Thursday, November 19, 2009

มติชนเขียนข่าวโกหก !! Matichon News Lies !!




โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์ : 19 พฤศจิกายน 2552

สื่อไทยชั่วสุดขีด ล่าสุดมติชนโกหกว่า"จักรภพ"แถลงข่าวส่งอาวุธเขมรเข้าไทย

ยังมีพฤติการณ์ที่ตกต่ำหาความเชื่อถือไม่ได้ ไร้การตรวจสอบข่าว เอาแต่จะจ้องทำลายดิสเครดิตฝ่าย
ประชาธิปไตยเป็นสมุนช่วงใช้เผด็จการเข้าทุกวันสำหรับสื่อกระแสหลัก หลังจากอาทิตย์ที่แล้ว เครือผู้จัดการ
และสื่อกระแสหลักโหมชวนเชื่อว่าทักษิณให สัมภาษณ์TIMES ONLINEหมิ่นเบื้องสูง ทั้งที่ทักษิณให้
สัมภาษณ์จงรักภักดี และเมื่อวานยังออกข่าวมั่วอีกใส่ไคล้ว่านักท่องอินเตอร์เน็ตที่เป็นนาง พยาบาลกับ
ดีเจจัดรายการผ่านแคมฟร็อกเป็นคนคุมการยิงระเบิดM79ใส่เวทีพันธมิตร

(ดูลิ้งค์ข่าว ฮาลั่นเวบเสธ.แดง พธม.แหลใส่นางพยาบาลเล่นเน็ตกับDJแคมฟร็อกเป็นมือบึ้มM79ถล่มพันธมิตร )

ล่าสุดมาถึงคิว"สื่อคุณภาพของประเทศ"อย่างมติชนออนไลน์กันบ้างที่พาดหัวข่าวว่า
บก.เรดนิวส์ยัน"จักรภพ"แถลงข่าวส่งอาวุธเขมรเข้าไทย19พ.ย. โดยเนื้อหาข่าวมีดังนี้

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเย็นวันที่ 18 พฤศจิกายนได้รับแจ้งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือ
ระบุข้อความนัดหมายสื่อมวลชนว่า นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำคนเสื้อแดงที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดี
จะแถลงข่าวส่งอาวุธเขมรเข้าไทย วันที่ 19 พฤศจิกายน.เวลา 14.30 น. ที่ชั้น 5 ห้อง
เรดช็อป อิมพีเรียล ลาดพร้าว อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่อไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็น
ผู้แจ้งกำหนด การดังกล่าวแต่ปรากฏว่าได้ปิดเครื่องไม่สามารถติดต่อได้

ขณะที่นาย จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทยและแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ
แห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า ตนไม่ทราบความเคลื่อนไหวของนายจักรภพว่าได้เข้ามาประเทศไทยแล้วหรือยัง
เพราะหลังจากที่นายจักรภพประกาศแยกทางไปตั้งกลุ่มแดงสยามก็ไม่ได้ติดต่อ ประสานงานกันอีกเลย ส่วน
การแถลงข่าวของนายจักรภพในวันที่ 19 พ.ย. ก็เป็นเรื่องของนายจักรภพ ส่วนพวกตนก็คือ นปช. โดยหลังจาก
การประชุมในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ แกนนำ นปช.จะแถลงข่าวในเวลา 13.00 น.ที่อิมพีเรียลลาดพร้าวเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวมติชน ได้โทรศัพท์สอบถามไปยังนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำ นปช.และ
บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Red News ของคนเสื้อแดง ได้กล่าวยืนยันว่า
นายจักรภพจะเปิดแถลงข่าวจริง
ใน เวลา 14.30 น. วันที่ 19 พ.ย. นี้ ที่ ร้าน Red Shop ชั้น 5 อิมพีเรียล
ลาดพร้าว ขณะที่ แกนนำ นปช. 3 เกลอนั้นจะแถลงข่าวที่ ชั้น 6 สถานที่เดียวกัน


สำหรับนายจักรภพ นั้น เป็นต้องหาในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
กรณีกล่าวบรรยายพิเศษเป็นภาษาอังกฤษโดยมีถ้อยคำเข้าข่ายดูหมิ่นสถาบัน ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ
แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ก่อนที่จะหลบหนีหมายศาลและเดินทางไปต่างประเทศ โดยที่
ไม่กลับเข้าประเทศไทยมาตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน 2552 ภายหลังจากการชุมนุมใหญ่และก่อจลาจลโดยกลุ่ม
เสื้อแดง แต่ก็ยังคงมีความเคลื่อนไหวทางด้านการเมืองอยู่เรื่อยๆ


ทีมงานจักรภพโต้ไม่เคยแจ้งเลยว่าเป็นเรื่องแถลงข่าวขนอาวุธเขมรเข้าไทย

ทีม งานนายจักรภพ เพ็ญแข เปิดเผยว่า ได้แต่งุนงงกับข่าวที่มติชนนำเสนอเรื่องแถลงข่าวจะขนอาวุธจากเขมร
เข้าไทยเพราะไม่เคยแจ้งไปเช่นนั้นเลย แต่ได้แจ้งไปยังสื่อมวลชนจริงๆด้วยข้อความว่า

"เรียนพี่น้อง สื่อมวลชนที่รัก ในวันพฤหัสบดีที่ 19 พ.ย. 52 “คุณจักรภพ เพ็ญแข”
จะจัดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เป็นครั้งแรก หลังจากที่ได้เดินทางออกนอกประเทศ เพราะเห็นว่าระยะนี้
มีข่าวเกี่ยวกับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านออกมามาก มาย ซึ่งถูกบ้างผิดบ้าง จึงอยากจะเปิดใจให้
ทุกท่านได้รับทราบถึงข้อเท็จจริงจึงขอเชิญพี่น้องสื่อมวล ชน มาร่วมฟังการแถลงข่าวในครั้งนี้โดยพร้อมเพรียงกัน
ในวันพฤหัสบดีที่ 19 พ.ย. 52 เวลา 14.00 น. ณ ห้องเสวนา ชั้น 5 (The Red Shop) ห้างอิมพีเรียล เวิล์ด
ลาดพร้าว ติดต่อคุณนุช 081-6967603, คุณสุณี 089-0412131 กรุณาแจ้งบอกต่อให้ด้วยคะ"

ทั้งนี้จากการสอบถามนาย จักรภพ ทีมงานของนายจักรภพกล่าวว่า
อาจมีการแถลงข่าวในประเด็นนี้หลังจากสื่อมวลชนนำเสนอข่าวคลาดเคลื่อน เหมือนการพยายามโยงว่าฝ่าย
ทักษิณไปติดต่อกับเขมรเพื่อขนอาวุธเข้ามาก่อเหตุในไทย ซึ่งเป็นความพยายามของสื่อกระแสหลักที่จะให้ร้าย
ความเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตย

ทั้งนี้ที่มติชนออนไลน์อ้างว่ามีการแจ้งข้อความผ่าน โทรศัพท์มือถือแจ้งการแถลงข่าวนั้นมีการแจ้งไปจริง
ผ่าน SMSของสำนักข่าว TPnews โดยมีข้อความว่า
"บ่ายสอง19พ.ย.จักรภพแถลงข่าวประเด็นร้อนๆที่ชั้น5อิมพีเรียลลาดพร้าว"

"คุณจักรภพอ่านข่าวแล้วก็ได้แต่ขำๆ มติชนนี่ว่าหนักแล้ว "ข่าวออนไลน์ของเนชั่นทันข่าว"ตลกกว่าอีกบอกว่า
จักรภพจะขนอาวุธมาที่ร้าน เรดช็อป อิมพีเรียลลาดพร้าวกันเลย คุณจักรภพก็ได้แต่ขำๆ และจะถือโอกาสชี้แจง
ความจริงซะเลยในวันนี้"เจ้าหน้าที่ทีมงานนายจักรภพกล่าว และเพิ่มเติมว่า ก่อนนี้มีสื่อบางฉบับนำเสนอข่าวพาดพิง
ว่าจักรภพจะขนอาวุธเข้าไทย เลยทำให้นายจักรภพออกมาชี้แจงแถลงข่าววันนี้ พอส่งหนังสือเชิญทางสื่อมวลชน
มาทำข่าว กลายเป็นเรื่อง"ไปไหนมาสามวาสองศอก"เพราะนำไปพาดหัวว่าจักรภพแถลงข่าวจะขนอาวุธจากเขมร
เข้าไทย

ทั้งนี้จากการที่ทีมงานจักรภพสอบถามไปยังมติชนว่าทำไมเสนอข่าวอย่างนี้
ได้รับคำตอบว่าพอดีในส่วนของการนำเสนอข่าวออนไลน์นั้นเป็นแผนกเล็กๆควบคุม ดูแลไม่ทั่วถึง
และเป็นนักข่าวใหม่ที่ดูแลอยู่ 2คน แต่จนป่านนี้มติชนออนไลน์ก็ไม่ได้แก้ไขข่าวแต่อย่างใด



Sunday, November 15, 2009

ทำไมอำมาตย์ต้องการสงครามที่ชายแดนกัมพูชา

article : SIAM Freedom Fight

อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะนโยบาย
กับต่างประเทศ - และเพียงลำพังพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ก็ไม่ใช่บุคคลเดียวที่บงการทุกอย่างในระบอบ
อำมาตยาธิปไตย ส่วนชนชั้นสูงในระบอบอำมาตยาธิปไตยนั้น แม้นมีนิสัยชอบดูถูกเหยียดหยามเพื่อนบ้าน
แม้นสร้างสมอำนาจด้วยการปลุก "ลัทธิคลั่งชาติ" ให้ประชาชนรู้สึกเป็นศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้านตลอดเวลา
แต่ทว่า ชนชั้นอำมาตยาธิปไตย ซึ่งมีการศึกษา และประกอบด้วยผู้คนหลากหลายอาชีพ ย่อมรู้ดีว่า
สงครามกับประเทศเพื่อนบ้านในศตวรรษปัจจุบัน ไม่สามารถรบยืดเยื้อ หรือขยายขอบเขตสงครามออกไป
จนถึงขั้นรบไล่กันในตัวเมือง เพราะกลุ่มอาเซี่ยนย่อมเข้าแทรกแซง..เพื่อยุติสงคราม แล้วถ้าประเทศคู่สงคราม
ยังคงดื้อดึง ก็ยังมีองค์การสหประชาชาติ และนานาประเทศ ที่จะยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ย เข้ามาบังคับให้ยุติ
การสู้รบนั้นทันที ไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตาม

ดังนั้น ชนชั้นอำมาตยาธิปไตย ย่อมรู้ดีว่าการปลุกกระแสคลั่งชาติอย่างรุนแรง เพื่อนำไปสู่สงครามกับประเทศ
กัมพูชา ปลุกให้ลุกลามถึงขั้นรบราฆ่าฟันกันนั้น ถึงแม้กองทัพไทยไม่อาจเอาชนะเด็ดขาดในสนามรบ แต่ศึก
สงครามก็จะไม่มีวันขยายวงเข้ามาถึงพื้นที่ในตัวเมือง อันเป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นกลาง หรือ "พวกปฏิกิริยา
ชนชั้นกลาง" อันเป็นแนวร่วมสำคัญของระบอบอำมาตยาธิปไตย - ที่แน่นอนที่สุดคือ สงครามนี้จะไม่มีทาง
ขยายวงเข้ามาถึงชานเมืองกรุงเทพฯ เพราะนานาประเทศจะต้องเข้ามาแทรกแซงก่อนที่สงครามจะบานปลาย

สงครามนี้ก็จะอยู่แค่ชายแดนไทย - กัมพูชาเท่านั้น

แล้วใครคือ "ทหารที่ถูกกำหนดให้ตาย" ในสงครามที่ว่านี้ ??

แน่นอนว่า ทหารที่ถูกกำหนดให้ตายในสงครามที่ว่านี้คือ
ทหารพราน ซึ่งส่วนมากเป็น "คนเสื้อแดง"

ถึงแม้เป็นพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 แต่ทหารพรานก็เป็นหน่วยแรก ที่ต้องรักษาพื้นที่แนวชายแดน
ไทย - กัมพูชาเอาไว้ เพราะเป็นหน้าที่ เป็นพื้นที่รับผิดชอบโดยตรง

คนกรุงเทพปลุกกระแสสงคราม แต่ทหารจากกรุงเทพไม่ต้องออกไปรบ
พรรคการเมืองของภาคใต้สนับสนุนสงคราม แต่ทหารจากภาคใต้ก็ไม่ต้องออกไปรบ
แม้แต่ปัญหาในสามจังหวัดของภาคใต้เอง ก็ยังขนคนอีสาน คนเหนือไปรบแทนตัวเอง แล้วคนใต้อยู่ที่ไหน ??
อยู่ที่พิษณุโลก ?? ที่ไม่มีศึกสงคราม ?? หรือเปล่า ?? --

มาถึงสงครามไทย - กัมพูชา ที่อำมาตย์ไทยต้องการให้เกิดขึ้นเสียเหลือเกินนั้น
ที่สุดแล้ว มันก็กำหนดไว้แต่ต้น..ว่าต้องให้ ทหารพราน..ซึ่งส่วนมากเป็นคนเสื้อแดงออกไปรบ
ที่สุดแล้ว มันก็กำหนดไว้แต่ต้น..ว่าต้องให้ ทหารพราน..ซึ่งส่วนมากเป็นคนเสื้อแดงออกไปตาย
ที่สุดแล้ว มันก็กำหนดไว้แต่ต้น..ว่าเมื่อทหารพราน..ซึ่งส่วนมากเป็นคนเสื้อแดงตายไปเยอะแล้ว
มันก็จะเรียกร้องให้นานาประเทศเข้าแทรกแซง เพื่อยุติสงคราม เพื่อทหารกรุงเทพ ทหารคนใต้ไม่ต้องออกรบ

ระหว่างที่มันส่งทหารพราน ลูกหลานคนเสื้อแดงออกไปตายในสนามรบ (ที่มันจงใจให้แพ้มาแต่ต้น) พวกสื่อ
ในกรุงเทพ ก็จะประโคมข่าวให้ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงทุกวี่ทุกวัน ในขณะที่ทหารกรุงเทพ ทหารคนใต้อยู่อย่าง
มีความสุขความสบาย (อาจสะสมกำลังเตรียมรัฐประหาร หรือออกมาไล่ฆ่าคนเสื้อแดง หลังจากที่กำลังทหารพราน
ของเราตายไปแล้วในสนามรบ)

พอจะคิดออกหรือยังว่า ทำไมอำมาตย์ต้องการสงครามที่ชายแดนกัมพูชา



Thursday, October 1, 2009

เพลงชาติไทยคือเพลงของคนเสื้อแดง





เพลงชาติไทยเหมาะกับการต่อสู้ของ "คนเสื้อแดง" อย่างมาก
ราวกับว่าเขียนเนื้อเพลงขึ้นมาให้คนเสื้อแดงโดยเฉพาะ ..ขนาดนั้น
คราวนี้ เราลองมาดูเนื้อเพลงกันที่ละท่อน..

ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
ประโยคนี้ตรงไปตรงมา ไม่ต้องตีความ

เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน
ท่อนนี้สำคัญมากที่สุด .."เป็นประชารัฐ" คือเป็นรัฐของประชาชน
ย้ำอีกครั้ง..เป็นรัฐของประชาชน - และตามด้วย "ไผทของไทยทุกส่วน"
คือแผ่นดินทุกส่วนเป็นของคนไทย นั่นก็หมายความว่าประเทศนี้
เป็น รัฐของประชาชน ซึ่งแผ่นดินทุกตารางนิ้วก็เป็นของประชาชนคนไทย

อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี
ท่อนนี้ก็ตรงไปตรงมา ไม่ต้องขยายความ
และตามต่อด้วย..
ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด
ก็คือ กูอยู่ของกูเฉยๆ อย่ามายุ่งกะกู (รักสงบ) แต่ถ้ามันมากเกินไป
ก็ต้องเป็นเรื่องกัน ..ซึ่งเนื้อความนี้ก็ตรงกับนิสัยคนไทยจริงๆ เวลา
หมดความอดทน ก็ต้องยกพวกมาลุยกันให้เละไปข้างหนึ่ง..(แต่ถึงรบไม่ขลาด)

เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
ท่อนนี้ก็ตรงไปตรงมาอีกเช่นกัน แต่หากขยายความสักนิดหน่อย
"เอกราช" นี้คืออะไร ..ในสังคมศตวรรษที่ 21 ที่ไม่มีการล่าอาณานิคม
ในแบบยกทัพไปยึดครองประเทศ กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยอีกแล้ว
คำว่า เอกราช นั้นไม่ต้องอธิบาย เพราะเป็นคำพื้นฐานที่ทุกคนเข้าใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราโยงเข้าสู่เนื้อความก่อนหน้าในเพลงชาตินี้ คือ
"เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน" - เมื่อเป็นรัฐของประชาชน ที่
แผ่นดินทุกส่วนเป็นของประชาชน ..เอกราชของรัฐนี้ จึงต้องเป็นเรื่อง
สิทธิ เสรีภาพของประชาชน..ในฐานะเจ้าของแผ่นดินตัวจริง

หากประชาชนไม่ใช่เจ้าของแผ่นดินตัวจริง ไม่มีอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง
และถูกครอบงำโดยอำนาจอื่น หรือหากประชาชนจำต้องใช้อำนาจอธิปไตย
นั้นในทางอ้อม หรือถูกริดรอน ถูกแย่งชิง (เช่นรัฐประหาร) ถูกจำกัด กดขี่
ด้วยกฏหมายที่ไม่เป็นธรรม..ไม่มีมาตรฐาน นั่นเท่ากับว่าในรัฐของประชาชน
ที่ว่านี้ไม่มีเอกราช คือถูกครอบครอง ยึดครอง

ดังนั้น การที่ประชาชนลุกขึ้นสู้กับ "อำนาจ" ข้างต้น จึงเป็นไปตามเนื้อความ
ในเพลงชาติไทย ที่ว่า "เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่"

ในท่อนสุดท้าย
สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย
ตรงไปตรงมาอีกเช่นกัน ..เพื่อรักษาเอกราชของรัฐแห่งประชาชน

จึงเป็นเรื่องน่าสนใจ ..หักมุมนิดๆ
ที่รัฐบาลหุ่นเชิดของอำมาตยาธิปไตย เชิญชวนให้ผู้คนร้องเพลงชาติไทยของ
คนเสื้อแดง ในขณะที่คนเสื้อแดงกำลังต่อสู้กับอำมาตยาธิปไตย เพื่อเป็นไป
ตามเนื้อความในเพลงชาติ .. ทำให้คิดต่อไปได้ว่า สาวกอำมาตย์เหล่านี้ ไม่เคย
ฟังเพลงชาติไทยอย่างจริงจังสักครั้งเลย..หรือไม่ ??

ประวัติ ความเป็นมาของเพลงชาติไทย



Sunday, September 20, 2009

ร่วมกันทำลายแนวคิด/ลัทธิของอำมาตย์

article : Giles Ji Ungpakorn ใจ อึ๊งภากรณ์
date : September 19 , 2009 - 19 กันยายน 2552

จักรภพ เพ็ญแข จบบทความของเขาเมื่อไม่นานมานี้ด้วยถ้อยคำสำคัญดังต่อไปนี้
“ประชาชน...อำมาตย์... สองเราต้องเท่ากัน”
น่าคิดนะครับ!!

