย่างนั้นผมจะใส่เครื่องหมายอัญประกาศไว้
ทุกครั้งที่เอ่ยคำนี้ขึ้นมา
ใครว่า “กฎหมาย” เป็นกฎหมายชนิดที่ไม่ต้องใส่เครื่องหมายอัญประกาศ
ก็แปลว่าเขาเห็นว่าในบ้านขณะนี้มีกฎหมายจริง
ผมอยากจะใส่เครื่องหมาย “......” เพราะเห็นว่ากฎหมายในเมืองไทย
ขณะนี้มีการปลอมปนอยู่มาก รวมทั้งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ ด้วย
ซึ่งเป็นความเห็นเดียวกับคนระดับอาจารย์มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ซึ่ง
เคยเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และอธิบดีผู้พิพากษาศาล
อาญา ผู้ยอมรับหน้าที่ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ
จนต้องติดคุกติดตะรางนั่นล่ะครับ
อาจารย์มานิตย์ยืนยันตั้งแต่แรกเริ่มมาแล้วว่า การรัฐประหารไม่ใช่สิ่ง
ที่จะยอมรับหรือนำมาต่อรองอะไรกันได้ เพราะเป็นการกบฏ
ใครยอมรับว่าการรัฐประหารถูกต้อง หรือไปช่วยให้การรัฐประหาร
กลายเป็นความถูกต้องก็อยู่ในฐานความผิดที่เป็นกบฏทั้งนั้น
“กฎหมาย” ของคณะผู้ยึดอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นประกาศฉบับใหญ่น้อย
หรือกฎหมายแม่บทขนาดรัฐธรรมนูญก็ตาม ถ้ามาจากการใช้อำนาจเถื่อน
มาบังคับและฉีกรัฐธรรมนูญของประชาชนทิ้งแล้วล่ะก็ โลกสากลเขา
ถือว่าไม่แตกต่างจากกระดาษชำระที่ใช้งานแล้ว
ถามว่าแล้วทำไมมาพูดกันอีกครั้งในขณะนี้
เพราะกำลังจะโดนลงโทษตาม “กฎหมาย” แล้วหรือมิใช่?
เกิดเคราะห์หามยามร้าย จึงดวงตาเห็นธรรมใช่ไหม? คำตอบคือไม่ใช่
เหตุที่ไม่รุกรานถึงสันดานเดิมของคนที่สั่งการหรือลงมือกระทำรัฐประหาร
ไม่ไล่เบี้ยกันเสียตั้งแต่ตอนนั้นว่าเอา “กฎหมาย” หรือกฎหมายโจรมาบังคับ
ใช้อย่างกฎหมายจริงได้อย่างไร ก็เพราะเชื่อแบบไทยเดิมว่าวิกฤตใดๆ
ในเมืองไทยควรจะหาทางออกกันโดยประนีประนอม
ขนาดเอาโจรมานั่งเมือง และใช้กฎหมายโจรมาวางระเบียบบ้านเมือง
ยังอดทนยอมรับกันว่าไม่เป็นไร เราตกลงกันได้ เขาบ้าง เราบ้าง จะได้
อยู่ร่วมกันต่อไปได้ ซึ่งเป็นการคิดผิดอย่างมาก และนำมาสู่ความ
ขัดแย้งในระดับประวัติศาสตร์ครั้งนี้ เพราะในขณะที่เราคิดเรื่องการ
ประนีประนอม หรือใช้คำของเขาก็ยังได้นั่นคือ “สมานฉันท์” เขากลับ
คิดว่าหลอกล่อเราให้เข้าสู่เป้าปืนของเขาได้สำเร็จ
หลอกกันสองครั้งสองรอบ รอบแรกคือหลอกว่าจะไม่มีรัฐประหาร
รอบที่สองคือหลอกว่าทุกอย่างจะลงตัว และไม่มีที่น่าวิตกกังวล
หลอกว่าบ้านเมืองจะกลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตย แต่ก็สร้าง
รัฐธรรมนูญที่พาประเทศชาติลงเหวไปอีกทาง
หลอกว่าจะเลิกแทรกแซงกระบวนการทางรัฐสภา แล้วก็สร้างกลุ่มพันธมิตรฯ
ขึ้นมาเป็นสภาตอบสนองความสะใจของตนเองอย่างต่อเนื่องทั้งที่ผิดทุกประตู
หลอกว่า “กฎหมาย” ว่าเป็นกฎหมายจริง ทั้งที่เป็นกฎหมายโจรตั้งแต่
หัวจรดเท้า พูดได้คำเดียวในขณะนี้ว่า อาจารย์มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ
ที่ใครว่าแรงเกิน ไม่ประนีประนอมเสียเลยนั้น ท่านถูกของท่านมาตลอดทางครับ.
สถานการณ์นักโทษการเมืองในประเทศไทย
January, 2009 : The Situation of Political Prisoners in Thailand
is getting Worse by minutes ; Anyone can be in jail for NOTHING
รายงาน: ชะตากรรม 2 นักโทษหญิงคดีหมิ่นฯ
โดย : ประชาไท วันที่ : 9/1/2552
ปี 2552 หลายคนอาจโล่งอกโล่งใจที่การเมืองไทยดูเหมือนจะคลี่คลาย
ไปอีกเปลาะใหญ่ๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุปัจจัยอันใดก็ตาม แต่ประเด็นหนึ่ง
ที่ยังคงเป็นเรื่องลำดับต้นซึ่งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศให้ความ
สำคัญ คงไม่พ้นการปราบปรามการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ปีก่อนหน้า ประเด็นนี้เป็นศาตราวุธสำคัญในการฟาดฟันคู่ขัดแย้งทางการเมือง
มีหลายคนโดนแจ้งข้อหานี้ บ้างได้ประกันตัว อย่างกรณี สนธิ ลิ้มทองกุล,
สุลักษณ์ ศิวรักษ์, วีระ มุสิกพงษ์, จักรภพ เพ็ญแข ฯ บ้างหลบหนีการแจ้งข้อกล่าวหา
อย่างกรณีชูชีพ ชีวสุทธิ์, สุชาติ นาคบางไทร บ้างถูกโยงให้พัวพันกับคดีนี้ไปอย่าง
พันลึก อย่างกรณีจิตรา คชเดช,โชติศักดิ์ อ่อนสูง (2549) บ้างสร้างความท้าทาย
แปลกใหม่ให้สังคมไทย อย่างกรณี โจนาธาน เฮด บ้างถูกบุกจับอย่างเงียบเชียบ
อย่างกรณี พระยาพิชัย, ท่อนจัน สองนักท่องเว็บชื่อดัง
และบ้างก็ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำเรียบร้อยแล้ว อย่างกรณี ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล
หรือที่คนรู้จักเธอในนาม “ดา ตอร์ปิโด” และ บุญยืน ประเสริฐยิ่ง ดาวไฮปาร์ก
ของแฟนพันธุ์แท้สนามหลวงที่ไม่สู้มีใครรู้จัก
หากรวมกับ Harry Nicolaides ก็นับเป็นผู้ต้องหาตัวเล็กๆ 3 รายที่ต้องนอนห้องขัง
มานานหลายเดือนในระหว่างประสานงานต่อสู้คดี โดยที่สังคมไม่มีโอกาสติดตาม
ข่าวคราว ตรวจสอบเรื่องราวของพวกเขานัก หรืออีกนัยหนึ่งคือ ไม่มีสื่อใดสนใจ
ติดตามข่าวของพวกเขา ผู้ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิประกันตัวออกมาสู้คดีได้เช่นคนอื่นๆ
ผู้ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ถูกสังคมพิพากษาแล้วก่อนจะมีคำพิพากษา กระทั่ง บางทีมัน
อาจถูกนับรวมอยู่ในความโล่งอกโล่งใจของใครหลายคนด้วย
(อ่านกรณีของ Harry Nicolaides ได้ที่นี่)
Aust man refused bail for insulting Thai King (ABC NEWS)
More Related Incidents from TIMES on Line
‘ดา ตอร์ปิโด’ : ชีวิตที่ไม่อาจล่วงรู้ชะตากรรม
กรณีของดารณีนั้นเป็นที่ฮือฮาในช่วงแรก เพราะสนธิ ลิ้มทองกุล ได้นำถ้อยความ
ที่เธอพูดบนเวทีเสียงประชาชน(เวทีขนาดเล็กที่สนามหลวง ไม่แน่ชัดว่าเป็นของ
เครือข่ายไหน แต่มีลักษณะเป็นเวทีรวมของ “ม็อบธรรมชาติ” ซึ่งผู้อภิปรายอาจเป็น
คนที่มาร่วมชุมนุม ประชาชนทั่วไป) ไปขยายต่อในเวทีพันธมิตรฯ จนปลุกระแส
ได้สำเร็จ และถูกข้อหาหมิ่นฯ เช่นเดียวกัน ก่อนจะได้รับการประกันตัวไปในที่สุด
ดารณี ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมที่บ้านในคืนวันที่ 22 ก.ค.51 หลังจากนั้นถูกคุมตัวที่เรือนจำ
ทัณฑสถานหญิงกลาง ท่ามกลางความพยายามยื่นขอประกันตัวโดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
นักประวัติศาสตร์จากรั้วจามจุรี ซึ่งเป็นนักวิชาการน้อยคนนักที่กล้าประกาศ
จุดยืนกับกลุ่ม นปช. ว่าด้วยหลักการประชาธิปไตย ต้านรัฐประหาร โดยไม่แทงกั๊ก