ในความเห็นส่วนตัวของผม
(ซึ่งคุณจักรภพไม่ต้องรับผิดชอบกับบทความนี้เพราะไม่ได้คุยกันมาเจ็ดเดือน)
ประเด็นไม่ใช่ว่าฝ่ายอำมาตย์ “จะยอมหรือไม่” อย่างที่บางคนอาจนึกคิด

แต่ประเด็นที่บทความของคุณจักรภพชวนให้ผมคิด และผมขอชวนให้ท่านคิดต่อ...
คือเรื่องลัทธิ “ความเสมอภาค” เพราะลัทธิหรือปรัชญา “ความเสมอภาค” เป็นอาวุธทาง
ความคิดที่สำคัญที่สุดในการทำลายลัทธิอภิสิทธิ์ชนของอำมาตย์

คิดดูซิ อำมาตย์ทำรัฐประหารเพราะมองว่าพลเมืองส่วนใหญ่ “ต่ำและโง่เกินไป”
“ไม่ควรมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกรัฐบาล” อำมาตย์เกลียดชังการที่รัฐบาลไทยรักไทยนำ
ภาษีประชาชนมาบริการประชาชน เช่นในระบบสาธารณสุข เพราะอำมาตย์อยากเอาเงิน
ภาษีพลเมืองมาใส่กระเป๋าของตนเอง มาเชิดชูตนเอง หรือซื้อเครื่องบินราคาเป็นล้านให้
ตัวเองนั่ง อำมาตย์เกลียดระบบรัฐสวัสดิการและเคยพูดไว้เป็นหลักฐานด้วย
เขาชอบให้คนจนพอเพียงกับความจน ไม่อยากให้มีการกระจายรายได้

ดังนั้นเราต้องรณรงค์ให้มีรัฐสวัสดิการและการกระจายรายได้

อำมาตย์อยากให้เราใช้ภาษาพิเศษกับเขา ชื่อเขาก็แปลกๆยาวๆ เพื่อไม่ให้ดูเท่าเทียมกับเรา
เวลาเราไปหาอำมาตย์ก็ต้องคลานเหมือนสัตว์ นิยายอำมาตย์อ้างว่า เขาเหนือมนุษย์ธรรมดา
เพราะเก่งทุกอย่าง

เราจึงต้องรณรงค์ให้ทุกคนเท่าเทียมกัน

ลัทธิ ความคิดเสมอภาคจะทำลายข้ออ้างและการสร้างความชอบธรรมของอำมาตย์ทั้งหมด
เพราะลัทธิความเสมอภาคในระบบประชาธิปไตยแท้ ยืนยันว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน
ไม่มีใครต่ำ ไม่มีใครสูง ไม่มีใครมีสิทธิพิเศษ ทุกคนถูกติชมได้ ทุกคนต้องทำงานถ้ามีโอกาส
หรือมีปัญญาพอ ทุกคนต้องเสียภาษี
และที่สำคัญลัทธิเสมอภาคและประชาธิปไตยแท้ เสนอว่าพลเมืองทุกคนมี
วุฒิภาวะที่จะปกครองตนเอง และเลือกผู้แทนของตนเองอย่างเสรี


ดังนั้นการทำรัฐประหาร การขัดขวางประชาธิปไตย และการมีคนถือตำแหน่งสาธารณะโดย
ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งอย่างเสรี ย่อมเป็นสิ่งที่ผิด การสืบทอดสายเลือดอาจทำให้เรามีหน้าตา
เหมือนพ่อแม่ปู่ย่าตายายเราได้ แต่มันไม่ใช่สาเหตุที่จะดำรงตำแหน่งพิเศษในสังคม

ถ้าลัทธิเสมอภาคเป็นอาวุธอันแหลมคมที่ใช้ทำลายอำมาตย์ได้ เราควรใช้มันทุกวัน ในทุกเรื่อง
ในทุกโอกาส ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ดังนั้นทุกคนร่วมกันทำได้ ผมขอยกตัวอย่างอื่นๆ นอกจาก
ตัวอย่างที่เสนอไปแล้ว เช่น - เราควรเสนอว่ามนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเชื้อชาติอะไร ศาสนาอะไร หรือ
ใช้ภาษาอะไร เป็นคนเหมือนกันและเท่าเทียมกัน หยุดดูถูก ล้อเลียน หรือเอาเปรียบคนพม่า ลาว
เขมร หยุดการมีความคิดอคติกับคนมุสลิมภาคใต้ หยุดคิดว่าการเป็น “ไทย” ยอดเยี่ยมที่สุด และ
หยุดคิดว่า “เราเป็นคนไทยด้วยกัน ต้องสามัคคี” ตามแนว “ชาติ ศาสนา กษัตริย์” ของอำมาตย์

อย่าลืมว่าอำมาตย์มองว่าคนส่วน ใหญ่ในประเทศเป็นพลเมืองชั้นสอง สิ่งเหล่านี้สำคัญ
เพราะทุกครั้งที่ท่านเสนอว่าทุกคนเท่าเทียมกัน คุณกำลังปฏิเสธแนวอำมาตย์ และเอาดาบทาง
ปัญญาฟันความคิดของเขา

เราควรเสนอให้นักโทษในคุกไทยมี สิทธิ์สมกับการเป็นมนุษย์ อย่าดูถูกเขาว่าเป็น “คนเลว”
เพราะเพียงแต่อยู่ในคุก คนติดคุกที่เป็นคนดีมีมากมาย เช่นคุณดา คุณสุวิชา คนจนที่โชคร้าย
อีกหลายแสนคนติดคุก เพราะเขาเป็นเหยื่อสังคม คนเลวแท้ไม่ได้อยู่ในคุกแต่ปกครองประเทศ

คนเสื้อแดงต้องรณรงค์ให้ปล่อยนักโทษส่วนใหญ่ และให้ปฏิรูปคุกซึ่งเป็นนรกของคนจน
เราต้องยกเลิกโทษประหาร คนที่ทำผิดยังมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิต และมีสิทธิ์ที่จะปรับตัว เราต้องเลิก
อคติที่เรามีกับนักโทษ เลิกใช้แรงงานนักโทษเพื่อเอาโคลนออกจากท่อระบายน้ำ

เพราะทุกครั้งที่ท่านเสนอว่าทุกคนเท่าเทียมกัน
คุณกำลังปฏิเสธแนวอำมาตย์ -- และเอาดาบทางปัญญาฟันความคิดของเขา

เรา ควรยืนยันว่ามนุษย์ต้องเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะมีรสนิยมทางเพศอย่างไร
อำมาตย์พยายามสร้างภาพเรื่องครอบครัว และความสำคัญของศีลธรรมอนุรักษ์นิยมเรื่องเพศ
แต่เขาเองก็ประพฤติไม่ได้ คนเสื้อแดงต้องเรียกร้องสิทธิเสรีภาพกับ หญิง ชาย เกย์ กะเทย
ทอม ดี้ ทุกคนควรได้รับความเคารพเท่าเทียมกัน ผู้หญิงไทยควรมีสิทธิที่จะเลือกทำแท้งอย่าง
ปลอดภัยถ้าต้องการ อย่าไปเชื่อจำลอง ศรีเมือง ในเรื่องนี้

แล้วทุกครั้งที่ท่านเสนอว่าทุกคนเท่าเทียมกัน
คุณกำลังปฏิเสธแนวอำมาตย์ -- และเอาดาบทางปัญญาฟันความคิดของเขา

เราควรคัดค้านการใช้อภิสิทธิ์ การปิดถนนเพื่อคนใหญ่คนโต เราต้องร่วมกันด่าร่วมกันวิจารณ์
ทั้งลับหลังและต่อหน้า เราต้องเสนอว่ารถพยาบาลเท่านั้นที่ควรได้อภิสิทธิ์แบบนี้ เราต้องเลิกคิด
ว่าในสังคมเราต้องมี “ผู้ใหญ่ กับผู้น้อย” เราควรเลิกก้มหัวให้ผู้ที่อ้างตัวเป็นผู้ใหญ่ ผู้หญิงควรเลิก
เรียกตัวเองว่า “หนู” เราควรจะสุภาพกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เรียกทุกคนว่า “คุณ” หรือ “ท่าน”
อย่างเสมอภาค

เพราะทุกครั้งที่ท่านเสนอว่าทุกคนเท่าเทียมกัน
คุณกำลังปฏิเสธแนวอำมาตย์ -- และเอาดาบทางปัญญาฟันความคิดของเขา

เราควรรักเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กของใคร ควรรณรงค์ให้เด็กมีความสนุก มีโอกาสเรียนรู้อย่างเสรี
และมีสุขภาพที่ดี เด็กๆควรสุภาพ แต่ไม่ต้องมาเคารพผู้ใหญ่ในรูปแบบที่อำมาตย์เสนอ เพราะมัน
ไร้เหตุผลและสร้างความเหลื่อมล้ำ เด็กก็เป็นคน มีสิทธิ์มีเสียง และสมควรที่จะได้รับความเคารพ
ผู้หญิงสาวๆ หรือชายหนุ่มๆ ที่ทำงานในร้านอาหารหรือที่อื่น ไม่ใช่ “เด็ก” อย่าเรียกเขาอย่างนั้น
เรียกว่า “น้อง” หรือ “พี่” ก็ได้ เราต้องมีความเสมอภาคทางอายุ

เพราะทุกครั้งที่ท่านเสนอว่าทุกคนเท่าเทียมกัน
คุณกำลังปฏิเสธแนวอำมาตย์ -- และเอาดาบทางปัญญาฟันความคิดของเขา

ในสังคมปัจจุบัน การไหว้คนอื่นกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนชั้นสูง-คนชั้นต่ำ
ผู้น้อยต้องไหว้ผู้ใหญ่ก่อนและต้องก้มหัว ผู้ใหญ่ก็จะรับไหว้ เลิกเถิด!! อาจไม่ต้องไหว้กันเลยก็ได้
โค้งนิดๆ ทั้งสองฝ่าย ยิ้มให้กันตามมารยาท จะเท่าเทียมกว่า

อย่าลืมว่าทุกครั้งที่ท่านเสนอว่าทุกคนเท่าเทียมกัน
คุณกำลังปฏิเสธแนวอำมาตย์ -- และเอาดาบทางปัญญาฟันความคิดของเขา

ในวันหยุดต่างๆ ไม่ต้องปักธงหรือเครื่องประดับของอำมาตย์
ถ้าจะฉลองวันสำคัญเน้นไปที่วันของประชาชน เช่น 24 มิถุนายน หรือ 14 ตุลาคมแทนก็ได้

พวกเราคงคิดถึงตัวอย่างอื่นๆ ได้อีกมากมายได้
และเราทุกคนสามารถร่วมกันสร้างวัฒนธรรมความเท่าเทียม เพื่อค่อยๆ ทำลายความคิดของอำมาตย์
ในสังคมได้ อย่ายอม อย่าก้มหัว เราไม่ใช่ราษฎร เราไม่ใช่ไพร่ เราไม่ได้อยู่ใต้ฝุ่นเท้าใคร
เพราะเราเป็นพลเมืองของสังคมใหม่

ลัทธิ / ปรัชญาความเท่าเทียม
ในความเห็นผม เป็นสิ่งเดียวกับ “สังคมนิยม”
ดังนั้นเราต้องนำความคิดสังคมนิยมมารบกับความคิดอำมาตย์
แต่ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ตรงนี้ คนเสื้อแดงทุกคนสามารถใช้ลัทธิความเท่าเทียมได้



Wednesday, September 16, 2009

ปัญหาของแนวทางสันติวิธี

article : Giles Ji Ungpakorn ใจ อึ๊งภากรณ์
date : September 14 , 2009 - 14 กันยายน 2552

เวลาพิจารณาแนวทางการต่อสู้แบบสันติวิธี
เราจะต้องคำนึงถึงประเด็นปัญหา 3 อย่างคือ

1. แนวทางสันติวิธีมีประสิทธิภาพในการสร้างประชาธิปไตย
และเสรีภาพแค่ไหน ? และหลีกเลี่ยงเหตุการนองเลือดได้จริงหรือ ?

2. คนในสังคม นักวิชาการ สื่อกระแสหลัก และคนทั่วไป นิยามสันติวิธีอย่างไรบ้าง ?

3. คนกลุ่มไหนในสังคมเป็นผู้ที่ใช้ความรุนแรงมาตลอดและอย่างเป็นระบบ ?

ประสิทธิภาพของสันติวิธี

มหาตมะ คานธี ขึ้นชื่อว่าเป็นศาสดาแห่งสันติวิธี
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาจริงใจที่จะใช้แนวทางนี้ และเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเขามีบทบาท
ในการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดียจากอังกฤษ อย่างไรก็ตามแนวทางของ
มหาตมะ คานธี ไม่ได้หลีกเลี่ยงเหตุการณ์นองเลือดแต่อย่างใดทั้งสิ้น

เพราะในการก่อตั้งประเทศอินเดียและปากีสถานเป็นประเทศอิสระจากอังกฤษ มีการ
ฆ่าฟันกันทั่วทวีประหว่างคนมุสลิมและคนฮินดู มีคนล้มตายหลายหลายแสน และมี
คนที่ต้องอพยพหนีความรุนแรงเป็นล้านๆ

ปัญหาสำคัญของแนวทาง มหาตมะ คานธี
คือเขามักจะคัดค้านการต่อสู้ของมวลชน การนัดหยุดงาน
และการกบฏของทหารต่ออังกฤษ

ดังนั้นเวลามีการต่อสู้ของมวลชน คานธี จะเรียกร้องให้มวลชนสงบนิ่งกลับบ้าน
เพื่อให้ตัวเขาเองเป็นสัญลักษณ์ของการ ต่อสู้ต่อไปด้วยการอดอาหาร --

การต่อสู้ของมวลชนในอินเดียก่อนที่จะได้รับเอกราชจากอังกฤษมักจะเป็นการต่อสู้ของ
คนชั้นล่างที่เรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมพร้อมๆ กับเสรีภาพ และที่สำคัญที่สุดมัน
เป็นการต่อสู้ที่จำเป็นต้องสามัคคีคนยากคนจนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือฮินดู
หรือศาสนาอื่น แต่เมื่อมวลชนถูกสลาย นิ่งเฉยอยู่บ้าน ฝ่ายนักการเมือง
ที่อยากจะปลุกระดมความเกลียดชังทางศาสนา ก็จะมีช่องทางเพื่อไปขยายความคิดที่นำ
ไปสู่ความแตกแยกได้ เพราะคนที่นั่งเฉยอยู่บ้านอาจจะยอมเชื่อว่าความเลวร้ายต่างๆใน
ชีวิตเขามาจาก การกระทำของคนที่มีความเชื่อทางศาสนาต่างจากตัวเอง

แต่คนที่ร่วม สู้กับเพื่อนหลากหลายศาสนาจะไม่มีวันเชื่อการเป่าหูแบบนี้

ความแตกแยกระหว่างคนฮินดูกับคนมุสลิม และการฆ่าฟันกัน เกิดขึ้นเป็นระยะๆจนถึง
ทุกวันนี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องธรรมชาติที่คนมุสลิม และคนฮินดูจะเกลียดชังกัน ในประวัติศาสตร์
มีช่วงที่อยู่ด้วยกันอย่างสันติมานาน ความแตกแยกที่เกิดขึ้นมาจากการปลุกระดมของนักการเมือง
แนวศาสนาเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

สิ่งที่ค้านแนวความคิดนี้ได้
เป็นแนวคิดที่สามัคคีคนจนเพื่อต่อสู้กับคนชั้นบนที่กดขี่ขูดรีดคนจนเสมอ

แต่ มหาตมะ คานธี มีความใกล้ชิดกับนายทุนใหญ่และชนชั้นสูงในอินเดีย
เขาไม่อยากให้มีการต่อสู้ในเชิงชนชั้น มหาตมะ คานธี ไม่ได้ปลดแอกอินเดียคนเดียว
การปลดแอกอินเดียมาจากการต่อสู้ของคนจำนวนมากทั้งในและนอกพรรคคองเกรส การอ้างว่า
มหาตมะ คานธี สามารถปลดแอกอินเดียได้คนเดียวเป็นการพูดเกินเหตุ และไม่ได้เป็นการ
พิจารณาบริบทการเมืองระหว่างประเทศในยุคนั้นอีกด้วย

ประเทศ ปากีสถานเป็นประเทศที่ก่อตั้งในยุคเดียวกับที่อินเดียได้รับเอกราชคือในปี 1947
ประเทศนี้เป็นผลจากการปลุกระดมของนักการเมืองแนวศาสนา ปากีสถาน จึงประกาศตัวว่าเป็น
“ประเทศมุสลิมบริสุทธิ์” ซึ่งก่อให้เกิดปัญหามหาศาลกับครอบครัวชาวฮินดูจำนวนมากที่อาศัย
ในพื้นที่ ประเทศใหม่นี้ -- ปากีสถานเองเป็นประเทศที่ตกอยู่ภายใต้เผด็จการทหารมาอย่างต่อเนื่อง
และปัจจุบันอยู่ภายใต้อำนาจจักรวรรดินิยมอเมริกา ประชาชนปากีสถานอาจจะได้รับเอกราช
จากอังกฤษ แต่ไม่เคยได้รับสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย

อีกคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าต่อสู้แบบสันติวิธีคือ นางอองซาน ซูจี
และเขาได้ใช้วิธีคล้ายๆ มหาตมะ คานธี คือ เมื่อมวลชนออกมาสู้เป็นจำนวนมาก
เช่นในเหตุการณ์ 8-8-88 อองซาน ซูจี จะชักชวนให้ประชาชนกลับบ้านอย่างสงบ เพื่อให้ตัวเขา
คนเดียวเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่า และเพื่อให้ประชาชนตั้งความหวัง
กับการเลือกตั้ง และไว้ใจนายพลที่ปกครองประเทศอยู่ ทั้งๆที่นางอองซาน ซูจี เป็นคนที่กล้าหาญ
และจริงใจ แต่การต่อสู้ของเขายังไม่ประสบผลสำเร็จ และยังไม่สามารถทำให้มีการหลีกเลี่ยง
เหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ได้

เราจะเห็นได้ว่าแนวทางสันติวิธีไม่สามารถหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นองเลือดได้
ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และเป็นการต่อสู้ในรูปแบบที่เชิดชู
สัญลักษณ์ของบุคคลคนหนึ่งโดยหันหลังกับ บทบาทมวลชนจำนวนมาก ซึ่งไม่แตกต่าง
จากการหันหลังให้กับบทบาทมวลชน โดยพวกที่เน้นการสร้างกองกำลังติดอาวุธ


นิยามของสันติวิธี

การนิยามว่าอะไรเป็นการต่อสู้แบบ “สันติ” และการต่อสู้แบบ “รุนแรง”
มีการนิยามที่แตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับอคติและจุดยืน ตัวอย่างที่ดีคือ อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์
ที่ขึ้นชื่อว่าศึกษาและเลื่อมใสในแนวทางสันติวิธี หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยา นักวิชาการคนนี้
ได้ประกาศว่ารัฐประหารดังกล่าวอาจจะเรียกได้ว่า “เป็นสันติวิธี” !!

เหมือนกับว่าการนำรถถังแ ละทหารติดปืนออกมาบนท้องถนนไม่ได้เป็นการข่มขู่ที่จะใช้
ความรุนแรงแต่อย่างใด คำพูดของ ชัยวัฒน์ ในกรณีนี้แสดงให้เห็นว่าบ่อยครั้งนักสันติวิธี
ใช้สองมาตรฐาน และแม้แต่นักสันติวิธีที่ซื่อสัตย์และจริงใจก็มักจะมีเส้นแบ่งว่าจะใช้สันติวิธี
ในกรณีใดและพร้อมจะใช้ความรุนแรงเมื่อไหร่ คนที่นับถือพุทธอาจไม่อยากฆ่าคน แต่อาจ
เห็นด้วยกับโทษประหาร เป็นต้น

ถ้า เราพิจารณาสื่อกระแสหลัก เราจะเห็นว่าพวกนี้มักจะนิยมว่าคนที่เคลื่อนไหวต่อสู้
หรือแค่พูดในแนวที่ตรง ข้ามกับชนชั้นปกครอง จะถูกนิยามว่าเป็นพวก “หัวรุนแรง”
ทั้งๆที่เขาไม่ได้จับอาวุธหรือก่อให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงแต่อย่างใด

ใน กรณี 3 จังหวัดภาคใต้ ที่มีการปะทะกันระหว่างฝ่ายที่กบฏต่อรัฐไทยกับทหาร
สื่อกระแสหลักมักจะมองว่าผู้ใช้ความรุนแรงมีฝ่ายเดียวคือฝ่ายกบฏ ดังนั้น เราจึงต้องพิจารณา
การนิยมสันติวิธีอย่างละเอียด

เราทราบดีว่าพวกเสื้อเหลืองพันธมารฯ ก็มีการโกหกอ้างตัวว่าใช้วิธีแบบสันติ
ทั้งๆที่มีกองกำลัง มีการใช้ระเบิดและมีการทำร้ายร่างกายของฝ่ายตรงข้าม
จำลอง ศรีเมือง ผู้นำคนหนึ่งของพันธมารฯ ที่ประกาศตัวว่าใช้แนวสันติวิธีในการต่อสู้กับ
เผด็จการทหารในเหตุการพฤษภาคม 2535 อาจจะใช้แนวทางสันติในกรณีปี 2535 แต่ใน
ช่วงที่เข้าร่วมกับพันธมารฯ หลายคนคาดว่ามีส่วนในการฝึกกองกำลังของอันธพาลพวกนี้

นอกจากนี้ จำลอง ศรีเมือง เป็นคนที่ก่อความรุนแรงต่อสตรีไทยในทางอ้อม
เพราะคัดค้านสิทธิที่จะเลือกทำแท้งของผู้หญิงไทย ซึ่งบังคับให้สตรีจำนวนมากต้องไปเสี่ยง
ทำแท้งในสถานที่ที่ไม่ปลอดภัย นี่คืออีกตัวอย่างของสองมาตรฐาน

ใครใช้ความรุนแรงในสังคมอย่างเป็นระบบ ?

คำตอบสั้นๆคือ “ทหาร”
ทหารไม่ได้มีไว้เพื่อไถนา เพื่อเป็นนักสังคมสงเคราะห์
หรือเพื่อสร้างสิ่งประดิษฐ์งดงามในบ้านเมืองของเรา ทหารมีไว้เพื่อฆ่าคน
และการฆ่าคนหรือการขู่ว่าจะฆ่าคนเป็นความรุนแรง หลายคนในสังคมต่างๆ อาจจะมองว่า
การฆ่าคนต่างชาติในสงครามเป็นความรุนแรงที่ยอมรับได้ แต่ทหารไทยมีประวัติศาสตร์อัน
ยาวนานในการฆ่าประชาชนคนไทยเพื่อที่จะปกครอง ประเทศด้วยระบบเผด็จการ

ใน 3 จังหวัดภาคใต้ทหารเป็นผู้ที่ใช้ความรุนแรงมาตั้งแต่การยึดพื้นที่ของอาณาจักรปัตตานี
มาเป็นของกรุงเทพฯ -- ดังนั้นถ้าเราจะคัดค้านการใช้ความรุนแรงในสังคมอย่างจริงจังและ
ปราศจากสอง มาตรฐานเราจำเป็นต้องเริ่มด้วยการเรียกร้องให้ยกเลิกกองทัพ
ซึ่งคงจะมีประโยชน์ในเรื่องประชาธิปไตยอีกด้วย

การใช้ความรุนแรงของ ทหารและอำมาตย์เป็นการใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้องผลประโยชน์อัน
ไม่ชอบธรรมของ คนกลุ่มน้อย มันเป็นการปกป้องระบบเผด็จการเพื่อไม่ให้เกิดประชาธิปไตย
ดังนั้นความรุนแรงของทหารมีเป้าหมายอันไม่ชอบธรรมที่ขัดกับประชาธิปไตยและ สิทธิเสรีภาพ
ในกรณีที่มีคนจับอาวุธสู้กับเผด็จการไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ ใน 3 จังหวัดภาคใต้ หรือใน
ประเทศต่างๆ ของตะวันออกกลาง ความรุนแรงดังกล่าวเป็นไปเพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย
เป้าหมายจึงมีความชอบธรรม แต่มันก็ยังเป็นความรุนแรงอยู่ดี

ใครที่ ชอบวิจารณ์ “ความรุนแรง”
ควรจะวิจารณ์ความรุนแรงของทหารและอำมาตย์เป็นหลัก
ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ถือว่าใช้สองมาตรฐาน


และนอกจากนี้ควรจะตั้งคำถามและตอบคำถามว่า
เมื่อคนที่ถูกกดขี่ลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธ เขามีทางเลือกอื่นหรือไม่ ?
และเรามีส่วนในการช่วยให้เขามีทางเลือกอื่นหรือไม่ ?