หรือหวาดกลัวกับ “ระบอบทักษิณ” เช่นนักวิชาการอื่น เขายื่นประกันตัวเธอโดยใช้
ตำแหน่งข้าราชการ 3-4 ครั้ง แต่ศาลปฏิเสธ
ดารณีให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ตำรวจใช้สิทธิฝากขัง 84 วันเต็มจำนวน ก่อนจะยื่น
เรื่องต่ออัยการ และต่อมาพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา7เป็น
โจทย์ฟ้องเธอต่อศาล ในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย
พระมหากษัตริย์ ราชินี ซึ่งปัจจุบันมีโทษจำคุก 3 ปี ถึง 15 ปี และพรรคประชาธิปัตย์
กำลังผลักดันแก้กฎหมายเพิ่มโทษมาตรานี้เป็นจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 25 ปี และปรับ
ตั้งแต่ห้าแสนถึงหนึ่งล้านบาท
ทนายคนล่าสุดที่รับว่าความให้คือ ประเวศ ประภานุกูล
ดารณี เป็นดาวไฮปาร์กคนหนึ่งของฝ่ายต้านรัฐประหาร-อำมาตยาธิปไตย ซึ่งอาจ
กินความได้กว้างขวางกว่ากลุ่ม นปช. กระนั้น ใครหลายคนที่เคยขึ้นเวที นปช.เองก็
เคยออกปากทำนองว่า เธอเป็นตัวของตัวเองสูงและไม่ค่อยฟังใคร พี่ชายของเธอเล่าว่า
เธอเรียนจบปริญญาโทแต่จำไม่ได้ว่าที่มหาวิทยาลัยไหน และเคยเป็นนักข่าวอยู่ระยะ
หนึ่ง โดยปกติเธอเป็นหนอนหนังสือตัวยง และเป็นคนอารมณ์ร้อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ระหว่างถูกคุมขัง ก็มีเพียงพี่ชายสูงวัยของเธอเท่านั้นที่นั่งรถมาจากภูเก็ตเพื่อมาเยี่ยม
ซื้ออาหาร ของใช้ ส่งให้เป็นประจำทุกสัปดาห์ และเป็นผู้ที่คอยติดต่อประสานงาน
เกี่ยวกับเรื่องคดีความ เขามักจับรถเที่ยวเย็นเข้ากรุงเทพฯ ถึงที่หมายตอนเช้ามืด แล้ว
เตร็ดเตร่อยู่ขนส่งจนใกล้เวลาเปิดทำการของเรือนจำ จึงเดินทางเข้าเยี่ยม เป็นเช่นนี้ประจำ
6 เดือนในเรือนจำกับสภาพร่างกายไม่สู้ปกติ คือ กรามค้าง อักเสบ อ้าปากกว้างไม่ได้
ซึ่งเป็นโรคที่เป็นมาก่อนเข้าเรือนจำและกำลังนัดหมายกับแพทย์เพื่อทำการผ่าตัด
ทำให้น้ำหนักตัวเธอลดลงไป 18 กิโลกรัม แม้ในเรือนจำจะมีแพทย์คอยดูแลอาการป่วย
ไข้แต่ก็ได้รับเพียงยาบรรเทาอาการปวดเท่านั้น
ในช่วงต้น มีผู้คนมากหน้าหลายตาไปเยี่ยมดา ทั้งบรรดาลุงป้าจากขบวนการเสื้อแดง
สนามหลวง ไปจนถึงนักศึกษาหนุ่มสาวจากรั้วมหาวิทยาลัย
จากการพบปะพูดคุยหลายครั้ง ในชั่วเวลา 15 นาทีที่ทางเรือนจำเปิดให้เยี่ยม ในช่วงต้นๆ
ดารณีกล่าวตัดพ้อท้อแท้ต่อการต่อสู้ทางการเมือง โดยเฉพาะการแสดงความผิดหวังต่อ
นักการเมือง “ฝั่งประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่จะได้ประโยชน์จากการต่อสู้เพื่อ
ประชาธิปไตยของเธอและมวลชนจำนวนมาก แต่แล้วกลับไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือใดๆ
เธอกล่าวตัดพ้อต่อสังคมไทยที่ลืมง่าย และประนีประนอมกับอำนาจทุกรูปแบบ เรื่อยไป
จนถึงการพูดถึง “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งเธอมองว่าเป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่มีดี มีชั่ว แต่
อย่างน้อยก็ยังหยิบยื่นให้กับคนยากคนจนมากกว่าคนอื่น โดยที่เธอเห็นว่าปัญหาความ
ยากจน ความไม่เท่าเทียมของคนชนบทนั้นเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นของประเทศไทย
หรือแม้กระทั่ง การพูดถึงการปฏิรูประบบเรือนจำ ซึ่งเต็มไปด้วยหญิงสาววัยรุ่นจาก
คดียาเสพติดเล็กๆ น้อยๆ เธอมองว่าการเอามาขังรวมกันไว้เฉยๆ เป็นการสูญเสียทรัพยากร
บุคคลโดยใช่เหตุ หรือการที่เรือนจำไม่มีหนังสือน่าสนใจให้อ่านเอาเสียเลยนอกไป
จากหนังสือธรรมะ หรือกฎเกณฑ์ไม่สมเหตุสมผล อย่างการบังคับให้ผู้ต้องขังอาบน้ำ
ได้เพียง 10 ขัน และลดเหลือ 5 ขันในหน้าหนาว รวมถึงความเป็นอยู่ที่แออัด นอนรวม
กัน 40-80 คนในห้องเล็กๆ
และในบางครั้ง เธอก็มีคำปลอบประโลมใจตนเองหลุดออกมา เช่น พูดถึงการต่อสู้
เพื่อประชาธิปไตยและชะตากรรมที่เลวร้ายกว่าของผู้ประศาสน์การ ปรีดี พนมยงค์
เธอเอ่ยถึงเขาให้ได้ยินหลายครั้งในฐานะบุคคลที่เธอเคารพ
จนถึงปัจจุบัน ดารณีที่ผ่ายผอม ไหล่ห่อ หลังงอ ไม่คาดหวังอะไรมากมายไปกว่าการ
ออกจากเรือนจำไปต่อสู้คดี และใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
ในชั้นสอบสวน ทนายความพยายามยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว แต่ทั้งศาลชั้นต้นและ
ศาลอุทธรณ์ยกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ด้วยเหตุที่เป็นความผิดมีอัตราโทษสูง
ถ้อยคำที่ถูกกล่าวหานำมาซึ่งความเสื่อมเสียสู่สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูน
สักการะ กระทบกระเทือนจิตใจผู้จงรักภักดี เป็นเรื่องร้ายแรงและเกรงว่าผู้ต้องหาจะ
ไปกระทำผิดซ้ำอีก
ในชั้นพิจารณาคดี ศาลชั้นต้นได้ยกคำร้องขอปล่อยคราวเช่นกัน และทนายได้โต้แย้ง
ต่อศาลอุทธรณ์ว่า การสั่งไม่ปล่อยชั่วคราวตาม ม.108/1 นั้นต้องเข้าข่าย ผู้ต้องหา/จำเลย
จะหลบหนี,จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน, จะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น, ผู้ร้อง
ขอประกันไม่น่าเชื่อถือ, จะไปก่อความเสียหายต่อการสอบสวนหรือดำเนินคดี ซึ่งคดีนี้
ไม่ปรากฏว่าจำเลยจะไปยุ่งกับพยานหลักฐานเพราะพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการ
เรียบร้อยแล้ว ส่วนการหลบหนีนั้นเป็นเพียงข้อสันนิษฐานโดยไม่ปรากฏเหตุอันควรเชื่อ
ว่าจำเลยจะหลบหนี ส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีนี้เป็นเรื่องร้ายแรงนั้นเป็นการวินิจฉัย
ข้อเท็จจริงนอกสำนวน และขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 39วรรค 2 และ 3 เพราะคดี
นี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่แน่ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงต้องถือว่า
จำเลยบริสุทธิ์
เอกสารคำร้องขอปล่อยชั่วคราวยังระบุอีกว่า การไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราวจะทำให้
เป็นอุปสรรคต่อการต่อสู้คดีของจำเลย การรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆ ทำได้ยากลำบาก
อาจทำให้เสียความยุติธรรมได้ และเมื่อเปรียบเทียบกับโทษคดีข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ
ซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต ศาลก็ยังเคยปล่อยตัวชั่วคราวมาแล้ว หรือแม้แต่คดีของบุคคลมี
ชื่อเสียงอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ศาลก็เคยให้ปล่อยชั่วคราว
โดยสั่งอนุญาตตั้งแต่ยังอยู่ในห้องพิจารณาคดี นอกจากนี้ในชั้นฝากขังพนักงานสอบสวน