คนที่ถูกกดขี่ ขูดรีดด้วยกำลังทหารที่ใช้ความรุนแรงอย่างเป็นระบบ
ย่อมมี “สิทธิ์” ที่จะจับอาวุธลุกขึ้นสู้และกบฏ แต่แนวทางนั้นจะเป็นแนวทางที่ฉลาด
และนำไปสู่ประชาธิปไตยแท้จริงหรือไม่ -- นั่นคือประเด็นใหญ่

ในความเห็นผมแนวทางจับอาวุธสู้กับอำมาตย์ไม่ใช่แนวทางที่ฉลาดของเสื้อแดง
อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ในบทความอื่น
แนวทางปฏิวัติสังคมโดยมวลชน เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการจับอาวุธ
หรือการอ้างแบบลอยๆถึงแนวสันติวิธี



สองระบอบ-สองจัดตั้ง

article : จักรภพ เพ็ญแข
from : คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 15
date : September 2009

ตั้งแต่เข้าร่วมกับพี่น้องประชาชนสู้รบกับระบอบอำมาตยาธิปไตยมาจนบัดนี้
ผมเชื่อมั่นเสมอว่าฝ่ายประชาชนในวันนี้ คือฝ่ายก้าวหน้า -- พร้อม ปฏิเสธความล้าหลัง
ในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศที่ก่อขึ้นโดยฝ่ายอำมาตย์ ไม่นานก็จะ
บริบูรณ์เพียบพร้อมทั้งทางกายภาพ ความกล้าหาญทางจริยธรรม และจังหวะเวลาอัน
เหมาะสมในการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม

ผมไม่เคยเห็นภาพของพี่น้องประชาชนที่เป็นเด็กไม่พร้อมรับความจริงของโลก ต้องให้
อำมาตย์ บริษัทบริวาร และซากเดนทั้งหลายมาตั้งตัวเป็นผู้ใหญ่เข้าปกครองและครอบงำ

ประชาชนในประเทศนี้ปกครองตัวเองได้
นี่ล่ะครับคือจุดตั้งต้นของผม

ยอมรับว่าเมื่อก่อนนี้ผมก็ไม่แน่ใจนัก เพราะไม่ได้เข้ามาคลุกกับมวลชนจนกลายเป็น
ส่วนหนึ่งของท่านอย่างทุกวันนี้ ผมจึงเพิ่งมาซาบซึ้งกับคำกล่าวที่ว่า “ในมวลชนมีทุกสิ่ง”
และยอมรับว่าเป็นสัจธรรมโดยแท้ เพราะผมได้เรียนจากการร่วมต่อสู้กับพี่น้องประชาชน
มากกว่าทุกโรงเรียนและทุก มหาวิทยาลัยที่ผมได้เรียนและได้สอนมารวมกัน

ผมได้เห็นว่าแม่ค้าจบ ประถม ๔ มีความก้าวหน้า ตระหนักในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของ
ตนเองสูงกว่าอธิการบดีจบปริญญาเอกที่ เป็นขี้ข้าของอำมาตย์

ผมได้เห็นคนที่ประกอบอาชีพรับจ้าง อย่างพี่น้องแท็กซี่หรือวินมอเตอร์ไซด์ที่วิเคราะห์
การเมืองได้ดีกว่าคนที่ สังคมอุปโลกน์ให้เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตบางคน

บวกกับบทเรียนและแบบฝึกหัดอีกมากมายหลายครั้ง

ผม พบว่าฝ่ายประชาชนมีจุดอ่อนอย่างเดียวที่ยังสู้ฝ่ายอำมาตย์เขาไม่ได้ และทำให้ฝ่าย
อำมาตย์เขายังควบคุมสังคมได้แทบทุกอณู โดยเฉพาะอำมาตย์ไทยที่ใช้ประโยชน์เต็มที่จาก
วัฒนธรรมสมยอมของไทยและกดขี่ อย่างนุ่มนวล โยนเศษเนื้อให้ฝ่ายประชาชนกินเป็นระยะๆ
เพื่อให้รู้สึกว่าไม่อดตาย จงใจทำลายเงื่อนไขของการปฏิวัติสังคมที่มักเริ่มต้นด้วยความอดอยาก
ยากแค้นใน บ้านเมืองอื่น

นั่นคือการจัดตั้งที่อ่อนกว่า ด้อยกว่า และไม่ต่อเนื่องของฝ่ายประชาชน

ฝ่ายอำมาตย์เขาจัดตั้งมานานกว่า
ครอบคลุมกว่า และยังจัดตั้งอย่างต่อเนื่องแข็งขัน -- เท่านั้นเองครับ

คำว่า การจัดตั้ง ซึ่งเป็นคำเก่าแก่ที่สุดคำหนึ่ง คือการทำความเข้าใจในแนวคิด
อุดมการณ์ ค่านิยม ให้ตรงกันในหมู่คณะ และอาจรวมถึงการทำความตกลงในวิธีการเพื่อ
ให้บรรลุผลนั้น นักจัดตั้งไม่เพียงแต่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อย่างที่เรียกว่า อัตวิสัย แต่ต้องฉลาด
วิเคราะห์จังหวะเวลาและสถานการณ์ เพื่อโยงเอามาใช้ประโยชน์อย่างที่เรียกว่า ภาววิสัย ด้วย

นี่แหละครับคืองานของเรานับจากนี้ไปในฝ่ายประชาชน

การพิสูจน์คลิปเสียง การไล่รัฐบาล การตะเพิดนายอภิสิทธิ์ การล้อมบ้านพลเอกเปรม ฯลฯ
ก็ทำไปเถิดครับ เพราะเป็นการทดสอบวิธีชุมนุมมวลชนในระบอบประชาธิปไตย เหมือนซ้อมใหญ่
แต่จะให้สะเด็ดน้ำจนเราได้ประชาธิปไตยแท้ๆ ด้วยวิธีการชุมนุมแล้วชุมนุมเล่า แล้วเรียกนายหน้า
หรือตัวแทนเขามาเขกกบาลให้สะใจนั้นเห็นจะเป็นไปได้ยาก

เมื่อฝ่ายอำมาตยาธิปไตยรักษาอำนาจของเขาได้อย่างมั่นคงและลุ่มลึก
ถึงขนาดแทบจะควบคุมความคิดคนได้หมดประเทศแล้วด้วยกลไกการจัดตั้ง
ฝ่ายประชาชนเองจะเพิกเฉยอยู่ไม่ได้

ความจริงใจก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่ หรอกครับ แต่ถ้าต่างคนต่างจริงใจและแสดงออกความจริงใจอย่าง
กระจัดกระจายไม่เป็นลำแสง เดียวกัน ก็จะได้พลังประชาธิปไตยที่กว้างขวาง หลากหลาย
แต่ขาดความเข้มข้นและนำไปทดแทนลำแสงที่ดูเจิดจรัสของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยไม่ ได้

การชุมนุมและคำปราศรัยก็เป็นเครื่องมือจัดตั้งอย่างหนึ่ง แต่ต้องแน่ใจว่าความคิดเบื้องหลัง
การแสดงออกเหล่านั้นมีเป้าหมายเพื่อ ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงซ่อนอยู่ หรือบางครั้งก็แสดงออก
เลยโดยไม่ต้องซ่อน ไม่ใช่เพียงเพื่อให้คนชอบคนรัก หรือหาเสียงใส่ตัวเพื่อแปลงเป็นคะแนนเสียง
เลือกตั้งหรือเป็นอำนาจต่อรองทาง การเมืองของตนและหมู่คณะ แต่ต้องเป็นการเตรียมให้มวลชน
เข้าใจเป้าหมายที่ใหญ่โต สำเร็จยาก แต่จำเป็นต้องฝ่าฟันไปเพื่อจัดระเบียบสังคมเสียใหม่

ชุมนุมแต่ละครั้ง อย่าให้แต่ข้อมูลแต่เรื่องปลีกย่อย ต้องฝากความคิดทีละน้อยในเรื่องใหญ่เสมอ

คิดอยู่ในใจว่าการชุมนุมแต่ละครั้งเป็นคือเตรียมมวลชนให้พร้อมต่อความเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง
คิดเชิงคุณภาพ คู่ไปกับความคิดเชิงปริมาณ เพราะจำนวนมวลชนก็มีความจำเป็นต่อชัยชนะอัน
แท้จริงในอนาคต -- ถ้า กำหนดจุดยืนชัดเจนอย่างนี้ การชุมนุมแต่ละครั้ง เว็บไซต์แต่ละเว็บไซต์
สถานีวิทยุชุมชนแนวประชาธิปไตยแต่ละสถานี การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแต่ละครั้ง ฯลฯ จะมี
ทิศทางชัดเจน ไม่แกว่งไกวตามบุคลิกภาพหรือแนวคิดส่วนตัวของแกนนำหรือวิทยากรแต่ละคน

มวล ชนในขณะนี้ก้าวหน้าแล้ว และพร้อมจะก้าวต่อไปอีก กุญแจสำคัญคือ
การนำขบวนที่ก้าวหน้า ไม่วกวน ไม่ตีฝีปาก และไม่ยอมรับสิ่งที่น้อยกว่าประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ใครขาดความมั่นใจว่าประชาชนจะไปได้ถึง ก็ขอพักยกได้ โดยจะไม่มีใครลืมเลือนท่าน
และคุณประโยชน์ที่ท่านได้ทำมาก่อนหน้านั้นเลย

ความก้าวหน้าและล้าหลังนั้นบังคับกันไม่ได้
แต่จะปล่อยเป็นอุปสรรคต่อขบวนการใหญ่ก็ไม่ได้เช่นกัน นี่คือเรื่องบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว

ภารกิจที่รออยู่ข้างหน้า และได้เริ่มไปแล้วมากนั้น
จึงคือการจัดตั้งระบอบประชาชนให้ทัดเทียมกับระบอบอำมาตย์
ซึ่ง ไม่ใช่ทั้งการนั่งกราบกำแพงอย่างไร้สติ หรือเอาหัวชนกำแพงจนหัวแตก
แต่ต้องรู้ว่ากำแพงคือกำแพงและหาเครื่องมือที่เหมาะสมต่อกำแพงนั้น

ประชาชน...อำมาตย์... สองเราต้องเท่ากัน



Friday, September 11, 2009

กองกำลังติดอาวุธไม่ใช่ทางออกของคนเสื้อแดง

article : Giles Ji Ungpakorn ใจ อึ๊งภากรณ์
date : September 12, 2009 - 12 กันยายน 2552

แนวทาง “ปฏิวัติ” ที่จะนำไปสู่ประชาธิปไตยแท้
ไม่ใช่การสร้างกองกำลังติดอาวุธ
แต่เป็นการเน้นการจัดตั้งมวลชน
คนเสื้อแดงซึ่งมีจำนวนเป็นล้านๆ เพื่อการร่วมกันพัฒนาความคิดผ่านกลุ่มศึกษา
ทางการเมือง ร่วมกันสู้เพื่อทำลายความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้าม ผ่านการ
กระจายข่าว และความเห็น ร่วมกันประท้วงอำมาตย์ตามท้องถนนเมื่อโอกาสเหมาะ
ร่วมกันตั้งหน่ออ่อนของรัฐ และโครงสร้างบริหารของฝ่ายเราในชุมชน และตั้ง
องค์กรสงเคราะห์ต่างๆ แข่งกับฝ่ายรัฐอำมาตย์

มันหมายถึงการ ไม่ร่วมมือกับอำมาตย์
มันหมายถึงการนำทหารชั้นผู้น้อยและตำรวจมาเป็นพวก
รวมถึงการเข้าไปในสหภาพแรงงาน และกลุ่มนักศึกษาทั่วประเทศ

มันหมาย ความว่าเราต้องการโค่นระบบปัจจุบันแบบถอนรากถอนโคน
และนำระบบใหม่มาใช้ มันหมายถึงการฝึกฝนการคัดค้านรถถังของฝ่ายทหาร
วิธียึดรถถัง วิธีสร้างทางกั้นทหารตามถนน โดยให้มวลชนออกมาสกัดกั้นพร้อมๆ กับ
การคุยกับทหารธรรมดา

จุดสุดยอดคือ
การลุกฮือทั่วประเทศในอนาคต เมื่อเราพร้อม อย่างที่ผมได้เคยอธิบายไปแล้ว
(อ่านบทความเกี่ยวเนื่อง:ทำไมเราต้องปฏิวัติอำนาจอำมาตย์ )

มีเพื่อนคนหนึ่งวาดภาพว่าเราชาวเสื้อแดงล้านๆ คน
ต้องเป็นฝูงผึ้งที่รุมต่อยอำมาตย์อย่างไม่หยุดยั้ง เขาใช้ปืนและรถถังกับฝูงผึ้งไม่ได้

ข้อเสียของการสร้างกองกำลังติดอาวุธ
อย่างที่เคยทำสมัยพรรคคอมมิวนิสต์มีดังนี้


1. ขบวนการคนเสื้อแดงมีมวลชนหลายล้านคน ซึ่งเป็นประชาชนธรรมดา
เป็นลูกจ้าง เป็นนักศึกษา เป็นแม่บ้าน เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย เป็นพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย
เป็นเกษตรกร ฯลฯ

เรา มีความชอบธรรมเพราะเราเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม ขบวนการคนเสื้อแดงมีลักษณะ
เด่นตรงที่คนตั้งกลุ่มกันเอง นำกันเอง จากรากหญ้า มันคือขบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริง

ถ้าจัดกองกำลังติด อาวุธเมื่อไร ก็เท่ากับสร้างองค์กรลับของคนถืออาวุธไม่กี่คน
(ไม่เกินห้าหมื่นคนอย่างมากที่สุด) เป็นการหันหลังให้มวลชนเป็นล้านๆ เพื่อยกภาระในการ
“ปลดแอกเรา” ให้กับคนหยิบมือเดียว มวลชนเสื้อแดงส่วนใหญ่จับอาวุธแบบนั้นไม่ได้ และจะ
ไม่มีบทบาท หรือมีบทบาทรองจนหมดความสำคัญไป

2. การปิดลับแปลว่าไม่สามารถสร้างเวทีสมัชชาเปิดของคนเสื้อแดงเพื่อร่วมกันถกเถียงแนวทาง
การต่อสู้ แนวทางจะถูกกำหนดโดยแกนนำลับ กลุ่มเล็กๆ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
และไม่ถูกตรวจสอบโดยคนเสื้อแดง เป็นการสั่งจากบนลงล่าง มันเป็นเผด็จการของคนส่วนน้อย
เผด็จการของคนส่วนน้อยสร้างประชาธิปไตยแท้ไม่ได้

3. บทเรียนจากประเทศจีนคือ เมื่อกองทัพพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มล้อมเมืองต่างๆ
จะไม่มีการปลุกระดมให้พลเมืองลุกขึ้นยึดเมือง แต่จะมีการสั่งให้ทุกคนสงบเงียบอยู่กับที่ และ
รอฟังคำสั่งจากกองทัพแดง นั้นเป็นแนวที่ตรงข้ามกับการปฏิวัติโดยมวลชนจำนวนมาก ที่เคยมี
ในรัสเซีย 1917, อิหร่าน 1979, โปแลนด์ 1980 และในเวเนสเวลาปัจจุบัน

การ ปฏิวัติโดยมวลชนย่อมก่อให้เกิด “สภาคนงาน” และ “สภาชุมชน”
ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการนำของประชาชนเอง -- แต่วิธีที่เน้นกองกำลังติดอาวุธเป็นวิธีทหาร
ที่ไม่มีประชาธิปไตย หรือที่แค่ “เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมบ้าง” แต่พลังและความ
สร้างสรรค์ไม่ได้มาจากรากหญ้าเอง สภาดังกล่าวที่ผมพูดถึงเกิดขึ้นใน รัสเซีย อิหร่าน โปแลนด์
และ เวนเนสเวลา ยังมีกรณี ชิลี 1973 อาเจนทีน่า ตอนประสบวิกฤตเศรษฐกิจ และในโบลิเวียอีกด้วย

4. คนที่เสนอการตั้งกองกำลังติดอาวุธอาจจริงใจ แต่บ่อยครั้งเป็นการพูดเอามัน
เพื่อดูกล้าหาญเด็ดขาด ในที่สุดมันเบี่ยงเบนประเด็นจากภาระอันยิ่งใหญ่ในการจัดตั้งมวลชน
ทางการ เมือง เพื่อปฏิวัติมวลชน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายและจะต้องใช้เวลา

5. กองกำลังติดอาวุธของฝ่ายเรา ไม่มีวันปะทะกับกองกำลังของอำมาตย์อย่างตรงไปตรงมาได้
เขา มีอาวุธครบมือที่เหนือกว่าเราเสมอ อันนี้เป็นบทเรียนจาก ไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย
ในกรณีเนปาล สิ่งที่ชี้ขาดในที่สุดคือการลุกฮือในเมือง และพรรคคอมมิวนิสต์เนปาลไม่ต้องการ
เปลี่ยนสังคมอย่างถอนรากถอนโคนอีกด้วย เพราะต้องการเอาใจนายทุนใหญ่ ส่วนแนวทางปฏิวัติ
มวลชนต้องอาศัยพลัง และจำนวนของมวลชนเพื่อให้ทหารชั้นผู้น้อยเปลี่ยนข้าง

6. ถ้าใช้กองกำลังติดอาวุธ เราขยายความคิดทางการเมืองยากขึ้น เพราะเราต้องปิดลับ และ
ที่สำคัญเมื่อเราเดินเข้าไปในชุมชนต่างๆ ชาวบ้านชาวเมืองจะกลัวเราพอๆ กับฝ่ายทหารอำมาตย์
เพราะทั้งสองฝ่ายถือปืน นี่คือบทเรียนจากพรรคคอมมิวนิสต์ไทย และการต่อสู้กับรัฐไทยใน
สามจังหวัดภาคใต้

7. ถ้าคนที่เสนอแนวทางติดอาวุธ ไม่อธิบายว่าเป้าหมายคืออะไรอย่างชัดเจน ไม่อธิบายว่า
ประชาธิปไตยแท้คืออะไร ถ้าเขาชนะ อาจเป็นแค่เปลี่ยนหัวชนชั้นปกครองโดยไม่มีการปฏิวัติก็ได้

8. ในประเทศที่เน้นการสร้างกองกำลังปลดแอก และกองกำลังนั้นชนะ เช่น จีน เวียดนาม ลาว เขมร
ซิมบาบวี คิวบา ผลคือเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้

ขอยืนยันว่าเราต้องเดินแนว “ปฏิวัติมวลชน โค่นอำมาตย์อย่างถอนรากถอนโคน”



Friday, September 4, 2009

จุดยืนและก้าวย่าง



article : Jakrapob Penkair จักรภพ เพ็ญแข
from : คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 13
date : September 2009

จุดยืนและก้าวย่าง

เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายในหมู่คนเสื้อแดงขณะนี้ เป็นคุณ
และมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการก้าวเดินของฝ่ายประชาธิปไตย
ในระยะที่มีอารมณ์ความรู้สึกมาก ก็ควรปล่อยให้ระบายบ้าง

หลังจากนั้นคือเวลาใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง
กำหนดจุดยืนและย่างก้าวของทั้งขบวนการต่อไป -- ไม่มีอะไรน่าห่วงกังวลเลยครับ

ระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริง ซึ่งเป็นธงของพวกเรา จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียง
อย่างนี้อีกมากมายนัก ใครที่ไม่คุ้นเคยควรทำความคุ้นเคยไว้เสีย ระบอบการปกครองของ
ไทยที่จะทำให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่กระซิบกันอย่างไพร่ๆ ว่าให้เงียบเสียง
สังคมจะได้สงบสุขมั่นคง แต่จะระดมเอาความคิดเห็นที่หลากหลายมาสู่เวทีถกเถียงที่ชอบธรรม
ซึ่งแปลว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมก่อสร้างหรือส่งตัวแทนมาร่วมในเวทีนั้น และเมื่อ
ถกเถียงได้ที่แล้วก็ต้องรู้จักหยุดเป็นห้วงๆ เพื่อลงมือปฏิบัติ

เราอยากได้รัฐสภาเช่นนั้นในอนาคต
รัฐสภาที่เป็นตัวแทนของของอำนาจอธิปไตยในมือคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีความยืดหยุ่น
มากน้อยขึ้นลงได้ตามประชามติ เป็นคณะกรรมการกำหนดนโยบายของประเทศที่ประคับประคอง
ระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สามารถหาจุดสมดุลระหว่างความเป็นชาติกับความเป็น
นานาชาติได้ แสวงหาผู้บริหารที่ดีที่สุดมาทำหน้าที่เดินงานบ้านเมือง และมีขีดความสามารถสูง
พอในการป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกทำลายโดยการรัฐประหารโดยตรงหรือการรัฐประหารโดยอ้อม
เช่น องค์กรอิสระ อำนาจตุลาการ นักวิชาการสายอำมาตย์ เป็นต้น

ถ้าเราปรารถนาเช่นนั้น เราต้องทำขบวนการเสื้อแดงให้สะท้อนภาพนั้นเสียตั้งแต่บัดนี้

มีผู้หวังดีถามกันมากว่า
จักรภพเป็นอะไร ทำไมถึงเกิดขัดแย้งกันเอง บางท่านหวังดีแต่มีอารมณ์ก็เลยไปถึงเรื่อง
ผลประโยชน์ขัดกันหรือความอิจฉาริษยาแกนนำไปโน่น