คัดค้านการปล่อยชั่วคราว ขณะที่ในชั้นพิจารณาคดีของศาลที่กำลังดำเนินอยู่นี้ พนักงาน
อัยการโจทก์ไม่ได้คัดค้านการขอปล่อยชั่วคราว จึงร้องขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งปล่อย
ชั่วคราวในระหว่างพิจารณาคดี
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ราวกลางเดือนธันวาคม ศาลอุทธรณ์ได้ยืนยันเหตุผลเดิมของ
ศาลชั้นต้น พิจารณายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว
นอกจากคดีหมิ่นฯ แล้ว เธอยังโดนคดีจากกรณีที่นำมวลชนสนามหลวงจำนวนหนึ่ง
ไปปิดล้อม บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด ถนนพระอาทิตย์ พร้อมกล่าวโจมตี
สนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.51 อีกหลายข้อหา ทั้งสองคดีนี้จะมีการสืบพยานโจทก์
และจำเลยในราวเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้
น่าสังเกตว่า ในวันขึ้นศาลเพื่อนัดหมายสืบพยาน ตรวจสอบหลักฐานนั้น
เธอถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำ และปรากฏตัวในชุดนักโทษที่แปลกไป จากเดิมที่เป็น
ชุดสีน้ำตาลล้วน มาเป็นเสื้อสีน้ำตาล มีแถบสีแดงสดที่ปลายแขน ซึ่งมันเป็นเสื้อของ
ผู้ต้องขังคดีอุกฉกรรจ์ เช่น ค้ายาบ้าเกินหนึ่งหมื่นเม็ดขึ้นไป
บุญยืน: นักโทษที่ไม่มีใครรู้จัก
กรณีของบุญยืนต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
บุญยืน ประเสริฐยิ่ง เป็นหญิงวัยกลางคน เธอเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว
ประกอบอาชีพรับซื้อของเก่าอยู่แถวชานเมือง มีคนบอกว่าเธอยังเป็นหมอดูด้วย
และมาเคลื่อนไหวร่วมชุมนุมที่สนามหลวงตั้งแต่หลังรัฐประหารโดยไม่ให้ที่บ้านรู้
เธอเรียนไม่สูงนัก บุคลิกแบบหญิงชาวบ้านขาลุย แต่ก็ประกาศตัวชัดว่าเป็นคนรัก
ประชาธิปไตย ไม่มีใครรู้ประวัติที่มาที่ไปของเธอมากนัก แต่หลายคนที่ชุมนุมแถว
สนามหลวงเป็นประจำ ไม่ว่าเวทีเล็ก เวทีใหญ่ เวทียิบเวทีย่อย แบบรวมตัวกันเองสะเปะ
สะปะไม่ต้องมีแกนนำ น่าจะรู้จักเธอดีในฐานะมือไฮปาร์กที่ดุดัน แอคชั่นเดือดเด็ด
บุญยืนเข้ามอบตัวทันทีต่อเจ้าหน้าที่ในวันที่ 15 ส.ค.51 หลังจากทราบว่าโดนข้อหา
นี้เพราะเกรงจะเป็นข่าวโด่งดัง เสียชื่อวงศ์ตระกูล หลังจากนั้นก็ถูกนำตัวไปไว้ใน
เรือนจำแดนเดียวกับดารณี แต่ทั้งสองถูกสั่งห้ามไม่ให้พูดคุยกัน
ด้วยความหวาดกลัว เธอตัดสินใจรับสารภาพตามคำแนะนำของผู้หวังดี
ซึ่งรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ในเรือนจำด้วย โดยไม่ตั้งทนายต่อสู้คดี แม้ว่าจะยังรู้สึกตะขิด
ตะขวงกับสำนวนบางส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ก็ตาม
วันที่ 6 พ.ย.51ศาลพิพากษาจำคุกเธอ 12 ปี ข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นรัชทายาท และ
ลดโทษให้กึ่งหนึ่งจากการสารภาพ เหลือโทษจำคุก 6 ปี
บุญยืนเล่าเรื่องราวทั้งน้ำตานองหน้า แต่ยังคงมั่นใจกับการตัดสินใจยอมรับ
สารภาพดังกล่าว และคิดว่าการยืนยันต่อสู้อย่างที่ดากำลังทำนั้น รังแต่จะทำให้โทษ
ยิ่งรุนแรงขึ้น และเป็นที่น่าหมั่นไส้ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองทั้งหลาย
และเนื่องจากเธอเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของบ้าน การอยู่ในเรือนจำนานหลายเดือน
ทำให้บ้านและรถถูกยึดไปหมดแล้ว เพราะไม่ได้ส่งดอกเบี้ยที่ได้ทำธุรกรรมขายฝากไว้
จนไม่รู้ว่าลูกชายคนเล็กที่กำลังเรียนหนังสือจะไปอยู่ที่ไหนได้
อาจจะด้วยความอัดอั้นตันใจ ความเกรงกลัว ต้องการคนช่วยเหลือ หรืออะไรก็ตาม
เธอรีบชี้แจงผ่านกระจกห้องเยี่ยมทั้งที่ยังไม่ทันได้ไถ่ถามว่า เธอไม่ได้กล่าวคำอาฆาต
มาดร้ายต่อรัชทายาทแต่อย่างใด หากแต่ปราศรัยตอนหนึ่งถึงความไม่ได้จงรักภักดี
อย่างแท้จริงของ พล.อ. คนหนึ่งใน คมช. เท่านั้น
คดีนี้สิ้นสุดไปแล้วโดยที่แทบไม่มีใครล่วงรู้
และศาลไม่อนุญาตให้คัดสำเนาคำพิพากษาสำหรับผู้ไม่เกี่ยวข้องกับคดี
ขณะนี้เธออยู่ระหว่างทำเรื่องขอลดหย่อนโทษต่อศาลตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
เพื่อให้ลดโทษเหลือ 3 ปี หรือรอลงอาญา ประกอบกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์
เธอคาดเดาเอาเองว่าจะทราบผลในอีก 5-6 เดือนข้างหน้า
สองชีวิตกับข้อกล่าวหาที่หนักหน่วง
ซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบอยู่ในหลืบเร้นของสังคมนี้
ว่ากันถึงที่สุดแล้ว เราจะล่วงรู้ความจริงในใจผู้คนได้อย่างไรว่า ระหว่างนักการเมือง
นักเคลื่อนไหว หรือกระทั่งฝ่ายซ้ายเก่าที่พร่ำพูดว่าตนจงรักภักดี กับประชาชนตัวเล็กๆ
ที่พูดจาตรงไปตรงมา ... ใครจริงใจ ใครจงรักภักดี หรือใครเป็นภัยมากกว่ากัน
ท่ามกลางความเงียบงันของคดีที่ใครๆ ไม่อยากพูดถึง ข้องแวะ บางคนอาจกำลัง
พยายามหาคำตอบให้กับตัวเองอยู่ว่า ควรจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรในโลกใบเล็กอันลักลั่นนี้
โลกที่มักป่าวประกาศถึง “ประชาธิปไตย” “เสรีภาพ” “ความเท่าเทียม” “สิทธิมนุษยชน”
ฯลฯ ขณะเดียวกันก็ปฏิบัติราวกับไม่รู้จักถ้อยคำเหล่านั้นเลย...โดยเฉพาะกับคนตัวเล็กๆ
กระชากหน้ากากราษฎรอาวุโส
คอลัมน์ เลือกคบไม่เลือกข้าง จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2265 ประจำวัน ศุกร์ ที่ 11 เมษายน 2008
ศักดินาวิชาการ
บทความ : กาหลิบ
วันนี้จะขออุทิศเนื้อที่ของคอลัมน์นี้
แด่คุณธีรยุทธ บุญมี และศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี โดยเฉพาะ
เพราะความพยายามครอบงำความคิดของสังคม โดยบุคคลทั้งสองโดยใช้ “วิชาการ”
เป็นเครื่องมือ ชักจะมากเกินไปเสียแล้ว ความจริงคนอื่นๆ ก็มีครับ แต่ขอวิสัชนาไปตาม
ความแสบ คนทั้งสองกำลังผลัดกันแสดงความเห็น คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญกัน
อย่างเมามัน ชนิดลืมไปเลยว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่ยกร่างขึ้นมาในยุคเผด็จการ ในขณะที่
รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่สุดในประวัติศาสตร์ กลับถูกฉีกทิ้งไปอย่างหน้าตาเฉย
สถานการณ์อย่างนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่มีเซลล์สมองประชาธิปไตยอยู่บ้าง ก็ต้องออกมา
ต่อต้านการฉีกรัฐธรรมนูญนั้นก่อน ไม่ใช่นั่งเลือก ระหว่างเผด็จการชนิดถือปืนเขามาขู่
บังคับคนอื่น กับผู้นำทางการเมืองคนที่ตัวไม่ชอบ
เพราะการรัฐประหาร คือความสุดโต่งอย่างที่ชาวประชาธิปไตยยอมรับไม่ได้
เป็นอนันตริยกรรมของระบอบประชาธิปไตย ว่าอย่างนั้นเถิด เหตุผลใดๆ ก็ตามที่ยกขึ้น
มาอ้างว่า ห้ามแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเหตุผลคลาสสิกที่พูดต่อๆ กันราวผีเจาะปาก
ว่า สมาชิกพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย เสนอแก้ไข
รัฐธรรมนูญเพื่อ “ผลประโยชน์ส่วนตัว” ย่อมฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น โจรมันเข้ามาฆ่าพ่อฆ่าแม่
จนดับดิ้นไปแล้ว ยังมีหน้ามาบอกให้ใจเย็นๆ ลองฟังเหตุผลของมันดูก่อนอีกหรือ
รัฐธรรมนูญเป็นแม่บทของระบอบประชาธิปไตย เพราะได้รวมเอาวิถีชีวิต จิตใจ
กระบวนการขั้นตอน วิธีปฏิบัติ ระบบ ระบอบ ฯลฯ ของทุกอย่างที่เป็นประชาธิปไตย
เอาไว้หมด เขาจึงถือกันในระดับสากลว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ขนาดประเทศที่ไม่ค่อย
รู้จักอะไร อย่างสหรัฐอเมริกาและคนอเมริกัน ก็ยังถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นของศักดิ์สิทธิ์และ
มีฤทธิ์เดชมาก เมื่อมีคนย่องตอดเข้ามาแล้วเอาปืนจี้ กระชากรัฐธรรมนูญไปจากมือเรา
แล้วฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้าต่อตา จะให้นั่งรอต่อไป เพื่อการถกเถียงอภิปรายอีกหรือ
คนที่กระทำการเช่นนั้นควรถูกประหารชีวิตด้วยซ้ำไป
เราจึงเข้าใจได้ยากยิ่ง เมื่อคนที่แสดงตัวเป็นนักวิชาการ อย่างคุณธีรยุทธ และหมอประเวศ
มาพูดประหนึ่งว่า การฉีกรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องธรรมดา และคนที่กำลังเคลื่อนไหวเพื่อทำให้
รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยดุจเดิม ดูจะเป็นคนผิดหรือคนไม่ดี
ถ้าคนทั้งสองที่ว่ามานี้ เป็นปัญญาชนชั้นเลิศ คิดอะไรไม่มีผิด
คนส่วนใหญ่ในประเทศที่เขาไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ ก็คงจะเป็นคนเพี้ยน
แต่ถ้ามติมหาชนผิดไม่ได้ เพราะเป็นสาระอันแท้จริงของระบอบประชาธิปไตยแล้วละก็
คุณธีรยุทธ กับหมอประเวศ ก็คงเป็นพวกไม่เต็ม หรือไม่ ก็ขาดวุฒิภาวะทางประชาธิปไตย
โดยสิ้นเชิง ควรจะย้ายไปอยู่สถาบันเท่ๆ ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการโน่น
คุณธีรยุทธนั้น เป็นผู้นำนักศึกษาที่โด่งดังมาจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ บินสูงมา
ตลอดชีวิต และบัดนี้ ก็ทำท่าว่าจะหาสนามบินร่อนลงไม่ได้ จากภูมิปัญญาปลาวาฬที่เคย
ลุ่มลึก บัดนี้กลายเป็นคนตีฝีปากไปวันๆ มีความใกล้ชิดอย่างยิ่งกับครอบครัวของคุณเกษม
จาติกวณิช หรือ “ซูเปอร์เค” ซึ่งครั้งหนึ่ง เคยเล่นบทบาทเชื่อมฟ้าประสานดิน เหมือนกับคุณ
อานันท์ ปันยารชุน เดี๋ยวนี้ เพราะเขาต้อง “จีบ” ให้อยู่ข้างเดียวกับระบอบอำมาตยาธิปไตย
ไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตรายต่อเขา
ส่วนหมอประเวศ เป็นผู้อาวุโสในวงการพัฒนาที่มิใช่รัฐ และเป็นนักเรียนทุนอานันทมหิดล
แสดงความเห็นอย่างน่ารับฟังมาโดยตลอด จนกระทั่งมายืนอยู่ข้างเดียวกับคนที่ยึดบ้านยึดเมือง
แล้วเอาสติปัญญาที่มี ไปปรนเปรอเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับเขา คนไทยไม่น้อยเขาก็เลิก
ฟังหมอประเวศ อย่าถลำลึกไปถึงขนาดบอกว่า การฆ่าคุณทักษิณไม่ผิด หากทำให้ประเทศดีขึ้น
ก็อาจทำให้คนจำนวนหนึ่ง เขาอยากจะหันกลับมาฆ่าคนพูดแทนก็ได้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ความเห็นที่ชอบธรรม ต้องมาจากภูมิหลังที่ไม่น่ารังเกียจด้วย
ใครคิดจะเชื่อคุณธีรยุทธ กับหมอประเวศ ก็ลองใคร่ครวญดูเถิดครับว่า
ที่แท้แล้วเขาสนับสนุนใคร และปกป้องใคร ไม่ใช่ประชาชนแน่
6 ตุลา ประชาธิปัตย์ยืนดูตำรวจ ทหารฆ่าประชาชน
INTRO :
this article (in Thai) retraces the events on October 6, 1976
in which Thai military and right wing extremists committed unpunished crimes
against humanity by mass murdering students / pro democracy activists at
Thammasat University, then staged a coup - overthrew an elected government
(that led by Democrat Party at that time). Many students now in their 50s, told
similar story of the event, my be different in details but still the same story.
However, almost all versions tend to overlook many important facts and time lines,
such as the Democrat Party who was the government at the time did not do much
of anything to prevent or to stop the violence that occurred in the morning of
October 6, 1976. By that time, Democrat's government still in full power
but police / military forces combined with army of right wing extremists could
roamed freely, armed and murderous. Students on Thammasat campus were
beaten, shot, stabbed, staked, raped, burnt, and arrested if survived. All these
murderous details are well known today but the fact that Democrat's government
did nothing is something Bangkok middle class don't usually talk about. In fact,
the government, the Democrat Party had publicly announced to press charges
against students for causing problems - hour after violence broke out on campus.
Although not in the article, after October 6 bloodbath, thousand of students escaped,
and joined the Communist Party of Thailand in arms struggle against the Thai
government. Many years later under 66/23 policy in which the Thai government
made deals with China to stop communists movements in Thailand, all students
and most of communist party returned home. Unbelievably enough, many of this
Communist Party of Thailand became active ultra-conservatives , ultra royalists,
working side by side, heart and soul of "Bureaucratic Polity" or in Thai
called "Amarttaya thipatai" , a system in which combined old world power
like ruling class / families, military, old world capitalists / industrial groups / mass
media , Bangkok middle class and the Democrat Party - joining forces of a few to
rule and share power, regardless of how the rest of the people say.