คำตอบทั้งหมดอยู่ในช่วงต้นของบทความนี้ครับ -- ไม่น้อยกว่านี้ ไม่มากกว่านี้

แต่รัฐสภาอันแท้จริงที่ไม่ใช่หุ่นกระบอกของฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ก็เป็นเพียงรูปธรรมอย่างหนึ่ง
คำตอบที่ละเอียดขึ้นคือเป้าหมายที่แน่ชัดว่ารัฐสภาต้องเอื้ออำนวยให้เกิดผลต่างๆ เหล่านี้ครบถ้วน

๑. อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจการเมืองสูงสุดที่ไม่มีอะไรสูงกว่า เป็นของปวงชนชาวไทย
๒. บ้านเมืองปกครองด้วยหลักกฎหมาย และด้วยตัวบทกฎหมายที่ปวงชนชาวไทยร่วมกำหนด
ไม่ใช่ด้วยกระบวนการฝ่ายอำมาตย์ที่แอบควบคุมสังคมไทยอยู่โดยอ้างคำว่ากฎหมาย
๓. ประชาชนต้องมีเสรีภาพ
๔. สังคมต้องมุ่งความเสมอภาค
๕. รัฐบาลและผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทยในเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ เข้ามาได้
ก็ต้องออกไปได้ ต้องมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นวิถีการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ยังไม่มีอะไรดีกว่า

สังคมเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยควรหยุดถกเถียงและใคร่ครวญเป็นระยะๆ ว่า
ทิศทางของเรานำไปสู่เป้าหมายใหญ่ทั้ง ๕ ข้อนี้หรือไม่

ทั้งหมดนี้คือความละเอียดอ่อน
ขณะพูดต้องพูดตรง ไม่กำกวม ไม่ห่วงภาพลักษณ์ชื่อเสียงที่เป็นสิ่งไร้สาระ
แต่ในขณะลงมือทำต้องมีศิลปะประคองตัว เพราะเราไม่ได้หาเสียงเลือกตั้ง
เพื่อเป็นรัฐบาลให้เขาเชือดทิ้งเหมือนรัฐบาลภายใต้นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร
สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์
แต่เราต้องการตัวแทนประชาชนที่มีขีดความสามารถในการปกป้องตัวเองได้

ชนะเลือกตั้งอย่างงดงาม แล้วแพ้ในศึกชิงอำนาจรัฐ
ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลของราชอาณาจักรไทย
แต่ไม่ได้อำนาจรัฐในการบริหารงานในราชอาณาจักรนั้น
ถือว่าเปล่าประโยชน์

เราจึงตั้งคำถามว่า การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งของฝ่ายประชาธิปไตย
ซึ่งมวลชนเข้าร่วมอย่างน่าปลื้มใจทุกครั้ง เรามีข้อเรียกร้องที่ใหญ่พอและคุ้มค่าต่อความ
เหนื่อยกายและเหนื่อยใจของประชาชนหรือไม่

เราเข้าใกล้เป้าหมายทั้ง ๕ ข้อนั้นมากขึ้นหรือไม่
ถ้าไม่ แสดงว่ายุทธวิธีของเราอาจไม่ได้เป็นไปตามยุทธศาสตร์

หลายท่านบอกผมว่าเราต้องแกล้งทำ ต้องลับลวงพราง และต้องใจเย็น
ในใจของแต่ละท่านก็คือรอให้ธรรมชาติช่วยตัดสิน แล้วทุกอย่างจะพลิกผัน
มาเข้าทางเราโดยอัตโนมัติ -- ผมต้องขอประทานโทษ - ผมไม่เชื่อ

สังคมไทยวันนี้ไม่ได้คลุมด้วยตาข่ายทางสังคมที่ประชาชนเป็นผู้ใหญ่และมีส่วนร่วม
ในการตัดสินชะตากรรมของตัวเอง แต่เป็นการครอบงำของสิ่งที่เรียกว่า “รัฐภายในรัฐ”
นั่นคือมีรัฐบาลตัวจริงที่คอยชี้นำทิศทางของประเทศอยู่ และชี้นำทุกอย่างไปสู่การรักษา
อำนาจอันล้นเหลือและความมั่งคั่งร่ำรวยที่อธิบายที่มาไม่ได้ของตัวเองและพวกเท่านั้น

รัฐบาลที่ว่านี้ไม่เคยมาจากการเลือกตั้ง ไม่สนใจที่จะมาจากการเลือกตั้ง
แต่เป็นรัฐบาลที่คอยล้มการเลือกตั้งของฝ่ายประชาธิปไตยและทำให้แน่ใจอยู่ตลอดเวลา
ว่าประชาชนจะไม่ได้เป็นใหญ่ และเป็นรัฐบาลที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นต่อการเปลี่ยนแปลง
การปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ จนต้องทำทุกอย่างเพื่อหมุนเข็มนาฬิกาของประเทศกลับไปก่อนหน้านั้นให้จงได้

รัฐบาลนี้เขามีพวกมาก แผ่ซ่านไปในทุกวงการ
ถ้าเป็นมะเร็งก็ระยะสุดท้าย ต้องหาทางเกิดใหม่อย่างเดียว
ภารกิจหลักของรัฐบาลนี้คือการทำลายโครงสร้างของระบอบประชาธิปไตย

ถ้าเราขอความร่วมมือกับรัฐบาลที่ว่านี้ในการคืนประชาธิปไตยให้กับเรา
ถ้าเขาไม่ใจร้อนฆ่าเราเสียเลย เขาก็อาจแสร้งว่าเห็นใจและโยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ อาจจะ
เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีให้สักคน เพราะเรารุมกันประณามนายกรัฐมนตรีคนที่เขาเลือก อาจ
เปลี่ยนข้อความบางข้อในรัฐธรรมนูญให้เรารู้สึกหายใจโล่งขึ้น แต่ไม่ยอมแตะต้องส่วนสำคัญ
ที่ทำให้เราอยู่ในสภาพน้ำใต้ศอกอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ต้น

แล้วเราก็จะไม่ได้แม้แต่ข้อแรก คืออำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทย

ไม่ต้องหวังว่าจะได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีอำนาจรัฐจริง มาอำนวยเสรีภาพและความเสมอภาค
ทางสังคมให้กับประชาชน และไม่ต้องหวังว่ากระบวนทางกฎหมายจะเป็นไปเพื่อฝ่ายประชาชน

เพราะถ้าไม่ได้ข้อแรก เราก็จะเสียหมดทุกข้อ

เป้าหมายทั้งห้าข้อไม่ใช่ความรู้ใหม่ หมอเหล็ง ศรีจันทร์และคณะเปลี่ยนแปลงการปกครอง ร.ศ. ๑๓๐
และปัญญาชนสยามสมัยนั้นท่านก็รู้อย่างนี้ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎร พ.ศ.๒๔๗๕ ท่าน
ก็เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้

จนถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมา ก็เพราะมั่นใจอย่างนี้

ความใหม่ในวันนี้คือ ประชาชนท่านต้องการสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว
หมดสมัยของปัญญาชนคิดพิมพ์เขียวมานำเสนอให้ประชาชนเฮตามทั้งที่ไม่รู้ความหมายแล้ว

ครับ วันนี้ปัญญาชนของฝ่ายประชาธิปไตยคือตัวประชาชนเอง
โดยมีอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่เป็นเลขานุการให้

กว่าสามปีที่ต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยมา ประชาชนก้าวหน้า
แต่ปัญญาชนอุปถัมภ์ของอำมาตย์กลับถอยหลังลงคลอง
จนล้าหลังเป็นอย่างยิ่ง แล้วยังจะมาเรียกร้องขอเล่นบทบาทนำทางสังคมอีกล่ะหรือ


ที่สุดแล้วคืออะไร ?
จุดยืนของฝ่ายประชาธิปไตยคือสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ไม่ได้มีแต่คุณเปรมคนเดียว
สู้โดยสติปัญญาความสามารถ โดยไม่ใช่เอาเลือดเข้าแลก

ก้าวย่างคือเตรียมแผ่นดินให้พร้อม
เครือข่ายของอำมาตย์เขาก็เตรียมอยู่ต่อหลังฤดูผลัดใบเช่นกัน เพราะเขาคิดว่าเขาเป็น
เจ้าของสวนพฤกษชาติแห่งนี้ เตรียมเครื่องมืออย่างหลากหลายเพื่อกระทำภารกิจที่
แตกต่างกันในแต่ละห้วงแต่ละสถานการณ์ และจุดสำคัญคือเมื่อถึงเวลาเดินก็ต้องเดิน
ไม่ชวนวนอยู่กับที่เหมือนวัวพันหลัก

ขอเรียนเสนอไว้ให้ฝ่ายประชาธิปไตยถกเถียงต่อไปด้วยใจเคารพ.



Thursday, September 3, 2009

บทความ : ใจ อึ๊งภากรณ์

article : Giles Ji Ungpakorn - ใจ อึ๊งภากรณ์
date : September 3, 2009 - 3 กันยายน 2552

“ความขัดแย้ง” ในแกนนำเสื้อแดง
คือโอกาสในการร่วมกันคิดหาทางออกให้ชัดว่าจะสู้อย่างไร

ผมเข้าใจความรู้สึกของคนเสื้อแดง
ที่ไม่สบายใจ เมื่อเห็นแกนนำเสื้อแดงเถียงและวิจารณ์กัน


แต่ความรู้สึกนั้นผิดพลาด
การที่แกนนำเสื้อแดงเถียงกันตอนนี้ มีรากฐานมาจากแนวความคิด
ทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว หรือความไร้น้ำยาของใคร

มันสะท้อนวิกฤตในสังคมไทยที่เราต้องร่วม กันแก้ และมันสะท้อนความ
ยากลำบากในการแก้ ผมอยากชักชวนให้เราชาวเสื้อแดงมองว่าการถกเถียง
เรื่องแนวทางการต่อสู้เป็น เรื่องดี ไม่ใช่ข้อเสียแต่อย่างใด เพราะมันบังคับ
ให้พวกเราคิดตามประเด็นถกเถียง

ผมอยากให้เสื้อแดง ทุกคนมีส่วนร่วมในการถกเถียงนี้ ขบวนการเสื้อแดง
เป็นขบวนการประชาธิปไตยของมวลชนชั้นล่างที่ถูกกดขี่มานาน ขบวนการ
ประชาธิปไตยในทุกยุคทุกสมัยทุกประเทศ ย่อมเต็มไปด้วยการถกเถียง
และนี่คือจุดแข็งจุดเด่น

เราไม่เหมือนเสื้อเหลืองที่ขัดแย้งกัน เรื่องการกอบโกย หรือเรื่องอำนาจที่จะกอบโกย
ไม่ว่าจะเป็นทหารชั้นผู้ใหญ่ คนในแวดวงเบื้องสูง อภิสิทธิ์ เนวิน สุเทพ หรือ
ผู้นำพันธมิตรฯ พวกนี้เป็นเหลืองเพื่อปกป้องผลประโยชน์พิเศษของเขาแต่แรก
เขาเลยทะเลาะกันเรื่องผลประโยชน์เสมอ

เสื้อแดงไม่ใช่เทวดา แต่ประเด็นผลประโยชน์ส่วนตัวไม่ใช่ประเด็นหลักในขณะนี้

คนเสื้อแดงเข้าใจดีว่าปัจจุบันอำมาตย์ครองเมือง
ผมอยากให้มองว่า อำมาตย์ดังกล่าวไม่ใช่บุคคลหยิบมือเดียว
ไม่ใช่สถาบันเดียว แต่เป็นพวกทหารชั้นสูง ข้าราชการชั้นสูง องคมนตรีและขุนนาง
รวมถึงเศรษฐีนักการเมืองเหลือง

อำนาจของพวกนี้ทั้งกลุ่มฝังลึกอยู่ ศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่ทหาร เพราะมีเครื่องมือ
ในการใช้ความรุนแรงเพื่อเผด็จการ แต่พวกนี้ใช้สถาบันเบื้องสูงเพื่อพยายามสร้าง
ความชอบธรรมด้วย

อำมาตย์ ในทุกที่ทั่วโลกต้องมีอาวุธสองชนิดคือปืนกับการสร้างความชอบธรรม
เขาจะคุมทหาร ตำรวจ ศาล คุก และเขาจะคุมสื่อ โรงเรียน และปิดกั้นความคิด

ขบวนการเสื้อแดงเติบโตจากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแท้ของคนจำนวนมาก
หลัง 19 กันยา ในช่วงแรกๆ เราไม่ต้องคิดอะไรหนักเพราะเรามองว่าเรามีมวลชน
และมีความชอบธรรม

แต่ หลังเมษาเลือดเราเริ่มเห็นชัดว่าเราเผชิญหน้ากับอำนาจที่แข็งแกร่ง
แค่เดินขบวนและชุมนุมไม่พอ พันธมิตรฯมันเดินขบวนและมีผลเพราะมันใช้ความรุนแรง
และมีทหารและคนชั้นสูง หนุนหลัง มันไม่ได้ชนกับอำนาจอำมาตย์

เราเรียนรู้ว่าแค่ชนะการ เลือกตั้งหลายรอบก็ไม่พออีกด้วย นี่คือที่มาของการถกเถียง
ในหมู่แกนนำเสื้อแดงปัจจุบัน และผมมั่นใจว่าในหมู่คนเสื้อแดงรากหญ้ามีการเถียงกัน
ในทำนองเดียวกัน การถกเถียงนี้จะช่วยให้เราชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับแนวทางต่อสู้ และ
ถ้าเราวิเคราะห์ออก เราจะชัดเจนว่าเราสามารถสามัคคีกันตรงไหนได้ และมองต่างมุมใน
ส่วนไหน โดยไม่ทำให้ขบวนการประชาธิปไตยอ่อนแอ

ถ้าจะสรุปเหมารวม การถกเถียงครั้งนี้เป็นการถกเถียงระหว่างสองฝ่าย
ในแต่ละฝ่ายก็ไม่ใช่ว่าคนจะคิดเหมือนกันหมด แต่เราสามารถจัดเป็นสองกลุ่มได้คือ

(1) กลุ่มแกนนำสามเกลอและทักษิณ เป็นกลุ่มที่อยากจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป พร้อมจะ
หาทางประนีประนอมเพื่อได้ประชาธิปไตยกลับมา โดยไม่ต้องปะทะมากเกินไป แนวนี้
คือแนวปฏิรูป

ส่วนกลุ่มที่
(2) ประกอบไปด้วยจักรภพและสุรชัย ที่มองว่าประชาธิปไตยแท้จะไม่มีวันเกิดขึ้นถ้าไม่สู้
แบบปะทะอย่างตรงไปตรงมา นี่คือแนวปฏิวัติ

ผมเองก็สนับสนุนแนวคิดกว้างๆ ของกลุ่มที่สองนี้ด้วย

ผมไม่อยากจะเอาคำพูดไปยัดปากใคร หรือความคิดไปยัดใส่หัวใคร ทุกท่านต้องอ่านและฟัง
สิ่งที่เจ้าตัวพูดเอง ไม่ใช่ไปสรุปแทนหรือบิดเบือนอย่างที่มีคนทำกับผมบ่อยๆ

แต่ถ้าจะ สรุปคร่าวๆ สองแนวนี้คือทางเลือกระหว่างการค่อยๆปฏิรูปและประนีประนอม กับ
การปฏิวัติเพื่อสร้างสังคมใหม่ ในขณะนี้ทั้งสองฝ่ายเชื่อว่าแนวทางของตนเองเป็นแนวที่ดีที่สุด
ที่จะนำสังคม ไปสู่ประชาธิปไตย ในอนาคตจะเป็นอย่างไรเดี๋ยวดูเอาเอง แต่จุดร่วมอันสำคัญคือ
ทั้งสองฝ่ายมองว่าจะต้องหาทางข้ามปัญหาอำนาจที่แข็ง แกร่งของอำมาตย์ให้ได้

กลุ่มปฏิรูปประนีประนอมมีข้อดีตรงที่พยายามจะหาทางสันติที่ไม่ปะทะตรงๆ
ไม่เสียเลือดเนื้อมากเกินไป และไม่พยายามทำในสิ่งที่ดูใหญ่โตและยาก แต่ข้อเสียคือมันจะนำ
ไปสู่ประชาธิปไตยจริงได้หรือ ?

หรือจะ นำไปสู่การยอมจำนนในที่สุด ?

การถวายฎีกามีข้อเสียตรงที่ไปมอบอำนาจให้กับประมุขในลักษณะเหนือรัฐธรรมนูญ
ซึ่งจะส่งเสริมอำนาจอำมาตย์ ในด้านความคิดการถวายฎีกาอาจช่วยเปิดโปงความจริงบางอย่าง
แต่ในมุมกลับอาจไม่เปิดโปงอะไรใหม่และอาจนำพาคนไปจงรักภักดีกับอำมาตย์ก็ได้

กลุ่ม ปฏิวัติ ไม่ใช่กลุ่มปฏิวัติทุนนิยมเพื่อสังคมนิยม แต่เป็นกลุ่มที่อยากสู้อย่างถึงที่สุดกับ
อำนาจเผด็จการ และมองว่าการต่อสู้ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเล่น กลุ่มนี้มองว่าการประนีประนอม
กับอำมาตย์จะไม่กำจัดอำนาจเผด็จการซึ่งจะรื้อฟื้นตัวเองขึ้นมาได้ตลอด

ผม ไม่อยากพูดแทนคนอื่น และคนอื่นคงมองต่างมุมกับผม
ดังนั้นผมจะให้ข้อสังเกตของตนเองเท่านั้นคือ ผมเชื่อว่าเราสร้างประชาธิปไตยแบบที่มีประมุข
ในรูปแบบอังกฤษหรือญี่ปุ่นคงทำ ไม่ได้แล้วในไทย เพราะพวกทหารและกลุ่มอื่นจะดึงประมุข
มาเป็นข้ออ้างในการทำลายประชาธิปไตย เสมอ การเขียนรัฐธรรมนูญก็ไม่ช่วยเพราะทหารฉีกและ
ละเมิดรัฐธรรมนูญเป็นสันดาน

ดัง นั้นเราต้องเปลี่ยนสังคมแบบถอนรากถอนโคน
ต้องลดอำนาจและงบประมาณกองทัพ ต้องปฏิรูปศาลให้หมด ต้องมีระบบลูกขุนประชาชน
ต้องปฏิรูปตำรวจ ต้องสร้างสื่อมวลชนของประชาชนแทนสื่อปัจจุบัน และต้องเปลี่ยนระบบการศึกษา
ทุกตำแหน่งสาธารณะต้องมาจากการเลือกตั้ง และต้องแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ
ทางเศรษฐกิจ เพราะการแก้นิดๆหน่อยๆ จุดเดียวจะไม่ประสบความสำเร็จ


ท่ามกลางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแท้ที่เราต้องการนี้
ผมเองหวังอย่างยิ่งว่าประชาชนจำนวนมากจะเริ่มเข้าใจว่าแค่ประชาธิปไตยรัฐสภา ไม่พอ
เราต้องมีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจด้วย ประชาชนต้องมีอำนาจในการกำหนดทิศทางการผลิต
และการลงทุน ซึ่งแปลว่าต้องยกเลิกทุนนิยมและนำระบบสังคมนิยมมาใช้ (ซึ่งจะแตกต่างโดย
สิ้นเชิงกับระบบเผด็จการคอมมิวนิสต์ที่มีในลาว เกาหลีเหนือ คิวบา หรือจีน) ในย่อหน้านี้ผม
อาจมองต่างมุมหรือมองเหมือนกับคนอื่นในกลุ่มปฏิวัติก็ได้ ผมไม่ทราบ ต้องรอให้เขาอธิบายเอง

ผมต้องยอมรับว่าสิ่งที่เราในกลุ่มปฏิวัติกำลังเสนอ เป็นเรื่องใหญ่ ต้องใช้เวลา
และที่สำคัญที่สุดคือต้องใช้พลังมวลชน บทสรุปสำคัญจาก 14 ตุลา และพฤษภา 35
คือการเปลี่ยนสังคมต้องมาจากกระแสมวลชน ไม่ใช่จากคนกลุ่มเล็กๆ ไม่ว่าคนกลุ่มนั้นจะ
ติดอาวุธหรือไม่ แต่ถ้าคิดดูให้ดี สภาพสังคมไทยตอนนี้น่าจะสอนให้เราทราบว่าการต่อสู้
เพื่อประชาธิปไตยเป็น เรื่องใหญ่อยู่แล้ว

ผมไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านพอใจกับประชาธิปไตยครึ่งใบหรือไม่ แต่ผมไม่พอใจ

แนว ปฏิวัติเสี่ยงกับการถูกปราบ และคนที่เสี่ยงที่สุดคือคนในประเทศ(ไม่ใช่ผม)
แต่แนวปฏิรูปเสี่ยงกับการยอมจำนนต่ออำมาตย์ เลือกเอาเองครับเพื่อนเสื้อแดงทั้งหลาย

พวกเราถึงทางแยกสำคัญที่บังคับให้เราต้องคิดหนัก เราไม่ควรเงียบ หรือเอาหัวไปมุดดิน
เราควรจะพูดและคิด ควรจะถกเถียงอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด

แต่อย่าลืมขยันสร้างความสามัคคีด้วยในเรื่องที่ทำได้ อย่าลืมว่าศัตรูหลักคือพวกอำมาตย์



Saturday, August 29, 2009

ล้วงลึกตัวตน พวกพ้อง การต่อสู้และความขัดแย้ง

interview Jakrapob Penkair : June 2009
ระหว่างบรรทัดความขัดแย้งและการต่อสู้ กับ จักรภพ เพ็ญแข
โดย : หนังสือพิมพ์ “แนวร่วม” รายสัปดาห์ (ฉบับอุ่นเครื่อง)

Q. ระหว่างบรรทัด ในการให้สัมภาษณ์ของคุณจักรภพกับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง
และระหว่างบรรทัดจากข้อเขียนของคุณในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น (Red News)
ก่อให้เกิดความสงสัยในคนเสื้อแดงหลายคนและถูกขยายความต่อจากฝ่ายตรงข้าม
ว่า เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกันในหมู่แกนนำเสื้อแดง โดยเฉพาะคุณจักรภพกับ
คุณจตุพร บอกได้หรือไม่ว่ามันเป็นเรื่องของอารมณ์หรือความแตกต่างกันทางความคิด
ใน ยุทธวิธีการต่อสู้