This is probably why story of October 6, 1976 was incompletely told.
Only handful of extreme right wing characters were placed as monsters in this
"based on true story" version of history. Characters like Samak Sundaravej
who in fact had small - unimportant role (but very visible) in October 6 incident.
Samak Sundaravej himself, is a controversial character and easy / visible target
but what he did to offend the old world is that, later in his life, he came out against
the circle of "Bureaucratic Polity" or "Amarttaya thipatai". And
this probably made him a mass media target.
At the same time, Bangkok middle class tend to, again, overlook the role of Thai
mass media itself. The violence of October 6, 1976 got started with a fake photograph
published in Dao Siam newspaper and Bangkok Post. The photograph in
question caused misinformation, promoted hatred, and led extreme right wingers to believe
that students gathering on Thammasat campus were about to overthrow the royal
family. - With Vietnam war came to horrific end for right wingers, one fake photograph
was enough to make people killed. But Bangkok middle class will not talk about this.
Also the article does not mention the mastermind behind October 6, 1976
which is understandable since no one dares. (ask Thais who have to leave the country)
However, the article collects useful, comprehensive information in time line. The
focus is purposely on the Democrat Party since writer of this article intended to make
a political attack. Still, it gives enough to begin future searching.
INTRO :
ช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชนชั้นปรสิตในระบอบอมาตยาธิไตยได้บิดเบือน
ประวัติศาสตร์ 6 ตุลาคม 2519 จนกระทั่งพวกตนเองก็พลอยสับสนไปกับลำดับเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นจริง ทั้งที่ตัวการนำสู่การนองเลือดนั้นก็คือ “สื่อมวลชน” ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ
ยานเกราะของทหาร หนังสือพิมพ์..คือดาวสยาม และ บางกอกโพสต์ รวมไปถึง
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปล่อยให้จอมพลถนอมเดินทางกลับมาตั้งแต่ต้น..
และหลังจากนโยบาย 66/23 ของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ในรัฐบาลของ
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ..กลุ่มคนเดือนตุลาที่ว่านี้ก็มีโอกาสกลับมาทำมาหากิน
และ”หากินกับศพเพื่อน”มากว่าสองทศวรรษ จนนักอุดมการณ์ในวันนั้นกลายเป็น
เพียงชนชั้นปรสิต ที่เสวยสุขกับระบอบอมาตยาธิปไตย..บนความทุกข์ของประชาชน
ครั้งนี้ ลองมาไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ ข้อมูลเดิมๆ – ตามที่เกิดขึ้นจริงกันอีกครั้ง
จากบทความเก่า (พ.ศ. 2551) ของเว็บไฮทักษิณ เขียนโดยนายประดาบ ซึ่งปัจจุบันนี้
กล่าวกันว่าทีมงาน..หรือบุคคลกลุ่มนี้ได้ย้ายข้างไปอยู่ฝ่ายอมาตยาธิปไตย พร้อมกับ
นายเนวิน ชิดชอบ เมื่อปลายปี 2551 ..อย่างไรก็ตาม บทความนี้ยังคงเป็นประโยชน์ใน
แง่ของข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ซึ่งนายประดาบผู้เขียน มิได้ยกเมฆขึ้นมาเอง แต่ผ่านการ
ค้นคว้า อ้างอิงแหล่งข้อมูลจากที่ต่างๆ และเรายังคงสามารถย้อนกลับไปตรวจสอบข้อมูล
เหล่านั้นได้จากแหล่งข้อมูลสาธารณะต่างๆ ..
ARTICLE :
6 ตุลา ประชาธิปัตย์ยืนดูตำรวจ – ทหารฆ่าประชาชน
บทความ : ประดาบ -- จากเว็บ hi - thaksin
ทนดูทนฟังมาหลายวันด้วยความสะอิดสะเอียนเหลือกำลังกับลีลาและอาการของ
พรรคประชาธิปัตย์ ต่อกรณีเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์การเมือง
การปกครองไทย ที่น่าเศร้าเสียใจและอภัยให้ไม่ได้ กับความโหดร้ายของฆาตรกรใน
เครื่องแบบตำรวจและทหาร ที่เข่นฆ่าล้างผลาญชีวิตนักศึกษาและประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างบ้าคลั่ง
นายสมัคร สุนทรเวช จะเห็นคนตายกี่ศพ ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับ ใครฆ่าประชาชน
ป่วยการที่จะมาไล่บี้ถามหาคาดคั้นกับคนเห็นเหตุการณ์ว่ามีคนตายกี่คนกันแน่
แต่ควรจะต้องไปไล่บี้ถามหาว่าใครฆ่าประชาชน ต่างหากเล่า
ที่สำคัญกว่าจำนวนคนตายว่ากี่ราย กี่ศพ และใครฆ่าประชาชน ก็คือ ทำไมรัฐบาล
ผู้บริหารบ้านเมืองในขณะนั้นไม่ป้องกัน ไม่สกัดกั้น ไม่ยับยั้งการฆ่าประชาชน
จากบันทึกของคนเดือนตุลา ใน เวปไซต์ www.2519.net ได้ลำดับเหตุการณ์ก่อน
จะเกิดกรณี 6 ตุลาคม 2519 ว่าเค้าลางความเลวร้ายและรุนแรง สัญญาณแห่งหายนะ
มีแนวโน้มให้เห็นตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2519 ซึ่งมีการโฆษณาชวนเชื่อใส่ร้ายขบวนการ
นักศึกษาที่กำลังเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็ว อย่างหนักหน่วง
นับจากเดือนมิถุนายน ถึง เดือนตุลาคม เป็นเวลา 4 เดือนเต็ม ที่มีเหตุการณ์ต่างๆ
เกิดขึ้นมากมาย เสมือนเป็นการยั่วยุให้เกิดการปะทะของนักศึกษา กับกลุ่มมวลชน
ที่ได้รับการฟูมฟักจากทหารบางกลุ่ม และใช้สื่อวิทยุยานเกราะ
และสื่อหนังสือพิมพ์ดาวสยาม และ บางกอกโพสต์
โฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่า ขบวนการนักศึกษาเป็นผู้มีเจตนาร้ายต่อ
ประเทศชาติ และพระมหากษัตริย์ เนื่องจากเป็นผู้ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่มี
เป้าหมายโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์
หลายครั้งที่มีการเอ่ยอ้างถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มักจะมีตัวละครหลักอยู่
เพียง 3 ตัว คือ นักศึกษา ตำรวจ-ทหาร และ สื่อ ไม่ทราบว่าเป็นความตั้งใจที่จะ
หลีกเลี่ยงไม่พูดถึงรัฐบาลที่บริหารราชการแผ่นดินในห้วงเวลานั้น หรือเป็นเพราะ
ไม่มีใครให้ค่า ให้ราคารัฐบาลในขณะนั้น ทั้งๆ ที่รัฐบาลเป็นผู้มีหน้าที่บริหารประเทศ
ให้เกิดความสงบเรียบร้อย และดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
เป็นไปได้อย่างไรที่รัฐบาลในขณะนั้น ปล่อยให้มีการใช้สื่อของรัฐและสื่อเอกชน
ปลุกระดมมวลชนให้เข้าใจผิดต่อขบวนการนักศึกษา ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นผู้มี
แผนการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ และ มีพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริงสักเรื่องเดียว
อีกทั้งรัฐบาลยังดำเนินการจับกุมแกนนำนักศึกษา ด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ตามที่สื่อตั้งข้อกล่าวหา ไปคุมขัง แต่ปฏิเสธที่จะทำตามข้อเรียกร้องของนักศึกษาที่ให้
ขับจอมพลถนอม กิตติขจร ในคราบของเณร ออกจากประเทศไทย โดยอ้างว่าเป็น
สิทธิตามรัฐธรรมนูญของจอมพลถนอม ที่จะอยู่ในประเทศไทยได้ ทั้งๆ ที่จอมพล
ถนอม เป็นผู้ทำลายระบบประชาธิปไตย และทำลายรัฐธรรมนูญ มาก่อน ท่าทีและ
การดำเนินการของรัฐบาล จึงเท่ากับเป็นการจงใจยั่วยุให้นักศึกษาลุกฮือขึ้นมานั่นเอง
รัฐบาลที่ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน แต่ไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อย
ในประเทศ และไม่สามารถคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ ในขณะนั้น
ก็คือ รัฐบาลที่มี “พรรคประชาธิปัตย์” เป็นแกนนำ มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้า
พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี หรือเรียกตามภาษาการเมืองทั่วไปว่า เป็น
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ หรือ รัฐ บาลหม่อมเสนีย์นั่นเอง
จากลำดับเหตุการณ์กรณี 6 ตุลาคม 2519 ที่ปรากฏอยู่ในเวปไซต์ www.2519. net
ระบุว่าเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม
2516 อย่างยิ่ง กล่าวคือ หลังจากที่ขบวนการนิสิตนักศึกษา ได้รับชัยชนะจากการ
ประท้วงขับไล่จอมพลถนอม กิตติขจร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้สำเร็จ
แม้จะมีการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อของนักศึกษาและประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่ก็ถือ
ว่าคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่ได้รับคือ การได้ประชาธิปไตยกลับคืนมาสู่ประเทศไทย
หลังจากที่ห่างหายไปนานกว่าสิบปี ที่อำนาจอธิปไตย ไม่ได้เป็นของปวงชนชาวไทย
แต่ไปตกอยู่ในมือทรราช นับเนื่องจากจอมพล สฤษฎิ์ ธนะรัชต์ จนถึงจอมพลถนอม
กิตติขจร และ จอมพลประภาส จารุเสถียร
หลังจากที่พลังนักศึกษาและประชาชน ร่วมกันขับไล่ทรราชออกไปจากประเทศไทย
ได้แล้ว ขบวนการนักศึกษาหัวก้าวหน้าก็เติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นกลุ่มพลังที่สำคัญ
ในการคานอำนาจ เป็นดุลอำนาจใหม่ของสังคมไทย ที่ทำให้กลุ่มอำนาจเดิมซึ่ง
ประกอบด้วยข้าราชการ ตำรวจ และทหาร ที่เคยได้ประโยชน์จากการที่มีอำนาจ
อยู่ในมือและทำอะไรได้ตามใจชอบ ต้องเสียประโยชน์จากากรถูกขบวนการนักศึกษา
ตรวจสอบ และเปิดโปง
ความไม่พอใจและแผนการที่จะกำจัดขบวนการนักศึกษาก่อรูปก่อร่างขึ้นมา
ในหมู่นาย ทหารและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ที่พ่ายแพ้เสียอำนาจไปในเหตุการณ์
14 ตุลาคม 2516 ด้วยการจัดตั้งมวลชน อาทิ ลูกเสือชาวบ้าน กลุ่มนวพล กลุ่ม
กระทิงแดง ซึ่งเป็นนักเรียนอาชีวะ นัก เรียนช่างกล ขึ้นมาเป็นกลุ่มพลัง ก่อกวน
บ้านเมือง หาเรื่องทำร้ายนักศึกษา สร้างสถานการณ์ความไม่สงบขึ้นในประเทศ
เพื่อเปิดโอกาสให้ตำรวจและทหารได้ออกมาแสดงบทบาท และปฏิบัติการรักษา
ความสงบเรียบร้อยในประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดกั้นการเติบโตของ
ขบวนการนักศึกษา ไปถึงขั้นทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง
เหตุการณ์ นิสิตนักศึกษาและประชาชนนับแสนเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย
เมื่อ 14 ตุลาคม 2516 จบลงด้วยชัยชนะเป็นของประชาชน หลังจากที่จอมพลถนอม
กิตติขจร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเดินทางออกนอกประเทศ
แต่เพียง 3 ปี ชัยชนะของนักศึกษาและประชาชน เมื่อ 14 ตุลาคม 2516 ก็พลิกผัน
แปรเปลี่ยนเป็นความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับเมื่อถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 โดยมีการ
ใช้เหตุการณ์ชุมนุมประท้วงไม่ให้จอมพลถนอม กิตติขจร เดินทางกลับประเทศไทย
ของขบวนการนักศึกษามาเป็นเงื่อนไข และกล่าวหาบิดเบือนว่านักศึกษาไม่ได้
ต้องการประชาธิปไตย ไม่ได้คัดค้านจอมพลถนอม แต่ มีเป้าหมายโค่นล้มสถาบัน
พระมหากษัตริย์ และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
วันที่ 29 สิงหาคม 2519 บุตรสาวจอมพลถนอม เข้าพบม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่บ้านพัก เพื่อเจรจาขอให้
จอมพลถนอมกลับประเทศไทย เพื่อบวช
วันที่ 31 สิงหาคม 2519 คณะรัฐมนตรี มีมติไม่ให้จอมพลถนอม เดินทางกลับประเทศไทย
วันที่ 2 กันยายน 2519 แนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ติดใบปลิวต่อต้านการ
เดินทางกลับประเทศไทยของจอมพลถนอม โดยมีขบวนการนักศึกษาเข้าร่วม
วันที่ 3 กันยายน 2519 นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
กล่าวว่ามีมือที่สามจะสวมรอยเอาการกลับมาของจอมพลถนอม เป็นเครื่องมือก่อเหตุร้าย
เป็นการปรากฎชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช ครั้งแรก
ในบันทึกลำดับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ในเวปไซต์ www.2519.net ในฐานะ
ผู้กล่าวเตือนให้ระมัดระวัง “มือที่สาม” จะก่อเหตุร้าย มิใช่ในฐานะผู้ก่อเหตุร้าย
ทั้งก่อด้วยตนเอง หรือสนับสนุน และเป็นการปรากฎชื่อของนายสมัคร สุนทรเวช
เพียงครั้งเดียวในบันทึกลำดับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
แม้รัฐบาลจะมีมติไม่เห็นด้วยกับการกลับประเทศไทยของจอมพลถนอม กิตติขจร
แต่ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2519 จอมพลถนอม กิตติขจร ในคราบของสามเณร
ก็อาศัยผ้าเหลืองห่มตัว เดินทางจากสิงคโปร์ มาถึงวัดบวรนิเวศ เมื่อเวลา 10.00 น. โดย
มีนายทหารและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ไปรอต้อนรับ
พฤติการณ์ของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่แตกต่างจากปากว่าตาขยิบ
ทั้งๆ ที่มีมติคณะรัฐมนตรีว่าไม่ให้เข้าประเทศไทย แต่เมื่อจอมพลถนอม เดินทางมาถึง
กลับมีทหารชั้นผู้ใหญ่ไปรอต้อนรับและให้ความคุ้มครอง อีกทั้งวิทยุยานเกราะของ
ทหาร ยังโจมตีนักศึกษาที่ต่อต้านคัดค้าน ว่าเป็นผู้ทำลายศาสนา
โฆษกรัฐบาลแถลงว่าจอมพลถนอม เข้ามาบวชตามที่ได้ขอรัฐบาลไว้แล้ว
และน่าจะพิจารณาตัวเองได้หากเกิดความไม่สงบขึ้น
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะนั้น ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะขับจอมพลถนอม
ออกนอกประเทศ ตรงกันข้ามกลับเปิดโอกาสให้จอมพลถนอม พำนักอยู่ใน
ประเทศไทย ได้ตามความพึงพอใจ และไม่มีมาตรการใดๆ กำกับดูแลเป็นพิเศษ
แต่ปล่อยให้เป็นไปตามวินิจฉัยของจอมพลถนอมเอง
ท่าทีของรัฐบาลต่อการกลับมาเข้ามาของจอมพลถนอม ทำให้ขบวนการนักศึกษา
ไม่พอใจ เพราะจอมพลถนอม คือหัวหน้าทรราชที่ทำลายประชาธิปไตยของประเทศไทย
ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน
วันที่ 21 กันยายน 2519 นายสุรินทร์ มาศดิตถ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
แถลงว่ารัฐบาลมีมติจะให้จอมพลถนอม ออกไปนอกประเทศโดยเร็ว
วันที่ 23 กันยายน 2519 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในขณะที่ทหารเตรียมกำลังเต็มอัตราศึก และ
สถานีวิทยุยานเกราะออกอากาศให้ตำรวจจับนักศึกษาที่ติดโปสเตอร์ต่อต้านจอมพลถนอม
วันที่ 24 กันยายน 2519 พนักงานการไฟฟ้านครปฐม 2 คน ที่เป็นสมาชิกแนวร่วม
ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ถูกสังหารและแขวนคออย่างโหดเหี้ยม
วันที่ 25 กันยายน 2519 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
เป็นนายกรัฐมนตรี อีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่ขบวนการนักศึกษา และ แนวร่วมต่อต้าน
เผด็จการแห่งชาติ เรียกร้องให้ขับจอมพลถนอม ออกนอกประเทศ และ เร่งจับ
ฆาตรกรสังหารพนักงานการไฟฟ้า โดยเร็ว
วันที่ 30 กันยายน 2519 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค
ประชาธิปัตย์ ยืนยันว่าข้อเรียกร้องให้พระถนอม ออกนอกประเทศนั้น รัฐบาลทำไม่ได้
เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ทั้งๆ ที่รัฐบาลมีมติไม่ให้จอมพลถนอม เข้าประเทศ แต่ก็ไม่ขัดขวาง และดำเนินคดี
เมื่อจอมพลถนอม แอบเข้าประเทศ แล้วยังมาบอกว่าไม่สามารถขับออกไปได้
เพราะขัดรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้ขบวนการนักศึกษา และญาติวีรชนที่เสียชีวิตเมื่อ
14 ตุลาคม 2516 ประท้วงกันอย่างต่อเนื่อง