A. คนที่สวมเสื้อแดงที่หัวใจและจิตวิญญาณเขาไม่สนใจเรื่องตัวบุคคลหรอกครับ
เขาสนใจว่าขบวนการประชาธิปไตยของเรามีวุฒิภาวะแค่ไหน และจะเดินต่อไปสู่
เป้าหมายอย่างไรมากกว่า ขณะนี้เรากำลังสร้างแนวร่วมประชาธิปไตยให้เป็นเครือข่าย
ที่สำคัญและมีพลัง เราทิ้งใครหรือตั้งข้อรังเกียจใครไม่ได้ทั้งนั้น ทุกคนมีความหมายและ
ความสำคัญ เพราะระบอบอำมาตย์เขาจัดตั้งมานานและแน่นแฟ้น เหมือนต้นโพธิ์
กับกำแพงผุที่กอดกันอยู่ เราเห็นภูเขาตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแล้ว จะมานั่งเถียงกัน
ทำไมครับว่าจอบของใครขุดได้ดีกว่า เราต้องใช้จอบทุกอันที่มีนั่นแหละ

Q. หลายคนมองว่าโดยส่วนตัวของคุณนั้นต้องการให้ความรุนแรงในการต่อสู้
เป็นตัวตัดสิน โดยเฉพาะเหตุการณ์สงกรานต์เลือดที่ผ่านมา

A. นั่นเป็นเรื่องแต่งครับ เรามีอะไรในขบวนการเสื้อแดงที่จะไปก่อความรุนแรงเล่า?
อาวุธก็ไม่มี กำลังจากไหนๆ ก็ไม่มี ที่สำคัญคือเจตนาที่จะก่อความรุนแรงวุ่นวายก็ไม่มี
ผมเห็นแต่ฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นที่เขามีทั้งกำลังทหาร ตำรวจ สายลับ ข่าวกรอง และ
ขบวนการประชาชนจัดตั้งแบบติดอาวุธเตรียมก่อเรื่องแบบที่นางเลิ้ง ใครที่อยากเชื่อ
เรื่องแบบนี้ ควรย้อนไปดูเทปการชุมนุมของพวกเราตั้งแต่ยุค PTV เป็นต้นมาว่าเราเรียกร้อง
ให้ใช้ความรุนแรงบ้างหรือไม่ ผมอยู่กับขบวนการของเรามาตลอด และยึดอยู่กับหลักการ
แห่งความสงบ สันติ และปราศจากอาวุธเรื่อยมา

Q. คุณมองว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงและขบวนการผู้รักประชาธิปไตยมันเป็น "เกม"
ที่ต้องรู้แพ้-ชนะ กันในกรอบเวลาที่จำกัด หรือเป็นสงครามที่อาจพ่ายแพ้ในศึกหนึ่ง
แต่มิได้หมายความว่าจะเป็นการปิดฉาก

A. ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เกม ซึ่งแปลว่าการละเล่นเพื่อความเพลิดเพลินของใครสักคนหนึ่ง
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไม่ใช่เกม แต่เป็นวิถีชีวิตของคน 64 ล้านคนที่ต้องการคำตอบ
ว่าชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับอะไร ขึ้นอยู่กับอำนาจลึกลับที่คอยบงการชี้นำประเทศ ซึ่งเป็น
อำนาจที่ปราศจากความพร้อมรับผิดเพราะหาตัวคนสั่งไม่ได้ หรือขึ้นกับตัวแทนในระบอบ
ประชาธิปไตยที่ขึ้นมามีอำนาจชั่วคราว โดยประชาชนสามารถถ่วงดุลและตรวจสอบได้
เรื่องขนาดวิถีชีวิตนี่ กำหนดวันเวลาที่แน่นอนไม่ได้หรอกครับ ผมรู้แต่ว่าใครเอาจริงเอาจัง
กับเรื่องนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นภารกิจแห่งชีวิต และอุทิศตนเต็มที่ จะวางขั้นตอนชัดเจนแบบ
ทำธุรกิจคงจะไม่ได้

Q. คุณพูดถึงการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการประชาธิปไตย
อยากทราบถึงโมเดลกระบวนการทำงานของหน่วยงานนี้ว่าเป็นเช่นไร

A. หน่วยปฏิบัติการประชาธิปไตยมีขึ้นเพื่อตอบโจทย์ในอดีต
ว่าทำไมขบวนการประชาธิปไตย ของเราจึงได้พ่ายแพ้มาตลอด ประชาชนของเรามีความ
บริสุทธิ์ใจมาก แต่ฝ่ายตรงข้ามเขามีเล่ห์เหลี่ยมรอบตัวและโหดเหี้ยมอำมหิต สู้กันลำบาก
เราต้องการกิจกรรมประชาธิปไตยที่มีอุดมการณ์และวิธีคิดที่เป็นประชาธิปไตย แท้ แต่ต้อง
มีประสิทธิภาพและสร้างอำนาจต่อรองให้กับฝ่ายประชาชนได้ รูปธรรมคือสรรหาและพัฒนา
นักปฏิวัติประชาธิปไตยเต็มเวลามาทำงาน จะอยู่ที่ไหนในโลกก็ได้ ทำงานประสานกับคนใน
อย่างใกล้ชิด มุ่งหวังผลเลิศ แต่ไม่ได้มุ่งหมายผูกขาดการปฏิวัติประชาธิปไตยไว้เป็นของตน
รูปแบบเรียบง่าย ประกอบด้วยศูนย์กลาง แกน เครือข่าย และแนวร่วม ทำงานกับขบวนการ
ประชาธิปไตยสากล เพราะการโค่นล้มเผด็จการไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของประเทศหนึ่งประเทศใด

Q. แน่นอนว่าหน่วยงานนี้จะไม่ใช่กองกำลังติดอาวุธหรือการเล่นเกมใต้ดินที่มีบางกลุ่ม
พยายามยัดเยียดการต่อสู้ในแนวทางรุนแรงนี้ให้กับคุณ

A. จินตนาการไปเถิดไม่เป็นไร
แต่ระวังยัดเยียดจะอะไรแล้วเกิดเป็นประโยชน์กับผมขึ้นมาก็แล้วกัน

Q. ในความเป็นนักรัฐศาสตร์ของคุณๆ มองการต่อสู้และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ภายใต้แนวทางสังคมนิยมของหลาย ประเทศในยุโรปเป็นเช่นไร แบบอย่างไหนที่คุณคิด
ว่าใกล้เคียงกับประเทศไทยมากที่สุด

A. ยุโรปกลายเป็นประชาธิปไตยได้ก็เพราะผ่านเผด็จการสุดขั้วมานับร้อยปี
ทั้งเผด็จการราชาธิปไตย เผด็จการทหาร และเผด็จการจักรวรรดินิยม ประเทศไทยอาจจะกระโดด
พรวดเดียวไปถึงขนาดนั้นไม่ไหว ดูประเทศใกล้ตัวอย่างอิหร่านและญี่ปุ่นสิครับ ไปดูไกลนักทำไม

อิหร่าน ที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งประธานาธิบดีไปเมื่อวันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2552
เป็นการสู้รบกันระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีนิยมหรือฝ่ายก้าวหน้า แต่เมื่อฝุ่นการเมือง
หายตลบอบอวลแล้ว กลับพบว่าผู้ชนะตัวจริงไม่ใช่อาหมัดดิเนจัดหรือมูซาวี แต่กลับเป็น
อะยาตุลาห์โคเมเนอี ผู้เป็น “ผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณ” ซึ่งมีอำนาจกดปุ่มได้ทั้งนั้นและประเทศ
ก็จะหันเหไป ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะการเลือกตั้งก็ตาม นั่นแสดงว่าอิหร่านมีระบบ “รัฐซ้อนรัฐ”
นั่นคือรัฐบาลจากการเลือกตั้งก็ทำหน้าที่ไปในฉากหน้า รับความผิดรับความบกพร่องอะไร
ไปทั้งหมด รัฐบาลตัวจริงที่ไม่เคยได้เลือกตั้งก็คอยควบคุมอำนาจรัฐอันแท้จริงอยู่ข้าง หลัง
นั่นคือภาพเปรียบเทียบกับไทยในปัจจุบัน

ส่วนญี่ปุ่นเป็นระบอบ ประชาธิปไตยอันมีองค์พระจักรพรรดิเป็นประมุข รัฐบาลที่มีอำนาจจริง
มาจากการเลือกตั้ง ในขณะที่ราชสำนักเป็นสัญลักษณ์ที่ดีงามในทางวัฒนธรรม สูงส่งและไม่
แปดเปื้อนด้วยการแย่งชิงผลประโยชน์ ทำให้ชาวญี่ปุ่นแยกได้เด็ดขาดระหว่างปูชนียบุคคลกับ
ผู้มีอำนาจในทางการเมือง นั่นคือภาพของราชอาณาจักรที่มีความก้าวหน้า

เรามักนำตัวเองไป เปรียบเทียบกับโลกตะวันตก ในขณะที่โลกตะวันออกในครรลองใกล้เคียงกัน
มีอะไรให้เทียบเคียงได้มาก ทั้งในความเหมือนและความแตกต่าง

Q. คุณรู้สึกหรือไม่ว่าเมื่อใดที่ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยถูกทำ ถูกออกแบบให้ใกล้ชิด
กับลัทธิบูชาตัวบุคคลมากเท่าใด นั่นหมายถึงสัญญาณของความพ่ายแพ้ได้เดินทางใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ

A. เห็นด้วยครับ บุคคลมีความสำคัญในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์และเป็นผู้ปฏิบัติภารกิจบริหาร
ขบวนการประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้ควบคุมขบวนการนั้นๆ เราต้องยอมให้พลวัตร
ประชาธิปไตยเป็นตัวขับเคลื่อนขบวนการประชาธิปไตยอย่าง แท้จริง พูดให้ง่ายคือต้องเอาพลัง
ทั้งสังคมมาปฏิวัติประชาธิปไตยให้ได้ ใครรวบรวมพลังเหล่านี้ได้ก็เป็นผู้นำขบวนการประชาธิปไตยได้

ผู้นำ ขบวนการประชาธิปไตยต้องไม่ใช่คนที่นั่งนอนรอประนีประนอมกับเขา
ต้องไม่ใช่คนที่หวังยังชีพไปพร้อมกับงานประชาธิปไตย และต้องไม่ใช่ตลกหน้าม่านที่ออกมา
ผ่อนคลายความตึงเครียดของคนแค่ชั่วครู่ ชั่วยาม แต่เมื่อได้ตัวมาแล้วก็ต้องควบคุมอัตตวิสัยของตน
ไว้ให้ดี กำเริบเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็นเผด็จการตัวใหม่ทันที

Q. คุณคิดหรือไม่ว่าขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของบ้านเราในทุกวันนี้ เอาเข้าจริงแล้วมันก็
ยังลุ่มหลงอยู่ในมายาคติ มายาคติของการเทิดทูน บูชาความเป็นปัจเจกเสียมากกว่าที่จะดื่มด่ำหลงใหล
กับเนื้อหาอันแท้จริง

A. อย่าห่วงเลยครับ ประชาชนท่านแยกออก

Q. ที่คุณพูดว่าถึงเวลาสมควรพบก็ต้องพบกันนั้น หมายถึงอย่างไร

A. ท่านถามจากข้อเขียนของผมเมื่อสัปดาห์ก่อนในอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งต้องขอขอบคุณที่ได้อ่าน
ความหมายของผมตรงไปตรงมาไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกครับ การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของเรา
ต้องกำหนดทิศทางโดยฝ่ายประชาชน ไม่ใช่ให้ศัตรูของประชาชนมากำหนด โดยใช้คดีความต่างๆ
บ้าง การกล่าวหาผ่านสื่อบ้างอะไรบ้าง มาเป็นเครื่องมือ เราจะต้องวางแผนให้รอบคอบและ
เดินหน้าของเราไป ถึงเวลาเมื่อไหร่เราก็ลงมือทำ ไม่ต้องไปรอเงื่อนเวลาใดๆ ที่เขากำหนดขึ้นมา
ให้หรอกครับ

Q. ประชาธิปไตย สังคมเป็นธรรม ในความรู้สึกของคุณนั้นคืออย่างไร

A. ความเป็นธรรมคือการได้รับโอกาสทางสังคมอย่างเต็มที่ จะให้โดยรัฐบาลก็ได้ ประชาชน
ให้กันเองก็ได้ โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ มาสกัดกั้นขัดขวาง ผมรู้ว่าเราเลือกเกิดไม่ได้ และต้องมีคนที่
ได้รับโอกาสมากกว่าอีกคนหนึ่งเสมอในสังคม แต่สังคมจะต้องใส่ใจกับคนที่ไม่สามารถได้รับ
โอกาสนั้นได้ด้วยตนเอง และสร้างเครื่องมือช่วยเหลืออย่างชาญฉลาด โดยไม่เป็นการเอาเปรียบ
คนอื่นๆ ขึ้นมา ผมไม่ได้พูดถึงรัฐสวัสดิการอย่างเดียว แต่ยังพูดถึงการศึกษาและการพัฒนาต่อยอด
(education & re-training) ที่บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อมวลชนที่รับใช้สังคมอย่าง
เสมอภาค ระบบศาสนาที่ตอบโจทย์ทางใจและจิตวิญญาณโดยไม่ลากลงต่ำไปกว่าเดิม ทั้งหมดนี้
เป็นเพียงตัวอย่างนะครับ

Q. มองย้อนไปบนเส้นทางชีวิต คุณรู้สึกมั้ยว่าความเป็นจักรภพในวันที่เป็นนักเรียนสาธิต
นิสิตจุฬา พนักงานซี.พี. หรือเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความเป็น
จักรภพใน ฐานะคนหัวแถวของเสื้อแดง บางคนมองว่าการอธิบายหรือให้นิยามความเป็นคุณช่าง
เป็นเรื่องยาก เพราะแยกไม่ออกว่าสิ่งที่คุณเป็นนั้น มันคืออะไรกันแน่ อุดมการณ์ จิตสำนึก สันดาน
หรือจริตมายา

A. จะร้อนใจไปใย รอไว้จำกัดความในวันที่ผมตายแล้วก็ได้ เพราะผมยังต้องทำอะไรอื่นๆ อีกมาก
ยังไม่รู้ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลวในใจใคร วานซืนนี้ผมกินข้าวหมูแดงใส่กุนเชียง เมื่อวานกิน
ก๋วยเตี๋ยวแห้ง ตกเย็นได้กินอาหารญี่ปุ่นคือปลาดิบ และวันนี้เพิ่งจะเล่นข้าวราดแกงไปหมาดๆ จะ
สรุปนิสัยสันดานในการกินของผมอย่างไรดี ในความเป็นมาของชีวิต ผมยังเคยทำงานถวายสมเด็จ
พระเทพรัตนราชสุดาฯ ในโครงการหนังสือ “The Princess of All Peoples” เคยเป็นสื่อมวลชนอิสระ
ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัทผลิตสื่อ อาจารย์มหาวิทยาลัย วิทยากรในสถาบันของทหาร รวมทั้ง
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรยาวนานหลายปี เป็นลูกหลานทหาร แม่มาจากตระกูลที่รับใช้รั้ววังมา
พี่เป็นข้าราชการระดับสูง อ่านหนังสือสลับกันระหว่างภาษาไทยกับอังกฤษมานานกว่ายี่สิบปี
เป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ฯลฯ จะสรุปความเป็นคนของผมอย่างไร
ผมเป็นคนชนิดไหน ผลประโยชน์ร่วมกันและขัดแย้งกับกลุ่มใด

อย่าเสียเวลากับตัวผมมากนักเลยครับ มาคุยกันเรื่องความคิด อุดมการณ์ และแผนงานดีกว่า

Q. คุณยังได้พุดคุยกับสื่อมวลชนต่างประเทศอยู่บ่อยๆ เหมือนเดิมหรือเปล่า วันนี้ของสื่อมวลชน
ต่างประเทศมีทัศนคติและมองประเทศไทยอย่างไร ความเชื่อมั่นของพวกเขาที่มีต่อประเทศไทย
เป็นเช่นไร ยังเป็นขุมทองของการลงทุน และแดนสวรรค์ของการท่องเที่ยวอยู่อีกหรือไม่

A. ผมสังสรรค์เสวนากับคนไทยและชาวต่างประเทศอยู่ตลอดเวลาครับ
ชาวต่างประเทศนั้นก็ทั้งคนเป็นรัฐบาล นักการเมืองในระบบพรรค ตุลาการสากล สื่อมวลชน
นักธุรกิจที่เขามองเมืองไทยอย่างใส่ใจและปรารถนาดี คนระดับหัวหน้ารัฐบาลก็ได้เข้าพบอยู่บ้าง
เมื่อได้พบแล้วเขาก็ถามคล้ายกันว่าเมืองไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป

นักธุรกิจส่วนมากก็ยังพอใจกับจริตแบบไทยๆ เห็นว่าเป็นความพิเศษกว่าชาติอื่นๆ อยู่
เขานั่งรอว่าเมื่อไหร่เมืองไทยจะกลับสู่สมดุลและจุดลงตัวของตน ก็จะกลับมาทุ่มทุนอีก ผมไม่ห่วง
เรื่องชื่อเสียงของประเทศในระยะยาว เพราะคนไทยร่วมกันทำชื่อเสียงที่ดีมามากพอ ส่วนการเมือง
ในระยะนี้เขาก็รู้กันดีว่าติดขัดที่ตรงไหน เขาก็รอให้ฝ่ายที่ขัดขวางระบอบประชาธิปไตยแพ้ภัยตัวเอง
ไปแล้วเขาก็คงเข้ามา

Q. คุณคิดยังไงกับความเห็นของหลายคนที่ว่ารัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณทำให้ทุนนิยมชายขอบ
ของไทยก้าวสู่ความเป็นทุนนิยมโลก และมันไม่วันหวนกลับคืนมาอีกแล้ว ดังนั้นที่ๆ จะยืนอยู่ของ
ไทยบนเวทีโลกอย่างไรเสียมันก็หนีไม่พ้นโลกของทุนนิยม

A. ตอบกันจริงๆ มันก็เป็นเรื่องของวิถีการผลิต เพราะมนุษย์ต้องกินต้องใช้ ต้องมีปัจจัยสี่
คำถามคือจะได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน ระบบการผลิตของโลกถูกครอบด้วยลัทธิทุนนิยม นั่นคือเอา
ระบบตลาดหรือหลายคนเรียกอย่างเจ็บใจว่า ระบบความโลภ มาเป็นแรงขับดันให้อยากผลิต
อยากเผยแพร่ ผู้บริโภคก็ได้ตัวเลือกหลากหลายในแต่ละสินค้าและบริการ
นับเป็นผลประโยชน์ร่วมกันอย่างหนึ่ง

แต่ทุนนิยมสุดขั้วและล้าหลัง มันก็โลภ มันก็ตักตวง มันทำลายผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม
และมันก็สร้างความขัดแย้งในสังคม คำตอบก็คือเราต้องใช้พลวัตรทางสังคมผลักให้เกิด
ระบบทุนนิยมก้าวหน้า และต้องให้แน่ใจว่าเป็น “ระบบทุนนิยมก้าวหน้า” ใน “ระบอบประชาธิปไตย”
ไม่ใช่ “ระบบทุนนิยมล้าหลัง” ใน “ระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย”

แนวคิดที่จะหนีจากระบบทุนนิยมและใช้แนวคิดอื่นมากำกับระบบการผลิตนั้น
ผมยังไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะคนที่สอนให้คนอื่นรังเกียจทุนนิยมและวิจารณ์นักทุนนิยมคนอื่นๆ
ว่าเลวว่าชั่วนั้น ตัวเองก็ทุนนิยมเสียจนรวยล้นฟ้า

Q. ทุนนิยมสามานย์กับไม่สามานย์นี่มันต่างกันตรงไหน ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ชี้วัด
ทุนนิยมในศักดินากับทุนนิยมในสามัญชนอย่างไหนน่ากลัวกว่ากัน

A. สำหรับผม ทุนนิยมสามานย์ หรือทุนที่เลว ต่ำ ชั่ว
คือทุนนิยมล้าหลังในระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย

ทุนนิยมที่พอยอมรับได้ แต่ต้องกดดันกันไว้ตลอด คือทุนนิยมก้าวหน้าในระบอบประชาธิปไตย

เกณฑ์ ชี้วัดโดยคร่าวคือ สิ่งที่ได้มาในเชิงมูลค่าเพิ่ม ต้องมากกว่าต้นทุนทางธุรกิจ
ทางสังคม และทางจิตวิญญาณ พูดง่ายๆ คือสังคมต้องไม่ขาดทุน และประชาชนส่วนใหญ่
ต้องได้กำไรในเชิงเศรษฐศาสตร์

Q. มั่นใจหรือไม่ว่า เร็วๆ นี้คุณจะได้กลับเมืองไทย ได้กลับมาโลดแล่นทางการเมืองบนแผ่นดินแม่

A. ผมไม่สนใจนักว่าจะได้กลับมา “โลดแล่นทางการเมือง” แบบที่ท่านถามหรือไม่
เพราะทำงานการเมืองในระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย คงไม่ต่างอะไรกับการมีเพศสัมพันธ์กับคนตาย
ไม่รู้สึกรู้สมและไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ผมสนใจใช้เวลาศึกษาปัญหาในโครงสร้างการเมืองของประเทศ
ไทยเพื่อการแก้ไขใน ระยะยาวมากกว่า ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ ผมจะทันเห็นหรือไม่ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ผมเคยบอกกับน้องๆ ที่มาสัมภาษณ์เกี่ยวกับปรัชญาชีวิตว่า ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวของนักเขียนอเมริกัน
ที่ผมชื่นชอบมาก คือเรย์ แบรดบิวรี่ เขาบอกว่า “กระโดดลงเหวไปก่อน แล้วงอกปีกตามให้ทัน”
ผมเลือกที่จะมีชีวิตแบบนั้น.



Thursday, August 27, 2009

ทักษิณกลับบ้าน ?

article : จักรภพ เพ็ญแข
from : หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ “แนวร่วม Red” ปีที่ 1 ฉบับที่ 7
date : August 25, 2009 -- 25 สิงหาคม 2552

หมู่นี้พูดกันบ่อยจริงเรื่องคุณทักษิณจะกลับบ้าน

อยากให้พี่น้องตื่นเต้นเร่งลงชื่อในฎีกา ก็บอกว่าเพื่อให้คุณทักษิณได้กลับบ้าน
จะเอาฎีกาไปยื่นที่สำนักพระราชวัง ก็เรียกคนมาชุมนุมกันที่สนามหลวงและบอก
เป็นนัยๆ ว่าเพื่อคุณทักษิณจะได้กลับบ้าน หรือกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเสียด้วยซ้ำ
แค่ชาวเสื้อแดงมากันให้มากเข้าไว้เป็นได้การ พูดย้ำซ้ำทวนกันจนชาวประชาธิปไตย
ที่นิยมคุณทักษิณค่อนประเทศเชื่อเอาจริงๆ ว่ากระบวนการขั้นตอนในการเอาชนะ
พวกปล้นประชาธิปไตย จะง่าย สั้น จบ อย่างสวยงามอย่างที่พูดกัน

ผมก็คนหนึ่งล่ะครับที่อยากเห็น พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน
อยากเห็นท่านเข้ามากอบกู้บ้านเมืองที่ถูกอำมาตย์มันปล้นทำลายไป แต่ผมก็อดสงสัย
ไม่ได้ว่า คนที่พร่ำพูดเช่นนั้นเอาเหตุผลอะไรมาอธิบายว่าความหวังของเราจะเป็นจริง

การให้กำลังใจกันนั้นก็เป็นเรื่องดีและควรทำครับ
แต่อย่าเตลิดไปจนสร้าง “ความฝัน” ขึ้นมาแทน “ความหวัง” จนกลายเป็นฝันสลายไป

ดร.ทักษิณฯ นำพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด ๒ ครั้ง
เป็นปรากฏการณ์แรกนับแต่ฝ่ายประชาธิปไตยโค่นเผด็จการแบบเก่าได้สำเร็จในปี
พ.ศ. 2475 และนำพรรคพลังประชาชนจนได้รับชัยชนะอีกครั้งในระหว่างที่บ้านเมือง
อยู่ในเงา รัฐประหารและรัฐบาลอำมาตย์ ในปี พ.ศ. 2550

สร้างฐานสมาชิกพรรคไทยรักไทยเป็นประวัติการณ์เกือบ 20 ล้านคน จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ราว 40 ล้านทั่วประเทศ และได้รับคะแนนนิยมสูงกว่านายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งทุกคน
วัดผลทีไรก็ไม่มีใครเถียงว่ามีผลงานจับใจประชาชนมากที่สุด จนทำให้ประชาธิปไตยที่
คุณทักษิณดูแลกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและกินได้

แต่แล้ว...
เขาก็หักดิบเอาตรงๆ เมื่อวันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
ในนาม คปค. / คมช. โดยไม่เกรงใจประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว

ถามจริงๆ เถิดครับ เสียงในฎีกา 6 ล้าน ซึ่งเป็นเสียงสวรรค์โดยแท้ไม่มีใครเถียงได้
จะไปคัดง้างอะไรกับคนชนิดนี้ ? -- ได้เคยคิดกันบ้างไหมครับ

เห็นขึ้นมารุมด่าพลเอกเปรม พลเอกพิจิตร นายอภิสิทธิ์ นายบวรศักดิ์ ฯลฯ เป็นหมูเป็นหมา
สนุกเสียไม่มี สะใจเป็นบ้า ในที่สุดก็บอกกับพี่น้องประชาชนว่า ด่าไอ้พวกเลวชาติแบบ
ไม่ต้องให้มันได้ผุดได้เกิดกันเลย เพื่อเราจะได้เกิดใหม่ทางการเมือง .. คนดูโห่ร้องกึกก้อง
เพราะนึกว่าเราจะได้รับชัยชนะแน่นอนแล้ว

ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ครับว่า
ระบอบอำมาตยาธิปไตยหมายถึงใครและอะไรบ้าง


เล่าเรียนกันมาทางไสยศาสตร์ขนาดไหน
ถึงประกาศกลางเมืองว่าจะแยกผีออกจากสางมิน่าเล่า...
ถึงได้ถูกหลอกจนหัวโกร๋นแล้วโกร๋นอีก

บางคนเคยถูกเขาหลอกมาครั้งหนึ่งตอนอายุสี่สิบเศษๆ
ดันยอมถูกหลอกอีกครั้งในวัยหลังหกสิบ แล้วมาลากเอาคนเป็นล้านๆ เข้าไปในป่าช้า
เพื่อจะถูกหลอกด้วย .. -- .. เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใย ?

บอกด้วยความรักและหวังดีต่อกันว่า การหาความเป็นธรรมจากคนหน้าด้าน
ที่ชำนาญเกมรักษาอำนาจ ยากกว่าการแงะเศษกระดูกออกจากปากสุนัขมากนัก

ชอบอ่านประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทำไมจงใจอ่านข้ามตอนนี้ไปเสียล่ะครับ?

พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ผู้นำสายทหารในการเปลี่ยนแปลง
การปกครอง พ.ศ. 2475 ถึงกับต้องทำรัฐประหารซ้ำสองในปีรุ่งขึ้นเพื่อปราบปราม
“ซากเดนศักดินา” ที่ผ่านร่างทรงเก่าๆ ของผีร้ายตัวเดิมเข้ามาทวงอำนาจคืน เช่น
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) ผู้ได้รับเชิญเป็นประธานกรรมการราษฎร
หรือนายกรัฐมนตรีคนแรกหลังการปฏิวัติ เป็นต้น

แล้วคนรักพระยาพหลฯ ในบ้านเมืองนี้
ทำไมถึงได้ยืนด่าซากเดนศักดินา โดยไม่ยอมบอกมวลชนที่รักและเชื่อถือตัวเองว่า
ซากเดนเหล่านั้นกระเด็นออกมาจากตรงไหน ?

หรือวันนี้เพลิดเพลินกับอำนาจใหม่ และการฟื้นคืนชีพทางการเมือง
จนฝันจะเป็นพระยามโนฯ ขึ้นมาเอง โดยลืมเกียรติยศของเจ้าคุณพหลฯ เสียแล้ว ?

เป็นอย่างนั้นไปแล้วหรือครับพระคุณท่าน ?

การถวายฎีกาในครั้งนี้ไม่ต่างอะไรจากกระบวนการขั้นตอนที่เคยมีมา
ไม่อาจลบประวัติศาสตร์ 14 ตุลาคมที่คนเดือนพฤษภาบางคนที่มีปมด้อยพยายามจะลบ
และอย่าเอาไปฝันเองว่าเป็นวีรกรรมใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าวีรกรรมทั้งหลาย

นี่คือการใช้ช่องทางการสื่อสารที่มีอยู่ เพื่อให้แน่ใจว่ายังอยู่กันได้เท่านั้นเองครับ

ใครจะหวังได้ดีอย่างไรจากงานนี้
โปรดอย่าลืมว่าประชาชนของเราเดือดร้อนกันมามากกว่าสี่ปีแล้ว
อย่าไปเล่นสนุกกับความฝันและความหวังของท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นอันขาด

บาปหนักและขบวนการประชาธิปไตยจะถูกทำลายเกลี้ยง

หยุดพูดเถอะครับว่า พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะกลับบ้านในเร็ววันนี้
เหตุการณ์บ้านเมืองจะพลิกไปอย่างไรก็ตามหลังฎีกา คนไทยที่รู้การเมืองไทยจะไม่ยอม
ให้คุณทักษิณกลับมาเป็นเป้าปืนของเขาเป็นอันขาด

ระเบิดเครื่องบินการบินไทย วางแผนลอบสังหาร 8 ครั้ง รวมทั้งกะฆ่าหมู่คนไทยที่บางพลัด
เมื่อรถของคุณทักษิณแล่นผ่าน .. ไม่พออีกหรือครับ ที่จะเรียนรู้ว่าฝ่ายนี้เขาเจตนาฆ่าคุณทักษิณ
โดยไม่มีความคิดที่จะเจรจาใดๆ ด้วยเลย

อยากให้คุณทักษิณกลับมาตายเมืองไทย หรือเตรียมเป็นนายกรัฐมนตรีในยามปลอดภัยและ
ช่วยชาติได้เต็มที่ เป็นทางเลือกที่คนไทยหลายคน และตัวผมเองไม่ยอมเลือกเป็นอันขาด

คนที่เรียกร้องให้คุณทักษิณกลับบ้านโดยอะไรต่างๆ มันไม่ได้ดีขึ้นเลยนั้น
เหมือนคนที่อยากเห็นคุณทักษิณกลับไปตายเหมือนวุฒิสมาชิกเบนิญโญ อาคิโนของฟิลิปปินส์

คุณทักษิณท่านไม่กลัวตายหรอกครับ
ผู้นำคนนี้กล้า ผมได้เห็นมาหลายครั้งแล้ว
แต่เราต่างหากที่เป็นฝ่ายกลัวคุณทักษิณจะเป็นอะไรไป

เพราะเรารู้ว่าบ้านเมืองจะสูญเสียอะไร



หากรัฐประหาร



article : จักรภพ เพ็ญแข
from : คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 12
date : August 22, 2009 -- 22 สิงหาคม 2552

แทบจะไม่มีใครนึกฝันว่า กระบวนการลงชื่อถวายฎีกากรณีคุณทักษิณ
ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เบาบางที่สุดแล้วในเส้นทางอันยาวไกล จะทำให้ระบอบอำมาตยาธิปไตย
เกิด “วินาศกาเล วิปริตพุทธิ” ขึ้นมาอย่างกะทันหันอย่างนี้

เห็นปัญญาแปรปรวนวิปลาสไป ทำให้ฉุกคิดว่าถึงคราววินาศเสียแล้วล่ะกระมัง

อำมาตย์ไม่รู้หรอกหรือว่า ชาวประชาธิปไตยที่เอาจริงเอาจังเขาไม่ได้เห็นด้วยกับฎีกาทุกคน
แต่เงียบสงบกันอยู่ตลอดมานี้ก็เพราะเห็นว่าสังคมไทยต้องเดินไปตามวงเวียนกรรมของ
ตนเองเสียก่อนที่จะเกิดความเข้าใจทะลุปรุโปร่งว่าทุกข์ทางการเมืองในขณะนี้เกิดจากอะไร

ผิดหวังอีกสักรอบหนึ่งอาจจะเป็นการศึกษาที่ดี
ว่าการต่อสู้ตามสิทธิ์ของความเป็นมนุษย์ กับการลดความเป็นมนุษย์ของตนเองลงเพื่อให้ได้มา
ในสิ่งที่เราต้องการนั้น มีความแตกต่างกันนักหนา .. การต่อสู้ย่อมเหนื่อยยาก ยาวนาน แต่ยั่งยืน

การขอร้องนั้นเร็วทันใจและดูเหมือนได้ผล แต่เขาจะเอากลับคืนไปอีกเมื่อไหร่ก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นข้อใดก็ตามในระบอบประชาธิปไตย ได้แก่ อำนาจสูงสุดที่เป็นของปวงชน
เสรีภาพส่วนบุคคล สังคมเสมอภาค หลักกฎหมาย และผู้ใช้อำนาจรัฐที่มาจากการเลือกตั้ง

แต่สังคมของเรามีคนมากมายและหลากหลาย กว่าจะเกิดแนวคิดที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
อย่างที่เรียกว่าฉันทามตินั้น บางครั้งต้องยอมให้เจ็บตัวบ้าง เหมือนเด็กเล็กที่ต้องหกล้ม
สักครั้งสองครั้งก่อนจะเรียนรู้ว่าพื้นคอนกรีตนั้นมันแข็งและไม่ควรปล่อยตัวให้หกล้ม

พลังประชาธิปไตยที่รอคอยอย่างเงียบสงบในกระบวนการถวายฎีกา รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นการ
ศึกษาของสังคม โอกาสที่จะได้มาซึ่งทางออกอย่างยั่งยืนและระบอบประชาธิปไตยแท้จริง
ด้วยวิธีการอย่างนี้แทบจะไม่เห็นทาง แต่ก็ต้องให้สาธุชนทั้งหลายรู้เองด้วยประสบการณ์ส่วนตัว
บอกล่วงหน้าไม่ได้

คนกำลังหลงใหลอะไร อย่าไปขัดคอขัดใจให้เกิดโกรธเคืองกันเลยครับ
ความหลงถูกทำลายได้ไม่ยากด้วยความจริง เราไม่ควรห่วงใยจนเกินเหตุนัก

ความจริงที่ว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่เป็นที่พึ่งที่หวังได้เลยสำหรับฝ่ายประชาธิปไตย
เพราะใช้เวลาตลอดชีวิตในการบดขยี้ทำลายล้างให้เป็นภัสมธุลี ด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต
เหลือที่จะกล่าวนั้น เป็นความจริงที่เจ็บปวด ฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อขาวอีกเป็นจำนวนมากยัง
ปลงใจเชื่อไม่ได้ และยังฝันว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยเป็นคำตอบที่จะทำให้ระบอบ
ประชาธิปไตยสถิตสถาพรได้

สมการง่ายๆ ว่าฝ่ายอำมาตย์คือผู้ทำลายประชาธิปไตย และประชาธิปไตยจะเกิดและอยู่ถาวร
ได้ในประเทศนี้ต่อเมื่อฝ่ายอำมาตย์ต้องพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด ยังไม่ใช่สมการที่ผู้คนส่วนใหญ่
หรือจำนวนมากพอเข้าใจและยอมรับ

เราจึงต้องใจเย็น

ผมถูกป้ายสีมาตั้งแต่ออกจากเมืองไทยว่า เป็นคนประเภทใช้กำลัง เพราะไปเอ่ยถึงเรื่องการจัดตั้ง
กองกำลังเพื่อเตรียมสู้รบกับฝ่ายอำมาตย์ในการให้สัมภาษณ์ ทั้งๆ ที่พูดสื่อความหมายในทาง
ตรงข้ามว่า ฝ่ายอำมาตย์ไม่ควรบีบบังคับฝ่ายประชาชนให้ถึงขั้นคิดใช้และจัดตั้งกองกำลังเลย

พูดเตือนสติกับสุนัขบ้าที่กำลังน้ำลายฟูมปาก มันก็กัดเข้าให้

ขณะนี้ได้นำบทเรียนนี้มาขบคิดใคร่ครวญและฉีดวัคซีนรอบสะดือไว้แล้วเรียบร้อยโรงเรียนไทย
แล้วครับ อย่าได้เป็นห่วง เชื่อเถิดว่า ความวุ่นวายในหมู่อำมาตย์จนชีวิตกลายเป็นจลาจลในขณะนี้
จะเป็นคุณอย่างมากต่อการยอมรับความจริงที่หลีกเลี่ยงมิได้ของฝ่ายประชาธิปไตย

ไม่เกินจริงเลยที่จะบอกว่าถวายฎีกาแล้วจะเกิดปฏิกิริยาอย่างหนักหน่วงจากฝ่ายอำมาตย์
ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 จำพวก

หนึ่ง-อำมาตย์ใหญ่และคนวงใน จะทำท่าเงียบเฉยจนดูเหมือนให้ความร่วมมือ
แต่รอเวลาที่จะตลบหลังเปลี่ยนฉากทำให้คนเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยกลายเป็นผู้ร้ายไป

สอง-อำมาตย์ระดับกลางและระดับปฏิบัติการจะวิ่งวุ่น แสดงออกโต้งๆ เลยว่าไม่สามารถ
อดทนต่อกระบวนการถวายฎีกาของคนเสื้อแดงได้ เพราะรู้ดีว่ากำลังเสี่ยงภัยมหาศาล
ถ้าอำมาตย์ใหญ่เกิดรับลูกฝ่ายประชาธิปไตยขึ้นมา จะจริงใจหรือไม่ก็ช่างเถิด ตัวเองอาจถูกจับ
บูชายัญแทนเจ้านายผู้เป็นอำมาตย์ใหญ่ที่หาทางลงไม่ได้ หรือถ้าอำมาตย์ใหญ่วางแผนตลบหลัง
คนเสื้อแดงเสียเอง ก็จะได้หน้าว่าออกมาช่วยอำมาตย์ใหญ่ตั้งแต่ต้น

เราจึงเห็นหน้าของคุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ คุณอานันท์ ปันยารชุน
คุณสุรพล นิติไกรพจน์ ฯลฯ ในบัดนี้ เพราะเป็นฤดูกาลหาเสียงของฝ่ายอำมาตย์เขา

ไม่มีทางเลยที่วิกฤติการเมืองครั้งนี้จะจบลงด้วยความยอมรับนับถือในทัศนะของประชาชน
เพราะหากมี DNA ประชาธิปไตยอยู่ในตัวบ้าง คงไม่จุดไฟเผาเมืองตัวเองจนเป็นจุลมหาจุล
อย่างนี้มาแต่ต้น

การปะทะระหว่างกลุ่มมวลชนเป็นไปได้ ตั้งแต่ปะทะใหญ่โตเป็น 14 ตุลาคม 2516
จนถึงปะทะน้อยๆ แต่สร้างภาพให้น่าสะพรึงกลัวในโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ และเว็ปของ
ฝ่ายอำมาตย์ จนประชาชนทั่วไปรู้สึกว่าสถานการณ์ไร้การควบคุม และยอมให้จัดตั้งรัฐบาลพิเศษ
ขึ้นมาปกครองในรูปแบบที่ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ เมื่อ พ.ศ.2516

คนเสื้อแดงถูกทำลายภาพลักษณ์จนกลายเป็นผู้ร้าย คิดโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์
ด้วยฎีกาที่ยกขบวนกันไปยื่น ทำลายชื่อเสียงกลางเมืองกันอย่างนั้นก็เป็นไปได้

และจนถึงใช้วิธีรัฐประหาร ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
เพราะกองทัพเป็นเครื่องมือชิ้นเดียวที่ยังไม่ออกมาแสดงท่าทีในเรื่องฎีกา
อาจจะรอทำผลงานทีเดียวหลังจากที่กลไกอื่นๆ ทำลายภาพลักษณ์ของฝ่ายประชาธิปไตย
จนย่อยยับแล้ว เหมือนใช้วิทยุยานเกราะ หนังสือพิมพ์อย่างดาวสยามและบางกอกโพสต์
ก่อนเหตุการณ์โหดเหี้ยม 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 จนนักศึกษาในที่ชุมนุมกลายเป็นญวนเป็นแกว
และคิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเมืองไทยด้วยกำลังอาวุธ

ละครแบบนี้เล่นมาหลายรอบแล้ว และเขาก็เชื่อมั่นว่ายังได้ผล
เมื่อเขายังเชื่อมั่นอย่างนั้น เราก็ต้องระมัดระวัง

บทความที่เขียนอยู่นี้ยังไม่รู้ว่าจะได้ลงพิมพ์ทันเวลาหรือไม่

แต่บอกไว้ตรงนี้ว่าอะไรที่พลาดมาจาก 19 กันยายน พ.ศ. 2549
เราจะนำมาเป็นบทเรียนและทำเสียให้แตกต่างในครั้งนี้
เลิกเอาไข่ใส่ในตะกร้าเดียวกันเหมือนที่มั่นใจว่ามีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรเหลือเฟือ
และลืมสร้างกลไกอื่นๆ นอกสภาเอาไว้สู้ .. กลับมาสนับสนุนขบวนการและกลุ่มประชาธิปไตย
เสื้อแดงและเสื้อขาวที่กระจายกำลังกันอยู่แล้วทั่วประเทศและทั่วโลกอย่างเต็มที่ เพราะเขาคือ
พระเอกนางเอกตัวจริง

คนที่เป็น ส.ส. และคนที่อยากเป็น ก็เข้าช่วยเขาในเขตนั้นๆ ด้วยกำลังปัญญา กำลังทรัพย์
และกำลังใจ โดยใช้ความสามารถในการสร้างและพัฒนาเครือข่ายเข้าไปสมทบ

อารยะขัดขืน เอามาใช้ให้เต็มที่ และรัฐบาลพลัดถิ่น ต้องตั้งขึ้นมาสวนควันปืนทันที

เรื่องอื่นๆ ขอเก็บไว้หน่อย ปล่อยให้ (อำมาตย์) งง.





Wednesday, August 5, 2009

การล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา



article : SIAM Freedom Fight

ในฐานะนักเรียนไทย เราถูกสอนแบบกว้างๆว่า..พม่าข้าศึกยกทัพมาเผาเมือง
คนไทยไม่สามัคคีกัน จึงพ่ายแพ้หมดรูป ..ก็เท่านั้น

แต่ในฐานะประชาชนไทย.. เกิดคําถามตามมาอีกว่า
แล้วอะไรทําให้คนไทยยุคนั้น"ต้องไม่สามัคคีกัน" ??