4 ตุลาคม 2519 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ามีตำรวจกลุ่มหนึ่ง
เป็นผู้สังหารโหดพนักงานการไฟฟ้านครปฐม ที่ต่อต้านจอมพลถนอม ในขณะที่
นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงละครล้อเลียนการสังหารโหดพนักงาน
ไฟฟ้านครปฐม ที่ถูกฆ่าแขวนคอ
การแสดงละครของนักศึกษา ถูกสถานีวิทยุยานเกราะบิดเบือนให้ประชาชน
เข้าใจผิดและหลงเชื่อว่านักศึกษาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และมีแผนการโค่น
ล้มสถาบันพระมหากษัตริย์
โดยบอกว่าผู้แสดงเป็นคนถูกแขวนคอมีหน้าคล้ายเจ้าฟ้าชาย
5 ตุลาคม 2519 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่
โดยไม่มีนายสมัคร สุนทรเวช ร่วมเป็นรัฐมนตรี
หนังสือพิมพ์ดาวสยาม และหนังสือพิมพ์ “บางกอกโพสต์”
เผยแพร่ภาพการแสดงละครล้อการแขวนคอของนักศึกษา
โดยพาดหัวข่าวเป็นเชิงว่าการแสดงดังกล่าวเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
สถานีวิทยุยานเกราะ โดยพ.อ.อุทาร สนิทวงศ์ ประกาศว่า
“เดี๋ยวนี้การชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ไม่ใช่เป็นเรื่องต่อต้านพระถนอมแล้ว
หากแต่เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” และ “ขอให้รัฐบบาลจัดการกับผู้
ทรยศเหล่านี้โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการนองเลือดที่อาจจะเกิดขึ้น หากให้
ประชาชนชุมนุมกันแล้ว อาจมีการนองเลือดขึ้นก็ได้”
เวลา 21.30 น. นายประยูร อัครบวร รองเลขาธิการฝ่ายการเมือง ของศนนท.
ได้นำนักศึกษา 2 คนที่แสดงเป็นพนักงานการไฟฟ้าที่ถูกแขวนคอ มาแถลงข่าว
เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่า “ทางนักศึกษาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสถานี
วิทยุยานเกราะและหนังสือพิมพ์ดาวสยาม จึงให้ร้ายป้ายสีบิดเบือนให้เป็นอย่างอื่น
โดยดึงเอาสถาบันที่เคารพมาเกี่ยวข้อง”
ถัดมาอีกเพียง 10 นาที คือ เวลา 21.40 น. รัฐบาลก็ออกแถลงการณ์ทาง
สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ว่า “ตามที่มีการแสดงละครที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ศกนี้ มีลักษณะเป็นการหมิ่นหรือการแสดงความอาฆาต
มาดร้ายต่อองค์รัชทายาท รัฐบาลได้สั่งการให้กรมตำรวจดำเนินการสอบสวน
กรณีนี้โดยด่วนแล้ว”
หลังจากนั้น สถานีวิทยุยานเกราะ ก็ปลุกระดมมวลชนและลูกเสือชาวบ้านให้
ไปรวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการจับ
กุมผู้กระทำการหมิ่นองค์สยามมกุฎราชกุมารมาลงโทษ และ กล่าวหานักศึกษา
หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตลอดทั้งคืนจนถึงเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519
6 ตุลาคม 2519 เวลา 08.10 น.
นาทีแห่งการเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนผู้บริสุทธิ์ก็อุบัติขึ้น
โดย พล.ต.ต.เสน่ห์ สิทธิพันธุ์ บัญชาการให้ตำรวจตระเวณชายแดน หรือ ตชด.
พร้อมอาวุธสงครามครบมือบุกเข้าในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ซึ่งมีนักศึกษาชุมนุมกันอยู่ประมาณ 3,000 คน
การระดมยิงเข้าใส่ของตชด. ทำให้นักศึกษาเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
ในขณะที่ส่วนใหญ่ยอมจำนน ถูกจับถอดเสื้อมัดมือไพล่หลัง นอนกลางสนามฟุตบอล
ที่ร้อนระอุ แต่อีกส่วนหนึ่งตกใจวิ่งหนีออกด้านหน้าประตูมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ฝั่งสนามหลวง ก็ถูกรุมประชาทัณฑ์จนบาดเจ็บเสียชีวิต บางรายถูกจับแขวนคอ
บางรายถูกเผาสด
3 ชั่วโมงที่ล้อมปราบและเข่นฆ่าอย่างอำมหิตผ่านพ้นไป
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ นักศึกษาที่รอดตายกว่าพันชีวิต
ตกอยู่ในกรงเล็บของมัจจุราชที่เรียกว่า ตำรวจและทหาร โดยมีศพเพื่อนๆ ล้มตาย
อยู่หลายคนและหลายจุด เป็นพยานหลักฐานความโหดร้ายของผู้ฆ่าและผู้สั่งฆ่า
11.50 น. สำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่านายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้ตั้งกองบัญชาการ
รักษาความสงบเรียบร้อยขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล
12.00 น. รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ว่า
1).เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพสยามมกุฎราชกุมารได้
แล้ว 6 คน จะดำเนินการฟ้องศาลโดยเร็ว
2). เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าควบคุมสถานการณ์การปะทะกันที่
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้แล้ว
3). รัฐบาลได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายโดยเด็ดขาด
เป็นแถลงการณ์ที่บ่งบอกถึงความเด็ดขาดของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้
เลือกข้างแล้วว่าจะยืนอยู่ตรงข้ามกับนิสิตนึกศึกษาประชาชน ที่ถูกเข่นฆ่าล้มตาย
ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และดำเนินการตามข้อเรียกร้องของสถานีวิทยุยานเกราะ
และลูกเสือชาวบ้านที่ถูกปลุกระดมขึ้นมาทุกประการ ทั้งยังกล่าวหาว่านักศึกษา
ดำเนินการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งต่อมามีพยานหลักฐานปรากฎชัดว่านักศึกษา
เป็นผู้ถูกใส่ร้ายโดยสถานีวิทยุยานเกราะของทหาร เป็นผู้บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร
หลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อด้วยความเข้าใจผิด
แต่อีกเพียง 6 ชั่วโมงต่อมา
พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของรัฐบาลหม่อมเสนีย์
ก็ประกาศยึดอำนาจปกครองแผ่นดิน เป็นการสิ้นสุดวาระของรัฐบาลพรรค
ประชาธิปัตย์ และนำประเทศไทยเข้าสู่ยุคสมัยของเผด็จการอีกครั้งหนึ่ง
จากลำดับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ของคนเดือนตุลา ในเวปไซต์ www.2519.net
ที่ได้นำมาบอกกล่าวข้างต้นนี้ มีข้อพึงสังเกตและตั้งคำถามหลายประการด้วยกัน ดังนี้
1. พึงสังเกตว่า มีการใช้สื่อมวลชน ได้แก่วิทยุ และหนังสือพิมพ์ เป็นเครื่องมือ
ปลุกระดมมวลชน และเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ให้ประชาชนหลงผิด เข้าข่ายการ
โฆษณาชวนเชื่อ ใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมือง แบ่งแยกคนในชาติเป็น
ฝักฝ่าย และทำร้ายซึ่งกันและกัน โดยขาดสติ ไม่ยั้งคิด ซึ่งวิธีการเช่นนี้ ได้ถูกนำ
มาใช้โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล และสื่อเครือข่ายผู้จัดการ จนทำให้เกิดความแตกแยก
ของคนในชาติ อย่างรุนแรง และกลายเป็นเงื่อนไขให้ทหารก่อการรัฐประหาร เมื่อ 19 กันยายน 2549
2. พึงสังเกตว่า มีการแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง
และใส่ร้ายผู้อื่น ด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และไม่จงรักภักดี ในทุกครั้งที่มี
การแย่งชิงอำนาจทางการเมืองและยึดอำนาจปกครองแผ่นดิน
3. พึงตั้งคำถามแก่พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค
ประชาธิปัตย์ ที่บอกว่าแม้จะมีอายุเพียง 11 ปี ในขณะเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
แต่ก็ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาเป็นอย่างดี และ นายชวน หลีกภัย
ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรม
ในห้วงเวลาที่มีการปลุกระดมมวลชนสร้างความแตกแยกให้คนในชาติ และ
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในห้วงเวลาที่มีการเข่นฆ่านักศึกษา
ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า...