ประเด็นนี้ขออ้างอิงงานเขียนของอาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์
ซึ่งบุคคลผู้นี้ได้ศึกษาประวัติศาสตร์มาเป็นเวลานาน มีงานเขียนสําคัญตีพิมพ์มากมาย
หลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวการเมืองในสมัยพระนารายณ์มหาราช การเมืองในสมัย
พระเจ้ากรุงธนบุรี และอื่นๆอีกมาก ล้วนแต่เชื่อมโยงเป็นประเด็นเดียวกันทั้งสิ้น สามารถหา
ซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป เพื่อวิเคราะห์ด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม มีหลายเรื่องหลายประเด็นน่าสนใจ เมื่อเทียบเคียงกับสถานการณ์
บ้านเมืองปัจจุบัน นับแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงวิกฤติเศรษฐกิจและ
โรคระบาด ไปจนถึงศึกสงครามคุกรุ่นตามแนวชายแดนในปี 2552

คือกรุงศรีอยุธยาของเรามีการปรับปรุงระบบราชการมาหลายครั้งหลายหน ตามสถานการณ์
ในแต่ละยุคสมัย แต่ปัญหาหลักปัญหาใหญ่เรื้อรังมาแต่ต้นอาณาจักรคือ"อํานาจของหัวเมือง"
รัฐบาลกลางยามอ่อนแอมีปัญหา จะปราศจากอํานาจควบคุมหัวเมืองสําคัญไว้ได้ จึงจําต้องมี
ระบบรวมศูนย์อํานาจไว้ที่เมืองหลวง และต้องเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ได้ต่อเนื่อง ไม่ว่าใครจะ
ขึ้นมาเป็นพระมหากษัตริย์ ระบบที่ว่านี้เริ่มลงตัวในสมัยของพระเอกาทศรถ ซึ่งสืบเนื่องมาจาก
การวางระบบในสมัยพระนเรศวรมหาราช

ล่วงเลยถึงราชวงศ์บ้านพลูหลวง ระบบปฏิบัติการนี้เริ่มส่งผลข้างเคียง และบังเอิญว่าไม่มีการ
ยกเครื่องให้เข้ากับสถานการณ์โลก(ในยุคนั้น) ความเข้มแข็งของ"ศูนย์กลาง" คืออยุธยา
ตามระบบเดิมนั้น กลับสร้างความอ่อนแอให้กับหัวเมืองอย่างที่สุด
และผลข้างเคียง
ในระยะยาว คือความไม่ใยดีของประชาชน

เมื่อส่วนกลางเริ่มเกิดอาการอ่อนแอ หัวเมืองที่อ่อนแออยู่แล้วก็ยิ่งแย่ลงไปอีก
แม้แง่ดีคือไม่ฉวยโอกาสแข็งข้อกับส่วนกลาง เพราะไม่อยู่ในสภาพจะแข็งข้อได้
แต่ก็มิได้เป็นประโยชน์อันใดต่ออาณาจักร..

ระบบนี้แก้ปัญหาเรื่องหัวเมืองเกเร แต่ตลอดเวลาไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องรัฐประหารในเมืองหลวง
การรัฐประหารในเมืองหลวงจะใช้กําลังทหารไม่มาก เป็นการยึดอํานาจกันภายใน ด้วยกําลังเพียง
หยิบมือ (ยกเว้นการยึดอํานาจของพระเพทราชาที่แตกต่างออกไป) คือในสมัยอยุธยา
ไม่มีกองทหารประจําการมืออาชีพจริงๆ เป็นลักษณะของกองทัพประชาชน หรือทัพไพร่
..
ผู้คนในแผ่นดิน หรือในเขตอิทธิพลของรัฐ จะต้องมีการสังกัดไพร่

จะเป็นไพร่หลวง (ไพร่ของส่วนกลาง) หรือไพร่สม (ไพร่ของขุนนาง)

ผู้คนส่วนมากนิยมเป็นไพร่สม เพราะไพร่หลวงนั้นงานหนักและไม่มีเจ้านายคอยคุ้มกะลาหัว
ไพร่สมอยู่กับขุนนาง งานหนักบ้างเบาบ้างก็ยังมีเจ้านายคอยดูแลจริงๆ อีกทางเลือกหนึ่งคือ
ไปเป็น"ทาส" บางคนชอบเป็นทาสมากกว่าเพราะสบาย ทาสอยู่ติดเจ้านายตลอดชีวิต
เป็นทาสกันจนถึงลูกหลาน ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานนอกระบบ เพราะทาสคือ
ทรัพย์สินของนาย แต่ไพร่ยังมีฐานะเป็นผู้คนทั่วไป ชีวิตเหลือจากการถูกเกณฑ์แรงงาน ก็ต้อง
ดิ้นรนต่อสู้เอาเอง

คราวนี้ ขุนนางมีศักดินา..ก็มีไพร่ในสังกัดกันทั้งนั้น เรียกว่ามีตําแหน่งก็จะได้มีไพร่พลเข้ามา
ด้วย เป็นกองทัพน้อยๆของตนเอง ..เวลายึดอํานาจ-รัฐประหารก็จะซ่องสุมไพร่พลของตน
มาเป็นกําลัง ปัญหาคือไพร่ไม่ใช่ทหารประจําการ ใช้งานที่ต้องเรียกเกณฑ์ ระดมพลกว่าจะได้
พร้อมหน้าพร้อมตาก็ฟาดเข้าไปสองสามเดือน จากจุดอ่อนของระบบตรงนี้ พระมหากษัตริย์
แต่ละพระองค์จึงต้องมีกองทหารรับจ้าง ส่วนมากเป็นคนต่างชาติ เป็นฝรั่ง ญี่ปุ่น แขก จีน..
ตามแต่รสนิยมของแต่ละพระองค์ กองทหารรับจ้างประจําการอยู่ทุกวัน ไม่อยู่ในระบบไพร่
ใครจ่ายเงินให้คนนั้นก็เป็นนายจ้าง(ชั่วคราว) จึงปลอดภัยที่จะใช้งานมากกว่าคนไทยด้วยกัน
(ซึ่งไม่มีทางรู้ว่าใครแอบปันใจไปให้ขุนนางคนไหนบ้าง)

ขณะที่หัวเมืองอ่อนแอลงไปเรื่อยๆตามกาลเวลา ระบบส่วนกลางก็เริ่มเสื่อมสลายตามไปด้วย
จนท้ายที่สุด ปลายราชวงศ์บ้านพลูหลวง เกิดปัจจัยภายนอก..เข้ามาสะกิดระบบที่เสื่อมสลาย
ให้กลายเป็น"การล่มสลายที่สมบูรณ์" นั่นคือมหาอํานาจจากทิศตะวันตก..คือ พม่า

พม่าเพิ่งฟื้นฟูอาณาจักรขึ้นมาใหม่ และตัดสินใจทําลาย"ปัจจัย"ที่มีส่วนสนับสนุนให้พม่าต้อง
ล่มสลายไปเมื่อครั้งก่อน ปัจจัยที่ทําให้พม่าต้องรบพุ่งกับมอญ ไทยใหญ่อยู่นานนับศตวรรษ..
ปัจจัยหลักที่ว่าคือ..กรุงศรีอยุธยา ว่าแล้วจึงพากันยกพวกมาเผาเมืองอยุธยาให้สูญสิ้นไปเสีย

หากในภาวะปกติ คงรบกันยืดเยื้อยาวนาน จนพม่าอาจอ่อนแรงจนต้องถอยทัพกลับไปเอง
เพราะการเมืองระหว่างประเทศของไทยยุคนั้นมีความเชี่ยวชาญในการยุยงให้เพื่อนบ้านตีกัน
เอง จนไม่มีเรียวแรงมายุ่งกับเรา ..แต่ในสภาพเสื่อมสลายของระบบภายใน จึงไม่มีการออก
อาวุธลับทางการเมือง ..ในสภาพหัวเมืองอ่อนแอ ทัพพม่าสามารถตีไล่มาเรื่อย รวดเร็ว
จนถึงกําแพงถึงกําแพงกรุงศรีฯ ..ตรงนี้แหละที่เป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงความเสื่อมของระบบ

ไม่ใช่ว่าหัวเมืองไม่สู้ แต่ไม่มีอะไรจะเอาไปสู้กับข้าศึก ด้วยกําลังน้อยนิด จึงคิดปกป้องเมือง
ของตนเอง มากกว่าที่จะละทิ้งพื้นที่..เพื่อมาปกป้องอยุธยา ทางเลือกของเจ้าเมืองต่างๆมีไม่
มากนัก คือยอมแพ้พม่า..แล้วไปเป็นพวกเดียวกับมัน หรือรักษากําลังไพร่พลตนเองไว้ แล้ว
วางตัวเป็นกลาง..ตั้งตนเป็นรัฐอิสระไปเลย (เป็นที่มาของชุมนุมต่างๆ) หรือท้ายสุดสําหรับ
ขุนนางที่ไม่มีกําลังไพร่พลมากนัก ถึงไปเข้ากับพม่าก็ไม่มีทางรุ่งเรือง (เพราะไม่มีกําลังพล
มากเพียงพอที่จะทําผลงานอะไรได้) จะรักษาเมืองตัวเองไว้ก็ยาก เพราะยังไงก็แพ้แน่ๆ
ทางเลือกของกลุ่มสุดท้ายนี้คือต้องลงมาช่วยอยุธยารบกับพม่า แล้วค่อยคิดอ่านกันต่อไป..
เป็นการรักษากําลังพลที่ดีที่สุดของกลุ่มสุดท้าย ..

การตัดสินใจเหล่านี้สําหรับคนในอดีต ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
เพราะยุคนั้นไม่มีคําว่า"ชาติ"
คําว่า"ชาติ"เป็นแนวคิดใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19
ในโลกตะวันตก

ในยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรม(และทุนนิยม) คนไทยเพิ่งรู้จักคําว่าชาติก็หลังจากที่
ฝรั่งคิดขึ้นมาได้ไม่นาน คือช่วงรัชกาลที่ 5 ที่ 6 เรานี่เอง ดังนั้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย
เป็นเรื่องของอาณาจักร เรื่องของความผูกพันกับส่วนกลาง ..เมื่อความผูกพันทางการเมือง
ทางการทูต ทางอํานาจและเศรษฐกิจไม่มีเหลือ ..ก็ทางใครทางมัน

ปรากฏการณ์บ่งชี้ความเสื่อมสลายของระบบอีกหนึ่งคือ การต่อสู้ของชาวบางระจัน
ชาวบ้านชุมนุมบางระจัน..คือผู้คนอิสระที่รวบรวมกันต่อสู้กับพม่า
เพื่อรักษาถิ่นฐานของตน และต่อสู้อย่างกล้าหาญจนเป็นตํานานเล่าขาน ..

คําถามทางประวัติศาสตร์คือ พวกเขามาจากที่ไหนกันบ้าง ..
ก็มาจากพื้นที่ใกล้เคียงในภาคกลางปัจจุบันนี้เอง คําถามต่อไปคือพื้นที่เหล่านั้น
อยู่ห่างกรุงศรีอยุธยาเพียงนิดเดียว แล้ว"คนอิสระ"เหล่านี้ ..เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ??

นอกเสียจากเป็นผู้คนที่ไม่ยอมเข้าระบบไพร่มาตั้งแต่ต้น
เพราะถ้ามีสังกัด..ก็ต้องมีนาย แล้วถ้ามีเจ้านาย พวกเขาก็ต้องอยู่กับเจ้านายต้นสังกัด
ผู้คนที่ป้วนเปี้ยนไม่ไกลจากกรุงศรีฯ ไม่มีสังกัด แล้วยังรวมกันจนรบชนะพม่าหลายครั้ง !!..

นี่เท่ากับว่าระบบเกณฑ์ไพร่ของอยุธยาตอนปลายคงจะล่มสลายไปได้พักใหญ่ๆแล้ว
ก่อนที่พม่าจะเข้ามาด้วยซํ้า ระบบไพร่ซึ่งเป็นหัวใจสําคัญของระบบกลไกทั้งมวลในอาณาจักร
แล้วทําไมขุนนางหรือส่วนกลางไม่สามารถจัดการกับ"คนอิสระ" ที่ไม่มีสังกัดเหล่านี้ได้

ทั้งที่มีโทษถึงตายทีเดียว ..

ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า-- รัฐไม่มีอํานาจพอที่จะไปบังคับใครได้..พักใหญ่ๆแล้วด้วย
พูดง่ายๆคือคนไม่เชื่อ ไม่ฟัง ไม่กลัว ไม่ใยดีกับส่วนกลาง

ระบบใดนั้น..ย่อมอยู่ด้วยความเชื่อถือศรัทธาและความรัก
ไม่มีความรู้สึกเหล่านี้หลงเหลือ ระบบนั้นย่อมล่มสลายไปเอง


พระยาตาก..หรือพระเจ้าตากสินมหาราช
วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของประชาชนไทย ยกกองทัพทหารจีนไม่กี่ร้อยคน มาตั้งค่าย
ป้องกันกรุงศรีฯอยู่นอกกําแพงเมือง อยู่ได้ไม่นาน ท่านก็ตัดสินใจทิ้งกรุงศรีอยุธยา พาไพร่พล
ไปทางตะวันออก ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์..

แม้ตอนนั้นอยุธยายังไม่แตก แต่ก็ไม่มีอนาคตหลงเหลืออีกแล้ว เรียกว่าระบบล่มสลายอย่าง
สมบูรณ์ ทุกคนจึงมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะรักษาชีวิตประชาชนของตนเอง ขณะเดียวกันทาง
ฝั่งตะวันออก ชลบุรี ศรีราชาแถบๆนั้น เขาก็แยกตัวเป็นรัฐอิสระกันไปนานแล้วเช่นกัน เมื่อ
พระเจ้าตากยกทัพไปถึง..จึงต้องเจรจากับผู้นําท้องถิ่น เพื่อไม่ต้องฆ่ากันให้ตาย

ทั้งหมดนี้ ไม่เกี่ยวกับคนไทยไม่สามัคคี ไม่ใช่ว่าคนไทยไม่กล้าหาญ
เพราะคนที่เขาทิ้งกรุงศรีอยุธยาและราชวงศ์บ้านพลูหลวงอย่างปราศจากเยื่อใย
คนเหล่านั้นกลับยอมสู้ตายถวายชีวิต..เพื่อพระเจ้าตากสิน


พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆก็คือ ผู้คนเขาเกลียดคนหนึ่งแต่รักอีกคนหนึ่ง
พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆก็คือ ผู้คนเขาไร้เยื่อใยไร้ศรัทธากับคนหนึ่ง แต่มีหัวใจให้อีกคนหนึ่ง
คนหนึ่ง..คือผู้ครองอาณาจักรแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง อีกคนแค่ข้าราชการธรรมดา เป็นแค่
พ่อค้ากองเกวียนเชื้อสายจีน ..คนหนึ่ง..ผู้คนด่าสาบแช่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2310 จนถึง 2552
อีกคนหนึ่ง มีประชาชนยอมตายถวายชีวิตให้ ยังเป็นวีรบุรุษในใจประชาชนมาถึงปัจจุบัน

ว่าง่ายๆก็คือ คนไทยรักใคร่สามัคคี และกล้าหาญเป็นปกติ
เขาแค่ไม่ยอมเปลืองตัวให้กับคนที่เขาไม่รักเท่านั้น ..กรุงศรีอยุธยาล่มสลายเพราะคนไม่รัก
ก็เป็นบทเรียนกับคนไทยปัจจุบัน และเหล่าอมาตยาธิปไตยทั้งหลาย ระบบใดนั้น..ย่อมอยู่ด้วย
ความเชื่อถือศรัทธาและความรัก ไม่มีความรู้สึกเหล่านี้หลงเหลือ ระบบนั้นย่อมล่มสลายไปเอง

"กรุงศรีอยุธยาล่มสลายเพราะคนไม่รัก"
ก็อย่าให้มีคนเกลียดชังไปมากกว่านี้ อย่าดูถูกประชาชนมากไปกว่านี้



ระหว่างความเป็นทาสกับความเป็นไท

originally article written / posted August 18, 2008 : by SIAM Freedom Fight
ระหว่างชาติพันธุ์ที่เกิดมาเป็นทาส กับชาติพันธุ์ที่เกิดมาเป็นไท แตกต่างกันที่กระบวนคิด

01

ในสมัยรัชกาลที่ 5 รัฐบาลประกาศเลิกทาส รวมทั้งยกเลิกระบบไพร่ทั้งหมดในราชอาณาจักร
การศึกษาไทยมักจะสอน และเปรียบเทียบปรากฏการณ์นี้กับการประกาศเลิกทาสในประเทศ
สหรัฐอเมริกา และพยายามบอกว่าเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน

ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว..แต่เป็นแค่ความจริงเพียงครึ่งเดียว


การเลิกทาสอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกานั้น
ประกาศเมื่อสงครามกลางเมืองดำเนินไปได้สักระยะหนึ่ง ถึงแม้ประเด็นการมีหรือไม่มีทาสจะเป็นหนึ่งในสาเหตุ
ของความขัดแย้งที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองสหรัฐ แต่ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด และไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่สุดด้วยซํ้า
แต่สาเหตุหลักที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา
คือความขัดแย้งเกี่ยวกับอธิปไตยของมลรัฐและอำนาจของรัฐบาลกลาง


เมื่อตกลงกันไม่ได้ พูดกันไม่รู้เรื่องสักที..ก็ต้องรบกัน

แม้ฝ่ายเหนือ..หรือรัฐบาลกลางสหรัฐจะชนะสงคราม
แต่ฝ่ายใต้ก็ชนะในเรื่องหลักการ เพราะรัฐบาลกลางให้การยอมรับในอธิปไตยของมลรัฐ และ/หรืออธิปไตยของ
ปวงชน ว่าคืออำนาจสูงสุดของประเทศ – ส่วนการที่รัฐบาลกลางประกาศเลิกทาสในระหว่างสงครามกลางเมือง
ก็เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่สงคราม และเป็นการสกัดกั้น..มิให้อังกฤษเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายใต้

สงครามกลางเมืองเป็นโศกนาฏกรรมของอเมริกา สร้างความหายนะทางเศรษฐกิจและชีวิตผู้คนมากมายมหาศาล
แต่สิ่งที่ได้คือประเทศชาติสามารถรวมกันเป็นหนึ่ง อธิปไตยเป็นของปวงชนอย่างสมบูรณ์.. หรืออย่างน้อยก็เป็น
ของปวงชนมากกว่าชาติอื่นในโลก แถมวัฒนธรรมการเลี้ยงทาสยังถูกกำจัดไปจากแผ่นดิน

ในสยามประเทศ การเลิกทาสเกิดขึ้นเพื่อล้มระบอบศักดินา
ไม่ใช่เพื่ออธิปไตยของปวงชน แต่เป็นการสร้างความมั่นคงแก่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์


การเลิกระบบไพร่ คือการตัดกำลังไพร่พลของขุนนาง ซึ่งกำลังไพร่ในสังกัดขุนนางนี้เคยใช้ในการรัฐประหาร
ครั้งแล้ว ครั้งเล่า..นับแต่กรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา
(แนะนำให้อ่านหนังสือ "การเมืองเรื่องสถาปนาพระจอมเกล้าฯ" โดยเทอดพงศ์ คงจันทร์ สำนักพิมพ์มติชน -
ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งกล่าวถึงอำนาจของขุนนาง ที่มีบทบาทอิทธิพลต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างสูง -
สื่ออำมาตยาธิปไตยจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีในการศึกษาระบอบศักดินา)

ซึ่งแน่นอนว่า การเลิกทาสในประเทศสยามปราศจากการนองเลือด
เพราะไม่รู้จะไปนองเลือดกับใคร ในเมื่ออำนาจขุนนางเวลานั้นก็ไม่ได้มากมายเหมือนในสมัยรัชกาลก่อน
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวหักมุมแบบไทยๆ ที่เรามักได้ยินกันเสมอ คือ ทาสที่ปล่อยแล้วไม่ยอมไป

กลายเป็นว่าคนที่ไม่ยินดีกับการเลิกทาส ก็คือพวกทาสนั่นเอง

ศูนย์อำนาจของราชอาณาจักรอยู่ที่ภาคกลางและเมืองหลวงคือกรุงเทพฯ
จำนวนทาส..และลูกหลานทาสส่วนใหญ่จึงอาศัยในแถบภาคกลาง


ในขณะที่ภาคอีสานสมัยก่อนเป็นดินแดนห่างไกลจากศูนย์อำนาจ แทบจะเป็นดินแดนอิสระในชีวิตประจำวัน
ส่วนภาคเหนือนั้นก็เป็น "อีกอาณาจักรหนึ่ง" มาตลอด ถึงจะอิงอำนาจการเมืองของกรุงศรีอยุธยาบ้าง พม่าบ้าง
หรือกรุงเทพฯบ้าง แต่ในวิถีชีวิตปกติก็เป็นอิสระในตนเอง เป็นอาณาจักรล้านนา - และเพิ่งจะมารวมกับกรุงเทพฯ
ในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้เอง (ยังมีเบื้องหลังการรวมอาณาจักรที่ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้)

ส่วนประเด็นที่ว่าประชากรลูกหลานทาสที่อาศัยอยู่ในภาคกลางซึ่งเป็นศูนย์อำนาจนี้
ก็ขออนุญาต - จะยังไม่ขยายความในที่นี้

02

"สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" กลายเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ที่จะใช้กดหัวประชาชน
และเปิดโอกาสให้ชนชั้นปฏิกิริยาสามารถทำตัวเป็น "กาฝาก" ได้อย่างชอบธรรม


ในวัยเยาว์ เราเรียนรู้จากระบบการศึกษา ถึงคำว่าสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ ล้วนเป็นคำที่มีความหมายดีงาม
เป็นวัตถุประสงค์หลักในชีวิตและระบอบการบริหารบ้านเมือง แม้การศึกษาในวัยเยาว์นั้นจะเป็นการศึกษาภายใต้
ระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นแนวคิดฝังหัวที่เกิดจากการรัฐประหาร 2490 และ 2500 แต่จะอย่างไรก็ตาม คำว่า
"สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์"ก็ยังเป็นความหมายที่งดงาม ไม่ว่าในระบอบใด

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราเห็นโลกมาหลายต่อหลายทศวรรษ
และยามบ้านเมืองวิกฤติจึงเรียนรู้ว่า "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" ก็เหมือน "เปลือกของความดีงาม"
อีกหลายต่อหลายอย่างในสังคมนี้ คือเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ที่จะไม่ทำอะไร หรือทำให้น้อยที่สุด

เป็นข้ออ้างเพื่อยอมก้มหัวอยู่ใต้ฝ่าตีนผู้มีอำนาจให้มากที่สุด
และไม่เสียความรู้สึกของตนเอง ..คือเป็นทาสที่ยังกร่างได้


แล้วรู้ทั้งรู้ว่า การรัฐประหารนั้นคือการเป็นโจรกบฏ
มีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 113 มีโทษถึงประหารชีวิต

แล้วคนในบ้านเมืองนี้ทำอะไร..เมื่อโจรปล้นเมือง
คนในบ้านเมืองนี้ก็ยังท่องคาถา "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์" กับโจร

ขอความเมตตาจากโจร หวังความยุติธรรมจากโจร
ยอมรับกฎหมายโจรไปก่อน..แล้วหวังว่าโจรท่านคงยอมให้แก้ไขทีหลัง หวังให้โจรยึดมั่นในกติกาที่โจรเขียนขึ้นมา
หวังให้กรรมการที่โจรตั้งขึ้นจะมีความยุติธรรมต่อคนที่ถูกโจรปล้น ยอมก้มหน้าก้มตาปฏิบัติตามกระบวนการโจร -
แล้วบอกว่าเรายังอยู่ในระบอบประชาธิปไตย เมื่อโจรไม่เมตตา..ก็หันมาปลอบใจกันเองว่า "เอาเถอะ โจรมันแก่แล้ว
วันหนึ่งมันก็ต้องตาย" ก็หวังไว้ว่าลูกหลานโจร เมียโจรมันจะไม่เป็นโจรเหมือนพ่อแม่มัน ??? ก็เอาเถอะ

หากคำว่า "สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ สันติภาพ"
คือการยอมให้สัตว์นรกกดขี่กดหัว รุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นทาสที่ดีและมีชีวิต
แล้วหลอกตัวเองว่าบ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตย

แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่การยอมก้มหัวใต้ฝ่าตีนชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่การยอมก้มหัวใต้ฝ่าตีนใครทั้งนั้น ประชาธิปไตยคืออธิปไตยเป็นของปวงชน
โดยยึดเอาเสียงส่วนใหญ่เป็นสำคัญ.. ขณะที่ไม่กดขี่ประชากรกลุ่มน้อย


ประชาธิปไตยต้องอยู่บนพื้นฐานความเสมอภาค เสรีภาพ ภาดรภาพ
นั่นคือ คนจน หรือ คนรวย .. คนทีการศึกษา หรือ ไม่มีการศึกษา ย่ิอมมีสิทธิทางการเมืองที่เท่าเทียมกัน
เมื่อไม่มีความเสมอภาค ย่อมไม่มีเสรีภาพ เมื่อไม่มีเสรีภาพ ย่อมไม่มีภาดรภาพ - ไม่มีสันติภาพ

ทุกคนอยากนอนอยู่บ้านสบายๆทั้งนั้น ไม่มีใครอยากเดือดร้อน แต่บางครั้ง ชีวิตก็ไม่ปล่อยทางเลือกแสนสุขให้
กับเราสักเท่าใด - ในปี พ.ศ. 2310 สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ประชากรสมัยนั้นก็มีทางเลือกว่าจะหลบอยู่ใน
กำแพงเมืองกับพระเจ้าเอกทัศ หรือจะออกไปเสี่ยงชะตากรรมกับพระยาตาก ..มุดหัวอยู่ภายในกำแพงเมือง
กรุงศรีอยุธยาก็ดูเหมือนจะปลอดภัย นอนเฉยๆ ไม่ต้องสู้รบกับใคร สงบ สันติ และเป็นกลาง ยามเมื่อพม่าพังกำแพง
เมืองเข้ามา คนเหล่านี้ก็ไปเป็นทาสพม่า ถูกกวาดต้อนไปอยู่พม่าจนทุกวันนี้ ก็เป็นทาสที่สุขสบายดี - แต่ถ้าเลือกที่
จะร่วมทางกับกองทัพพระยาตาก โอกาสตายก็มีสูง .. แต่จะอยู่อย่างทาส หรือจะตายอย่างเสรีชน

คำตอบในหัวใจ สุดแต่ใครเกิดมาเพื่อเป็นทาส
หรือใครเกิดมาเพื่อเป็นไท ..อย่างที่บอก มันต่างกันที่กระบวนคิด



จักรพรรดิฮิโรฮิโต..ผู้ไม่เคยทรยศประชาชน



article : SIAM Freedom Fight / secretMAI
originally posted on May 4, 2008 : moved to this blog August 2009

องค์มหาจักรพรรดิฮิโรฮิโต..แห่งประเทศญี่ปุ่น
สมมุติเทพผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ความยิ่งใหญ่ของพระองค์นั้น มิใช่การนำกองทัพอันเกรียงไกร มิใช่การมีผู้คนกราบไหว้บูชา
อย่างปราศจากความหมาย แต่ความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิฮิโรฮิโต..คือความเสียสละตนเอง
ในยามที่บ้านเมืองต้องการมากที่สุด การยอมเสี่ยงชีวิตตนเอง ..ยอมเสียสละแม้แต่สถาบัน
สมมุติเทพที่สืบเนื่องยาวนานหลายศตวรรษ เพื่อรักษาชีวิตประชาชน..

นี่คือสมมุติเทพ..ผู้ไม่เคยทรยศประชาชน

เราลองย้อนดูประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นกันสักเล็กน้อย
นับแต่โบราณกาล ตำแหน่งจักรพรรดิญี่ปุ่นนั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง
อาจมีช่วงสั้นๆในสมัยเมจิ ที่องค์จักรพรรดิมีบทบาทในการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ..
แต่หลังจากนั้นก็กลับสู่สภาพเดิม และอาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซํ้า -- เพราะหลังจากสมัยเมจิ
กลุ่มอมาตยาธิปไตยญี่ปุ่น--โดยเผด็จการทหาร มักจะแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเพื่อผลประโยชน์
ทางการเมืองของตน

ใช้เป็นข้ออ้างก่อรัฐประหาร..ครั้งแล้วครั้งเล่า
ใช้กำจัดคู่แข่ง - ศัตรูทางการเมือง ..ใช้กดขี่ข่มเหงประชาชน
และท้ายที่สุดก็แอบอ้างสถาบันเพื่อก่อสงครามครั้งใหญ่กับสหรัฐอเมริกา

นั่นคือช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

และเมื่อสงครามที่ทหารญี่ปุ่นเริ่มก่อไว้นั้น เดินมาถึงจุดหายนะ
ความพ่ายแพ้ปรากฏทุกแนวรบ ทางฝ่ายสัมพันธมิตร..คืออังกฤษ อเมริกา ต่างก็มีธงไว้ล่วงหน้า
ฝ่ายสัมพันธมิตรตั้งธงไว้ว่า--จะต้องแขวนคอจักรพรรดิฮิโรฮิโตและนายพลโตโจ

เมื่อใกล้สูญเสียเกาะโอกินาว่า กองทัพญี่ปุ่นเตรียมสู้รบบนแผ่นดินตนเอง
มีการเตรียมกองทัพชาวบ้าน เด็กผู้หญิง คนชราล้วนฝึกอาวุธเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด
พวกฮาร์ดคอร์ในกองทัพเตรียมสู้จนกว่า..ประชาชนทุกคนจะตายหมดทั้งประเทศ

แต่พวกที่ยังมีสติ..คือรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี คันตาโร ซูซูกิ
มองว่านี่เป็นความตายที่เปล่าประโยชน์ และพยายามติดต่อขอสงบศึกกับสหรัฐอเมริกาหลายครั้ง
แต่มีเงื่อนไขว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะต้องไม่นำองค์จักรพรรดิขึ้นศาลอาชญากรสงคราม –
กระทรวงต่างประเทศสหรัฐปฏิเสธเงื่อนไขญี่ปุ่น และยืนยันว่าญี่ปุ่นต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข
เท่านั้น


มาถึงตรงนี้..การศึกษาในระบบของไทยมักทำให้พวกเราเข้าใจไขว้เขวไป
ว่าญี่ปุ่นยอมแพ้เพราะถูกระเบิดนิวเคลียร์ และมองข้ามเหตุการณ์สำคัญอีกมากมาย
ระเบิดนิวเคลียร์..ในเวลานั้นมีผลน้อยมาก ทั้งทางจิตวิทยาและทางยุทธศาสตร์

ประการแรกคือ..ไม่มีใครในตอนนั้นเข้าใจผลข้างเคียงอันร้ายแรงของกัมมันตภาพรังสีที่ตกค้าง –
ญี่ปุ่นไม่รู้ ทหารอเมริกันก็ไม่รู้.. ฝ่ายอเมริกันยังวางแผนยกพลขึ้นบกในบริเวณที่ตัวเองทิ้งระเบิด
นิวเคลียร์ด้วยซํ้า (ก็เพราะไม่รู้ว่ามันอันตรายแค่ไหน) ส่วนญี่ปุ่นนั้น ก็เพียงรับรู้ว่ามีระเบิดแบบ
ใหม่ แต่ไม่มีผลทางใจอย่างใด เพราะในตอนนั้น โตเกียวถูกระเบิดนาปาล์มของอเมริกันทุกวี่ทุกวัน
นับจำนวนคนตาย เทียบความเสียหายแล้ว..ระเบิดนาปาล์มน่ากลัวกว่าหลายเท่าในความทรงจำ
ของชาวญี่ปุ่นยุคนั้น

ดังนั้น แค่นิวเคลียร์สองลูก..ญี่ปุ่นไม่กลัว
แต่ที่รัฐบาลญี่ปุ่นกังวลคือ กองทัพรัสเซีย..ที่เพิ่งเสร็จศึกกับเยอรมัน
และกำลังหันปืนมาทางญี่ปุ่น รัสเซียเคลื่อนพลเข้าสู่แมนจูเรีย..และใกล้ญี่ปุ่น
เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาทุกวัน

ยุทธศาสตร์ของการใช้เด็กผู้หญิงและคนชราเข้าฟาดฟันทหารอเมริกัน
ก็ใช้ได้กับทหารอเมริกันเท่านั้น เพราะภาพเหล่านี้จะสร้างความสยดสยองแก่คนอเมริกัน
ซึ่งอาจเปลี่ยนใจประชาชนอเมริกันให้หันมาเรียกร้องการยุติสงครามก็เป็นได้
ญี่ปุ่นหวังให้เกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ ..

แต่อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น -- วิธีการแบบนี้ใช้ได้กับคนอเมริกันเท่านั้น
และไม่มีทางใช้ได้กับรัสเซีย ซึ่งเป็นกองทัพมีชื่อเสียงเรื่องความโหดอำมหิต
ขืนส่งเด็กผู้หญิงและคนชราไปสู้กับรัสเซีย มีหวังถูกฆ่าทิ้งอย่างสนุกสนาน

รัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีทางเลือก นอกจากต้องรีบยอมแพ้กับอเมริกัน..ก่อนที่รัสเซียจะมาถึง

วันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945
นายกรัฐมนตรีคันตาโร ซูซูกิ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้าร่วมประชุมปรึกษากับองค์จักรพรรดิ
เห็นร่วมกันว่า..ญี่ปุ่นจะขอยอมแพ้โดยปราศจากเงื่อนไข

และนี่คือความกล้าหาญ ความเสียสละอันยิ่งใหญ่ขององค์จักรพรรดิ

พระองค์ทรงทราบดีว่า -- ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องการแขวนคอพระองค์
ทรงทราบดีว่า -- นี่อาจเป็นจุดจบของระบอบสมมุติเทพในญี่ปุ่น
ทรงทราบดีว่า – พวกกลุ่มทหารหัวรุนแรงในกองทัพ ที่ชอบแอบอ้างสถาบันอยู่เสมอนั้น
ย่อมไม่พอใจอย่างรุนแรง..และอาจนำสู่การรัฐประหารในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า..
ทรงทราบดีว่า -- อย่างไร..ในวินาทีนี้ชีวิตของพระองค์และครอบครัวอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง
ทั้งจากฝ่ายสัมพันธมิตร และจากทหารของพระองค์เอง –
แต่องค์จักรพรรดิเลือกตัดสินใจยอมแพ้ เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนในประเทศ

ซึ่งจะว่าไปแล้ว สงครามนี้ก็เริ่มจากพวกเผด็จการทหารญี่ปุ่น
ไม่ได้เกี่ยวกับองค์จักรพรรดิเลยสักนิด แต่เมื่อทหารมักแอบอ้างสถาบันอยู่เสมอ
องค์จักรพรรดิจึงต้องออกมารับผิดชอบด้วยตนเอง ไม่อาจปัดความรับผิดชอบให้ผู้อื่น

คืนวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945
องค์จักรพรรดิบันทึกเสียงการประกาศยุติสู้รบ และยอมแพ้สงครามอย่างไม่มีเงื่อนไข
เทปบันทึกเสียงทำไว้สองชุด เพื่อเตรียมออกอากาศในตอนเที่ยงของวันที่ 15

เวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945
หน่วยทหารรักษาพระองค์ นำโดยพันตรี เคนจิ ฮาทานากะ พร้อมกำลังพลกว่า1000 นาย
ก่อการรัฐประหาร..เข้าปิดล้อมพระราชวัง สังหารนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมร่วมมือด้วย ..
พลโท ทาเคชิ โมริ หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ปฏิเสธที่จะร่วมมือกับคณะรัฐประหาร
และยอมสละชีวิตตนเอง -- พลโทโมริถูกฮาทานากะยิงทิ้งในห้องทำงาน

เป้าประสงค์ของพันตรีฮาทานากะคือ ค้นหา - ทำลายเทปบันทึกเสียงขององค์จักรพรรดิ
แต่โชคดีที่ทหารของฮาทานากะไม่สามารถหาเทปนั้นเจอ
(ข้าราชการสำนักพระราชวัง โยชิฮิโร โตกูกาว่า เป็นผู้ซ่อนเทปไว้) ..

เมื่อหาเทปไม่เจอ พรรคพวกฮาทานากะจึงเขียนคำประกาศขึ้นมาเอง เรียกร้องให้คนญี่ปุ่นทุกคน
สู้กับศัตรูจนตัวตาย พวกเขาสั่งให้เจ้าหน้าที่สถานี NHK อ่านคำประกาศนั้น แต่เจ้าหน้าที่สังหรณ์
ใจว่าคำประกาศดังกล่าวไม่น่าจะใช่ขององค์จักรพรรดิ จึงพยายามหาเหตุอ้างโน่นอ้างนี่ บอกว่า
ไฟฟ้าดับ..ต้องรออีกหลายชั่วโมงกว่าจะออกอากาศได้

การก่อรัฐประหารล้มเหลวเมื่อรุ่งสาง
กองทัพภาคตะวันออกไม่ยอมเข้าร่วมขบวนการ และบังคับให้ฮาทานากะยอมแพ้
ท้ายที่สุด..เทปบันทึกเสียงองค์จักรพรรดิ
ก็ได้ออกอากาศในตอนเที่ยงวันที่ 15 สิงหาคม เป็นอันยุติสงครามอันยาวนาน

เมื่อกองทัพอเมริกันเข้ายึดครองญี่ปุ่น
มีเสียงเรียกร้องจากคนอเมริกัน..ให้นำองค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตขึ้นศาลอาชญากรสงคราม
นายพลดักลาส แมคอาเธอร์..แม่ทัพภาคแปซิฟิค ปฏิเสธชนิดหัวชนฝา และประกาศว่า
หากคิดนำจักรพรรดิญี่ปุ่นขึ้นศาล อเมริกาจะต้องส่งกำลังทหารเข้ามาเพิ่ม..อีกหนึ่งล้านคน
เมื่อแม่ทัพอเมริกันพูดแบบนี้ ฝ่ายการเมืองในสหรัฐก็ต้องยอมรับฟังเหมือนกัน

ไม่มีใครแตะต้องจักรพรรดิฮิโรฮิโต..

บรรดาแม่ทัพนายกองระดับสูงของอเมริกัน ก็ให้ความเคารพยกย่ององค์จักรพรรดิญี่ปุ่น
เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคนที่เคยสู้รบกับญี่ปุ่นมาอย่างโชกโชน พวกนี้จะเกิดอาการปลื้มญี่ปุ่น
เอามากๆในช่วงหลังสงคราม และเป็นตัวตั้งตัวตีในการฟื้นฟูกองทัพญี่ปุ่น (จนปัจจุบันญี่ปุ่นมี
ศักยภาพทางทหารเหนือกว่าสมัยสงครามโลกครั้งสองหลายต่อหลายเท่า)

องค์จักรพรรดิฮิโรฮิโต ตัดสินใจยอมแพ้ฝ่ายสัมพันธมิตรในห้วงเวลาที่ไม่มีหลักประกันใดต่อ
ความปลอดภัยของพระองค์เอง อาจถูกจับแขวนคอโดยสัมพันธมิตร อาจถูกสังหารด้วยนํ้ามือ
ทหารรักษาพระองค์ ราชวงศ์อาจล่มสลายในพริบตา ..ไม่มีหลักประกันอะไรเลยสำหรับองค์
จักรพรรดิฮิโรฮิโต ข้างฝ่ายข้าศึกก็ประกาศปาวๆทุกวี่ทุกวันว่าต้องประหารองค์จักรพรรดิ ..

แต่หลักประกันเดียว—ที่สำคัญที่สุด
คือหลักประกันว่า การยอมแพ้ของพระองค์ จะรักษาชีวิตประชาชนญี่ปุ่นจำนวนมากมาย
และนี่คือความเสียสละอันแท้จริงของสมมุติเทพ


สมมุติเทพต้องยอมตายเพื่อประชาชน มิใช่ให้ประชาชนมาตายแทน
องค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตคือจักรพรรดิผู้มิเคยทรยศประชาชน

นี่คือสิ่งที่ชาวโลกผู้เจริญแล้วให้ความเคารพยกย่อง องค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตมิเคยลงมาวุ่นวายกับ
การเมือง สมมุติเทพเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็กลับไปอยู่ยังที่ของตนเอง และนี่คือสิ่งที่ทำให้สมมุติเทพ
ในญี่ปุ่นสามารถยืนยงอย่างมีเกียรติ์ในประชาคมโลกเสมอมา แม้แต่คนที่เคยเป็นคู่สงครามก็ยัง
หันมายกย่องนับถือ ..สมมุติเทพอยู่ได้ด้วยความรักจากประชาชน และสูญสลายเมื่อความรักนั้น
มลายหายไป ..สมมุติเทพที่คิดทรยศประชาชน..ก็มีเนปาลเป็นตัวอย่างให้เห็น

ประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 ในหมู่นักวิชาการตะวันตกจำนวนไม่น้อย
มิได้มองว่าองค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตเป็นสมมุติเทพผู้แพ้สงคราม แต่กลับมองว่าพระองค์คือผู้เสียสละ
เพื่อยุติสงคราม เพื่อประชาชนของพระองค์

องค์จักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต..แห่งญี่ปุ่น
สมมุติเทพผู้ยอมตายแทนประชาชน ..ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว

Saturday, August 1, 2009

Fake photo with False Caption Awarded by Thai Press





Fake Photograph with False Description
received award for best photo journalism of 2009 by Thai Press




A photograph published in ThaiRat Newspaper on April 13, 2009 events
during violent crash between The Royal Thai Army and The Red (UDD)
protesters, received an award for the best photojournalism of the year
(2009) by the Thai Press.
However, the photo wrapped around controversy
from day one it was published - for the reason of manipulation to
distort the truth - or intend to cover up some information from the
public. Also its news description / caption was totally misleading or
just a straight lie.

The photograph was retouched, eliminated a black bag on the man body -
also his camera was removed from the image. However, there were many
cameras at the scene, including many video clips by other journalists and
photographers.

As seen in this screen shots from news clips -
the man in photograph
(aka. Mr. Kriengkrai Chockpattanakasemsuk นายกวีไกร โชคพัฒนเกษมสุข)
was dragging a woman ( Red / UDD protester) by her hair, into a soldiers' line behind him


What missing from "award winning best photojournalism of
Thailand 2009" were a black bag on the man's body and his camera.


And why would anyone want to delete such things from a news photograph ??



To cover up some important information ??
or Simply want to make the photograph to go along with a false description ??

in news description / caption as published on front page of Thairat Newspaper,
see large picture here
it said a resident of Din Dang Housing got angry when the Red (UDD) parked a
gas truck near apartment complexes - putting everyone life in danger, so decided
to come out and forcefully get rid of the red in the area..
Dramatic story but far from the truth

The man in photograph
(aka. Mr. Kriengkrai Chockpattanakasemsuk นายกวีไกร โชคพัฒนเกษมสุข)
is not a Din Dang Housing resident. In fact, he is a PAD (ultra conservative political
movement / aka. the yellow head - in which the organization show strong support for
current government / in good relation with the army) And the incident did not take place
at Din Dang !!! .. As shown on map below, this incident took place at Rajparop 12 which
is far from Din Dang Housing.


And here's some photographic evident

see the shop sign in red circle, and see closer street sign in the right picture that
says Rajparop 12 (a bit larger image here

.. and see two women in red shirts on the left picture.

Also see a man in black tee (green arrow) and the Thai flag..
And here's another view from behind soldiers' lines

see the two women in red shirts with Thai flag.

Now, see the whole sequence


and from CH3 news clips

Both the woman and Mr. Mr. Kriengkrai - face to face

and here comes the dramatic scene


and below is another view from THE NATION newspaper

We see the man dragging red shirt woman to soldiers' lines as they did
nothing to prevent it - just looking still.

Actually, this (The NATION 's photo above) is a much better photo
that tell all story, all drama, all about what happened at that moment of time,
and tell story without having to criticize nor taking any sides.

Then again, the Thai Press decided to go for a fake picture with false description. Is it because
photograph above tells too much of the truth ?? Is it because the photograph
above tells that the military and ultra conservative groups are in it together ??

First thing we learn as photographers / journalists is that we DO NOT
manipulate documentary / news photographs - it's the most important work ethics.
And we do not give a false statement (of - how / when / where/ who) in our
caption.

What kind of journalism they are practicing in Thailand ??
Do they know anything ?? or Would they call it just Thai Style Journalism ??

.