เหตุใด รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่หาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้น
ทั้งๆ ที่มีเค้าลางมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2519 และมีความพยายามที่จะก่อเหตุ
วุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองมาโดยตลอด
เหตุใด รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงปล่อยให้จอมพลถนอม เข้ามาในประเทศไทยได้
และไม่ดำเนินการกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ไปรอต้อนรับและคุ้มครองความปลอดภัย
ให้จอมพลถนอม ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดมติคณะรัฐมนตรี
เหตุใด
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่เชื่อนายสมัคร สุนทรเวช ..ว่าจะมีการใช้การ
เดินทางกลับประเทศไทยของจอมพลถนอมเป็นเงื่อนไขสร้างความวุ่นวายขึ้น
เหตุใด รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่ขับจอมพลถนอม ออกนอกประเทศ
ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะเป็นชนวนให้นักศึกษาชุมนุมประท้วงและมีโอกาสที่จะเกิดการ
ปะทะกันได้โดยง่าย เนื่องจากมี “มือที่สาม” รอสร้างสถานการณ์อยู่แล้ว
เหตุใด รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงพูดจาภาษาเดียวกับสถานีวิทยุยานเกราะ
กล่าวหาว่านักศึกษาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
เหตุใด รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่ดำเนินการกับสถานีวิทยุยานเกราะ
ซึ่งดำเนิน การปลุกระดม สร้างความแตกแยกให้แก่คนในชาติ ขัดต่อความสงบ
เรียบร้อยของบ้านเมือง
เหตุใด รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยอม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี และ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของทหาร และตำรวจ จึง
ไม่ออกคำสั่งหยุดการเข่นฆ่านักศึกษา ของตำรวจและทหาร แต่กลับปล่อยให้มีการ
ล้อมปราบและสังหารโหด ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้มีผู้ล้มตายและบาดเจ็บจำนวนมาก
ต้องถามว่า พล.ต.ต.เสน่ห์ สิทธิพันธุ์
ได้รับคำสั่งจากใคร จึงสั่งการให้ตชด. บุกเข้าไปยิงนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ต้องถามว่า ในฐานะรมว.มหาดไทย ซึ่งกำกับดูแลกรมตำรวจ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดำเนินการอย่างไรบ้าง เมื่อเห็นตำรวจฆ่านักศึกษา
ต้องถามว่า นายชวน หลีกภัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในขณะนั้น
แสดงบทบาท ท่าทีอย่างไรเมื่อเห็นการประหารโหดนักศึกษา ด้วยเหตุที่เชื่อว่า
เป็นคอมมิวนิสต์ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ต้องถามว่า ในขณะที่นักศึกษาถูกล้อมปราบและเข่นฆ่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
ได้แสดงบทบาทอย่างไรบ้าง ต่อการทำหน้าที่ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
และรักษาความสงบเรียบร้อยของคนในชาติ
ต้องถามว่า นับแต่การสังหารโหดเริ่มต้นเมื่อเวลา 08.10 น. จนถึง 11.50 น. ที่
รัฐบาลแถลงว่าได้ตั้งกองบัญชาการรักษาความสงบเรียบร้อยขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว
เป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมงที่ตำรวจและทหารใช้อาวุธสงครามสังหารโหดนักศึกษา
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกคำสั่งให้ตำรวจและทหารหยุดปฏิบัติการ บ้างหรือไม่
และมีรัฐมนตรีคนใด ไปดูเหตุการณ์ สถานการณ์ในพื้นที่หรือไม่
ต้องถามว่า สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ศึกษาประวัติศาสตร์การบริหารราชการแผ่นดิน
ในห้วงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปเป็นรัฐบาลทั้งก่อนเกิดเหตุและวันเกิดเหตุ
6 ตุลาคม 2519 บ้างหรือไม่ และมีความเห็นอย่างไรกับบทบาทท่าทีของพรรค
และรัฐมนตรีของพรรค ที่คิดแต่หนีเพื่อเอาตัวรอด และปล่อยให้นักศึกษาประชาชน
ถูกเข่นฆ่าล้มตายเป็นใบไม้ร่วง
ต้องถามว่า หลังการเข่นฆ่านักศึกษาผ่านพ้นไป ทำไมรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
จึงออกแถลงการณ์ ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่ารัฐบาลเลือกที่จะยืนฝั่งตรงข้ามกับนักศึกษา
ซึ่งเป็นผู้พ่ายแพ้ในวันนั้น ด้วยการจะดำเนินการส่งฟ้องผู้ถูกตำรวจจับกุมข้อหา
หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยเร็ว ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่ว่าเป็นข้อหาที่เกิดขึ้นจากการบิดเบือน
ข้อมูลข่าวสารของสื่อ มิใช่เกิดจากพฤติกรรมของนักศึกษา จริงๆ
ต้องถามว่า หลังจากเหตุการณ์นองเลือดผ่านพ้นไป
เหตุใด พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของรัฐบาลพรรค
ประชาธิปัตย์ จึงก่อการรัฐประหาร ยึดอำนาจปกครองแผ่นดิน ล้มรัฐบาลที่ตัวเอง
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไปด้วย
คำถามข้อสุดท้ายนี้ พรรคประชาธิปัตย์ อาจจะตอบไม่ได้ในวันนั้น
แต่วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ น่าจะตอบได้แล้ว เพราะมีช่องทางที่จะค้นหาความจริงได้แล้ว
เนื่องจากขณะนี้บุคคลในครอบครัวของพล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ คือ พล.อ.วินัย ภัทยิกุล
ปลัดกระทรวงกลาโหม เลขาธิการคมช. เป็นนายทหารที่รู้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ได้เข้ามามีความสัมพันธ์อันดีกับพรรคประชา ธิปัตย์ ในฐานะพ่อของส.ส.สกลธี ภัทยิกุล
ส.ส.กรุงเทพฯ ของพรรคประชาธิปัตย์
ไม่น่าเชื่อว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่เกิดขึ้นมาในช่วงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์
เป็นรัฐบาล และมีคำถามมากมายเกี่ยวกับบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ ในเวลานั้น
ที่ยังไม่มีคำตอบจวบจนวันนี้ จะหวนกลับมาอีกครั้งจากการขยายประเด็นของพรรคประชาธิปัตย์
เพื่อจะเล่นงาน นายสมัคร สุนทรเวช แต่ดูเหมือนว่า รายการนี้จะเป็นการขว้างงูไม่พ้นคอ
ในขณะที่ นายสมัคร สุนทรเวช ต้องตอบ 1 คำถามว่าเหตุใดจึงพูดว่าเห็นคนตาย 1 คน
แต่พรรคประชาธิปัตย์ ต้องตอบให้ได้ว่าทำไมจึงไม่ป้องกัน
และไม่สกัดกั้นการเข่นฆ่านักศึกษาประชาชน
อ่านประวัติศาสตร์ 6 ตุลาคม 2519 จบลงเที่ยวนี้ ผมเชื่อแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์
รู้ดีที่สุดเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 โดยเฉพาะนายชวน หลีกภัย ประธาน
ที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ
เพราะฉะนั้น หากใครอยากจะถาม อยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับ 6 ตุลาคม 2519
ต้องถามพรรคประชาธิปัตย์ จะได้คำตอบดีที่สุด
แต่อย่าลืมตอบคำถามหลายข้อของผมด้วยนะครับ
Subscribe to:
Posts (Atom)